รักสุดปลายฟ้า (วัตตรา) (EBOOK)
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้
รักสุดปลายฟ้า
โดย “วัตตรา”
ตอนที่1
ในห้องประชุมย่อยของ เดอะสเปคตรัม เอเยนซี่ นั้น ม่านฟ้า ครีเอทีฟสาวและทีมงานของเธออีกสองคนกำลังนำเสนองานที่เธอทุ่มเทเวลาทำมาตลอดสัปดาห์ ให้ลูกค้าเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ “เป็นหนึ่ง” ฟังอย่างออกรสออกชาติ
แต่ทว่าลูกค้าหนุ่มใหญ่กลับส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอของม่านฟ้า
“เอ...แล้วคุณชูชัยเห็นว่าจะต้องแก้ไขตรงไหนคะ”
หนุ่มใหญ่บอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฮ้า ทั้งหมดเลยเหรอคะ”
ม่านฟ้าและเพื่อนร่วมทีมของเธออุทานออกมาพร้อมกัน
จันทร์ฉายเออี ผู้รับงานและหวังกับงานนี้มาก เมื่อเห็นสีหน้าลูกค้าแล้วถึงรีบรับปากกับลูกค้าว่าทีมงานของหล่อนยินดีจะแก้ไขให้ ขอแค่ชูชัยบอกความต้องการของเขาออกมาให้ชัดเจนอีกครั้ง
เมื่อลูกค้าพอใจที่เออี รับปากว่าครีเอทีฟจะแก้ไขงานให้แล้วก็เป็นอันปิดประชุม
พอลูกค้าออกไปหมดแล้วม่านฟ้าก็โวยขึ้นเล็กน้อย
“โห...เจ๊จัน ก็ที่คุณชูชัยแกพูดมาน่ะมันก็ตรงกับที่ฟ้าเข้าใจและฟ้าก็สร้างสรรค์ทั้งเรื่องและคำมาให้ตรงเป๊ะแล้ว แกยังจะอยากแก้อะไรอีก”
“เอาเถอะน่าเขาบอกว่าแก้ก็แก้ซี่ เธอเอากลับไปแก้นะ อีกสองวันเรามาประชุมกันใหม่ ถ้าทุกอย่างโอเค เราก็จะเชิญคุณชูชัยมาฟังเราพรีเซนท์อีกในสัปดาห์หน้า เธอคิดดูนะ เขาเป็นเจ้าของสินค้า แต่เขายอมมาฟังเรานำเสนองานถึงที่นี่ก็ถือว่ากรุณาเรามากแล้วนะฟ้า อย่าลืมซี่ว่าลูกค้าคือพระเจ้า”
“เออ เออ...แก้ก็แก้ แต่วันนี้ยังไม่มีอารมณ์จะแก้หรอกนะเจ๊ ขอบิวท์อารมณ์สักคืนละกัน พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มลงมือแก้ ฟ้าทุ่มเทมาทั้งอาทิตย์นะ พอมาเจอคำสั่งแบบนี้ใจมันละลาย แก้ทันทีไม่ได้หรอก”
พูดจบม่านฟ้าก็ขอตัวตั้งใจจะไปหามุมสงบสติอารมณ์ให้หายจากอาการใจละลาย เพราะความผิดหวังที่งานไม่โดนใจลูกค้าทั้งหมด และลูกค้าไม่ฟันธงว่าชอบ
พอม่านฟ้ากำลังจะก้าวออกจากห้องประชุม พนักงานเดินเอกสารก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาแซวม่านฟ้า
“นี่ พี่ฟ้า ยุคนี้เขาใช้มือถือใช้อีเมล์กันแล้ว บ้านพี่หรือญาติพี่อยู่หุบเขาที่ไหนเหรอครับทำไม ยังใช้โทรเลขอยู่เลย”
“ฮ๊า !! โทรเลขเหรอ...”
