สิปาดันฉันรักเธอ (หงส์หยก)
ประหยัด: 122.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ตอน 1
“งามหน้านักนะตากูล เสียแรงแม่พร่ำสอนให้อยู่ในกรอบของความเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ไม่นึกเลยว่าแกจะใฝ่ต่ำไปเอาอีคนใช้อย่างนังรำไพทำเมีย แล้วนี่มันดันท้องขึ้นมาอีก แกจะให้แม่เอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เสียงฤดีมาศเกรี้ยวกราดเอากับลูกชาย โดยมีรำไพซึ่งตั้งท้องได้ประมาณ 7 เดือนนั่งร้องไห้กระซิกอยู่ที่นั่นด้วย
“คุณแม่ครับ นึกว่าเห็นแก่หลาน” นุกูลพยายามหว่านล้อมแม่
“หลาน!...” เสียงผู้พูดดังขึ้น พลางหันมาจ้องหน้านุกูลเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ “ตากูล แกจะให้ฉันมีหลานที่เกิดจากนังไพร่รำไพเนี่ยนะ ให้ตายฉันก็ยอมไม่ได้ นังรำไพจะต้องกลับบ้านนอกในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้”
“คุณแม่”
“ถ้าเถียงแม่ขึ้นมาอีกคำหนึ่ง เราตัดแม่ตัดลูกกัน”
นุกูลจำต้องเงียบ การจะตอบโต้แม่กลับไปไม่ใช่วิสัยของลูกชายอย่างเขา เพราะเท่าที่ผ่านมา แม่เป็นคนบงการทุกอย่างในครอบครัว
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ชั่วครู่บพิตรก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นบรรยากาศดูตึงเครียดเขารู้ในทันทีว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอกูล”
ฤดีมาศส่งเสียงแหลมเล่าความทันควัน “จะอะไรซะอีกล่ะ ก็ตากูลน่ะสิ แอบไปมีอะไรกับนังรำไพจนท้องโตขึ้นมา”
“อ้าว” บพิตรถอนหายใจ
“ฉันจะให้นังรำไพกลับไปอยู่บ้านมัน ไล่มันออกไปซะ จะได้หมดปัญหา”
รำไพร้องไห้คลานเข่าเข้ามากอดขาบพิตรอย่างหาที่พึ่ง
“คุณผู้ชายขา ช่วยรำไพด้วย รำไพผิดไปแล้ว รำไพไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วค่ะ”
บพิตรยังไม่ทันพูดอะไรฝ่ายภรรยาก็แทรกขึ้นมาอีกเป็นชุด
“แกจะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญหาพระแสงอะไร คงวาดฝันล่ะสิ ว่าจะได้ขึ้นเป็นคุณนาย หนอย มักใหญ่ใฝ่สูง”
“คุณมาศ...เอาล่ะ ผมไม่เคยขออะไรคุณเลย ครั้งนี้ผมขอ”
ประโยคดังกล่าวทำเอาอีกฝ่ายอึ้ง ฤดีมาศหันมามองสามีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยถูกขัดใจแบบนี้มาก่อน
“คุณบพิตร อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่ อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ นึกว่าเห็นแก่เด็กที่จะเกิดมา”
“หมายความว่าคุณจะเชิดชูมัน รับมันเป็นสะใภ้ แล้วคุณจะบอกใครๆ ว่าอย่างไรคุณบพิตร”
“อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ขออย่าให้ถึงกับขับไล่ไสส่งกันเลย คุณลองนึกถึงหัวอกผู้หญิงด้วยกันบ้างสิ บ้านนี้ก็ไม่มีเด็กมานาน ตากูลเป็นลูกคนเดียว จะเป็นไรไปถ้าฉันจะมีหลานตัวเล็กๆ มาวิ่งเล่น”
รำไพคลานเข้ามากราบแทบเท้าบพิตร “ขอบคุณมากค่ะคุณผู้ชาย บุญคุณครั้งนี้รำไพจะขอจดจำไปจนวันตาย”
ฤดีมาศเหลือบมองรำไพอย่างแค้นเคือง
“ขอบคุณครับคุณพ่อ” นุกูลมองพ่อที่เข้ามาเคลียร์ทุกอย่างเหมือนฟ้ามาโปรด
บพิตรหันมาอธิบายกับภรรยา “คุณมาศ หวังว่าคุณคงเข้าใจสิ่งที่ผมทำวันนี้ รำไพเป็นสาวใช้ก็จริง แต่เขาเข้ามาทำหน้าที่ดูแลแม่ผม ที่นอนเป็นอัมพาตไม่มีใครใยดี คุณเองระยะหลังก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ ออกจะเบื่อซะด้วยซ้ำ ผมถามคุณหน่อยเถอะ ถ้ารำไพไป แล้วคุณจะเข้าไปดูแม่ผมใกล้ชิดหรือเปล่า เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าเวลาแกถ่าย หรือแม้แต่เวลาแกแสดงอาการพูดเพ้อๆ ออกมา นั่นเป็นสิ่งที่คุณมาศเองก็ทำไม่ได้”
อีกฝ่ายหันมาค้อน นิ่งไปเหมือนจำนน ที่แน่ๆ เธอจะเอาเวลามาดูแลคนป่วยไปวันๆ คงไม่ได้ เนื่องจากขาไพ่วงใหญ่ระดับไฮโซมารอไม่ขาดระยะ บพิตรสรุป
“ลูกจ้างเดี๋ยวนี้หายากคุณก็รู้ ผมแค่อยากให้เด็กที่เกิดมา เลือดเนื้อเชื้อไขของตากูล ซึ่งก็หมายความรวมไปถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณแล้วก็ผมด้วย ได้อยู่ในที่ๆ ที่ควรจะอยู่” พูดจบก็เดินออกไปจากที่นั่น
ฤดีมาศหันมาทางรำไพกำมือแน่น เอ่ยประโยคทิ้งท้ายว่า “อย่านึกว่าคำตัดสินของคุณบพิตรเมื่อกี้ จะทำให้แกชูคอในฐานะลูกสะใภ้ฉันได้”
“รำไพคงไม่กล้าขนาดนั้นหรอกค่ะคุณผู้หญิง ขอเพียงรำไพกับลูกได้มีที่อาศัย เกิดมาแล้วได้อยู่ใกล้ชิดพ่อกับแม่ แค่นี้ก็เป็นพระคุณล้นท่วมหัวนังรำไพคนนี้แล้วล่ะค่ะ”
ฤดีมาศไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เดินเลี่ยงออกไปดื้อๆ
กลางดึกของค่ำคืนนั้น นุกูลเปิดประตูห้องออกมาเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นใคร จึงรีบสาวเท้าออกไป ยังไม่ทันจะก้าวลงบันไดเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ตากูล!...”
