ศพ หลอน ซ่อนตาย (หงส์หยก)

ศพ หลอน ซ่อนตาย (หงส์หยก)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ศพ-หลอน-ซ่อนตาย
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1

บ้านหรูกลางกรุง ตั้งตระหง่านโดดเด่นสะดุดตากับผู้พบเห็น อาณาบริเวณกว่าร้อยตารางวาแม้ประดับตกแต่ง ด้วยต้นไม้ราคาแพงอย่างได้สัดส่วน ยังมีเนื้อที่เหลือพอให้จัดสวนเล็กๆ แยกออกมาจากตัวบ้าน แสงไฟที่เปิดสว่างยามค่ำคืน ทำให้สถานที่แห่งนั้นดูโดดเด่นขึ้นจากเดิม

“ฉันไม่ได้ฆ่า!... ไม่!”

เสียงตะโกนก้อง ดังออกมาจากภายในห้องรับแขกกว้างใหญ่

หญิงสาววัยยี่สิบเศษ นั่งอ้าปากค้างสายตาเบิกกว้างอยู่บนโซฟา ขณะมือถือของขบเคี้ยวนิ่งอยู่อย่างนั้น

“คุณพระช่วย..ยัยจันทร์หลานย่า”

ไฉไลในวัย 70 เศษส่งเสียงโวยวายเข้ามาก่อนตัว เร่งฝีเท้ารวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้ ตรงรี่มาที่ห้องรับแขกซึ่งมืดสนิท แม้ว่าเลขอายุจะดูมากมาย หากแต่อิริยาบถ  ยังดูกระฉับกระเฉงกว่าวัย

จุดหมายคือเสียงดังลั่นบ้านที่ได้ยินเมื่อครู่...พอถึงที่หมายไฉไลเอามือทาบอก นิ่งมองไปยังหลานสาว

“ยัยจันทร์!..”

แสงไฟที่ห้องรับแขกถูกเปิดให้สว่างขึ้น ก่อนจะเดินไปปิดโทรทัศน์จอยักษ์ให้ดับสนิทลง

“ย่าบอกแล้วใช่มั้ย ว่าไม่ให้หลานดูหนังที่โหดร้ายแบบนี้อีก มันบั่นทอนจิตใจ มันจะทำให้หนูเครียดไปกับมัน”

“คุณย่า!...เปิดทีวีเดี๋ยวนี้ จันทร์จะดู ได้ยินมั้ย จันทร์กำลังสนุก ทำไมคุณย่าต้องเข้ามาจุ้นจ้านกับจันทร์ทุกที”

คราวนี้หญิงชราเสียงอ่อนลง “ย่าเห็นว่ามันตีสองแล้ว พรุ่งนี้หนูต้องไปมหาลัยแต่เช้านะลูก”

“หนูก็ไปสายทุกวันอยู่แล้ว ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เงินที่เราทุ่มบริจาคให้กับโรงเรียนปีละแสน ทำให้จันทร์อยู่ที่นั่นได้อย่างสบายใจ คุณย่ายังจะกลัวอะไรอีก”

 สาวใช้วิ่งเข้ามา

 “มาทำไมสะอิ้ง” จันทร์จิราถามเสียงห้วน

“คือสะอิ้งได้ยินเสียงเอะอะ  คิดว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะค่ะ”

“ไปปิดไฟ แล้วก็เปิดทีวีให้ฉัน ฉันจะดูหนังต่อ”

สาวใช้หันมองหน้าไฉไลเชิงสอบถามความเห็น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ายอมจำนน จึงรีบเดินไปทำตามคำสั่ง

“ไปหยิบน้ำให้ฉันหน่อย” คำสั่งดังขึ้นต่อเนื่อง

“ค่ะคุณจันทร์” สะอิ้งเดินเข้าไปทางห้องครัว

ครู่หนึ่งจึงกลับออกมาพร้อมน้ำส้มคั้นอย่างดี รีบส่งให้เจ้านายอย่างเอาอกเอาใจ

จันทร์จิราเหลือบมองดูน้ำส้มในแก้วอย่างพิจารณา มือที่ถือเกร็งแน่นบีบแรงๆ ก่อนจะฉายแววตากร้าวขึ้นมา

“ฉันสั่งให้แกเอาน้ำ ทำไมสะเออะเอาน้ำส้มมาให้ฉัน โธ่โว้ย!..ทำไมคนบ้านนี้มันไม่ได้เรื่องสักอย่าง ทั้งขี้ข้า..ทั้งเจ้านาย เบื่อๆๆๆๆ...” พูดพร้อมเหวี่ยงแก้วน้ำส้มทิ้งแตกกระจาย “พรุ่งนี้จันทร์จะไปหาคุณแม่ที่เกาะเคียงดาว”

“จันทร์...ใจเย็นๆ สิลูก”

“จำไว้นะอีสะอิ้ง ถ้าขืนแกทำเกินหน้าที่อีก ฉันจะไล่แกออก”

“สะอิ้งขอโทษค่ะคุณจันทร์..สะอิ้งหยิบผิด ต่อไปสะอิ้งจะไม่ทำอีกแล้ว”

