ภูติสาวสื่อรัก (เพ็ญศิริ)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทที่ 1 โดย เพ็ญศิริ (และแล้วก็ได้เวลาใช้หนี้สินเสียที)
นิวหรรษาคาเฟ่
ลินินก้าวเท้าผ่านประตูไม้อัดเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างขวางนัก ภายในห้องนี้มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยสำหรับสาวโสดที่เข้ามาแต่ตัวพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบอาศัยอยู่ได้อย่างสะดวกสบายพอสมควร นับจากเตียงนอนขนาดย่อมตั้งติดผนังห้อง พร้อมหมอน ผ้าห่ม ตู้ไม้บรรจุเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว โต๊ะเครื่องแป้งแม้จะดูเก่ามากไปหน่อยแต่ก็ยังดีที่มีให้ใช้ หรือ พัดลมเพดานตัวเก่าที่ห้อยต่องแต่งบนเพดานห้อง
หญิงสาวเข้ามาหยุดยืนกลางห้องใช้สายตามองสำรวจสิ่งต่างๆด้วยความพอใจ ในห้องนี้มีห้องน้ำรวมอยู่ในตัวเสียด้วย อะไรก็ไม่น่าสะดุดตาสะดุดใจผู้เข้ามาอยู่ใหม่เท่ากับเครื่องเล่นซีดี.ซึ่งวางไว้บนโต๊ะไม้เล็กๆถูกคลุมด้วยผ้าสีชมพูปักลูกไม้รอบชายผ้าตั้งข้างขอบเตียงด้านนอกหนึ่งเครื่อง
“ฉันส่งเธอแค่นี้ล่ะนะ แม่ลินิน ถ้าอยากได้อะไรก็ไปบอกทีหลังแล้วกัน”
ป้าโฉม หญิงดูแลห้องพักคนทำงานหญิงผู้พาหญิงสาวมาส่งพูดเสียงสั่นๆ นางยืนอยู่แค่หน้าประตูห้องส่งสายตาเลิ่กลั่กมองเข้ามา นางบอกกล่าวสั้นๆเพียงแค่นั้นก็รีบหันหลังเดินลิ่วๆกลับไปทางเดิมแล้วหายลับตาในเวลาอันรวดเร็ว ทิ้งลินินยืนถือกระเป๋าเคว้งอยู่ที่เดิมคนเดียว
หญิงสาวยักไหล่หันกลับไปใส่ใจของใช้ในห้องอีกครั้ง เสียงประตูห้องปิดดังโครมจนหล่อนอดจะสะดุ้งตกใจเสียมิได้
“อะไรกันเนี่ยทำไมป้าโฉมต้องทำท่าแปลกๆอย่างนั้นด้วยก็ไม่รู้”
หล่อนบ่นคนเดียวแล้ว ลากกระเป๋าหนังเทียมออกมารูดซิปเตรียมจะรื้อสัมภาระทั้งหลายข้างในออกมาจัดเข้าที่เข้าทาง วันนี้นับว่าไม่เลวสำหรับลินินเสียทีเดียวนักหรอก เพราะถึงยังไงหล่อนก็ยังได้งานในคาเฟ่แห่งนี้แม้จะไม่ได้เป็นนักร้องก็ตาม
“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรจะทำล่ะวะนังนิน”
ลินินพูดปลอบใจตัวเองคนเดียวก่อนจะหัวเราะประชดชีวิต การหางานได้ถือเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีนี้ก็ว่าได้ หลังจากครอบครัวชีวิตชาวนาของหล่อนถูกทารุณกรรมด้วยวิกฤตภัยแล้งมาสองปีแล้ว ปีกลายใครๆก็บ่นว่าเมืองไทยร้อน แห้งแล้งย่ำแย่ แต่ปีนี้หนักหนากว่าปีก่อน ถึงขนาดน้ำในเขื่อนทั้งหลายพากันแห้งขอดแทบไม่เหลือใช้ รัฐต้องตัดสินใจเก็บตุนน้ำส่วนที่เหลือไว้ให้ประชาชนใช้อุปโภค บริโภคกันก่อน ส่วนพวกเกษตรกรนั้นต้องชะลอการทำไร่ไถนาเอาไว้ชั่วคราว จนกว่าฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล เรื่องนี้ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าฝนจะตกตามปรกติเมื่อไร
