มาดามทุ่งอีแร้ง / มาดามบ้านนา (วัตตรา) (EBOOK)

มาดามทุ่งอีแร้ง / มาดามบ้านนา (วัตตรา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 99999
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“มาดามทุ่งอีแร้ง

โดย “วัตตรา”

ตอนที่๑

           

ในห้องนอนสีควันบุหรี่อันโอ่อ่า และเย็นฉ่ำเพราะการทำงานของเครื่องปรับอากาศยี่ห้อดัง แต่เจ้าของห้องกลับร้อนรุ่มในอกขึ้นมาทันทีเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนส่งเสียงมาตามสายว่า

            “ผมยังรับปากไม่ได้นะครับคุณแม่ว่าจะลาได้นานแค่ไหน”

            “แต่ลูกไปอยู่โปตั้งสามปีแล้วนะ มีสิทธิ์ลาพักร้อนได้ถึงสามเดือนไม่ใช่เหรอ ลากลับมาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจบ้างซี่”

พวงครามพูดถึงประเทศโปซีเนีย[1] เป็นประเทศทางแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ในยุโรปเหนือ ฟ้าครามไปเป็นเลขานุการที่ปฏิบัติงานเป็นผู้ช่วยท่านเอกอัครราชทูตซึ่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศโปซีเนียก็จะตกเป็นของเขาเพราะท่านเอกอัครราชทูตคนปัจจุบันกำลังจะเกษียณและเดินทางกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ประเทศไทยเป็นการถาวร เขาในฐานะผู้ช่วยใกล้ชิดรู้งานทุกอย่าง จึงได้รับการเสนอชื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตแทน

“ผมจะพยายามจัดเวลาให้ลงตัวครับคุณแม่”

“โทรมาทีไรลูกก็พูดแบบนี้...อย่าบอกนะว่าที่ไม่อยากกลับเมืองไทยเพราะลูกแอบมีเมียอยู่ที่โปน่ะ”

“โห...คุณแม่...คิดมากอะไรขนาดนั้นครับ...ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก...คุณแม่ต้องเข้าใจนะครับว่าผมรอตำแหน่งอยู่ ผมน่ะโชคดีที่สุดที่อายุยังไม่ถึงสามสิบก็ได้เป็นเลขาของท่านทูต เพราะฉะนั้นใครที่จะมาเดินเคียงข้างผมต้องมีความเหมาะสม และมีคุณสมบัติพอจะเป็นมาดามที่ช่วยเชิดหน้าชูตานะครับ...เรื่องแบบนี้ต้องเลือกกันนานหน่อย...ผมไม่รีบ”

“ได้ฟังแบบนี้แม่ก็สบายใจแต่ครึ่งเดียวเองนะตาคราม”

“แล้วอีกครึ่งล่ะครับคุณแม่” เขาถามกลั้วหัวเราะกลับมา

“เอาเถอะจัดสรรเรื่องเวลาได้เมื่อไหร่ก็รีบส่งข่าวให้แม่รู้เป็นคนแรกละกัน...แม่จะเตรียมต้อนรับการกลับบ้านของลูกให้สมกับที่พ่อแม่คิดถึง”

พวงครามยังอยากรู้อยากถามลูกชายอีกหลายเรื่องแต่ฟ้าครามรีบตัดบทและขอวางสายไปก่อน คนเป็นแม่จึงได้แต่นั่งนิ่งขึง รู้สึกร้อนจนต้องหยิบรีโมตเครื่องปรับอากาศมาปรับอุณหภูมิใหม่

ตระการออกมาจากห้องแต่งตัว เขาอยู่ในชุดนอน ฮัมเพลงลูกทุ่งหมอลำเก่าแก่

“ไม่อยากจะคิดสงสาร...ไม่อยากจะคิดสงสาร...ชะโอ๊ะโอ๊ะโอ๊ย”...แต่ก็ต้องชะงักเมื่อโดนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

“โอ้โห...หนาวจังเลยแม่...พ่อมีไข้หรือแอร์มันเย็นมากกันแน่เนี่ย”