เจ้านายวัยสาวส่งสายตาเขียวปั้ดมองมา เป็นประกายแวววาวกร้าวอยู่ในที สะอิ้งก้มหน้านิ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้านาย ลุกเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างหงุดหงิดขัดใจ

ไฉไลหันมาทางสะอิ้งเพิ่มคำตำหนิซ้ำอีก “ตั้งแต่อยู่กันมา ฉันไม่เคยเห็นแกทำอะไรถูกใจยัยจันทร์หลานฉัน จำเอาไว้นะ ถ้าขืนแกเป็นแบบนี้อีก ฉันจะไล่แกออกนังสะอิ้ง” พูดจบจึงเดินออกไปอีกคน

สะอิ้งพึมพำตามหลัง “เอาใจกันกันแบบนี้ หลานสาวถึงได้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เอะอะก็กรี๊ดๆๆๆ”

                                                  ***********

เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ปะปนกับเสียงนกทะเลร้องเล่นกับหมู่มวลมากหน้า ฟังดูคล้ายศิลปินแห่งผืนน้ำเค็ม ที่กำลังบรรเลงเพลงขับกล่อม บรรยากาศยามเช้าที่“เกาะเคียงดาว” ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ เรือประมงหลายลำพากันมุ่งสู่ท้องทะเลกว้าง เพื่อประกอบกิจหาเลี้ยงชีพ ที่สืบต่อกันมายาวนาน

 นักท่องเที่ยวบางกลุ่มพากันลงเล่นน้ำทะเลแต่เช้า เนื่องจากเกรงว่าตอนสายแดดอาจร้อน บางคนหากไม่ลงเล่น ก็พากันเดินเลาะริมหาดให้ผืนทรายขาวละเอียด สัมผัสกับปลายเท้า เพื่อซึมซับกับบรรยากาศริมทะเล  

ปูเล็กๆ หลายตัวพากันวิ่งลงรู เมื่อสัมผัสได้ถึงฝีเท้าของผู้มาเยือนกำลังใกล้เข้ามา มันกลายเป็นกิจกรรมของเด็กกลุ่มใหญ่ ที่พากันวิ่งไล่จับอย่างสนุกสนาน ได้บ้างไม่ได้บ้างถือเป็นประสบการณ์

เกาะเคียงดาวเป็นเกาะใหญ่ หากจะเดินทางไปถึงต้องไปขึ้นเรือที่ท่า เพื่อมุ่งหน้าสู่เกาะอีกที หลายคนรู้จักชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้อยู่บ้างแล้ว จึงพากันพูดปากต่อปากถึงความสวยงาม ห่างจากเกาะลัดเลียบไปทางริมหาดประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ “คฤหาสน์พราวฝัน” ที่เจ้าของเกาะสร้างเสียใหญ่โต ไว้เป็นที่พักพิงของครอบครัว บริเวณทางเข้าประดับประดาอย่างสวยงามด้วยพันธุ์ไม้หายาก

สายๆ ของวันนี้มีรถยนต์คันหรู เลี้ยวเข้ามาจอดสนิทด้านหน้าคฤหาสน์ สองสามีภรรยาเดินลงมาจากรถ พร้อมของฝากมากมาย

วิศรุตและปาจรีย์เจ้าของที่พักวัย 40 ตอนปลาย รอแขกผู้มาเยือนอยู่พักใหญ่ รีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

วิศรุตเข้าไปทักทายศรัณเพื่อนสนิทในวัยไล่เลี่ยกัน ประคองเข้าไปด้านใน ส่วนปารีย์ดูแลขวัญเนตรภรรยาของศรัณ พาตามไปอย่างคุ้นเคยมาก่อน

“บอกจะมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว กว่าฉันจะเจอแกได้ มันยากเย็นจังเลยนะไอ้ผู้กำกับ” วิศรุตส่งเสียงใสกับเพื่อน

“แหมก็ติดยัยป่านน่ะสิ งานเยอะเคลียร์ไม่ค่อยลงตัว นี่เห็นว่าเป็นวันหยุดยาวเลยพากันมาครบทีม” ขวัญเนตรรีบบอกแทนสามี

“แล้วไหนล่ะหลานป่าน” ปาจรีย์สอดสายตามองหา

“หลับอยู่ในรถ ก็เลยขี้เกียจปลุก รายนั้นพอปลุกทีไรอารมณ์เสียทุกที”

“ตายจริง รีบไปดูลูกเถอะขวัญ เดี๋ยวก็เป็นลมอยู่ในรถหรอก”

“โตเป็นสาวเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ขี้เกียจไปจุ้นจ้านมากๆ”

ดวงเนตรหญิงชราวัย 70 เศษเดินเข้ามาพร้อมเสียงทักทายอย่างผู้ใหญ่ใจดี “มากันแล้วเหรอหนุ่มๆ สาวๆ ”

“ย่าเนตร!...” ศรัณและขวัญเนตรยกมือไหว้

“ไหว้พระเถอะจ้ะ”

