รวมเรื่องสั้น ความสูญเสียครั้งแรก (ส. ปาลกะวงศ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 200.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

ความสูญเสียครั้งแรก

ส.ปาลกะวงศ์

มะพร้าวเอนต้นนั้นยังคงชูลำต้นแผ่ทางใบอยู่ตีนคันนา  เสียงน้ำตีตลิ่งดังซ่า ๆ ขณะตีนของเด็กอายุสิบสี่เหยียบย่ำลงไปบนไม้ที่พาดระหว่างคันนากับตัวบ้าน  บ้านที่เคยเป็นเล้าหมูของยาย  คือที่ซุกหัวนอนของเขา   และเมื่อเขาก้าวเข้าไปในนั้นควันจากเตากลางบ้านที่โขมงก็โชยขึ้นหลังคา  ที่มีแต่จากและสังกะสีกลืนเป็นสีเดียวกันคือสีเขม่าได้ทำให้เขาสั่นไหว  ชายสูงวัยผมขาวโพลนที่เมื่อคืนไอออกมาจนเลือดทะลักเต็มกระโถนเพราะพิษวัณโรค  กำลังซุนฟืนหัวตะโหงกแล้วก็ไอกับการสำลักควันแค็ก ๆ   พอจะหยิบหม้อข้าวดำปี๋ขึ้นตั้งบนเตา  เขาจึงรีบถลาเข้าไปแล้วบอกแกว่า

            “มา  หนูเอง...”

            เด็กชายวัยสิบสี่ยกหม้อข้าวขึ้นตั้งอย่างกุลีกุจอ  ก่อนที่ชายสูงวัยจะผละไปหาที่นั่งไอต่อที่มันสะดวก ๆ   เมื่อหม้อข้าวเดือดทัพพีจึงถูกนำมาคนกันน้ำข้าวล้นออกมา  พอตักเม็ดข้าวได้ที่ดีแล้วจึงยกลง  คว้าฝาหม้อบุบ ๆ บี้ ๆ ปิดลงไป  เอาไม้ขัดหม้อมาเสียบ  เทน้ำข้าวใส่ถ้วยโรยเกลือไปส่งให้ชายสูงวัยแก้ไออันเกิดจากอาการแพ้ควันในยามป่วยไข้  แล้วจึงกลับมาเทน้ำที่เหลือลงร่องกระดานลงไปใต้ถุน  สะเด็ดน้ำดีแล้วจึงยกขึ้นอัง  อังเสร็จก็ยกกาน้ำดำปี๋ขึ้นตั้งทิ้งไม่ต้องซุนฟืนหัวตะโหงกอีก  เพราะดูแล้วกว่าไฟจะมอดก็คงจะเดือดพอดี  จากนั้นเขาก็เดินไปบอกกับชายสูงวัย

            “พรุ่งนี้ไปหาหมอกันนะป๋า...”

            ชายสูงวัยผู้ไม่เคยไปหาหมอง่าย ๆ เพราะความยากจนพยักหน้าช้า ๆ   เด็กวัยสิบสี่ที่เพิ่งจบ ป. 7 รุ่นสุดท้ายมาไม่นานยิ้มแก้มปริ  แต่พอนึกถึงเงินที่ไม่เคยมีติดบ้านเกินหนึ่งร้อยมาหลายปีแล้วก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ย ๆ   กระนั้นก็คิดว่า ‘ป๋า’ คงจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการไปหยิบยืมใคร 

            เมื่อเวลาเดินหน้าไปเรื่อย ๆ จนเกือบค่ำ  แม่ซึ่งไม่ได้เป็นแม่จริง ๆ  แต่เขารักมากกว่าแม่จริง ๆ  ก็กลับจากไปเฝ้าบ้าน  มีเด็ก 2-3 คนเดินตามมาด้วย  พวกเขาเหล่านั้นถูกนำมาให้ชายหญิงสูงวัยคู่นี้เลี้ยงดูโดยไม่เคยจ่ายค่าเลี้ยงดูสักบาท   ซึ่งปกติแล้วนั้นแม่จะไม่เอาเด็กไปเฝ้าบ้านด้วย  เพิ่งจะเอาไปก็ตอนที่ป๋าป่วยเป็นวัณโรคนี่แหละ

            “แม่!  ป๋ายอมไปหาหมอแล้วนะ”  เขาร้องบอกเมื่อแม่ก้าวเข้ามาในบ้าน

            หญิงสูงวัยผมดำยาวหันไปมองชายสูงวัยผมขาว  อดออกปากถามไม่ได้  “มีเงินไปหาหมอแล้วหรือ?”