ต้นกล้าที่บ้านหล่อนพากันเสี่ยงทายหว่านไถ บัดนี้ยืนต้นตายแห้งหมดเกลี้ยง คงเหลือเพียงซากต้นกล้าสีเหลืองซีดคาทุ่งนาเป็นอนุสรณ์ความเจ็บปวดให้กับพวกชาวบ้านอันได้ซื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศไทยเท่านั้น เมื่อหมดทางจะต่อสู้กับความแร้นแค้น ลินินจึงต้องหอบกระเป๋าเสื้อผ้าบากหน้าเข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำ อาศัยความเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี แถมเสียงก็ใส ในที่สุดหล่อนก็ได้งานเป็นนักร้อง ด้วยเงินเดือนและเงินพิเศษอีกเล็กน้อยเป็นผลตอบแทน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำเลย
“ทนๆเอาหน่อยเหอะนังนิน เดี๋ยวพอฝนฟ้ามันตกแกค่อยกลับไปไถนาปลูกข้าวเหมือนเดิม”
หล่อนเติมกำลังใจให้กับตัวเองด้วยคำพูดประโยคนั้น รอยยิ้มระรื่นเปลี่ยนเป็นขื่นขมเมื่อคิดถึงพ่อแม่กับเครือญาติที่อยู่บ้านนอกคอกนา หญิงสาวสลัดความเศร้าทิ้งโดยหันมาใส่ใจกับเสื้อผ้าของใช้ในกระเป๋า ขณะเริ่มต้นรื้อทุกอย่างออกมาสัมผัสส่วนหนึ่งก็บอกตัวเองว่าบรรยากาศในห้องกำลังเปลี่ยนแปลงไป จากทีแรกเย็นสบายก็กลายเป็นอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ
ลินินลุกไปเปิดหน้าต่างบานคู่ แต่เมื่อยังรู้สึกร้อนอยู่หล่อนก็กดปุ่มพัดลมเพดานช่วยอีกทาง มอเตอร์เริ่มทำงานมีเสียงดังออดแอดบอกอายุการใช้งานนานปีได้เป็นอย่างดี ใบพัดทั้งสามเริ่มหมุนช้าๆก่อนจะกลายเป็นหมุนติ้ว ก้านของมันแกว่งไกวจนดูน่ากลัวว่ามันอาจจะหลุดผัวะลงมาทั้งยวงได้ตลอดเวลา
“เฮ้อ...นังนินเอ๊ยเกิดมาเป็นคนจนอย่าขี้ร้อนนักเลย ก็ใครใช้ให้เกิดมาใช้นามสกุลจนสนิทล่ะวะ”
เพื่อปลอบใจตัวเอง ลินินเลยลุกขึ้นมาเต้นจังหวะบ้าๆบอๆด้วยเพลงเลือกเกิดมาจน ทั้งร้องทั้งเต้นออกลีลากวนโอ๊ยเต็มที่ หล่อนได้ยินเสียงร้องของตัวเองสะท้อนกลับเข้าหู แต่เวลาผ่านไปหล่อนก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินเสียงอื่นสอดแทรกเข้ามาด้วย
ทีแรกลินินไม่สงสัยอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป หล่อนก็มั่นใจว่าหล่อนได้ยินเสียงนั้นจริงๆ เป็นเสียงผู้หญิงกำลังหัวเราะแหลมลึกตัดกับเสียงร้องเพลงของหล่อน หญิงสาวหยุดร้องเพลงทันที พอหล่อนหยุดร้องเสียงหัวเราะนั้นก็เงียบหายตามไปด้วย
“สงสัยเราจะหูแว่วไปเอง ใครที่ไหนจะมาหัวเราะในห้องนี้ก็มีเราอยู่แค่คนเดียวนี่นานังลินิน”
หล่อนเอ็ดตะโรตัวเอง หันมาแยกเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้จนหมดทุกชิ้น ลินินรู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำขึ้นมา เมื่อหล่อนคว้าขันสบู่จะเข้าห้องน้ำ..แวบหนึ่งนั้น หญิงสาวเกิดอาการเสียวสันหลังวูบ..จนต้องรีบหันขวับกลับมามองกลางห้อง ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองหล่อนจากตำแหน่งใดแห่งหนึ่ง..ซึ่งอยู่ในห้องนี้เอง.