“แหม ดูย่าเนตรพูดเข้า เรียกพวกเราเป็นหนุ่มๆ สาวๆ อย่างงี้ พวกเราดีใจขึ้นเยอะเลยค่ะ” ขวัญเนตรยิ้มประจบประแจง

“ไอ้หนุ่มๆ สาวๆ เนี่ย นับจากเมื่อเทียบกับอายุของย่าต่างหาก” พูดแล้วหัวเราะประกอบไปด้วย

แต่ละคนพากันหัวเราะตาม ดวงเนตรเหลียวซ้ายแลขวามองหาใครบางคน พร้อมส่งเสียงร้องเรียก

“จิ้มลิ้ม”

ป้าจิ้มลิ้มแม่บ้านวัย 40 เศษรีบเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ “คะคุณท่าน”

“ไปตามยัยจันทร์มารับแขกสิไป บอกว่าย่าให้มาเรียก”

 ป้าจิ้มลิ้มมีทำท่าทางเกรงๆ เหมือนไม่กล้านัก

“เอ่อ..คือคุณจันทร์ไม่ชอบตื่นแต่เช้านี่คะ อิฉันเกรงว่า..”

“ไปบอกว่าฉันสั่ง ให้ลุกมารับแขกสำคัญ”

“ค่ะคุณท่าน” ป้าจิ้มลิ้มรีบเลี่ยงออกไป

ดวงเนตรหันมาทางแขกที่มาแล้วออกตัวอธิบายให้ฟัง “รายนี่เพิ่งมาจากกรุงเทพ บ่นว่าเบื่อคุณพี่ไฉไล”

“คุณย่าไฉไลน่ะเหรอครับ”

ศรัณถามและรู้จักไฉไลอย่างดีเช่นกัน ในฐานะที่เป็นป้าของวิศรุต  

ปาจรีย์พูดต่อ “นั่นแหละ รายนั้นน่ะให้ไปอยู่ดูหลานเรียนมหาลัยที่กรุงเทพฯ ก็รักหลานซะเหลือเกิน ตามใจทุกอย่าง จนยัยจันทร์กลายเป็นเทวดา ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”

“เป็นธรรมดาค่ะ คุณย่าไฉไลไม่มีลูกไม่มีสามี ก็เลยหันมาทุ่มเทกับหลานเต็มๆ อย่างนี้ดีแล้วล่ะค่ะ พ่อแม่จะได้สบายไม่ต้องเหนื่อย”

“เหนื่อยใจล่ะไม่ว่า ลำพังฉันกับรุตก็ไม่ค่อยมีเวลาขึ้นไปดูแล งานทางนี้ก็เยอะ อย่างดีก็โทร.คุยแค่นั้น” ปาจรีย์อธิบายอีก

“แล้วตาอาทิตย์ล่ะ  เห็นบอกว่ากลับมาจากต่างประเทศนานแล้ว”

“ออกเรือไปกับลูกน้องแต่เช้า ไม่ค่อยพูดมากเหมือนน้อง สุขุมนุ่มลึกเหมือนพ่อไม่มีผิด เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะค่ะ ที่สำคัญรูปหล่อมากด้วยนะคะ” ดวงเนตรคุยฟุ้งถึงหลานชาย

“แหมคุณแม่เรื่องคุยหลานชายเนี่ย ยกไว้ให้เลยนะครับ”

“ตารุตมาเบรกแม่ต่อหน้าแขกทำไม มันเรื่องจริงนี่นา”

แต่ละคนหันมาหัวเราะ ทำให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกดูเป็นกันเองมากขึ้น

“กรี๊ดดดดดดดด.......” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านบน

วงสนทนาเริ่มหยุดนิ่ง วิศรุตและปาจรีย์หันมาสบตากันเหมือนรับรู้เหตุการณ์

“นั่นเสียงยัยจันทร์ใช่ไหมตารุต” ดวงเนตรเอ่ยถามลูกชาย

“นั่นแหละครับคุณแม่”

ป้าจิ้มลิ้มวิ่งหน้าเจื่อนลงมาจากชั้นบน ทำท่าจะรายงาน แต่ดวงเนตรยกมือท้วงเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้อง ฉันเดาออกแล้วว่ายัยจันทร์ไม่อยากตื่นแต่เช้า ขืนแกรายงานออกมาตอนนี้ ฉันจะอายแขกที่เขามาวันนี้เสียมากกว่า”

“แหม คุณย่าคะ พวกเรากันเองทั้งนั้น คนอื่นคนไกลเสียที่ไหน” ขวัญเนตรรีบออกตัว

“ไม่ได้หรอก ยังไงเธอทั้งสองคนก็เป็นแขกสำคัญของที่นี่ ฉันน่ะเตือนตารุตกับปาจรีย์แล้วว่า ให้ลูกเรียนแถวนี้แต่แรกก็ไม่เอา กลัวจะไม่สมหน้าสมตาไม่ทัดเทียมเขา”

“คุณแม่ครับ..มันผ่านมานานแล้วนะครับ”

“ไอ้รู้ทั้งรู้แต่มันก็อดพูดไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไรสิน่า” หญิงสูงวัยบ่นแล้วลุกออกไปจากวงสนทนา