            ชายสูงวัยส่ายหัว  ตอบออกมาพร้อมกับสายน้ำตา

            “พรุ่งนี้ค่อยคิด...”

 

ตะเกียงน้ำมันก๊าดเหมือนกระป๋องนมสีเหล็กเก่าคร่ำตั้งอยู่หัวนอนข้างมุ้ง  เปลวของมันไหวไปมาส่องเข้ามาถึงข้างใน  ท่ามกลางสายฝนที่หลังคารั่วหยดใส่หลังมุ้งขาด ๆ เอาหนังยางรัดแทนการเย็บ  เพราะป๋าไม่อาจขึ้นไปซ่อมหลังคาได้  นับตั้งแต่ป่วยเรื้อรังก่อนเข้าฝน  เสียงเรือหางยาวยังคงแหวกเสียงซ่า ๆ ของฝนอยู่ในคลองบางกอกน้อยใกล้ดึกที่มีบ้านหลังหนึ่งบังบ้านหลังเล็ก ๆ ไว้ด้านหลัง  เด็กวัยสิบสี่ไม่อาจหลับตาลงไปได้  พรุ่งนี้ป๋ายอมไปหาหมอ  ตื่นเต้นและดีใจ  เมื่อนอนไม่หลับก็จับหนังสือที่น้าเอามาทิ้งไว้ให้  ไม่ใช่  พล  นิกร  กิมหงวน  ที่เคยอ่านแล้วท้องคัดท้องแข็ง  เป็นหนังสือรัก ๆ ใคร่ ๆ   เปล่า...เขาไม่ได้มีอารมณ์ไปกับหนังสือเหล่านั้น  แต่มันก็ทำให้ไฟที่อยากจะเป็นนักเขียนผุดขึ้นมาอีก  นักเขียนนี่เขาเก่งจริง ๆ  เขียนให้คนหัวเราะก็ได้  ร้องไห้ก็ได้  เกิดอารมณ์ทางเพศก็ได้  และทำให้เด็กอย่างเขาเพิ่มความรุนแรงของการอยากเป็นนักเขียนก็ได้  อยากจะลุกไปหยิบปากกามานอนเขียนในมุ้งหลังจากวางหนังสือลงข้าง ๆ ตัว   แต่พอนึกถึงพรุ่งนี้ก็ตัดสินใจรีบดับตะเกียง  ข่มตาให้หลับไปกับสายฝน

            “ต๊อก  ต๊อก  ตื่น  ตื่น  พาป๋าไปหาหมอ...”

            เสียงแม่ร้องเรียกอยู่นอกห้อง  ทำให้ดีดตัวจากที่นอนก้าวลงจากเตียงไปหย่อนตัวลงน้ำ  ใต้ถุนบ้านน้ำกำลังขึ้น  เหลือบไปมองป๋าแต่งตัวรออยู่แล้ว  จึงรีบคว้าสบู่มาถู ๆ  ปากก็ร้องตะโกนขึ้นไป

            “แม่ข้าวหมด!”

            “เออ  ไม่เป็นไร  เดี๋ยวข้าจัดการเอง  เอ็งรีบอาบน้ำเร็ว ๆ แล้วพาป๋าเอ็งไปหาหมอเถอะ”

            ข้าวในปี๊บที่ป๋าเอามาหุงเมื่อเย็นวานหมดเกลี้ยง  เขาแอบเปิดดูเมื่อคืนเพราะไม่รู้ว่าป๋าต้องนอนโรงพยาบาลไหม  ที่ร้องบอกแม่ก็เพราะอยากจะไปซื้อให้ก่อน  แต่เมื่อแม่บอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร

            แต่แท้จริงแล้วคือแม่ไม่มีเงิน...