*********************************************
คืนแรกของการทำงานเริ่มต้นขึ้น ลินินในชุดเสื้อกับกางเกงขาสั้นแต่งหน้างดงามกับบทเรียนชีวิตบทใหม่ที่หล่อนไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลย
“เธอดูพวกนักร้องรุ่นพี่เค้าร้องกันไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ร้องเก่งเองล่ะงานร้องเพลงมันไม่ยากเย็นอะไรหรอก”
คุณติ๊กผู้ทำหน้าที่แคชเชียร์และผู้จัดการร้านกลายๆควบคู่กันไปบอกนักร้องสาวหน้าใหม่ เมื่อเห็นลินินยังเงอะงะกับหน้าที่การงานของตัวเอง หล่อนต้องคอยตั้งใจดูนักร้องสาวรุ่นพี่ สาม สี่คนที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีกล่อมใจพวกนักเที่ยวกลางคืนทั้งหลาย
ลินินถูกจัดให้ร้องเพลงช่วงกลางๆหลังคาเฟ่เปิดแล้ว เพื่อให้หล่อนดูนักร้องในร้านร้องนำร่องไปก่อน พวกนักเที่ยวพากันซื้อพวงมาลัยไปคล้องคอนักร้องสาวที่ตนหลีเอาไว้ แต่ละรายท่าทางเหมือนคนหนีเมียมาเที่ยวทั้งนั้น
“เฮียดูฤกษ์ยามก่อนออกจากบ้านมาดีแล้วเหรอคะ แน่ใจนะว่าเจ๊ที่บ้านไม่รู้ว่าเฮียมาร้านนี้”
“รับรองจ้ะหนูจ๋า เฮียวางยานังพยูนม่อยหลับสนิท กว่าจะตื่นก็โน้นเลยพระออกบิณฑบาตกลับวัดแล้ว”
เพื่อนชายที่มาด้วยกันฮาครืนชอบอกชอบใจ พลอยให้นักร้องสาวประจำร้านหัวเราะคิกคักตามไปด้วย
“ยังไงก็อย่าให้เหมือนกับคืนนั้นนะคะ แหมหนูรับลูกแทบไม่ทัน เกือบถูกหม้อไฟเขวี้ยงใส่หัวแน่ะ”
“แฮ่ะๆรับรองจ้ะไม่มีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมแน่ เฮียเอาหัวเป็นประกันเลย”
“หัวล้านของแกจะทำอะไรได้วะ ฉันเห็นแต่พอเมียมาตามทีไรแกมุดหัวซุกใต้โต๊ะทุกที”
“ไอ้บ้า...ที่มุดน่ะมุดหาซองโว้ย”
คนโดนแซวเถียงอุบอิบหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์น้ำเมาบวกกับอารมณ์อาย เพื่อนๆยังคงสนุกสนานเฮฮาตามประสาคนหนีบ้านใหญ่มาพักผ่อนคลายเครียด นักร้องสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยวพากันเข้ามานั่งประกบเสี่ยกระเป๋าหนักหวังรับทรัพย์ก้อนโต
“ของอะไรของแก หลวงพ่อโกยใช่หรือเปล่า”
“เออพวกแกก็เหมือนกันแหละ อย่าหาเรื่องแซวแต่ฉันคนเดียว เห็นเวลาเจอหน้าเมียแล้วเหลือสองนิ้วกันทั้งนั้น”
“เฮ้ยฉันไม่ได้กลัวเมียนะโว้ย ใครว่าฉันกลัวเมีย..เข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่กลัวเมียแค่เกรงใจนิดหน่อยใช่มั๊ยคะป๋า”
“ฮา....”
บทสนทนาถูกลูกถึงโคนด้วยเรื่องสัพเพเหระ คุยกันไปก็ดื่มกันไป พวกนักร้องสาวหรือพวกรีเซฟชั่นก็สั่งดริ้งกันไปเรื่อยๆ จนน้ำแข็งหมด ลินินซึ่งยืนคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ หล่อนมัวแต่มองนักร้องสาวบนเวทีเพลินจนลืมดูหน้าที่ของตัวเอง จึงถูกรีเซฟชั่นสาวคนหนึ่งตวาดเรียกเสียงดัง
“แม่อะไรนั้นน่ะ มัวนั่งเซ่ออยู่ทำไม ไม่เห็นเหรอว่าน้ำแข็งโต๊ะเฮียเค้าหมดแล้ว”
“เอ้อ หนูขอโทษค่ะเดี๋ยวหนูไปเอามาให้นะคะ”
ลินินสะดุ้งรีบเข้าไปยกถังน้ำแข็งจะเดินออกมา อาการรีบลนนั้นทำให้หล่อนเผลอตัวปัดแก้วเหล้าแขกตกพื้นแตกกระจายเหล้าหกเกลื่อน พวกสาวๆที่นั่งอุทานกรี๊ดรีบลุกจากเก้าอี้อย่างตกใจ
“ว้าย..ทำไมแกทำแบบนี้ฮึ ซุ่มซ่ามจริงๆดูซิทำแก้วเหล้าแขกแตกกระจาย.”