ตระการกอดอกตัวงอมองหน้าบึ้งตึงของภรรยา แล้วหยิบรีโมตในมือพวงครามมาเพิ่มอุณหภูมิ ก่อนนั่งลงข้างๆแล้วปลอบโยนว่า

“แม่ก็ต้องทำใจและเข้าใจนะถ้าลูกจะพูดแบบเดิมๆ  เราเลี้ยงลูกมากับมือลูกเติบโตมาจากความจนและต่อสู้ดิ้นรนมากับเรา เขารู้คิดรู้ทำและเขาก็ทำสำเร็จ มีลูกชาวนาสักกี่คนที่จะเรียนเก่งและได้เป็นถึงเลขาทูต...อีกไม่นานก็ต้องได้เป็นทูต”

“แม่รู้ แต่นี่มันเป็นความคิดถึงจริงๆ หรือว่าสามปีมานี้พ่อไม่คิดถึง ไม่อยากเห็นหน้าลูกฮึ” ประโยคท้ายๆหล่อนเริ่มพาล

ตระการกะพริบตาถี่ๆเมื่อถูกพาล...ความจริงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ขณะอาบน้ำอุ่นอย่างสบายอกสบายใจเขาก็หวนคิดถึงความหลัง ครั้งที่เป็นชาวนาที่ต้องเสียนาเพราะเสียรู้คน...ออกจากห้องแต่งตัวมา เขาตั้งใจว่าจะพูดเรื่องความหลังนี้ให้พวงครามรู้ว่าในชีวิตที่เคยเป็นหนี้เป็นสินใครก็ได้ใช้หนี้หมดแล้วมีแต่เพื่อนสนิทที่บ้านทุ่งอีแร้งเท่านั้นที่ยังไม่ได้ใช้คืน...แต่เมื่อออกมาเห็นอาการงอนงอแงของพวงคราม             เขารีบปิดสมองที่กำลังคิดเรื่องหนี้ มาสนใจเรื่องความรู้สึกของภรรยาก่อน โดยรีบบอกเสียงนุ่มว่า

“คิดถึงซี่...แต่เราก็ได้คุยกับลูกบ่อยๆนี่นา เขาเมลรูปมาให้ดูทุกเดือน แถมยังเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เราได้ร่วมรับรู้เรื่องการทำงานการใช้ชีวิตของเขาอีกนะ”

“แหม พ่อก็...ดูรูปมันจะเหมือนดูคนตัวเป็นๆได้ไง...โอ๊ย...ไม่เอาละไม่อยากคุยด้วยแล้ว คนอะไรไม่อ่อนไหวตามกันมั่งเลย” พวงครามงอนสะบัดตัวเดินหนีไปจากห้องนอน

ตระการอมยิ้มรู้ใจภรรยาจอมเผด็จการดีว่าอยากจะให้เขาเออออตาม...ไม่กี่นาทีพวงครามก็กลับมานอน ตระการเอนกายลงนอนข้างๆภรรยาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเขา

“ก่อนหลับบางวันแม่เคยนอนคิดมั้ยว่า...เราผจญภัยและล้มลุกคลุกคลานมายังไง เราถึงมีวันนี้ได้"

“ก็...เคย...นี่พ่อจะพูดถึงเรื่องอะไร” พวงครามตะแคงหน้ามาถาม

“อ๋อ...พ่อก็แค่จะบอกว่า ในอดีตตอนที่เราเป็นชาวนาแล้วต้องเสียนาไป เราสิ้นเนื้อประดาตัว...แต่เราลุกขึ้นมาสู้ต่อได้เพราะเงินทุนก้อนหนึ่งของประเดิม”

“พ่อกำลังจะบอกว่า...”