ม่านฟ้าฉกรับโทรเลขมาจากมือเขา แล้วรีบเดินออกจากกลุ่มไปหลบมุมแอบเปิดอ่านเพียงลำพัง โทรเลขแบบนี้จะมาจากไหนได้ ถ้าไม่ใช่จากบ้านเธอ เด็กส่งเอกสารพูดถูก บ้านเธอที่ม่อนฟ้างามอยู่ในหุบเขา ไม่มีใครปีนขึ้นไปปักเสารับสัญญาณโทรศัพท์ ใครๆในหมู่บ้านมีธุระในการสื่อสารอะไร ต้องลงจากม่อนมาหลายสิบกิโลเพื่อแวะส่งข่าวทางไปรษณีย์ แห่งเดียวในม่อนฟ้างาม หากจะลงจากม่อนเข้าเมือง พบความตระการตาต้องเสียเวลาเกือบทั้งวัน
หญิงสาวมือไม้สั่นขณะแกะซองสีเขียวนั้น ด้วยกังวลว่าใครจะเป็นอะไรร้ายแรง ซึ่งใครในชีวิตเธอนั้นก็มีเพียงพ่อคนเดียว หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นอา ไมซัน เพื่อนสนิทของพ่อ ซึ่งเป็นพ่อของมาริสา เพื่อนสนิทของเธอที่เติบโตมาด้วยกัน เดินข้างเคียงกันมาเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายจนกระทั่งต่างคนต่างจบปริญญาตรีมาพร้อมๆกัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของไมซัน มาริสาก็คงได้รับโทรเลขด้วย
ข้อความในกระดาษสีนวลๆนั้นบอกว่า
“กลับบ้านด่วนมีธุระสำคัญมากอยากปรึกษา”
ผู้ส่งข่าวนี้คือเม่งซึง ผู้เป็นพ่อของม่านฟ้านั่นเอง รู้แล้วว่าไม่ใช่ข่าวร้าย แต่ก็ไม่ใช่ข่าวดีนัก ปกติพ่อของเธอจะไม่ส่งข่าวคราวมารบกวนอะไรเธอเลยถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ แถมยังขู่ไว้ในประโยคท้ายอีกว่า
“ถ้าไม่กลับจะมารับด้วยตนเอง”
เธอนึกไม่ออกว่าพ่อมีปัญหาอะไร สำคัญมากแค่ไหน แต่เธอก็ร้อนใจไม่น้อย โดยเฉพาะกับประโยคท้าย จะโทรศัพท์ถามข่าวคราวก็ไม่รู้จะโทรไปที่ไหน แล้วก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่ามาริสาเพื่อนรักจะได้รับโทรเลขจากไมซันบ้างไหม เรื่องของชาวเซออนของเธอนั้นจะปรึกษาใครไม่ได้นอกจากชนเผ่าด้วยกัน เธอพยายามกดโทรศัพท์หามาริสา แต่โทรศัพท์ของเพื่อนรักปิดตลอด
***********************
มาริสารีบร้อนหยิบเสื้อผ้าชุดที่หล่อนจะใส่ร้องเพลงในคืนนี้สองชุดยัดใสกระเป๋าลาก โยนกระเป๋าเครื่องสำอางสุมลงไปรูดซิบแล้วก็ลากกระเป๋าออกจากห้องพัก โดยลืมหยิบโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เพราะเธอมัวแต่นอนเพลินจนลืมเวลาทำงาน ตื่นมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว มีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงมาริสาจะต้องเข้างานให้ทัน
มาถึงผับดังย่านสีลม หล่อนก็รีบวิ่งเข้าไปหลังร้าน ยังไม่ทันจะได้วางกระเป๋า เด็กในร้านก็เอาโทรเลขมายื่นให้
“โทรเลขมาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ แล้วนะเจ๊ริสา พวกเราโทรไปหาแต่เจ๊ปิดโทรศัพท์ มีเรื่องเร่งด่วนอะไร หรือว่าใครตายหรือเปล่า เจ๊รีบเปิดดูดิ”