พราวเดือน นักร้องสาวดาวเด่นประจำร้านชี้หน้ากรี๊ดกร๊าดดังลั่น ลินินใจหายวาบอุทานในใจงานเข้าตั้งแต่หัวค่ำ
“เอ้อ...ฉันขอโทษค่ะฉันไม่ตั้งใจ”
หล่อนรีบยกมือไหว้เจ้าของแก้วเหล้าที่ลุกขึ้นมามองหล่อนด้วยสายตางงๆ พราวเดือนยังไม่ยอมหยุด ดูเหมือนหล่อนพยายามจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียให้ได้
“แค่ขอโทษมันช่วยอะไรได้ยะ แกซุ่มซ่ามอย่างนี้เท่ากับแกไม่ให้เกียรติแขก รู้มั๊ยแกกำลังจะทำให้ร้านเค้าเสียชื่อ ไม่ได้..เดี๋ยวฉันจะต้องบอกเจ้าของร้านให้รู้เรื่อง อ้อย อ้อย ไปตามเสี่ยมาดูโต๊ะนี้เร็วเข้า”
“อย่าเลยหนูเดือน ปล่อยไปเถอะเด็กเค้าคงจะไม่ตั้งใจจริงๆน่ะแหละ หน้าตาซื่อๆท่าจะเป็นเด็กเข้ามาใหม่ล่ะซิ”
“ค่ะหนูเพิ่งจะมาร้องเพลงคืนนี้เป็นคืนแรกค่ะ”
“อ้อ มิน่าล่ะถึงยังไม่เก่งงาน ไม่เป็นไร.ถือว่าแล้วกันไปซะ คราวหน้าหัดระวังกว่านี้หน่อยนะหนู”
“อุ๊ยเสี่ยคะจะปล่อยไปง่ายๆได้ไงกันคะมันเสียระบบการทำงานหมด คนซุ่มซ่ามแบบนี้ขืนรับเอาไว้เดี๋ยวก็ก่อเรื่องอีก”
พราวเดือนยังไม่ยอมหยุด แม้ลูกค้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวแล้ว ลินินซึ่งยืนสงบเสงี่ยมฟังอยู่ชักวิบขึ้นมา มันจะอะไรกันนักกันหนากะแค่ทำแก้วเหล้าแขกตกแตกใบเดียวอย่างกับหล่อนจะทำไฟไหม้ร้านงั้นแหละ
“ไปซิอ้อย ไปตามเสี่ยเด่นมา ฉันสั่งให้แกไปตาม..”
“นี่พี่สาว..เรื่องแค่นี้ใจคอจะเอาเรื่องฉันให้ตกงานเชียวเหรอคะ ตัวเสี่ยเค้ายังไม่ว่าอะไรคุณกลับโวยวายแทนเค้า คุณทำไปเพื่ออะไรไม่ทราบคะ”
ลินินสิ้นความอดทนจึงโต้ตอบกลับไปบ้าง พราวเดือนสั่นเทิ้มลุกขึ้นมาจ้องหน้าสาวเสิร์ฟตนใหม่ตาแทบถลน
“แกอยากมีเรื่องกับฉันใช่มั๊ย”
“เปล่าค่ะก็ฉันขอโทษแล้วไงคะคุณจะเอายังไงกับฉันอีก”
“เออน่าเรื่องจิ๊บๆให้มันจบซะ หนูเดือนก็อย่าไปเอาเรื่องราวเด็กใหม่เค้าเลย สงสารเค้าเถอะ”
พราวเดือนยืนกำมือฮึดฮัด ครั้นจะเดินเรื่องต่อก็ดูจะไม่งามเพราะไม่มีใครอยู่ข้างหล่อนเลยสักคน พอดีดนตรีขึ้นเพลงที่หล่อนจะร้อง เพื่อนนักร้องสะกิดบอก นักร้องสาวสวยเข้มจึงเดินสะบัดสะโพกออกจากโต๊ะไปขึ้นเวที ท่ามกลางความโล่งอกของทุกๆคน
ลินินทำหน้าที่ของหล่อนต่อไปจนดึกดื่น ประสบการณ์ทำงานคืนแรกสอนให้หล่อนรู้ว่า การเป็นนักร้องอยู่ที่นี่ไม่ง่ายดายนัก
คืนนั้น หลังเลิกงานแล้ว หญิงสาวกลับขึ้นห้องพักด้วยความเหนื่อยล้า ดึกดื่นแต่ อากาศยังร้อนอบอ้าว ขนาดเปิดพัดลมก็ยังเอาไม่อยู่ หญิงสาวจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างแบบบานคู่เพื่อช่วยรับลมอีกทาง
หลังจากล้มตัวลงนอนคิดเรื่องต่างๆได้พักหนึ่ง ลินินก็เริ่มง่วงงุนใกล้จะผล็อยหลับ แต่เสียงหน้าต่างที่ดังเข้ามาปะทะกันดังโครมครามก็ทำให้หล่อนสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่ง เมื่อหล่อนมองไปทางหน้าต่างห้องคู่นั้น....ลินินก็ต้องเบิกตากว้างอุทานเบาๆ
*******************************************