“ใช่...เราควรจะรักษาสัญญากับประเดิมนะ...เมื่อเรามีเงินแล้วเราก็ควรจะเอาไปคืนเขา”

“ก็จริง...เรามีเงินมีฐานะที่ดีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เราไม่ได้นึกถึงเขาเพราะเรามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจขยายสาขาและขายแฟรนไชส์...แล้วยังไงล่ะพ่อ”

“พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราจะใช้หนี้แล้ว” น้ำเสียงนุ่มสุขุมนั้นเหมือนซ่อนความอึดอัดบางอย่างไว้ โดยคนเป็นภรรยาสามารถอ่านออกได้ไม่ยาก

“แล้วพ่อกังวลอะไร”

“เราต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประเดิมด้วยนะ”

“สัญญาอะไรพ่อ” พวงครามพรวดพราดลุกขึ้นนั่งทันที

“แม่จำวันนั้นไม่ได้เหรอ” ตระการลุกขึ้นมาตั้งคำถาม

แล้วภาพความหลังของทั้งสองก็ค่อยๆแจ่มชัดขึ้น

ที่บ้านทุ่งอีแร้ง ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มาแต่ครั้งบรรพบุรุษ...ทุ่งข้าวเหลืองอร่ามจนสุดสายตานั้นเป็นผืนนาของหลายครอบครัวที่ทำนาในเวลาเดียวกัน เมื่อมันออกรวงอย่างพร้อมเพรียงกันท้าแดดท้าลมมาด้วยกันจนสุกเหลือง มันจึงเหมือนทุ่งสีทองที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน

หนุ่มสาวสามครอบครัวยืนกอดอกมองท้องทุ่งของตนเองด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มองลูกๆของตนเองที่วิ่งตามคันนาไล่จับตั๊กแตนกันอย่างสนุกสนานไม่รู้สึกรู้สากับเปลวแดดที่แผดเปรี้ยง

เด็กชายฟ้าครามวัย๑๐ ขวบลูกชายของตระการและพวงคราม นางามเลิศ เป็นคนนำเด็กหญิงข้าวปั้นวัย๘ขวบลูกสาวของเพิ่มบุญกับลาวัลย์ นาสุดไกล และเด็กหญิงปานวัย๖ขวบ ลูกสาวของประเดิมและมาลี นาสูงส่ง วิ่งไล่จับตั๊กแตนด้วยเครื่องมือที่ทำมาจากถุงพลาสติกผูกติดกับไม้ไผ่ ที่เขาทำให้น้องสาวทั้งสอง

แต่...ในความเป็นผู้นำ บางครั้งเด็กชายฟ้าครามก็เป็นตัวป่วนทำให้น้องสาวทั้งสองเสียรู้และต้องเสียน้ำตาอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กหญิงปาน

‘อ้ายถามว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นทอได๋ ไผตอบถืกอ้ายสิให่ตั๊กแตนของอ้ายโต๋นึงแมนบ่’ ฟ้าครามถาม

‘แมนแล่ว ข้อยตอบถืกอ้ายคึบ่ให้ข้อย...เอามาแม๊...เอามา’ เด็กหญิงปานวิ่งไล่จะเอาตั๊กแตนของเด็กชายฟ้าคราม พอไล่ไม่ทันก็ร้องไห้

‘โอ๊ย...ขี้ไห้แท้น้อ...ปานตอบบ่ถืกสิเอาของอ้ายได้จังได๋’

‘ข้อยตอบถูกหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสิบ...เอามาแม้ เอามาให้ปานสิบโต’สาวน้อยจะเอาของเขาถึงสิบตัว

‘บ่แมนเด๊ปาน...เจ้าของตอบบ่ถืกสิไปเอาของอ้ายครามได้จังได๋’ข้าวปั้นแย้งขึ้นมา เพราะเห็นว่าเด็กหญิงปานตอบไม่ถูก ข้าวปั้นนั้นเรียนอยู่ประถมสองแล้ว บวกเลขเก่งเพราะเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิของห้อง

‘แมนแล่ว ข้าวปั้นเว้าถืกแล้ว อ้ายบ่ให่ปานดอก’

‘ซั่นอ้ายครามกะเอาตั๊กแตนของอ้ายมาให่ข้อย เพราะข้อยตอบถืก’ เด็กหญิงข้าวปั้นทวง

‘โอ๊ย อ้ายบ่ได้เล่นกับคนสอบได้ที่หนึ่งเด๊ล่ะ...อ้ายเล่นกับคนปึกแบบปานเด๊ละ’