            “เดี๋ยวขากลับจะซื้อข้าวสารมา  แกอยู่บ้านดูไอ้พวกนี้ให้ดี ๆ”  ป๋าบอกกับแม่ก่อนก้าวขาออกจากบ้าน  เดินไปยังศาลาท่าน้ำที่วัดใกล้บ้านเพื่อรอเรือหางยาว  โดยที่มีเขาเดินตามไปติด ๆ

            ระหว่างที่นั่งเรือหางยาวไปขึ้นท่าวัดชลอเพียงไม่กี่นาทีนั้น  เขาอดนึกถึงชีวิตของตนเองไม่ได้  ไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่เลย  เห็นแต่น้า  ป้า  ที่ป๋าเคยเขียนจดหมายให้เขาถือไปยื่นให้เพื่อขอเงินเอามาซื้อข้าวสารอยู่บ่อย ๆ   ทั้งน้าทั้งป้านาน ๆ จะมาเยี่ยมเขาสักที  น้าอยู่บางแพรก  ส่วนป้าทำงานศึกษานิเทศน์อยู่บนศาลากลาง  

            นี่ถ้าพ่อกับแม่ไม่ทิ้งขว้างเขา  เขาคงไปขอเงินพ่อกับแม่เอามารักษาป๋าได้...  เขาคิด

            “เดี๋ยวไปเอาเงินที่น้าเอ็ง”

            ป๋าบอกขณะที่ยังนั่งอยู่ในเรือ  และเมื่อขึ้นเรือแล้วเขาก็รู้สึกโล่งอก  ที่ป๋าพบทางออกว่าจะไปเอาเงินที่ไหน  นั่งรถโดยสารสีน้ำเงินไปลงที่ท่าเรือ  นั่งเรือข้ามฟาก  และเดินตามหลังป๋าไปจนถึงบางแพรกสุดกำแพงคุกบางขวางได้อย่างสบายใจ

            ครั้นไปถึงบ้านน้า  น้าก็รีบพาป๋าไปหาหมอที่โรงพยาบาลทรวงอก  ได้หยูกได้ยามากินไม่ต้องนอนค้าง  แต่น้าสาวที่ได้สามีเป็นคนขับรถสองแถวของตนเองที่วิ่งรับคนจากท่าน้ำนนท์ไปสนามบินน้ำ  กลับให้ป๋าค้างเพราะรุ่งขึ้นจะมีการทำบุญบ้านพอดี

            “เอ้านี่ลุง  ห้าสิบบาทไว้ซื้อข้าวสารพรุ่งนี้”  น้าว่าพร้อมกับยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อของป๋า

            ป๋ายิ้มออกมา  ก่อนเสียงเศร้า ๆ จะดังจากปาก...  “แต่ข้าวมันหมดวันนี้  ต้องกลับ”

            “เอาน่ะลุง  คืนเดียวเองไม่เป็นไรหรอก”

            ไม่นึกเลยว่าคืนเดียวไม่เป็นไรหรอกของน้านั้น  จะทำให้เขาต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปในวันรุ่งขึ้น

            มันเป็นการสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา  มันเป็นการสูญเสียที่ไม่มีทางสูญเสียขึ้นมาได้  ถ้าหากว่าแม่มีเงินซื้อข้าวสาร

            ไม่เอาเงินสิบห้าบาทที่ไปเฝ้าบ้านมาได้มาเป็นค่ารถของป๋า...  

 

เรือหางยาวแล่นมาจอดที่หัวสะพานท่าน้ำของวัดใกล้บ้าน   เด็กชายก้าวขึ้นไปเป็นคนแรก  น้าสาวสองคนจูงป๋าขึ้นจากเรือ  ชาวบ้านคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นตะโกนโหวกเหวกให้รีบกลับบ้านด่วน  เขาจึงหันขวับไปทางต้นเสียง

            “มีอะไรหรือป้า”

            “แม่เอ็งเป็นลม!”