เด็กในร้านคะยั้นคะยออย่างไม่เกรงใจอีกทั้งยังสอดส่ายสายตาอยากรู้อยากเห็นข้อความในโทรเลขขึ้นมาอีกต่างหาก
มาริสาหน้าตาตื่นขณะเปิดโทรเลขด้วยมือที่สั่นเทา ถ้าใช้โทรเลขแบบนี้ต้องมาจากบ้านที่ม่อนฟ้างามแน่นอน ด้วยความตื่นเต้น และหวั่นใจกับข่าวที่จะได้รับ จึงทำให้ตาลาย ต้องจับกระดาษยืดเข้ายืดออกหาโฟกัสอยู่นานราวกับคนแก่สายตายาว กว่าจะได้อ่านข้อความ
“กลับบ้านด่วนมีเรื่องสำคัญจะให้ทำ”
รู้แล้วว่าไม่ใช่ข่าวร้าย แต่ถ้าให้ต้องสงสัยค้างคาใจ หล่อนก็ไม่อยากจะให้เป็นเช่นนั้น จึงรีบค้นกระเป๋าสะพายของตัวเองเพื่อหาโทรศัพท์มือถือเพื่อจะโทรหาม่านฟ้า
“เรื่องของคนดอยก็ต้องคุยกับคนดอย เท่านั้นถึงจะรู้เรื่อง”
มาริสาทำเสียงอุบอิบ แต่แล้วหล่อนก็แทบจะร้องกรี๊ดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ ไว้ที่ห้องพัก หล่อนรีบควานหาเหรียญบาท เหรียญห้าเตรียมจะไปหยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรคุยกับเพื่อน
แต่ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหนม่านฟ้าก็บุกมาถึงหลังร้านซึ่งบรรดานักร้องอีกสองสามคนกำลังแต่งหน้าแต่งตัวกันอยู่
พอสองสาวได้พบกันต่างก็โผเข้ากอดกัน เผลอทักทายกันเป็นภาษาเผ่าเซออน
“อีมาแด กุโทะหะมึต้านา” ม่านฟ้าต่อว่าต่อขาน เพื่อนว่าเธอโทรศัพท์หาตั้งนานแต่ไม่เพื่อนไม่ยอมรับสาย
“กุก่อกะละคิถึมึยะแระ” มาแดบอกว่าหล่อนกำลังคิดถึงเพื่อนอย่างแรงเหมือนกัน
พอนึกขึ้นได้ว่าเผลอตัวทำตัวเป็นชนเผ่าเซออน และเพราะเห็นสายตาของพนักงานในผับหลายคู่มองเธอทั้งสองอยู่ตาปริบๆ ม่านฟ้าก็รีบเปลี่ยนกิริยาท่าที
“วุ้ย...มาริสา ฉันคิดถึงเธอตั้งแต่ตอนกลางวันแน่ะ โทรหาตั้งหลายครั้งแต่เธอก็ปิดมือถือ ฉันเลยถือโอกาสมาพบเธอที่นี่ มีเรื่องสำคัญมากอยากคุยด้วย ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อยซีจ๊ะ”
“กูก่อเหมอก๊ะ” มาริสายังลืมตัวอยู่จึงบอกเพื่อนว่า เธอก็เหมือนกัน
ม่านฟ้าพยายามทำตาปริบๆ ส่งสัญญาณเตือนเพื่อน แต่มาริสายังไม่รู้สึกตัว
“ป๊ะ ป๊ะคู กา” มาริสาชวนเพื่อนไปคุยกัน ว่าแล้วก็ฉุดแขนม่านฟ้าออกมาจากหลังร้านไปหลบอยู่ใกล้ๆ รถของเพชรรุ่งดาราหนุ่มเจ้าของผับแห่งนี้
“หยุดเลยนะแกยัยมาแด อย่าพูดภาษาเซออน ไม่งั้นแกกับฉันเดือดร้อนแน่”