‘ฮือๆ มาว่าข้อยปึก ข้อยบ่ยอมไปฟ้องพ่อดีกว่า’ เด็กหญิงปานใช้ไม้เดิม

เด็กชายฟ้าครามรู้วิธีเอาตัวรอด รู้ว่าเด็กหญิงปานบ้ายอจึงรีบโอ๋

‘อย่าไปฟ้องพ่อเด้อปานคนงาม...เจ้าใหญ่ขึ้นมาเจ้าต้องได้เป็นนางงาม...เชื่ออ้ายเถอะ’

เท่านั้นแหละเด็กหญิงปานก็เงียบ ยิ้มแต้ทั้งน้ำตา แถมไม่ทวงเอาตั๊กแตนแต่เกาะแขนเด็กชายฟ้าครามไว้แน่น

‘ถ้าข้อยเป็นนางงามอ้ายครามสิมักข้อยบ่’

เด็กชายฟ้าครามหัวเราะเสียงดังยักคิ้วให้เด็กหญิงข้าวปั้นซึ่งยืนหน้าบึ้งไม่พอใจที่ตนเองไม่ได้ตั๊กแตน...แต่คนไหวพริบดีอย่างข้าวปั้นไม่มีวันยอมให้ใครมาโกง เธอชิงลงมือแก้แค้นทันที

‘อ้ายคราม...ลองหันหน้าให้พระอาทิตย์แล้วหลับตาเด้อ อ้ายครามสิเห็นแสงวิ๊ง วิ๊ง ง๊ามงาม ลองเฮ็ดเบิ่งเด้อ’

เด็กชายฟ้าครามทำตามอย่างงงๆแต่ยังไม่ได้เห็นอะไร เด็กหญิงข้าวปั้นก็ฉกถุงตั๊กแตนของเขามาจากมือ แล้วเปิดปากถุงปล่อยให้มันบินออกไปแล้วตัวเธอก็วิ่งหนีไปหาพ่อแม่

‘เฮ้ย...ข้าวปั้น คึเฮ็ดจังซั่นวะ...โอ๊ย...ขี้โกงแท้...ข้าวปั้น...กลับมาก่อน’

ส่วนเด็กหญิงปานยังคงนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งงอแงอ้อนจะขี่หลังเด็กชายฟ้าครามกลับบ้าน...ซึ่งในที่สุดเด็กหญิงปานก็แอบยิ้มอย่างสะใจอยู่บนหลังอ้ายฟ้าคราม

ชาวบ้านทุ่งอีแร้งล้วนมีน้ำใจให้แก่กัน โดยเฉพาะเพื่อนในวัยเยาว์ อย่างตระการ ประเดิมและเพิ่มบุญเมื่อถึงตอนลงแขกช่วยกันเกี่ยวข้าวเพิ่มบุญมีที่นาน้อยนิด พอเกี่ยวข้าวนาของตัวเองเสร็จก็ไปช่วยนาของตระการ และประเดิม

ก่อนถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวมี‘นายทุน’ คนหนึ่ง ที่เทียวมาพูดคุยกับชาวนาทุ่งอีแร้งอยู่บ่อยๆ ได้ให้ข้อเสนอว่าจะช่วยหาคนมาร่วมลงทุนทำนากับตระการ เพิ่มบุญ และชาวบ้านอื่นๆอีกเกือบสิบคน ให้ได้ผลผลิตมากขึ้นโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อย ให้ราคาข้าวสูงขึ้น เขาแวะมาดูผลผลิตมาแจ้งราคาข้าวที่เขาจะเอาไปขายให้