            เพียงเท่านั้น...  เพียงเท่านั้นจริง ๆ ที่ทำให้เด็กชายรีบสับเท้าวิ่งกลับบ้านอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่รอป๋ากับน้าสาวสองคนที่ตามมาส่ง  วิ่งไปก็ตะโกนเรียก  แม่!  แม่...   แม่ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนเลยตั้งแต่จำความได้  พอถึงบ้านวิ่งพรวดเข้าไป สิ่งแรกที่ทำก็คือตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง

            “แม่!”

            กวาดตาดูไม่เห็นแม่อยู่ตรงไหนเลย  เด็กชายวัยแปดขวบกับเด็กหญิงวัยสี่ขวบนั่งกอดเด็กหญิงวัยสองขวบร้องไห้

            “แม่ไปไหน...”

            เขาร้องถามน้องชายกับน้องสาวต่างพ่อแม่ที่บังเอิญต้องมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน  ในชะตาชีวิตเหมือน ๆ  กัน  แล้วน้องชายก็เงยหน้าขึ้นตอบด้วยน้ำตานองหน้า

            “อยู่บ้านป้านอม”

            บ้านป้านอมคือบ้านที่ตั้งอยู่ริมคลองบดบังบ้านหลังน้อยที่อยู่ติดคันนา  เป็นบ้านที่เขาชอบไปนั่งดูโทรทัศน์ขาวดำตอนค่ำ ๆ เพราะลูกชายป้านอมเป็นเพื่อนรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน  เนื่องจากบ้านของเขาไม่มีโทรทัศน์  หรือแม้แต่วิทยุก็ไม่มี  ไม่ไฟฟ้า  มีแต่ตะเกียงกับเตาฟืน   ได้ยินคำตอบเช่นนั้นเด็กชายไม่รอช้า  รีบวิ่งไปที่บ้านป้านอม  ภาพที่เห็นตรงหน้าแม่นอนแผ่อยู่กลางบ้านมีคนรุมล้อมเต็มไปหมด  นอนหายใจรวยรินไม่รู้สึกรู้สา  มีเจ้าหน้าที่อนามัยที่มาจากวัดชลอมาให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

            “แม่!...”  เขาร้องตะโกนและโผเข้าไปหา  น้ำตาไหลรินพราก ๆ

            เมื่อแม่ไม่ตอบเขาจึงร้องไห้ออกมา  และถูกคนอื่น ๆ กันให้ออกพ้นแม่  พอป๋ากับน้าสาวสองคนตามมาก็มีคนบอกให้พาแม่ส่งศิริราช

            เรือหางยาวจึงถูกเรียกให้จอดที่หัวสะพานท่าน้ำบ้านป้านอม  แล้วพวกเขาก็เคลื่อนย้ายแม่ลงเรือ  เขากระโดดลงไปประคองศีรษะของแม่ไว้บนตัก  น้าสาวสองคนตามลงมาด้วย  เมื่อเรือหางยาวแล่นออกจากบ้านป้านอมปานพายุมุ่งหน้าไปทางปากคลองบางกอกน้อย  เขาก็ร้องไห้เหมือนคนบ้า  ป้าที่เป็นแม่ของเพื่อนที่อยู่ติดวัดก้าวตามลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  ตะโกนบอกให้เขาหยุดร้อง  แต่เขากลับตะคอกใส่แก

            “ผมจะร้อง!  ทำไม...”