ม่านฟ้าส่งเสียงดัง เพื่อเตือนความจำให้เพื่อน เพราะสองสาวมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย ซึมซับเอาวัฒนธรรมคนเมืองไปมาก และด้วยความทะเยอทะยานอยากเป็นชาวกรุงอยู่แล้ว ทั้งสองจึงตกลงกันว่าจะทิ้งความเป็นชาวเขาเผ่าเซออนไว้ จะไม่พูดภาษาเซออน จะไม่แต่งตัว ไม่กินอาหาร ไม่ทำพิธีการใดๆ ของชาวเผ่าเซออน เพราะไม่อยากให้ใครดูถูกว่า ครีเอทีฟสาวผู้คล่องแคล่วปราดเปรียว เปรี้ยวพอประมาณอย่างม่านฟ้า หรือนักร้องเสียงเสน่ห์แฟนเพลงล้นผับอย่างมาริสา แท้จริงแล้วเป็นแค่สาวชาวเขาชาวดอยนามว่า ‘แมซอน’ กับ ‘มาแด’ นี่คือความลับสุดยอดในชีวิตของม่านฟ้าและมาริสา เธอทั้งสองจะไม่ยอมให้ใครล่วงรู้กำพืดของตนเองเป็นอันขาด
มาริสาสะบัดหน้าขับไล่ความงุนงง และตบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ หน้าตาตื่น
“อุ๊ย ตายแล้ว ตายแล้ว ฉันเป็นอะไรไปเนี่ยยัยแมซอน ฉันพูดอะไรออกไป”
มาริสายังทำเป็นฮัมเพลงในประโยคท้าย ม่านฟ้าจึงว่า
“แกน่ะเกือบจะลากกำพืดของพวกเราออกมาให้คนที่ผับจับได้แล้วนะ แกคิดดูซี่ถ้าคุณเพชรรุ่ง ดาราหนุ่มรูปหล่อเจ้านายแกรู้ว่าแกเป็นชาวดอยขึ้นมา แกจะทำยังไง”
มาริสาทำท่าคิดแล้วก็ขนลุกขนพองพลางว่า
“อย่า อย่าคิดไปไกลขนาดนั้นเลยยัยฟ้าเอ๋ย ตอนนี้ฉันคิดแต่เรื่องที่ได้รับโทรเลขจากพ่อก็ปวดหัวตึ้บแล้วล่ะ แกล่ะถ่อมาหาฉันถึงที่นี่ วันนี้มีอะไร ร้อยวันพันปีแกไม่ชอบมานั่งผับ เพราะหมั่นไส้คุณเพชรรุ่งไม่ใช่เหรอ“
ต่างคนต่างควักเอาโทรเลขออกมาแลกกันอ่านแล้วอุทานออกมาพร้อมกัน
“มีเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะแต่แล้วสองสาวก็พูดออกมาพร้อมกันอีกว่า
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
ต่างคนต่างเงียบกันไปนานหลายนาที แล้วอยู่ๆม่านฟ้าก็เผลอตัวโพล่งขึ้นมา
“ทะมะมีเรื่อป้อจะโทละเละมาทะไร โรโต้คึไปหะป้อ”
ถ้าไม่มีเรื่องพ่อจะโทรเลขมาทำไม เราต้องขึ้นไปหาพ่อ ม่านฟ้าว่าเช่นนั้น
“แต่ฉันต้องร้องเพลงทุกคืนนะแก ฉันทิ้งไปไม่ได้หรอก”
“แกทิ้งงานร้องเพลงไม่ได้หรือทิ้งเจ้าของผับไม่ได้กันแน่ยัยริสา”
“แม๊ แกนี่น่ะยัยฟ้าทำมาเป็นรู้ดี”
มาริสากลบเกลื่อนความประหม่าด้วยการจิ้มหน้าผากเพื่อนทีหนึ่งจนหน้าหงาย ม่านฟ้าปัดมือเพื่อนออกและถอนหายใจยาว บ่นเรื่องงานที่ลูกค้าสั่งให้แก้และทีมงานก็บ้าจี้รับปากรับคำว่าจะแก้ไขให้ทั้งที่เธอมั่นใจว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
แม้เธอจะเป็นพนักงานฝ่ายสร้างสรรค์อิสระไม่ได้เป็นพนักงานประจำบริษัท หากแต่ถ้าเธอรับงานให้ใครแล้วเธอต้องทำจนจบขบวนการ ไม่เคยมีประวัติทิ้งงานกลางครัน
แต่ครั้งนี้ เธอคิดมาตลอดทางแล้วว่าถ้าให้คลายความสงสัยเรื่องพ่อ เธอต้องใช้เวลาสองวันขึ้นไปหาคำตอบ พอกลับมาอาจจะมีเวลาสักวันเร่งแก้ไขงาน
งานกับพ่อก็มีความสำคัญพอๆ กัน ที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ขึ้นไปพ่อเธอจะต้องลงมาหา และคราวนี้ล่ะคนทั้งวงการโฆษณาต้องรู้แน่ว่าครีเอทีฟสาวนามว่าม่านฟ้าเป็นชนเผ่าเซออน ดังนั้นเธอจึงโพล่งขึ้นว่า