เจ้าของชื่อชะงักหันกลับมา “คุณแม่”
“จะไปไหน”
“เอ่อ..” เขาอึกอัก
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันไม่ได้ทำให้แกสำนึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
“คุณแม่ครับ รำไพกำลังท้อง ผมต้องเข้าไปดูแลเขา”
“หยุดพูดจาแบบนี้ซะที!” ฤดีมาศแผดเสียงดังใส่หู “อย่าคิดว่าการที่พ่อแกให้ท้ายแล้วจะทำตัวเปิดเผยไปนอนกับมันโดยไม่สนใจใคร”
“เวลาแม่ตั้งท้องผม...แม่อยากให้พ่ออยู่ด้วยตลอดเวลาหรือเปล่าครับ” เขาถาม
“ตากูล”
“ที่ผมถามก็แค่อยากรู้”
“อย่าเอาแม่ไปเปรียบกับผู้หญิงอย่างมัน ผู้หญิงอย่างมันจะไปรู้สึกรู้สาอะไร อย่างดีก็แค่คอยจับผู้ชายรวยๆ อย่างแกเอาไว้ยกระดับตัวมันเอง แล้วต่อไปนี้ แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้แกเข้าไปหามันอีก”
“คุณแม่ครับ” เขาส่งสายตาวิงวอน
“แม่ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ ถ้าแกคิดว่าจะทำให้บ้านนี้สงบสุขอย่างเก่าล่ะก็ อย่าสร้างเรื่องขึ้นมาอีก” ฤดีมาศเลี่ยงออกไป
นุกูลถอนหายใจมองตามมารดา เขาทำท่าเดินกลับเข้าห้อง แต่สักครู่ก็เปิดประตูออกไปอีก
รำไพกำลังนั่งพับผ้าอยู่ในห้อง เธอชะงักเมื่อเสียงเคาะประตูดัง สีหน้ารำไพลังเลเล็กน้อย แต่ก็ลุกเดินไปเปิดให้
“คุณนุกูล”
“รำไพ” นุกูลรีบเดินเข้ามา ก่อนจะโอบกอดเธอด้วยความรัก
“คุณกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณหญิงท่านจะว่าเอาอีก”
“ฉันคิดถึงรำไพ อยากอยู่กับรำไพที่นี่”
“คุณก็รู้ว่าคุณหญิงกำลังโกรธมาก..รีบกลับไปก่อนเถอะค่ะ รำไพกลัวว่าถ้าคุณหญิงไม่พอใจขึ้นมาอีก รำไพอาจจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันจะยิ่งทำให้รำไพเจ็บช้ำมากกว่านี้นะคะ รำไพอาจจะไม่ได้อยู่กับคุณ”
“โธ่รำไพ..ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอจากฉันไปไหนได้หรอก”
“แต่ถ้าเป็นความต้องการของคุณหญิง คุณก็รู้ว่าใครก็ขัดไม่ได้”
“ถึงยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด”
“คุณก็จะได้ชื่อว่าอกตัญญู รำไพไม่ได้ต้องการแบบนั้นหรอกค่ะ รำไพไม่อยากเห็นคนที่รำไพรักต้องเป็นแบบนั้น”
นุกูลเอามือจับที่ท้องรำไพลูบเบาๆ “ลูกพ่อ ถึงยังไงพ่อก็ไม่ยอมให้หนูกับแม่จากพ่อไปไหน เราจะต้องอยู่ด้วยกันนะลูก รู้ไหมพ่อรักหนูกับแม่มากแค่ไหน..อีกไม่กี่วันเราก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะ” พูดพลางก้มลงจูบที่ท้องเบาๆ รำไพยิ้มแย้มมีความสุขกับการแสดงความรักของสามี
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น อยู่ในสายตาฤดีมาศโดยตลอด หลังจากสะกดรอยตามลูกชายและรู้ว่ามาหารำไพ ฤดีมาศฉายแววตาเอาเรื่อง
“รอให้ลูกคลอดก่อนเถอะ แกจะได้เห็นดีกับฉัน นังรำไพ...หนทางกำจัดแกยังมีอีกเยอะ”
**********
ท่ามกลางความเกลียดชังรำไพที่มีมากขึ้นทุกที ฤดีมาศหาทางกลั่นแกล้งโดยการให้ทำงานทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกันที่รำไพต้องรับภาระซักผ้ากองโต ที่ฤดีมาศให้สาวใช้อีกคนเอามากองท่วมหัว