หลังเก็บเกี่ยวข้าวไม่ถึงเดือน ‘นายทุน’คนนั้นก็เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านอีกครั้งพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย ประกาศว่าจะมายึดนาของตระการ เพิ่มบุญและอีกหลายคนที่ได้มอบโฉนดที่นาให้กับ ‘นายทุน’ คนนั้น พร้อมกับเซ็นมอบอำนาจต่างๆให้เขาไปแล้ว โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหมู่บ้านทุ่งอีแร้ง เมื่อ‘นายทุน’ประกาศว่าทุกคนต้องใช้หนี้ที่ก่อขึ้นโดยไม่มีใครรู้ตัวมาก่อน หากไม่จ่ายจะต้องถูกจับดำเนินคดีเพราะมีเอกสารลงชื่อชาวนาทุกคนพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ส่วนที่นาหากใครอยากได้โฉนดคืนก็ต้องมีเงินมาไถ่  ชาวบ้านคนอื่นๆ รวมถึงเพิ่มบุญยอมเป็นหนี้กู้เงินจากประเดิมไปจ่ายเพื่อรักษาที่นาเอาไว้ ประเดิมซึ่งไม่ได้เข้าร่วมทำธุรกรรมใดๆกับคนแปลกหน้าพอจะมีเงินก้อนใหญ่ให้เพื่อนบ้านหยิบยืมไปไถ่โฉนดคืน เขาก็ให้เพื่อนยืมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

มีเพียงตระการเท่านั้นที่ทั้งเจ็บแค้นใจและอับอายที่มีที่นามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ และต้องสูญเสียไปหมดเพราะเขายอมทุ่มเทให้กับคนแปลกหน้าไปหมด ด้วยหวังจะขยับขยายการทำนาให้ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม ความโลภและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้เขาต้องยืมเงินจากประเดิมก้อนหนึ่งเป็นเรือนแสนมาจ่าย เพื่อไม่ให้ถูกจับ ส่วนเงินที่จะไถ่โฉนดคืนนั้นมันมากมายจนเขาไม่กล้ายืมใคร ต้องยอมสูญเสียมันไป กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีที่ทำกินไม่มีที่ซุกหัวนอน

ตระการและพวงครามเก็บซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้ใครรู้เห็น ทั้งสองเจ็บปวดกับจากการเสียรู้คนในครั้งนี้ แต่เมื่ออยู่ในบ้านของตนเอง ทั้งสองร่ำไห้น้ำตาแทบจะท่วมบ้าน เด็กชายฟ้าครามพอรู้อะไรบ้างแล้วได้แต่ปลอบโยนพ่อแม่ว่า

‘ยืมเงินของลุงเดิมมาไถ่นาเราคืนเถอะพ่อ แล้วช่วยกันทำนาหาเงินมาใช้หนี้ลุงเดิม’

‘พ่อก็อยากเฮ็ดจังซั่นอยู่...แต่เฮ็ดนาเป็นสิบปีก็ใช้หนี้คืนบ่เหมิดดอก...สู้ไปหาเฮ็ดอย่างอื่นดีกว่า’

‘อ้ายการสิไปไส ไปเฮ็ดหยังข้อยก็พร้อมสิสู้กับเจ้าทุกอย่าง’ พวงครามยังเชื่อมั่นในผู้นำครอบครัวเหมือนเดิม

หลายวันหลายคืนที่ตระการและพวงครามกินไม่ได้นอนไม่หลับ เด็กชายฟ้าครามก็เครียดตามจนไม่คิดจะอยากไปโรงเรียนทั้งที่อีกไม่กี่วันก็จะสอบไล่แต่ในที่สุดเด็กชายฟ้าครามก็ต้องไปสอบและจบประถมสี่ ตระการและพวงครามตัดสินใจไปเจรจาขอยืมเงินประเดิมอีกก้อนหนึ่ง

‘เฮาสิไปกรุงเทพไปเฮ็ดงานที่มันได้เงินทุกมื่อ สิเก็บเงินมาใช้หนี้เจ้าให้ครบทุกบาททุกสตางค์’

‘ใจเย็นๆ...อย่าฟ้าวคิดไปไกล...ยืมน่ะยืมได้ แต่แน่ใจรึว่าสิไปกรุงเทพเขาว่ามันอยู่ยากกว่าบ้านเฮาเด๊’