แต่ละคนที่นั่งอยู่เงียบไปเหมือนเข้าใจสถานการณ์

                                                         *********

ภายในรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ “สายป่าน”หญิงสาววัย 20 เศษ งัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมา หลังหลับยาวไม่มีคนปลุก เธอมองบรรยากาศรอบๆ แล้วพึมพำ

“คุณแม่นะคุณแม่ ถึงแล้วไม่ยอมปลุกลงไปด้วย” เธอลุกเดินออกมาจากรถ

ยืนบิดไล่ความอ่อนล้าอยู่สักครู่ แววตาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอลัดเลาะออกไปอีกทาง หมายจะหาเรื่องสนุกๆ ทำตามวิสัย

 บรรยากาศภายในห้องครัวของคฤหาสน์ กำลังตระเตรียมผลไม้หลากหลายชนิด เพื่อจะนำไปให้แขกที่มาเยือน ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ป้าจิ้มลิ้มบ่นอุบไม่ขาดปาก อยู่กับแตนสาวใช้อีกคน

“ผู้หญิงอะไร เอะอะก็เอาแต่อารมณ์ ไม่รู้เด็กรู้ผู้ใหญ่ ใครได้ไปทำพันธุ์มีหวังเสียพันธุ์หมด”

“ป้า..เบาๆ หน่อยสิ ให้ไปอยู่กับใครไม่ให้อยู่ ดันให้ไปอยู่กับคุณย่าใหญ่ไฉไล นิสัยถึงได้เหมือนกัน..เสียงกรี๊ดที่อาละวาดใส่ป้านะ ได้ยินลงมาถึงข้างล่างเลยล่ะ”

“ถ้าคุณท่านให้ไปตามอีก ข้าจะให้เอ็งไปตามมั่งนังแตน จะได้รับความรู้สึกไปเหมือนๆ กัน”

 “ทำอะไรกันสาวๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นบริเวณประตูครัว

ป้าจิ้มลิ้มกับแตนหันไปมอง เห็นเป็นสายป่านยืนยิ้มแย้มสดใสมาที่ตน ทั้งสองคนมีท่าทางดีใจ

“คุณป่าน!” ป้าจิ้มลิ้มเดินเข้าไปโอกอดสายป่านด้วยความคิดถึง “ดูซิ มาคราวนี้โตเป็นสาวเต็มตัว สวยเสียด้วย”

“ป้าจิ้มลิ้มก็ยังจิ้มลิ้มสมชื่อนะคะ”

“จิ้มลิ้มแต่ชื่อค่ะคุณป่าน แต่หนังยานกว่าเดิม เมื่อกี๊เห็นคุณศรัณบอกว่าคุณป่านเรียนจบแล้ว ดูงานไว้บ้างหรือยังคะ”

“ความจริงป่านก็ชอบบรรยากาศที่นี่นะคะ ไม่แน่ ป่านอาจจะขอพ่อทำงานที่นี่เลยก็ได้”

“จริงเหรอคะคุณป่าน” ป้าจิ้มลิ้มทำท่าทางดีใจ “นี่ถ้าคุณจันทร์ได้ครึ่งหนึ่งของคุณป่านก็คงจะดี”

“จันทร์...”  

“เห็นว่าเรียนที่เดียวกับคุณป่านไม่ใช่เหรอคะ จบปีนี้เหมือนกันด้วยนี่คะ” แตนบอกต่อ

“ค่ะ..จันทร์เรียนที่เดียวกับป่าน รู้นิสัยใจคอกันดี..อย่างลึกซึ้งเชียวล่ะคะ” ผู้พูดสีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมลง “ยัยจันทร์จิรา..นี่คงยังไม่ตื่นสินะ”

“แหมคุณป่านนี่รู้ใจกันจริงๆ นี่ป้ากับนังแตนยังเกี่ยงกันอยู่ ว่าใครจะโดนแจ๊กพ็อตถูกใช้ให้ขึ้นไปตามบนห้องอีกครั้ง”

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ..งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวป่านขึ้นไปตามให้เองค่ะ”

“คุณป่าน!..” ป้าจิ้มลิ้มทำหน้าสยอง “แน่ใจเหรอคะ”

“ทำไมต้องทำท่าทางตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะป้า ป่านบอกแล้วไงคะ ว่าระหว่างป่านกับจันทร์สนิทชิดเชื้อกันดีที่สุด” เธอยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้องครัวท่าทางสบายใจ

 ในห้องนอนกว้างใหญ่ ที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ จันทร์จิราหลับยาวอยู่นาน และไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา ไฟที่เปิดสว่างจ้าอยู่ในห้องฉับพลันก็มีอันดับสนิทลง กลุ่มควันจางๆ เริ่มคละคลุ้งเต็มบริเวณ

จันทร์จิราลืมตาช้าๆ สลึมสลือ เมื่อเห็นว่าทั่วทั้งห้องมืดสนิท ทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้ เนื่องจากจำได้ว่าเธอไม่เคยดับไฟขณะเข้านอนสักครั้ง ท่ามกลางความค้างคาใจ สายตาของเธอเริ่มเบิกกว้างขึ้นมา คุณพระช่วย!...นอกเหนือจากกลุ่มควัน ร่างของใครคนหนึ่งกำลังก้าวสะเปะสะปะตรงเข้ามาที่เธอ เสื้อสีขาวเต็มไปด้วยเลือดโชกแดงฉาน  

“เมฆา..”

 หญิงสาวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั่วทั้งร่างกาย  ไม่ยอมให้ส่วนใดส่วนหนึ่งรอดพ้นออกไปได้ เหงื่อกาฬเริ่มแตกพลั่ก อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา

“ออกไป อย่าเข้ามานะ ออกไป ไม่..ฉันไม่ได้ฆ่าแก..ไม่ได้ฆ่า ออกไป”

 ระหว่างนั่งสั่นสะท้าน มือหนึ่งจับหมับลงที่บ่าของเธอแรงๆ ทำเอาจันทร์จิราสะดุ้งสุดตัว

“กรี๊ดดดดดด......”

 จันทร์จิราที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียง เหงื่อยังเปียกชุ่มไม่หาย แสงไฟภายในห้องยังสว่างไสว ไม่ได้มืดมิดเหมือนเมื่อครู่

“ฉันฝันไปหรือนี่” เธอเหลียวมองไปรอบๆ

ปลายเท้าของใครคนหนึ่ง ยืนเยื้องไปทางปลายเตียง จันทร์จิราใจหายวูบมองไล่จากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงศีรษะ

“สายป่าน!..” ท่าทีตกใจเมื่อครู่ ปรับเปลี่ยนเป็นปกติ จับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อลดอุณภูมิในร่างกาย “เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”

“เข้าทางประตูเพราะห้องไม่ได้ล็อก...เป็นอะไรไป จู่ๆ ก็ร้องกรี๊ดๆ ขึ้นมา”

สีหน้าอีกฝ่ายมีท่าทีหวาดระแวง “มันเรื่องของฉัน ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว”

“เธอไม่ควรต้อนรับแขกแบบนี้ เพราะถึงอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ของเราก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ระหว่างเธอกับฉัน เราควรเล่นละครตบตาแสดงความรักกันให้มากกว่านี้”

“แต่ฉันไม่ได้รักแก”

“แล้วเธอรักใคร...เมฆางั้นเหรอ”

ชื่อดังกล่าวทำเอาจันทร์จิราอึ้งไป สายป่านจ้องหน้าจันทร์จิราแล้วขยับเข้าหา แววตาที่แสดงออกตัดพ้ออยู่ในที จันทร์จิราไม่ได้สบตาตอบ กลับลุกขึ้นถอยห่างออกไป

น้ำตาสายป่านเริ่มเอ่อคลอปากสั่นพูดพึมพำ “เธอมันก็คือฆาตกรดีๆ นี่เอง”

“ไม่..ฉันไม่ใช่ฆาตกร ออกไปจากห้องฉันนะ”

“เธอเป็นฆาตกร..จำไว้..ฉันไม่ปล่อยให้เรื่องเมฆาจบลงง่ายๆ อย่างที่ย่าไฉไลของเธอต้องการ...คดีปิดไปแล้ว..แต่ระหว่างเธอกับฉันมันไม่มีทางจบ”

“ออกไปจากบ้านฉัน..ออกไปซะ”

“ฉันอาจจะอยู่ที่นี่อีกยาว และทางที่ดีเธอควรรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไม่ให้ทุกคนรอนาน ครอบครัวเพื่อนพ่อมาถึงบ้านทั้งที ลูกสาวที่แสนดีอย่างเธอก็ควรลงไปช่วยกันต้อนรับ ไม่ใช่เอาแต่หลับคุดคู้หนีความผิดอยู่ในห้องแบบนี้...ไม่แน่นะ ถ้าไม่รีบตามลงไปเมฆาอาจจะมาตามเธอเองก็ได้” สายป่านฉายแววตากร้าวเข้าใส่อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป

 หลังแขกผู้มาเยือนเดินออกไป บรรยากาศภายในห้องเริ่มเปลี่ยนเป็นความวังเวง จันทร์จิราลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข มือไม้สั่น รอสักครู่เมื่อปลายสายกดรับ  

“ว่าไงยัยจันทร์หลานย่า”

“คุณย่า..รีบขึ้นมาที่นี่เถอะค่ะ มันตามจันทร์มาที่นี่”

“อะไรกันยัยจันทร์ ใครตามหลานไป”

“นังป่าน..มันขึ้นมาที่เกาะเคียงดาวกับครอบครัวมัน มันขึ้นมาหาจันทร์ที่ห้อง มันขู่จันทร์บอกว่าจันทร์เป็นฆาตกร..จันทร์กลัว..คุณย่ารีบขึ้นมานะคะ”

“ทำใจดีๆ เอาไว้จันทร์ ตกลง..ย่าจะไปหาจันทร์ที่เกาะ ไม่ต้องกลัว พวกมันทำอะไรจันทร์ไม่ได้หรอก”