“ซักให้หมดล่ะ คุณหญิงสั่งมา”
“หมดนี่เลยเหรอจ้ะ”
“ใช่..ทำไม หรือว่ามีปัญหา ฉันจะได้ไปบอกคุณหญิงให้”
“แต่นี่มันไม่ใช่เสื้อผ้าคุณหญิงอย่างเดียว ของพวกพี่ด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือว่ามีปัญหา”
“เปล่าจ้ะ ฉันทำได้ๆ”
“ทำได้ก็ทำไป” สาวใช้สั่งเสร็จก็เดินผละออกไป
รำไพนั่งซักผ้าด้วยอาการปวดหลังสุดๆ ครู่หนึ่งเธอลุกขึ้นเพื่อจะหยิบขันน้ำใกล้ๆ ทันใดก็รู้สึกเจ็บท้องขึ้นมากะทันหัน รำไพเบ้หน้าเหยเก
“โอ๊ย...เจ็บ..ใครก็ได้ ช่วย..ที...”
รำไพทรุดลง รู้สึกว่าเจ็บมากขึ้น “โอ๊ย..ใครก็ได้ช่วยด้วย..ฉันเจ็บท้อง”
ฤดีมาศเดินผ่านมาทางนั้นพอดี เธอชะงักมอง
“รำไพเจ็บท้อง..ช่วยด้วยค่ะ”
อีกฝ่ายลังเล ใจหนึ่งอยากปล่อยให้รำไพเจ็บปวดทรมานไปแบบนั้น แต่ใจหนึ่งก็นึกห่วงหลานในท้องขึ้นมา ท่าทางฤดีมาศเริ่มพะวักพะวน
“อ้าวคุณ!...”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำเอาฤดีมาศตกใจรีบหันไปมอง และเห็นว่าบพิตรกำลังเดินมา
“ผมกำลังตามหาคุณอยู่ ว่าจะถามเรื่องของฝากที่จะไปให้ท่านผู้ว่าฯ ”
“คือ..ฉัน..”
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย...” เสียงรำไพร้องเรียก
บพิตรหันไปตามเสียงแล้วตกใจ “นั่นรำไพนี่ ตายจริง เป็นอะไรไป” พูดพลางวิ่งเข้าไปประคอง
ฤดีมาศจำต้องตามสามีไปอีกคน
“นี่รำไพกำลังเจ็บท้อง แล้วเมื่อกี้คุณ..”
“เอ่อ..ฉันเพิ่งเดินมาพอดี ตะกี้ไม่เห็นเป็นอะไรซักหน่อย”
“รีบให้นายสนเอารถออกเร็ว รีบพาส่งโรงพยาบาลเถอะ” บพิตรรีบประคองรำไพ ขณะที่ฤดีมาศลังเลอยู่ไม่นานก็เข้าช่วยประคองอย่างเสียมิได้
รำไพถูกพาส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา จากนั้นไม่นานเธอคลอดลูกเป็นผู้หญิง ฤดีมาศยิ้มหน้าบาน ขณะที่บพิตรเองตื่นเต้นดีใจไม่แพ้กัน ระหว่างยืนดูหลานอยู่หน้าห้องเด็กอ่อน ฤดีมาศชื่นชมไม่ขาดปาก
“หน้าเหมือนตากูลไม่มีผิด แต่ดูๆ ไปก็หน้าเหมือนคุณนะ”
“คุณว่าเหมือนผมเหรอ...เออ จริงแฮะ”
“ฉันให้เขาจัดห้องเด็กอ่อนเอาไว้รอที่บ้านแล้วนะคุณ”
“ผมว่าผมเห่อหลาน แต่คุณเห่อกว่าหลายเท่า” สองสามีภรรยายิ้มแย้มมีความสุข
“ใครว่าฉันเห่อ ฉันรักหลานฉันต่างหาก”
“รักลูกเขา ก็ต้องรักแม่เขาด้วยนะ”
สีหน้าฤดีมาศที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่บึ้งตึงลง เธอเปลี่ยนเรื่องพูด “ตากูลหายไปไหน”
“ไปติดต่อหมอที่ห้องโน่นแน่ะ...อ้าว นั่นมาพอดีเลย”
“หมอว่าไงบ้างลูก” ฤดีมาศยิ้มแย้มถาม
“อีกสามวันก็กลับได้แล้วครับ” นุกูลเลี่ยงไปที่กระจก ชะโงกดูหน้าลูกในตะกร้ารถเข็น “ยายหนูหน้าเหมือนผมเลยนะแม่”
“แม่กำลังคิดว่าเขาเหมือนปู่อยู่นะ”
“เอ..มองไปก็คล้ายกับย่านิดๆ นะครับ แต่ปากกับจมูกเหมือนรำไพมากเลยแม่”
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจขึ้นมา “เด็กยังเปลี่ยนหน้าไปได้อีกเยอะ ตอนแกเด็กๆ ก็แบบนี้แหละ”
บพิตรและลูกชายหันมายิ้มเหมือนรู้กัน ฤดีมาศเลี่ยงไปชื่นชมหลาน ปลาบปลื้มอยู่เพียงลำพัง