‘ต้องไปตายเอาดาบหน้าแล้วละเสี่ยวเอ๊ย...ถ้าเฮ็ดงานได้เงินแล้วเฮาสิฟ้าวส่งเงินมาคืนให้เทือละหน่อยเด้อ...ถ้าหาเงินบ่ได้สิให้ฟ้าครามมาซอยเจ้าเฮ็ดนา’

ประเดิมหัวเราะชอบใจในคำสัญญานั้น เขาตอบเพื่อนไปแบบเป็นกลางๆว่า

‘ก็ค่อยๆทำมาหากินไปมีน้อยกะเก็บไว้ก่อน ได้หลายๆค่อยส่งมาให้ ถ้ารุ่งเรืองร่ำรวยก็เอามาคืนให้กันจนเหมิดกะได้หรือถ้าฟ้าครามได้เป็นเจ้าเป็นนายคนก็มาพาน้องปานไปเป็นคุณนายของเจ้าได้บ่ฟ้าคราม’

เด็กชายฟ้าครามได้แต่ยิ้มจางๆไม่ได้รับปากรับคำเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ประเดิมพูดนั้นจริงจังแค่ไหน แต่เด็กน้อยขี้แย เอะอะร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบเด็กหญิงปาน เด็กชายฟ้าครามไม่ได้นึกเอ็นดูเลย เขาเอ็นดูและสนุกกับการได้เล่นกับเด็กหญิงข้าวปั้นมากกว่าแม้เธอจะคอยยอกย้อนเอาคืนเขาอยู่บ่อยๆก็ตามที

‘ฟ้าคราม...ไปเล่นบ้านข้าวปั้นก่อนไป...พ่อสิเว้าธุระกับลุงเดิมเด้อ’

เด็กชายฟ้าครามวิ่งไปตามทางเดินใต้ร่มไม้ไปจนสุดทางแล้ววิ่งเลาะตามคันนาไปบ้านข้าวปั้นที่อยู่ไกลออกไป

ปิดเทอมแล้วแต่เด็กหญิงข้าวปั้นยังคงขยันขันแข็งในการแสวงหาความรู้ด้วยความที่เธอเป็นเด็กฉลาดเรียนรู้เร็ว เพิ่มบุญกับลาวัลย์เข้าไปตลาดคราใดก็จะซื้อทั้งหนังสือพิมพ์ และนิตยสารรวมถึงหนังสือเสริมความรู้มาให้ลูกสาวอ่าน

‘ข้าวปั้น...อ้ายมีเรื่องอยากเว้านำ’

เด็กหญิงข้าวปั้นลงจากเปลญวนที่ขึงไว้กับเสาบ้านที่ยกพื้นสูง

‘มีหยังอ้ายคราม’

‘พ่อแม่อ้ายสิไปทำงานกรุงเทพ อ้ายบ่ได้มาเล่นนำละเด้อ’

‘ใหญ่ขึ้นมาเฮาสิได้เจอะกันบ่อ้ายคราม’

‘บ่ฮู้...ถ้าอ้ายได้คืนมาอีก อ้ายสิแวะมาหาข้าวปั้นสิซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงมาให้เด้อ...ข้าวปั้นเรียนเก่งๆเด้อ อย่าปึกคือปานเด๊’

‘ข้าวปั้นเรียนเก่งอยู่แล้วบ่ปึกดอก’

คำบอกลาของเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ทั้งสองดังขึ้นไปถึงหูเพิ่มบุญและลาวัลย์ที่มัดผักเตรียมไปขายตลาด เพิ่มบุญเยี่ยมหน้าลงมาถาม

‘พ่อเจ้าสิไปอยู่กรุงเทพเบาะฟ้าคราม’

‘แม่นแล้วอา’

‘ฝากบอกพ่อเจ้าเด้อ...มีเงินมีทองแล้วก็แวะมาเยี่ยมบ้านเฮาแด...คั้นบ่มีหม่องนอนกะมานอนบ้านนี่กะได้เด้อ’