“คุณย่ามาเร็วๆ นะคะ” เธอวางสายลงทั้งที่ยังหวาดระแวงไม่หาย

 สายป่านเดินเข้ามาสมทบกับพวกผู้ใหญ่ที่ห้องรับแขก ได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆ ถึงหลากหลายเรื่องราวสาระ ทั้งเก่าและใหม่ ดวงเนตรนั้นเท้าความหลังไปถึงลิมปพัฒน์ พ่อของวิศรุตที่จากไปนานแล้ว ส่วนป้าจิ้มลิ้มได้เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย เพราะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมานาน

 คุยกันได้ครู่ใหญ่ ดวงเนตรก็ได้รับโทรศัพท์ที่ไฉไลติดต่อเข้ามา บอกว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางมาถึงเกาะเคียงดาว หลังพูดสายจบแล้ว ดวงเนตรจึงหันมาบอกทุกคน ให้ทราบทั่วกัน วิศรุตพูดขึ้นเหมือนเดาเหตุการณ์ออก

“ผมคิดเอาไว้เหมือนกันครับคุณแม่ ว่าไม่นานป้าไฉไลจะต้องตามหลานลงมาที่เกาะ รายนี้หลานอยู่ไหนเป็นต้องตามมาที่นั่น”

“นี่แหละคือสิ่งที่แม่หนักใจ”

“ทำไมล่ะครับ” ศรัณขมวดคิ้วแปลกใจ

ดวงเนตรอธิบาย “ฉันอยากให้หลานอยู่ห่างๆ พี่ไฉไลบ้างก็เท่านั้น ดูซิว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้มั้ย เฮ้อ..นี่ดันจะตามกันลงมาอีก”

 จันทร์จิราเดินลงบันไดมาช้าๆ ทันได้ยินเสียงสนทนาที่จบลง ดวงเนตรพิจารณาหลานสาวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า กางเกงขาสั้นจู๋ บวกกับเสื้อแขนกุดบางเบา ทำให้ดวงเนตรเริ่มขุ่นใจ จันทร์จิรายกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม ไม่วายหันไปสบตาสายป่านแล้วยิ้มฝืนๆ

แล้วเสียงดวงเนตรก็ร่ายยาวขึ้นมาจนได้

“ทักทายผู้ใหญ่เสร็จแล้ว เธอจะน่าจะขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงเสียใหม่นะแม่จันทร์”

“ย่าเนตร..”

เด็กสาวรู้สึกอับอายทำท่าจะเถียงกลับ แต่เสียงผู้เป็นแม่ดังขึ้นเสียก่อน

“จันทร์..แม่ว่าคุณย่าพูดถูก”

“ที่ย่าพูดต่อหน้าทุกคน ก็เพราะว่าย่าเห็นว่าระหว่างครอบครัวของศรัณกับครอบครัวเรา ก็ดูสนิทสนมกันดี ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกัน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาย ขืนปล่อยเดินโฉบฉายออกไปแบบนี้จะน่าอายเสียมากกว่า”

“เห็นมั้ยล่ะคะคุณแม่ จันทร์ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ย่าเนตรชอบบ่นจันทร์..จันทร์จะกลับกรุงเทพฯ”

“ก็เห็นย่าไฉไลจะลงมา ไม่คลาดกันหรือ เอาน่า ลองเชื่อฟังย่าเขาหน่อย พ่อว่ามันไม่เสียหายอะไร” เสียงผู้เป็นพ่อสรุป ขณะลูกสาวสุดที่รักเดินกระแทกเท้าตึงตึงกลับขึ้นบันไดไป 

 ดวงเนตรและศรัณหันมาสบตากันเล็กน้อย ขณะสายป่านดูนิ่งขรึมลง เธอลุกขึ้นออกตัวอย่างอึดอัด

“ป่านขอออกไปเดินเล่นแถวนี้นะคะ”

“ตามสบายจ้ะหนูป่าน” ดวงเนตรยิ้มแย้มบอก 

 

รถจิ๊ปกลางเก่ากลางใหม่ ขับเข้ามาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ ชายรูปร่างสูงโปร่ง ลงมาจากรถด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เสื้อยืดกางเกงยีน บวกกับหนวดเคราขึ้นครึ้ม เป็นบุคคลิกอย่างหนึ่งของ“อาทิตย์” ชายหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก ลูกชายเจ้าของเกาะเคียงดาวผู้เคร่งขรึม

“สะตอ” เสียงเรียกดุดันดังขึ้น

คนสวนเจ้าของชื่อวิ่งเร็วจี๋เข้ามาหา

“ครับนาย”

“พ่อกับแม่ยังอยู่ข้างในใช่ไหม”

“ครับ”

“เอาของในรถฉันขึ้นไปเก็บบนห้องด้วย เดี๋ยวฉันจะตามไป”

“ครับ” ลูกน้องรีบเข้าไปหยิบของตามที่ได้รับคำสั่ง

ระหว่างจะก้าวเท้าจะเดินเข้าไปด้านใน พลันก็ได้ยินเสียงฮัมเพลง ดังออกมาจากเรือนกล้วยไม้ใกล้กัน ชายหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นหูนัก จึงเลี่ยงตามเสียงดังกล่าวออกไป

เสียงฮัมเพลงเจื้อยแจ้ว คลอไปพร้อมกับการตัดดอกกล้วยไม้ติดมือมาด้วย เนื่องจากสีสันของมันสวยงามเตะตาเป็นอย่างมาก ไม่เห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้า ส่งเสียงดุดันดังก้องกังวาน

 “ใครใช้ให้เธอเข้ามาในนี้!”