***********
สายๆ ของวันนี้ เป็นอีกวันที่ฤดีมาศยืนรออะไรบางอย่างอยู่หน้าบ้านด้วยใจจดจ่อ เมื่อเห็นรถนุกูลกำลังเลี้ยวเข้ามา เธอรีบวิ่งเข้าไปหา เปิดประตูรถให้อย่างใจร้อน รำไพอุ้มลูกลงมาจากรถช้าๆ ฤดีมาศอาสาทันที
“เอาหลานมา ฉันอุ้มเอง เธอคงเหนื่อย รีบไปพักเถอะ”
รำไพส่งลูกให้ฤดีมาศรับไปชื่นชม
“ยายหนูของย่า ถึงบ้านเราแล้วนะลูกนะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เข้าบ้านกันนะลูกนะ”
“เดี๋ยวรำไพขึ้นไปนอนกับลูกบนตึกนะ คุณแม่จัดห้องเอาไว้ให้แล้ว”
“เอ่อ..จะดีเหรอคะ”
ฤดีมาศหันมา “ต้องดีสิ จะให้หลานฉันไปนอนเรือนคนใช้อย่างเธอน่ะเหรอ ไม่มีทาง หลานฉันจะต้องอยู่บนตึกใหญ่นี่” ฤดีมาศอุ้มหลานเดินนำไปก่อน
นุกูลหันมาประคองรำไพให้ตามไปด้วยกัน
ในที่สุดบพิตรตั้งชื่อหลานคนโปรดว่า “เส้นด้าย” เด็กน้อยกลายเป็นขวัญใจของคนทั้งบ้าน ฤดีมาศวนเวียนเข้าไปเล่นกับหลานด้วยความรัก นุกูลและบพิตรต่างดีใจที่เห็นเส้นด้ายกลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างรำไพและฤดีมาศได้เป็นอย่างดี
ช่วงเวลาที่ผันผ่าน กับการได้อยู่ใกล้ลูก ทำให้รำไพมีความสุขกับพัฒนาการของเด็กน้อย ที่บัดนี้อ้วนจ้ำม่ำ ส่งเสียงหัวเราะทะเล้นไปตามวัย วันนี้รำไพได้รับอนุญาตให้พาเส้นด้ายเดินเที่ยวชมธรรมชาติไปตามอาณาเขตของบ้านที่กว้างใหญ่
เมื่อเห็นว่าได้เวลาให้นมอีกครั้ง เธอพาลูกกลับขึ้นไปบนห้อง รำไพชะงักแปลกใจกับความเปลี่ยนไปในนั้น ข้าวของเครื่องใช้ของเธอหายไปหมด มีเพียงอุปกรณ์เด็กอ่อนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับลูก
หลังจากวางเด็กนอนในเปล ฤดีมาศเดินเข้ามาในนั้นพร้อมอธิบาย
“ฉันจัดการเปลี่ยนเองแหละ เพราะมันได้เวลาที่เธอจะต้องลงไปนอนในที่ของเธอซะที”
“หมายความว่าไงคะ”
“ก็หมายความว่า แกควรจะได้กลับไปอยู่ในที่ของแกน่ะสิ หลานฉันเนี่ย ฉันจะเลี้ยงเอง แกจะขึ้นมาให้นมได้ตามเวลาเท่านั้น”
“คุณหญิง?...” รำไพคาดไม่ถึง
“เสียใจล่ะสิ ที่กำลังจะได้กลับไปอยู่ห้องแคบๆ เล็กๆ ฉันบอกแกแล้วว่าแกจะไม่มีวันได้ชูคอในตำแหน่งสะใภ้ของที่นี่”
“คุณหญิงกำลังมองรำไพผิดนะคะ”
“ผิดยังไง”
“รำไพไม่เคยคิดแบบนั้น ขอให้รำไพได้อยู่ใกล้ลูก”
“แกมีหน้าที่ให้นมหลานฉัน แล้วก็กล่อมให้เขาหลับพอ หลังจากนั้นแกก็กลับไปนอนที่ห้องของแก มันไม่เห็นจะยากตรงไหน...แล้วอย่าคิดนะว่าจะเอาหลานฉันไปนอนกับแก ที่แบบนั้นมันเหมาะกับพวกแกเท่านั้น”
“แต่ว่ารำไพ...”
“เลือกเอา ว่าแกจะทำตามฉัน หรือว่าจะกลับไปอยู่บ้านนอกของแกโน่น ฉันจะให้เงินแกก้อนหนึ่ง ให้แกกลับไปอยู่บ้านนอกของแก แลกกับหลานฉัน”
“รำไพไม่เคยคิดขายลูกกิน เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของรำไพค่ะ”
“ถ้าแกรักลูกแกจริง แกก็ต้องทำได้ แล้วฉันก็มีเรื่องจะขอร้องแกอย่างหนึ่ง”
รำไพเงยหน้าตั้งใจฟัง
“แกจะต้องไม่บอกหลานฉันว่าแกเป็นแม่ ฉันจะให้แกมีหน้าที่ได้แค่..แม่นม...เท่านั้น”
“คุณหญิง!...”