            แล้วเขาก็ร้องไห้ตั้งแต่บ้านป้านอมจนกระทั่งเรือเทียบท่าโรงพยาบาล  มีคนเอาเตียงเข็นมารับตัวแม่ไปแล้วนั่นแหละ  เขาจึงหยุดร้อง  เดินเกาะเตียงแม่ตามไปทุกที่  จนกระทั่งหมอมาตรวจ  เอาไม้อะไรไม่รู้มาเคาะ ๆ ตามแขนขาของแม่  ไม่มีการตอบสนอง หมอจึงบอกให้ญาติกลับบ้านพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

            “แม่...หนูจะเป็นนักเขียน  รออ่านเรื่องของหนูก่อนอย่าเพิ่งทิ้งหนูไปนะ  เป็นนักเขียนแล้วหนูจะเอาเงินมาซื้อข้าวสารให้แม่...”

           

เมื่อเรือหางยาวจอดหัวสะพานหน้าบ้านป้านอม  เขาก้าวขึ้นจากเรือได้ก็ไม่รอน้า และป้าที่อยู่ใกล้วัด  รีบเดินกลับบ้านโดยไม่พูดไม่คุยกับใคร   ป๋านั่งเหม่อลอยอย่างเศร้า ๆ อยู่ท่ามกลางแสงตะเกียง  มีเด็กสามคนคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ  

            “แม่เอ็งล่ะ”

            “หมอให้นอนโรงพยาบาล”

ป๋าพยักหน้า  เขาจึงถลาเข้าไปกอดป๋าแล้วร้องไห้  ป๋าเอามือลูบหัวเขา  ปล่อยคำพูดให้เขาหยุดร้อง  “แม่เอ็งไม่เป็นไรแล้ว  อยู่กับหมอ  จะร้องไห้ทำไม...”

            และอีกสักพักใหญ่ ๆ น้าสาวสองคนก็มาถึง  เล่าสิ่งที่รู้จากปากชาวบ้านให้ป๋าฟัง   ซึ่งเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก  แค่...

            แม่อดข้าว!

            เด็กชายวัยแปดขวบที่เป็นน้องชายนอกสายเลือดของเขาจึงถูกซัก  อดเพราะข้าวสารหมดปี๊บ  ไม่มีเงินซื้อ  อาหารเหลือจากคนที่แม่ไปรับจ้างเฝ้าบ้านเมื่อเย็นวาน   แล้วเขาให้เอามากินเหมือนเช่นทุกเย็นนั้น  คืออาหารเหลือ ๆ ที่แม่เอามาอุ่นให้เด็ก ๆ  3  ชีวิตที่อยู่กับแม่กิน   โดยที่แม่ไม่ได้กินอะไรเลย  และยังทำโน่นทำนี่จนหมดแรงเป็นลมไป

            ซึ่งถ้าหากว่าเมื่อวานป๋าไม่ได้ค้างบ้านน้า  ไปหาหมอเช้าแล้วกลับเย็น ในปี๊บก็คงจะมีข้าวสารเทลงไปให้ได้หุง

            แม่คงไม่ต้องอดข้าวจนถึงกับเป็นลม  กลายไปเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลศิริราช

            พอตกเช้าเขากับน้าสาวสองคนจึงนั่งเรือหางยาวไปเยี่ยมแม่  แล้วขาของเขาก็แทบจะหมดแรงยืน  เมื่อได้ยินพยาบาลบอกว่าแม่ของเขาได้เสียชีวิตแล้ว

            เขาจึงปล่อยโฮออกมา!

            ไม่เคยเลยตั้งแต่เล็กจนสิบสี่ขวบ  จะพบกับความสูญเสีย  มันเป็นความสูญเสียครั้งแรกของเขาที่สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ  การถูกพ่อแม่แท้ ๆ ทอดทิ้งให้ต้องมาอยู่กับป๋ากับแม่ทั้งที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวโยง  เขาไม่เคยรู้สึกว่านั่นคือความสูญเสียเหมือนกับที่ต้องสูญเสียแม่บุญธรรมไป