‘ครับอาเพิ่ม...สิบอกพ่อให้เด้อ’

การละทิ้งบ้านเกิดและทิ้งสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อแม่ยกให้แต่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ทำให้ตระการรู้สึกเศร้าใจจนไม่คิดจะไปบอกลาใครเมื่อได้เงินก้อนใหญ่มาพร้อมคำสัญญาที่ให้ไว้กับประเดิมแล้วตระการก็พาครอบครัวนางามเลิศ หนีบ้านทุ่งอีแร้งเข้าสู่เมืองกรุงตั้งแต่วันนั้น

 

ชีวิตในเมืองกรุง ตระการมีเงินทุนเป็นหลักแสนก็จริง แต่เขาก็บริหารเงินอย่างกระเหม็ดกระแหม่ โดยหาห้องเช่าราคาไม่แพง พาลูกเข้าโรงเรียนใกล้บ้านด้วยผลการเรียนที่ดีเด็กชายฟ้าครามจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครไม่ยากแม้จะเพิ่งย้ายมา และยังมีสิทธิ์เรียนตั้งแต่ประถมปลายจนถึงมัธยมต้น ถ้าไม่คิดจะลาออกหรือไปสอบเข้าที่อื่น ซึ่งทั้งสามตกลงกันว่าจะอยู่จนถึงชั้นสุดท้ายเพราะโรงเรียนใกล้ห้องเช่าแค่ป้ายรถเมล์เดียว

ด้วยเพราะบ้านเช่าใกล้ปั๊มน้ำมัน ตระการและพวงครามจึงไปสมัครเป็นพนักงานปั๊ม คำตอบที่ได้รับคือ ทั้งสองแก่เกินกว่าจะเป็นเด็กปั๊ม

แต่ฟ้ายังปรานี เที่ยงวันหนึ่งตระการกับพวงครามทำแจ่วปลาร้ากับตำส้มตำหิ้วมาฝากเจ้าของปั๊มหวังจะได้รับความเมตตาจากผู้บริหารหนุ่มที่ยังดูอ่อนเยาว์อยู่มาก ทั้งสองอยากได้งานทำพอให้มีเงินรายวันเป็นค่าใช้จ่ายบ้าง หนุ่มเจ้าของปั๊มรับของฝากแล้วส่งให้เมียสาวพร้อมกับปฏิเสธว่ารับทั้งสองเข้าทำงานไม่ได้จริงๆ

ตระการกับพวงครามเกือบจะสิ้นหวัง...แต่แล้วแจ่วปลาร้ากับส้มตำปลาร้าฝีมือของทั้งสองก็ออกฤทธิ์เมื่อเมียสาวของเจ้าของปั๊มบอกว่า

‘มีที่ว่างหน้าปั๊มสองสามเมตรน่ะ...ลองตำส้มตำขายดูสิเผื่อจะมีรายได้...ไม่คิดค่าเช่าหรอกนะ...แต่เวลาฉันมาช่วยงานเฮียที่ปั๊ม พี่ก็ตำส้มตำเข้ามาให้กินแนเด้อ’

ได้เจอะเจอ ‘คนบ้านเดียวกัน’เพราะคำว่า ‘แนเด้อ’เข้าเท่านั้น คู่สามีภรรยาก็มีทั้งแรงกายและแรงใจที่จะสู้ต่อไป

 

ร้านส้มตำเพิงหมาแหงนเล็กๆหน้าปั๊มน้ำมันเปิดวันแรก คนประเดิมคือภรรยาของเจ้าของปั๊มและเด็กปั๊มซึ่งขายได้ไม่กี่ครก ตระการกับพวงครามมองหน้ากันตาปริบๆ ต่างพูดไม่ออก...แต่ทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ

เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนชื่อเสียงในเรื่องรสชาติและความสะอาดในการทำอาหารอีสานของสองสามีภรรยาก็ระบือไปไกล พนักงานบริษัทในตึกแถว ชาวบ้านย่านนั้นต่างก็เป็นลูกค้าส้มตำของ ‘เอื้อยพวง’ ก่อนเวลาพักเที่ยงแต่ละวัน จะมีคนมาส่งใบสั่ง แต่ละใบรายการยาวเป็นบัญชีหางว่าว บางรายมายืนรอ เป็นชั่วโมงกว่าจะถึงคิว