“ถ้าแกทำได้ ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแกอีก...คิดดูสิ ถ้าหลานฉันโตมาแล้วรู้ว่าแม่เป็นคนใช้ หลานฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นึกว่าเห็นแก่อนาคตลูกเถอะ..ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแกอีก”
รำไพนิ่งเงียบนึกทดท้อกับชะตากรรมของตัวเอง
นุกูลรับรู้เรื่องราวจากรำไพในคืนนั้นเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงว่าแม่จะร้ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก
“ผมจะเข้าไปถามแม่ ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย”
“อย่าไปว่าท่านนะคะ รำไพรับปากท่านไปแล้วค่ะ อีกอย่างท่านสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับรำไพอีก แค่ได้เห็น ได้มองดูลูก รำไพก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ”
“แต่มันไม่ถูกต้อง”
“รำไพขอร้องล่ะค่ะ อย่าทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกเลย รำไพกลัวว่าท่านจะไม่ยอมให้รำไพเห็นลูกอีก”
“โธ่รำไพ...”
“รำไพทนได้ค่ะ ขอให้ได้อยู่ใกล้ลูก ใกล้คุณ”
“ฉันมองคนไม่ผิดจริงๆ อดทนอีกหน่อยนะรำไพ ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น” นุกูลโอบกอดรำไพเอาไว้อย่างแสนรัก
ช่วงเวลาที่ผ่านไปแรมปี เด็กน้อยเส้นด้ายเติบโตท่ามกลางสายตารำไพที่เฝ้ามองด้วยความรัก ในคราวที่ฤดีมาศออกไปทำธุระข้างนอก นั่นคือช่วงความสุขเล็กๆ ที่รำไพจะได้เข้าใกล้ลูก
เช้าวันนี้ก็เช่นกันที่รำไพพาลูกออกมาเดินดูดอกไม้สนามหญ้าหน้าบ้าน สีหน้าของรำไพดูสดชื่นมีความสุข ฤดีมาศที่ยืนมองมาจากด้านบน รีบตามลงมาอย่างร้อนใจ
“เอาหลานฉันมานี่นังรำไพ”
รำไพตกใจหันมา “คุณหญิง”
“บริเวณนี้ไม่ใช่ที่ที่แกจะเข้ามาเดินส่งเดช” เธอแย่งหลานมาอุ้ม
“แต่ลูก..เอ่อ เส้นด้ายคงอยากเดินเที่ยว รำไพก็เลยพามา”
“ฉันจะพาหลานฉันเดินเที่ยวเอง แกไม่ต้องยุ่ง”
รำไพจ้องมองฤดีมาศอย่างตัดพ้อ “ทำไมถึงรังเกียจรำไพมากมายนักล่ะค่ะ รำไพก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย”
“หนอย..ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก จำเอาไว้นะ อย่าคิดว่าการที่ฉันนิ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับแก”
“รำไพไม่ได้อยากให้คุณหญิงยอมรับ เพียงแต่ขอแค่ได้อยู่ใกล้ลูก”
“ถ้าแกไม่อยากให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับแก แกก็อยู่ในส่วนของแกอย่างที่ฉันเคยบอก เข้าใจมั้ย ไม่อย่างนั้นแกกับฉันเห็นดีกันแน่”
ระหว่างนั้นสาวใช้อีกคนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “แย่แล้วค่ะคุณหญิง”
“มีอะไร”
“คุณท่าน...แม่คุณบพิตรเสียแล้วค่ะ”
“หา” รำไพตกใจ ขณะที่ฤดีมาศตกใจไม่แพ้กัน
ทั้งหมดพากันเข้าไปด้านใน รำไพก้มลงกราบแทบเท้า ร้องไห้อาลัยกับการจากไปของแม่บพิตร เนื่องจากผูกพันดูแลกันมายาวนาน
บพิตรจัดงานศพของแม่ที่วัด ซึ่งไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรนัก แขกที่มาบอกแค่คนสนิทสนมเท่านั้นรำไพช่วยเหลืองานด้วยความคล่องตัว จัดน้ำบริการแขกร่วมกับกลุ่มสาวใช้ทั่วไป ขณะกำลังถือถาดน้ำเดินกลับเข้ามาในครัว จู่ๆ ก็หน้ามืดเป็นลมล้มลง มือที่ถือถาดหล่นลงแก้วแตกกระจาย นุกูลเดินผ่านมาทางนั้นพอดี เขารีบเข้ามาประคอง
“รำไพ..รำไพ เป็นอะไรไป”
รำไพลืมตาสะลึมสะลือ นุกูลประคองให้เธอลุกขึ้นช้าๆ
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”
“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็หน้ามืดไปเฉยๆ”
“เสียงอะไรเอะอะโครมครามดังออกไปถึงข้างนอกตากูล” ฤดีมาศเดินเข้ามา
พอเห็นลูกชายกำลังประคองรำไพ เธอฉุนวูบ “มีอะไรกัน”