“ฉันจะขึ้นคืนนี้เลย สี่ทุ่มยังมีรถเที่ยวสุดท้าย แกจะไปพร้อมฉันหรือเปล่ายัยริสา”
“แต่ว่า...แหม...แกก็...” มาริสาอิดเอื้อน
“ถ้าไม่ขึ้นป้อจะลงมาหาพวกเรานะ” ม่านฟ้าขู่
มาริสายังคงอิดเอื้อนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก กลัวพ่อจะลงมาก็กลัวเพราะถ้าพ่อของทั้งสองลงมากรุงเทพฯ ก็ต้องมาแบบชาวเผ่าเซออนเป๊ะไม่มีการปรุงแต่ง
ด้วยความหมั่นไส้ที่เพื่อนไม่นึกถึงเรื่องทางบ้าน ม่านฟ้าจึงท่องบทกวีแห่งขุนเขาโน้มน้าวใจเพื่อนแบบประชดประชัน
“ยูโซ๊ะ เซี๊ยะฟะ อยู่สูงเสียดฟ้า จิจะโซ๊ะตำ จิตใจสูงตาม จ๊ะคิซิดะ ทะเอ๊าะมะดี่ จะคิดสิ่งใดทำออกมาดี ยะตำเละซำ อย่าทำเลวทราม ตำตะยะไอ ต่ำใต้หญ้าเอย”
คำสอนของชนเผ่าเซออนที่สอนลูกหลานมาเป็นร้อยปีให้คำนึงถึงตนที่อยู่เสียงเสียดฟ้าต้องคิดทำในสิ่งที่ดี การเป็นลูกที่ดีคือการเชื่อฟังพ่อแม่และกระตือรือร้นยามพ่อแม่สั่งการใดๆ
มาริสาถึงกับต่อมน้ำตาแตก รีบโบกมือบอกเพื่อนให้หยุดท่องได้แล้วหล่อนซาบซึ้งในคำสอนนี้ดี
ดังนั้นมาริสาจึงจำใจต้องไปขออนุญาตลางานจากเพชรรุ่ง
อดีตพระเอกละครพื้นบ้านที่หันมาเอาทีทางธุรกิจและไปได้สวยกับการบริหารผับแห่งนี้ไม่ชอบใจนักที่มาริสามาขอลางานตั้งสองสามวัน เพราะมาริสานั้นถือว่าเป็นนักร้องเจ้าเสน่ห์ ที่ชอบหยอดแขกให้ติดอกติดใจและกลับมาเที่ยวบ่อยๆ หากหล่อนไปสักสองสามคืนยอดลูกค้าคงตกไป แต่เพชรรุ่งก็รู้ว่ามาริสาแอบปลื้มเขาอยู่เขาจึงหยอดคำหวานมัดใจ
“แหม...ริสาจ๊ะ ถ้าริสาหายไปตั้งสามคืน รู้มั้ยว่าผมจะเป็นยังไง”
“เป็นยังไงคะ”
“อ้าว...ผมก็คิดถึงริสาแย่น่ะซี่”
“โถ...คุณเพชร”
มาริสาทำหน้าบอกไม่ถูก เหลือบมองออกไปจากห้องของเจ้านาย เห็นม่านฟ้าเดินเตร่ไปเตร่มา หล่อนก็จำต้องปั้นเรื่องขึ้นมาให้เพชรรุ่งเข้าใจความจำเป็นของหล่อนมากขึ้น
“คุณเพชรขา...ถ้าริสาไม่ไปเซ็นเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดิน ญาติหลายคนจะไม่มีที่ดินทำกินนะคะคือว่า ริสาน่ะพิ่งทราบข่าวว่าตัวเองได้รับมรดกเป็นที่ดินกว่าสามพันไร่ที่อุบล และในพินัยกรรมก็ระบุว่าให้ริสาเป็นคนมอบต่อให้ใครบ้าง พวกญาติๆที่เขาไปอยู่เมืองนอกนัดพบกันวันพรุ่งนี้ ถ้าริสาไม่ได้ไปพวกเขาต้องโกรธริสามากเลยล่ะค่ะ พวกเขาเสียเวลาบินมาจากหลายประเทศนะคะ”
เพชรรุ่งแอบถอนหายใจและพูดเสียงเคร่งขรึมว่า
“ลาสามวันตัดเงินสามวัน”
“ค่ะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ หรือว่าคราวนี้คุณเพชรจะเปลี่ยนใจไม่ตัดเงินริสา”
หล่อนแกล้งแหย่เขาไปอย่างนั้นเอง แม้จะหลงใหลได้ปลื้มเขา แต่ก็อิดหนาระอาใจกับความเค็มของเขาอยู่พอสมควร