เมื่อเธอผู้นั้นหันมาพร้อมกับดอกไม้ในมือ....หล่อนกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับเขาโดยสิ้นเชิง

“ไม่รู้หรือว่าดอกไม้พวกนั้นมันมีเจ้าของ...”

สายป่านยืนหน้าซีด มือที่ถือดอกกล้วยไม้ร่วงลงกับพื้น ไม่รู้ว่ามันยิ่งเพิ่มความโกรธของฝ่ายตรงข้าม ให้มากมายหลายเท่า ชายหนุ่มปรี่เข้ามาก้มลงหยิบดอกไม้ ยื่นเข้าไปที่หน้าเธอจนเกือบจะชนลูกตา

“เธอจะทิ้งมันไม่ได้ ตัดมันมาก็เก็บมันไปด้วย”

“คนสวนบอกว่าดอกไม้นี่เป็นของจันทร์”

“จะของใคร เธอก็ไม่มีสิทธิ์ตัดมันออกจากต้นแบบนี้..เก็บไป”

สายป่านน้ำตาเอ่อ จ้องหน้าเขานิ่ง คาดไม่ถึงว่าการต้อนรับของเจ้าของบ้านจะป่าเถื่อนแบบนี้ นอกจากไม่รับเธอยังปัดดอกไม้ตรงหน้าทิ้ง ปล่อยให้มันหล่นลงพื้นเอาดื้อๆ

“เก็บมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงของเขากร้าวขึ้นกว่าเดิม

“ไม่..” เธอท้าทายด้วยการใช้เท้าขยี้มันซ้ำอีก

อาทิตย์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แววตากร้าวขึ้นมา อารมณ์ร้อนทำให้เขาจับแขนทั้งสองข้างของเธอเขย่าแรงๆ สายป่านร้องโวยวายสุดเสียง ก่อนจะถูกเหวี่ยงร่างลงไปนั่งกองกับพื้น ใกล้กับดอกไม้ดังกล่าว

“คราวนี้รู้หรือยังว่าการถูกรังแกมันเป็นยังไง เธอรู้มั้ยว่ากล้วยไม้นั่นฉันเลี้ยงมันมานานแค่ไหน กว่ามันจะออกดอกได้ต้องใช้เวลาเป็นปี”

เสียงร้องเอะอะของอาทิตย์ ทำเอาผู้ใหญ่ในห้องรับแขก พากันวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ ขวัญเนตรมองเห็นลูกสาวนั่งอยู่กับพื้นร้องไห้ จึงวิ่งเข้ามากอดประคองขึ้นมา ปาจรีย์เข้าตามมาดูด้วยความห่วงใยเช่นกัน

 วิศรุตมองหน้าลูกชายอย่างตำหนิติติงมากมาย ขณะที่จันทร์จิราซึ่งตามออกมาด้วย ยิ้มแย้มพอใจกับเหตุการณ์

“ทำไมทำน้องแบบนี้อาทิตย์” วิศรุตถามลูกชายเสียงขุ่น

อาทิตย์มองไปยังทุกคนอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะยกมือไหว้ศรัณกับขวัญเนตรแล้วออกตัวขึ้น

“ขอโทษครับคุณลุง..คุณป้า ผม...”

จันทร์จิราเดินตามออกมาแล้วแทรกขึ้นเสียงใส “ตายจริงยัยป่าน เธอคงไปเด็ดดอกกล้วยไม้ของพี่อาทิตย์ล่ะสิ...ต้นนี้น่ะแฟนเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตาย พี่อาทิตย์รักมากที่สุดเสียด้วย ฟูมฟักจนออกดอกแสนสวย ไม่น่าเลย..”

สายป่านอึ้งไปนิด กับข้อมูลที่ไม่เคยรู้มาก่อน เธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป   

 “คนสวนบอกว่าเป็นดอกไม้ของจันทร์ปลูกเอาไว้ ถ้าชอบก็เด็ดได้เลย”

“คนสวนคนไหนกัน..ไหนไปตามมาซิ ฉันไม่เคยบอกอะไรเขาแบบนั้นนะป่าน..เธอเข้าใจไปเองหรือเปล่า” จันทร์จิราทำสีหน้าไร้เดียงสาเข้าใส่

สายป่านจ้องหน้าจันทร์จิราเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“เอาล่ะๆ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องใช้กำลังด้วยอาทิตย์ ดูสิ น้องขวัญเสียหมดแล้ว” ปาจรีย์ไม่วายต่อว่าลูกชายอีกคน

“ไม่เป็นไรหรอก ยัยป่านก็มีความผิดจริงๆ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรเด็ดดอกไม้นั่นออกมา ขอโทษพี่เขาเสียสิลูก” ศรัณกำชับลูกสาว