“รำไพเป็นลมน่ะครับคุณแม่”
“ทำงานแค่นี้เป็นลม แล้วดูซิข้าวของแตกเสียหาย ทำอะไรให้มีเรื่องตามมาทุกทีสิน่า”
“คุณแม่ครับ”
ฤดีมาศยังคงต่อว่า “อ้าว..หายแล้วก็รีบไปสิ เก็บข้าวของนี่ด้วย”
คืนนั้นหลังจากเสร็จงานที่วัด ทุกคนพากันกลับมาบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน ฤดีมาศเห็นนุกูลพารำไพเข้าไปส่งที่เรือนคนใช้ ทำให้ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจ ฉายแววตากร้าวพึมพำออกมา
“หมดหน้าที่แกซะทีนังรำไพ แม่คุณบพิตรตาย ต่อไปนี้คงไม่มีใครให้แกดูแลอีกแล้ว”
สองวันต่อมา ผู้คนบนตึกใหญ่พากันตกใจ เมื่อฤดีมาศลุกขึ้นมาโวยวายเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ตายแล้ว ตาย หมด หมดกัน ฉันจะทำยังไงดี คุณบพิตร คุณต้องช่วยฉันนะ”
“เอะอะอะไรแต่เช้าล่ะคุณ”
“เครื่องเพชรค่ะ เครื่องเพชรประจำตระกูลที่ฉันเก็บเอาไว้ มันหายไป”
“พูดเป็นเล่นน่า”
“มันหายไปแล้ว ดูสิคะ”
“แล้วคุณเอาเก็บไว้ยังไง มันไม่น่าจะหายไปได้”
“เมื่อวานตอนที่เรากำลังวุ่นๆ กลับมาจากงานศพ ฉันเอาเครื่องเพชรออกมาเลือก ว่าจะใส่เส้นไหน ตอนวันเผา เพราะพวกคุณหญิงเพื่อนๆ มากันหลายคน ฉันเอาวางไว้ตรงนี้” เธอชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “แล้วฉันก็ออกไปคุยกับคุณหญิงโสภา จากนั้นฉันก็ใช่...ใช่แล้ว ต้องเป็นมันแน่ๆ”
“อะไรของเธอ”
“นังรำไพ ใช่แล้ว ฉันให้นังรำไพมันขึ้นมาเอาของนี่นา ต้องเป็นมันแน่ๆ”
“คุณก็ใจเย็นๆ ก่อน รำไพอยู่กับเรามานาน เขาจะทำอย่างนั้นทำไม”
“ต้องเป็นมันแน่ จะเป็นใครไปไม่ได้”
“ผมว่าสอบถามกันดูก่อนดีกว่า แต่เอาไว้ให้เรื่องงานศพเรียบร้อยก่อนดีมั้ย”
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้เลย จะได้ไล่มันออกไปซะ”
บพิตรส่ายศีรษะปลงๆ เด็กหญิงเส้นด้ายคลานเตาะแตะเข้ามา พร้อมกับรำไพที่ตามเส้นด้ายเข้ามาพอดี ฤดีมาศเข้าไปอุ้มหลาน พลางหันมาเกรี้ยวกราดเอากับรำไพ
“นังรำไพ บอกมานะ แกเอาเครื่องเพชรฉันไปไว้ที่ไหน”
“เครื่องเพชรอะไรคะคุณหญิง”
“หนอย ทำเป็นแกล้งโง่ ก็เครื่องเพชรที่ฉันวางเอาไว้บนห้องเมื่อคืน แกเป็นคนเอาไปใช่ไหม”
รำไพตกใจ “รำไพไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ”
“โกหก ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร”
“รำไพไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้ แกไปเรียกบ่าวไพร่ทั้งหมดมาหาฉัน จะได้พิสูจน์พร้อมๆ หน้ากัน”
“ค่ะ” รำไพรีบคลานออกไปจากบริเวณนั้น
ฤดีมาศสอบสวนทุกคนรวมไปถึงรำไพ เธอปักใจว่ารำไพมีส่วนเกี่ยวข้อง และขอเข้าไปค้นในห้องทันที
รำไพแทบช็อก เมื่อฤดีมาศพบเครื่องเพชรอยู่ในห้องของเธอจริงๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือยืนอึ้ง ก่อนจะปฏิเสธเสียงเครือ
“ไม่จริงนะคะคุณท่าน รำไพไม่ได้ขโมยมา”
“ยังมีหน้ามาเถียงอีกเหรอ หนอย เลี้ยงเสียข้าวสุก แกนี่มันไม่รักดีจริงๆ”
“รำไพไม่ได้ทำค่ะ”
บพิตรและนุกูลเดินตามเข้ามา ทั้งสองคนมองไปยังเครื่องเพชร นุกูลหันไปทางรำไพ คาดไม่ถึงว่าหลักฐานที่แม่ตามหาจะปรากฏในห้องนี้จริงๆ
“คุณนุกูลต้องช่วยรำไพนะคะ รำไพไม่ได้ทำ”
เวลานี้นุกูลจำต้องปิดปากเงียบ ไม่รู้จะหาคำไหนมาแก้ต่าง ในเมื่อทุกอย่างที่เห็นคือคำตอบชัดเจน ฤดีมาศแผดเสียงดังสรุปแบบเฉียบคม
“เก็บเสื้อผ้าข้าวของแกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“คุณแม่” นุกูลตกใจ
รำไพก้มหน้านิ่ง ก่อนจะยื้อเวลา
“รำไพอยากพิสูจน์ค่ะ”
“พิสูจน์เหรอ หาว่าฉันกลั่นแกล้งล่ะสิ” เธอเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “คุณบพิตร ตากูล จะว่าไง”