เด็กชายฟ้าครามต้องพลอยตื่นแต่เช้ามาช่วยพ่อแม่ปอกมะละกอล้างผักเตรียมของใส่รถเข็นไปจอดที่เพิงในปั๊มก่อนไปโรงเรียน หลังเลิกเรียนก่อนเข้าบ้านก็จะแวะที่ร้านมีข้าวของอะไรที่พอจะหิ้วกลับบ้านไปล้างได้เด็กชายก็ต้องช่วยพ่อแม่ ระหว่างรอพ่อแม่กลับมาบ้าน เขาต้องทำงานบ้านทุกอย่างเก็บกวาดเช็ดถู ซักผ้า ส่วนอาหารค่ำนั้นบางครั้งเขาก็ทำไว้เป็นกับข้าวง่ายๆ เสร็จแล้วจึงได้ทำการบ้านอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน เขาไม่ได้ออกไปเล่นนอกบ้านเหมือนเด็กเพื่อนบ้านทั่วๆไป

เวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ตระการแอบปรึกษาภรรยาว่า

‘ทำอะไรที่มันแปลกกว่าใครดีมั้ยแม่พวง’

‘อะไรล่ะพ่อ’

‘เอาครกมาวางเรียงเลยหยิบมะละกอใส่ตะกร้าน้อยๆ ใส่เครื่องเคียงเอาไว้ใครมีฝีมืออยากตำเองรสไหนก็ลงมือตำเลย...ดีมั้ย’

‘ฮ่วย...มันสิดีบ้อ...ถ้าเขาตำแซ่บกว่าเฮาล่ะพ่อมึง...บ่...บ่...ข้อยตำเอง’ พวงครามยังหวงวิชา

‘ซั่นเบาะ...เอ๊าหาแนวแปลกมาเป็นจุดขายให้ร้านเราเจ้าก็บ่มักเนาะ’

‘ผมว่าดีนะแม่...พ่อ...วิธีที่พ่อว่าน่ะ’เด็กชายฟ้าครามแสดงความคิดเห็นบ้าง

มันก็ได้ผลในระดับหนึ่งในความแปลกเพราะมีลูกค้ายินดีที่จะทำเองกินเองอยู่เช่นกัน แต่ทุกคนก็อยากกินของอร่อยฝีมือนายตระการกับนางพวงครามมากกว่า

นอกจากลูกค้าในย่านนั้นมารุมล้อมร้านแล้ว คนที่ติดใจอาหารอีสานร้านนี้ก็เขียนไปบอกรายการโทรทัศน์แนวเที่ยวไปชิมไปให้มาพิสูจน์ และแน่นอนว่าเมื่อรายการโทรทัศน์มาที่ร้านโปรดิวเซอร์รายการก็ชอบใจที่สามีภรรยาคู่นี้รูปร่างหน้าตาดี และมีลูกชายกำลังเริ่มเป็นวัยรุ่นหน้าตาดีด้วยเหมือนกัน ทุกคนดูสะอาดสะอ้าน แม้ว่าร้านจะเป็นแค่เพิงเล็กๆ โปรดิวเซอร์รายการแนะนำว่า

‘น่าจะเปิดร้านแบบเล็กๆอาจจะเป็นตึกแถว หรือซุ้มอาหารที่มีโต๊ะให้คนนั่งบ้าง มีเด็กมาช่วยอีกสักคนสองคน...ผมว่าอีกไม่นานคนจะมาตามหาส้มตำรสชาตินี้นะ’

เป็นคำแนะนำที่คู่สามีภรรยาเก็บกลับไปนอนแขนก่ายหน้าผากคิดอยู่หลายคืน และในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่



[1]ประเทศสมมติ โดยผู้เขียน

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (68 รายการ)

www.batorastore.com © 2024