            แม่บุญธรรมที่ไม่เคยปริปากด่าใครแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เขาจำความได้  แม่บุญธรรมที่เคยไปรับจ้างถางหญ้าตามเรือกสวนแล้วมีเขาคอยไปถางช่วยในบางครั้ง  แม่บุญธรรมที่พอทำอะไรไม่ไหวในวัยเจ็ดสิบซ้ำยังดูแก่เกินวัย  จึงต้องไปรับจ้างเฝ้าบ้าน  แม่บุญธรรมที่รักป๋าและรักเด็ก ๆ ทุกคนในบ้าน  แม่บุญธรรมที่ป๋าอันเป็นพ่อบุญธรรมของเขารักมากกว่าใคร  ป๋าทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงแม่  รับจ้างลอกท้องร่อง  ขึ้นมะพร้าวตามเรือกสวน  รับจ้างซ่อมบ้านเรือนของผู้คน  และรวมถึงไปเป็นลูกมือของช่างปลูกบ้านอยู่ย่านริมคลองแห่งนี้  ป๋าทำทุกอย่างเพื่อแม่และเด็ก ๆ

            แม้แต่กระทั่งไปปักปลา  จับตะพาบ  จับเต่าเอามากิน

            แม้แต่กระทั่งไปเป็นสัปเหร่อ

            ป๋าทำทุกอย่างให้ทุกคนในครอบครัวไม่อดตาย  โดยที่มีแม่คอยช่วย  และแม่ก็ช่วยอย่างเต็มที่ทุกอย่าง  ไม่นับต้องนั่งเย็บจากทางมะพร้าว  เหลาใบมะพร้าวทำไม้กรวดอยู่จนดึกแทบทุกคืน  ไม่นับการทำขนมไปขาย

            ซึ่งแม่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งที่นำไปขายนั้นเลย  ใครถามว่าเท่าไหร่ก็ตอบเป็นอยู่คำเดียว

            “แล้วแต่จะให้ค่ะ”

            และเมื่อถึงช่วงเย็นของวันนั้นเอง  เขาก็นำศพของแม่ใส่เรือมาขึ้นที่หน้าวัด...

           

เด็กชายวัยสิบสี่เดินจูงแขนป๋าก้าวขึ้นบันไดศาลาวัดเกตุ  ระหว่างที่ก้าวขึ้นไปนั้นเขาเหลือบมองหน้าป๋า  ไม่  ไม่เคยมาก่อนเลยที่เขาจะเห็นน้ำตาของป๋า  มันไหลออกมาจากหางตาข้างขวาของป๋าเพียงหยดเดียวจริง ๆ

            น้ำตาของลูกผู้ชายวัยหกสิบห้าของป๋าได้หลั่งไหลแล้ว

            ไหลเพราะบนศาลามีศพของแม่นอนอยู่บนเตียงผี

            นี่ถ้าหากว่าป๋ายังไหวอยู่  ไม่ป่วยเป็นวัณโรค  ป๋าคงจะลงมือมัดตราสังข์แม่ด้วยตนเอง

            เมื่อป๋าไม่ไหว  ป๋าจึงเลือกนั่งอยู่กับน้า ๆ  ปล่อยให้เขาเดินไปดูศพแม่  สัปเหร่อคนใหม่ที่มาทำหน้าที่ต่อจากป๋ายังไม่มา

            แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นแม่กระดุกกระดิกได้

            เขาจึงร้องอย่างสุดเสียงด้วยความดีใจ  วิ่งไปบอกป๋ากับน้า ๆ   ว่าแม่กระดุกกระดิกตัวได้  แล้วแทนที่ทุกคนจะตื่นเต้นดีใจไปกับเขา ทุกคน  ทั้งหมด...ทั้งหมดเลย  กลับพากันมองเขาอย่างเวทนา

            เมื่อไม่มีใครเชื่อเขาจึงวิ่งกลับไปใหม่  เขย่า ๆ ตัวแม่ปลุกให้ตื่นก็พอดีสัปเหร่อมาถึง  ไล่เขาให้ออกไปพ้น ๆ แม่อย่าให้น้ำตาเปื้อนศพ  นั่นแหละเขาจึงถอยออกมา