“ผมว่า....” ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องมีใครพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ฉันตัดสินเองว่า แกควรจะออกไปซะที ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจให้มาจับแก”
รำไพมองหน้านุกูลสลับกับมองหน้าบพิตร คิดว่าเขาคงจะเมตตาเธออีกสักครั้ง บพิตรเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกเบาๆ
“ฉันสงสารเธอเหลือเกินรำไพ แต่เมื่อเธอทำผิด ก็ต้องได้รับการลงโทษ”
รำไพอึ้งไป เธอเหลียวไปทางสามี หวังเป็นที่พึ่งสุดท้าย
“คุณนุกูล”
“ฉันรักเธอนะรำไพ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ได้”
“คุณไม่เชื่อรำไพ” เธอร้องไห้โฮออกมาดังๆ
ฤดีมาศยิ้มสมใจ
“พรุ่งนี้ฉันหวังว่าคงไม่ได้เห็นหน้าแก”
“ถ้าคุณนายจะให้รำไพไป รำไพขอเอาลูกไปด้วย”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่า อย่ามายุ่งกับหลานฉัน แกจะเอาปัญญาที่ไหนเลี้ยง เลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ฉันให้เงินแกไปก้อนหนึ่ง รับรองว่าแกจะสบาย”
“คุณนายก็เคยเป็นแม่คนมาก่อน ถ้าไม่เห็นแก่มนุษยธรรม ก็นึกถึงเวรกรรมบ้างเถอะค่ะ”
ขาดคำฤดีมาศเงื้อมือตบหน้ารำไพฉาดใหญ่ “แกกล้าดียังไง ยอกย้อนฉันแบบนี้ นี่ยังน้อยไปสำหรับคนอย่างแก ฉันไม่เรียกตำรวจก็บุญโข”
รำไพกลั้นสะอื้นคลานเข่าเข้ามากราบแทบเท้าบพิตร “คุณท่านคะ...รำไพ...”
บพิตรขยับเท้าหนีเล็กน้อย ทำเอารำไพชะงัก รู้ในคำตอบว่าที่พึ่งของเธอหมดแล้วจริงๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือการร้องไห้ แม้กระนั้นก็ยังหันไปทางสามี ที่เดินออกไปจากบริเวณนั้นเงียบๆ
ท่ามกลางค่ำคืนแห่งความทรมาน รำไพนอนกอดลูกร่ำไห้ นุกูลเดินเข้ามาในนั้นเงียบๆ ภาพรำไพนอนกอดลูกทำให้เขาสะท้อนใจ ก่อนจะเดินออกไป รำไพยกศีรษะมองตาม พลางเอ่ยลอยๆ ตามหลัง
“ไม่ว่าใครจะคิดยังไง รำไพไม่ได้ทำ”
นุกูลหยุดสักครู่ แล้วเดินต่อ รำไพเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ พึมพำกับเส้นด้าย
“เราจะไปอยู่ด้วยกันทั้งหมด แม่ไม่มีวันทิ้งหนู หนูกำลังจะมีน้องแล้วนะลูก”
คืนนั้นหลังจากกล่อมลูกแล้ว รำไพเปิดประตูเดินออกมาจากห้อง....เธอหันไปเห็นเงาดำตะคุ่ม 2 คนกำลังยืนคุยกันท่าทางมีพิรุธ รำไพกระเถิบเท้าเข้าไปใกล้ บังตัวในระยะประชิด พอได้ยินการสนทนาแว่วๆ
“ปิดเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด เดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูยายเส้นด้าย แล้วอย่าให้นังรำไพมันรู้ล่ะ ว่าฉันเป็นคนจ้างแกทำเรื่องทั้งหมด”
“ค่ะ เครื่องเพชรเมื่อกี้ ดิฉันเอาไปไว้ในตู้เสื้อผ้าที่เดิมแล้วนะคะคุณหญิง”
รำไพยืนช็อค! เมื่อรู้ว่าเป็นแผนการของฤดีมาศ ที่ต้องการกำจัดเธอออกไปจากบ้าน เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
การสนทนาของคนทั้งสองดำเนินไปไม่นาน หลังจากสาวใช้ได้เงินก้อนหนึ่งก็รีบเลี่ยงออกไปอีกทาง รำไพมองตามกระทั่งเห็นว่าฤดีมาศเข้าไปที่ห้องเส้นด้ายแล้ว เธอตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง โดยการขึ้นไปบนห้องนอนของฤดีมาศ รื้อค้นดูในตู้เสื้อผ้า ซึ่งมีลิ้นชักเล็กๆ เธอดึงมันออกมา
“อยู่นี่เอง”
กล่องเครื่องเพชรวางอยู่ในนั้น รำไพหยิบมันขึ้นมา “ในเมื่ออยากให้ฉันเลว ฉันก็จะเลวให้ดู” สายตาของเธอ แน่วแน่เด็ดเดี่ยวขึ้นมา
รำไพเดินเข้ามาที่ห้องเส้นด้ายอีกครั้ง รอดูจนเห็นว่าฤดีมาศถือขวดนมเดินออกไปอีกห้องหนึ่ง เธอตัดสินใจเข้าไปอุ้มเส้นด้ายออกมา
“ไปลูก เราจะไปอยู่ด้วยกัน”
รำไพอุ้มลูกลงบันไดมาช้าๆ พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“จะพาเส้นด้ายไปไหนเหรอรำไพ”
อีกฝ่ายชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นบพิตร เธออึกอัก “รำไพ...เอ่อ...”