สายป่านสบตาอาทิตย์เล็กน้อย เธอยกมือไหว้ขอโทษแบบลวกๆ

“ผมต้องขอโทษคุณป้ากับคุณลุงด้วยนะครับ ที่อารมณ์รุนแรงกับน้องเกินไป ถ้างั้นผมขอตัวอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวจะลงมาคุยด้วย”

ศรัณกับขวัญเนตรยิ้มให้ไม่ได้ติดใจเอาความ อาทิตย์โค้งศีรษะพอให้ดูนอบน้อมแล้วเดินออกไปท่าทางเคร่งขรึมอย่างเคย

“รุต..” ศรัณหันมาทางเพื่อน “ฉันจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนอาทิตย์กลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ไม่ได้เป็นแบบนี้ ดูร่าเริง แล้วก็สุภาพ”

“จริงด้วยปาจรีย์ ฉันเองก็เห็นด้วยกับศรัณ อาทิตย์เปลี่ยนไปมาก แม้แต่การแต่งตัว เธอสองคนใช้งานลูกมากไปหรือเปล่า”

“ป่านเองยังเกือบจำไม่ได้..พี่อาทิตย์เปลี่ยนไปจริงๆ”

“ตาอาทิตย์กลับจากเมืองนอกมาไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินข่าวว่าแฟนที่โน่นแต่งงานไปกับผู้ชายคนอื่นและถูกสามีฆ่าตาย ตั้งแต่นั้นมาก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำแต่งาน วันๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจากับใคร อารมณ์รุนแรง ที่สำคัญไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนอีกเลย” ปาจรีย์อธิบายความเป็นไปอย่างเศร้าๆ

 “โธ่ หลานป้า..ที่แท้ก็อกหักรักคุด ถึงขนาดปล่อยเนื้อปล่อยตัว แสดงว่าเขารักกล้วยไม้ต้นนี้มาก สายป่านดันมาตัดทิ้ง ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่”

“อย่าไปว่าสายป่านเลยขวัญเนตร ถึงอย่างไร ตาอาทิตย์ก็ไม่น่าทำรุนแรงแบบนี้อยู่ดี ฉันต้องอบรมเสียใหม่แล้วล่ะ”

“อย่าเลยค่ะคุณลุง ป่านผิดป่านก็ยอมรับผิดค่ะ ถ้าเป็นป่าน ป่านก็คงโกรธที่มีคนมาทำร้ายของที่เรารักเราหวง แทบอยากจะฆ่าให้ตายนั่นแหละค่ะ” เธอหันสบตาจันทร์จิรา ที่ทำทีไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่สายป่านพูดออกมาเท่าไหร่นัก

                                                      ***********

รายละเอียด

“ศพ-หลอน-ซ่อนตาย”...เป็นเรื่องที่เปลี่ยนชื่อใหม่จากเรื่องเดิมคือ “ร่ายภุมรี” เพื่อให้ตรงกับความเป็นไปของเนื้อหาในเรื่องมากขึ้น

“ศพ-หลอน-ซ่อนตาย” ภาคต่อของ “ปริศนาเคียงดาว” เรื่องราวของศพที่หายไปในคฤหาสน์ ที่ติดตามมาเกิดขึ้นในรุ่นลูกอย่างไม่น่าเชื่อ

หลายต่อหลายศพที่ยังกลายเป็นปริศนา!..เหตุการณ์ซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นจากการอบรมเลี้ยงดูแบบผิดๆ

 

“ก็เพราะจันทร์เชื่อย่า..จันทร์เชื่อย่าทุกอย่าง จันทร์ทำตามที่ย่าบอกเกือบทุกครั้ง...คุณย่าสอนจันทร์ ว่าผู้ชายทุกคนก็เหมือนดอกไม้ริมทาง จันทร์ทำให้พวกมันเป็นดอกไม้ริมทาง จันทร์ทำได้ คุณย่าเห็นมั้ยคะ” เธอหัวเราะมีความสุข แววตาแข็งกร้าว ก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นเศร้าลงอย่างคนสิ้นหวัง “แต่ทำไม..ทำไมจันทร์ไม่มีความสุข..จันทร์ไม่สมหวังเสียที..มันไม่สมหวังเหมือนคุณย่าบอก มันมีแต่สิ่งที่เข้ามาทำให้จันทร์ทุกข์..ทุกข์มากขึ้น พวกมันตามหลอกหลอนจันทร์ แม้แต่นังป่าน..มันก็ตามหลอกหลอนจันทร์..มันจะตามมาประจานจันทร์ให้ทุกคนรู้”

จันทร์จิราดึงร่างสายป่านให้ตามออกไปด้านหน้าคฤหาสน์ มือยังถือปืนอยู่ในอาการประหม่า ไฉไลวิ่งตามออกมาท่าทางร้อนรนใจ จันทร์จิราเล็งปืนไปยังทุกคนเหมือนกลัวความผิด

ไม่ทันคาดคิด!...เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด

ปัง!...มันลั่นแบบไม่ตั้งใจ

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024