            ยืนมองเขามัดตราสังข์แม่ด้วยหัวใจที่แตกสลาย

            และเมื่อเขาหย่อนแม่ลงโลงก่อนจะยกขึ้นตั้งเอาโลงทองครอบ  เด็กชายวัยสิบสี่ก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาป่นไปตามแม่  มันเหมือนกับเขาได้ถูกมัดตราสังข์ลงไปนอนอยู่กับแม่ด้วย

            “แม่!  หนูจะเป็นนักเขียน  หนูคงไม่ต้องเอาเงินมาซื้อข้าวสารให้แม่แล้ว  หนูจะเอาเรื่องของแม่ไปเขียนในวันหนึ่ง  แม่อย่าลืมคอยอ่านเรื่องของหนูนะ”

            เขาบอกกับแม่อยู่ในใจก่อนที่สัปเหร่อจะปิดฝาโลงที่น้าสาวสองคนช่วยกันออกเงินซื้อ...

 

มะพร้าวเอนต้นนั้นยังคงชูลำต้นแผ่ทางใบอยู่ตีนคันนา  เสียงน้ำตีตลิ่งดังซ่า ๆ  ราวเกิดจากหยดน้ำตาจากต้นมะพร้าว  ดวงจันทร์บนฟ้าหมองหม่นทั้งที่ฟ้าเปิดไม่มีเมฆให้เห็น  ดาวอื่น ๆ ราวกับหยดน้ำตาของดวงจันทร์สาดกระจายไปทั่วผืนฟ้า  เด็กชายวัยสิบสี่ที่เพิ่งกลับจากวัดในคืนแรกของการสวดศพผีที่เพิ่งผ่านพ้นไป  เดินนำหน้าป๋าและคนอื่น ๆ เข้าไปในบ้านที่ราวกับไม่ใช่บ้านแต่เป็นกระต๊อบ  จุดตะเกียงให้สว่างวอบแวมอยู่ภายใน  ก่อนไปซบหน้ากับเตียงนอนปล่อยเสียงร่ำไห้โดยไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะพบกับอะไรบ้าง...

รายละเอียด

รวมเรื่องสั้น

 

ความสูญเสียครั้งแรก

 

โดย...  ส.ปาลกะวงศ์

 

          “ความสูญเสียครั้งแรก  มีทั้งเรื่องสะเทือนใจอันแสดงความเป็นชีวิต  มีทั้งเรื่องเน้นจินตนาการหลุดโลกเพื่อให้กำลังใจคน  มีทั้งเรื่องล้อเลียนเสียดสีโดยอาศัยสัญลักษณ์  มีทั้งเรื่องประสบการณ์แห่งชีวิต  เพื่อประสมประสานเข้าด้วยกัน  มุ่งขับแสดงความหลากหลายของเนื้องาน” 

 

         

 

คำนำ

          สิบสามเรื่องสั้นในรวมเรื่องสั้นชุดนี้  ล้วนผ่านการโพสต์ในเฟซบุ๊กมาแล้ว  เป็นเรื่องที่ผู้เขียนคัดสรรมานำเสนอ  ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคงไม่ได้อยู่ที่ผู้เขียน

          แต่อยู่ที่ผู้อ่าน...

 

(ส.ปาละกะวงศ์)

25  ส.ค.  60

 

 

 

 

 

 

 

สารบัญ

       หน้า

1. ความสูญเสียครั้งแรก                                                                                                      4

2. กลิ่นความตาย                                                                                                                 13

3. ยายสา                                                                                                                                19

4. เสียงู                                                                                                                                   20

5. ฉันเป็นผีเสื้อ                                                                                                                     25

6. มะนาวกันงู                                                                                                                       36

7. รถม้า                                                                                                                                  38

8. นกสีขาว                                                                                                                          39

9. ข้อมูลไม่ครบ                                                                                                                   78

10. ไม้ถูพื้นที่ใช้ไม่ได้ผ                                                                                                    79

11. นิ้วหาย                                                                                                                             80

12. เพื่อนแท้                                                                                                                          81

13. อูฐ                                                                                                                                    84

14. ใบไผ่  (ความในใจ)                                                                 86


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (79 รายการ)

www.batorastore.com © 2024