“ถ้าจะเอาลูกไปเดินเล่นแถวนี้ ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าจะเอาหลานฉันไปจากฉัน..ฉันขอล่ะ รำไพ...นึกว่าเห็นแก่ฉัน”
“คุณท่านคะ..รำไพอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว รำไพต้องไป รำไพจะไปกับลูก คุณท่านเห็นใจรำไพเถอะนะคะ”
“คิดดูให้ดีก่อนเถอะรำไพ ถ้าหลานอยู่กับฉัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลเขาดีที่สุด”
เสียงฤดีมาศร้องลั่นดังมาจากด้านบน “ช่วยด้วย หลานฉันหายไป ตายแล้ว ใครช่วยที”
รำไพชะงัก หันมองหน้าบพิตรสลับกับมองเส้นด้าย
“เอาหลานมาให้ฉันรำไพ เชื่อฉันเถอะ”
“ไม่..รำไพจะเอาลูกไปกับรำไพด้วย” เธอทำท่าจะวิ่งออกไป ทันใดก็จำต้องยืนนิ่งตะลึงเมื่อเห็นชายอีกคนตรงหน้า “คุณนุกูล”
“อย่าเอาลูกไปจากฉัน รำไพ...ฉันจะขอให้คุณแม่ยกโทษให้เธอ เธอบอกฉันไงว่าเธอจะพิสูจน์ เราจะพิสูจน์ให้ท่านรู้ว่าเธอไม่ผิด”
“นังรำไพ!...หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ฤดีมาศวิ่งลงมาจากด้านบน “ใครอยู่แถวนี้มาช่วยกันจับมันไว้”
บรรดาสาวใช้พากันวิ่งตามมา รำไพตกตะลึงกอดลูกเอาไว้แน่น
“เอาหลานฉันมานะนังรำไพ”
“ไม่..รำไพจะไปกับลูก ใครอย่ามาขวาง”
“พวกแกยืนเซ่ออยู่ทำไม ช่วยกันเข้าไปจับมันสิ เอาหลานฉันมา แล้วเอามันไปโยนทิ้งหน้าบ้าน ไอ้สุกโทร.เรียกตำรวจมาด้วย จับมันเข้าคุกไปเลย ข้อหาลักพาตัวหลานฉัน”
พวกสาวใช้พากันวิ่งเข้าไปที่รำไพ ยื้อยุดเป็นการใหญ่ รำไพพยายามกอดลูกดึงรั้งเอาไว้อย่างสุดชีวิต แต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายที่มากกว่าไม่ได้ เส้นด้ายถูกแยกออกมาจนได้
“อย่าเอาลูกฉันไป” รำไพร้องไห้คร่ำครวญ น้ำตาแทบเป็นสายเลือด
“ลูก..เอาลูกฉันคืนมา..”
ร่างรำไพถูกดึงออกไปหน้าบ้าน นุกูลอุ้มลูกไว้ในมือ สายตายังมองตามรำไพไปด้วยความรักอาลัย “รำไพ คุณแม่ครับ..ผมขอร้องล่ะครับ ยกโทษให้รำไพสักครั้ง”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะตากูล นี่แกยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ...ไอ้สุก โทร.ตามตำรวจให้ฉันหรือยัง”
เสียงร้องเรียกหาลูกของรำไพยังดังแว่วเข้ามา พร้อมๆ กับการถูกพาออกไปหน้าบ้าน บพิตรมองเหตุการณ์อย่างรันทดใจ เอามือจับหน้าอกที่รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา
น้ำตาแห่งความสูญเสีย หลายสิ่งที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์หลังงาม มันคือภาพแห่งความทรงจำที่ไม่มีผู้ใดลืมมันลงได้ ตราบวันคืนผ่านพ้น..วันแล้ว..วันเล่า วันแห่งความทรงจำ..
************
รายละเอียด
‘ชวิน’ ชายหนุ่มอนาคตไกล ที่มีตำแหน่งนักการทูตอยู่ใกล้แค่เอื้อม เหตุการณ์ร้ายทำให้เขาต้องติดคุกแทนมารดาที่ป่วยด้วยอาการทางประสาท
‘เส้นด้าย’ คือชนวนเหตุที่ทำให้แม่ของเขาต้องเข้าคุก อนาคตสดใสของเขาดับวูบลงและกลายเป็นความแค้น
เขาจับตัวเธอเดินทางไปยังเกาะ“สิปาดัน” เพื่อชำระหนี้แค้น โดยไม่รู้เลยว่าการได้ใกล้ชิดกับเธอจะโยงใยตราบาปในอดีตให้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เกาะสิปาดันและโลกใต้ทะเล หล่อหลอมหัวใจของเขาและเธอ ให้โลดแล่นไปบนทางรักสวยงาม