นางพญาไฟ (หงส์หยก)

นางพญาไฟ (หงส์หยก)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: นางพญาไฟ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1

 อดีตกาลกว่า 500 ปี...

อาณาบริเวณเกาะขนาดใหญ่   พื้นที่โดยรอบรายล้อมด้วยเกาะเล็กๆ กว่าร้อยเกาะ ดินแดนกว่าครึ่งปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณสลับกับทิวเขา โอบล้อมด้วยหาดทรายสีเขียวมรกต ส่งประกายระยิบระยับสะท้อนเปลวแดด รัศมีแวววาวเจิดจรัสประหนึ่งเกาะสวรรค์ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์

ในดินแดนอันสวยงามเป็นที่ตั้งของ “นครอัญญาวี” ปกครองตัวเองแบบรัฐอิสระมายาวนาน ผู้ครองนครคนปัจจุบันคือ“เจ้าหลวงซลาซอ” ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากบิดาผู้ล่วงลับไปไม่นาน

เจ้าหลวงซลาซอปกครองนครเคียงคู่พระชายาคือ“เจ้านางราวียา” ท่ามกลางกระแสคัดค้านของบรรดาผู้รับใช้ใกล้ชิด อันเนื่องมาจากภูมิหลังในพระชายา ที่เป็นเพียงหญิงสาวชาวป่าในแถบหัวเมืองเล็กๆ ที่ตกเป็นเมืองขึ้น

ในคราวที่เจ้าหลวงซลาซอเสด็จเข้าป่าล่าสัตว์ได้พบพระนางเข้าโดยบังเอิญ ความสวยงามของเจ้านางราวียา ทำให้เจ้าหลวงซลาซอหลงใหล ถึงขนาดพาเข้าสู่นครและแต่งตั้งเป็นพระชายา กระแสคัดค้านจากเหล่าขุนนางและผู้เกี่ยวข้องแม้มีอยู่บ้าง แต่กลับถูกตัดความสำคัญไปโดยสิ้นเชิง ด้วยยึดมั่นว่า ผู้ครองนครคือผู้ถูกคัดเลือกแล้วซึ่งความเป็นหนึ่ง และเป็นใหญ่ในการตัดสินใจ

 ชาวนครอัญญาวียังพากันเชื่อว่า ผู้ปกครองนครสืบเชื้อสายมาจากเทพสวรรค์ ที่ตามตำนานเล่าขานต่อกันมาว่า ก่อนจะเกิดนครแห่งนี้นับถอยหลังไปเมื่อ 2000 ปี‘เทพอมิตา’แห่งสรวงสวรรค์ทำผิดกฎอย่างร้ายแรง ด้วยการมีสัมพันธ์กับมนุษย์และตั้งครรภ์  เทพอมิตาเนรมิตรเกาะอัญญาวีขึ้นมาเพื่อให้เป็นบ้านและที่อยู่ของลูกและสามี ในวันจันทรคราสเทพอมิตาจะลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อเยี่ยมลูกของนางและชาวเมืองทั้งหลาย

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ในวันจันทรคราส เหล่าชาวเมืองและวังหลวงจะมีการจัดพิธีเซ่นไหว้ ขอพรเทพอมิตากันทั่วหน้า เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตน

 ชาวเมืองทั้งหลายถูกปลูกฝังให้นับถือเทพอมิตามายาวนาน ต่างเชื่อว่าเป็นผู้ดูแลความเป็นไปของเกาะทั้งหมด รวมไปถึงความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าต่างๆ มากมาย ในนครแห่งนี้มีตัวแทนในการทำหน้าที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับทำนายดวงชะตาเมือง รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนเกาะ นั่นก็คือ ‘แม่เฒ่า’  

แม่เฒ่าเป็นตัวแทนของการหยั่งรู้ฟ้าดิน แถมยังเป็นบุคคลที่เจ้าหลวงหลายราชวงศ์ต่างให้ความเคารพและเชื่อมั่น ที่พักของแม่เฒ่าคือวิหารศักด์สิทธิ์ อยู่เลี่ยงออกไปจากตำหนักหลวงไม่ไกลกัน

ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยเครื่องบูชามากมาย รวมไปถึงรูปปั้นของท่านเทพอมิตาที่สวยสง่าดูน่าเกรงขาม ภายในวิหารหลวงนอกจากจะมีแม่เฒ่าแล้ว ยังมีบรรดาแม่เฒ่าฝึกหัด ซึ่งเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์อีกหลายคน ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามารับใช้แม่เฒ่า รวมไปถึงการฝึกวิชาต่างๆ จากแม่เฒ่าเพื่อเป็นตัวแทนในยามที่หัวหน้าแม่เฒ่าจากไป

แม่เฒ่าคนปัจจุบันคือแม่เฒ่าซาบีฮา ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแม่เฒ่าต่อจากหัวหน้าแม่เฒ่าชราผู้ล่วงลับ

 สำหรับแม่เฒ่าซาบีฮานั้น ถือว่าได้รับตำแหน่งแม่เฒ่าด้วยเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากมีความฉลาดเฉลียว สามารถเรียนรู้ทุกอย่างจากหัวหน้าแม่เฒ่า ได้ดีกว่าหลายคนที่ฝึกฝนอยู่ด้วยกัน นางจึงได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแม่เฒ่าด้วยวัยเพียง 30 เศษ

 

ภายในท้องพระโรงใหญ่ที่วังหลวงเช้านี้ มากหน้าไปด้วยเหล่าเสนาบดีและขุนนางผู้ใกล้ชิด ที่ต่างถูกเรียกเข้ามาประชุมกัน เพื่อรายงานสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง

เจ้าหลวงซลาซอนั่งเคียงคู่พระชายาบนตั่งตัวใหญ่สีทอง ที่ยกระดับอยู่สูงขึ้นไปจากบุคคลอื่น ถัดลงมาเป็นที่นั่งของซาบีฮา ที่ปูด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์อย่างดี โดยมีซาบีฮานั่งนิ่งสงบอย่างผู้อยู่ในธรรม

ยูเซะเสนาบดีคนสนิทของเจ้าหลวง กำลังถวายรายงานถึงสถาการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นว่า

“ข้าแต่เจ้าหลวง บัดนี้รายรอบนครกำลังเกิดความเดือดร้อนอย่างหนัก พืชสวนไร่นาถูกสัตว์ป่าบุกเข้ากัดกินจนเสียหาย”

ท่วงท่าทะมัดทะแมงห้าวหาญสมชายชาตรี ทำให้เป็นที่เกรงขามของผู้อยู่แวดล้อม ด้วยยูเซะผู้นี้มีทั้งไหวพริบอันชาญฉลาด วัยเพียง 30 ตอนกลางที่ขึ้นมาเป็นถึงเสนาบดีผู้ใกล้ชิด แถมยังเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าหลวงมาแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้แต่ละคนพากันให้ความยำเกรง

เสียงขุนนางอีกคนที่อยู่ใกล้กัน บอกเพิ่มเติมว่า “ฝั่งตะวันออกรายรอบหัวเมืองด้านนอก ได้รับรายงานว่า ขณะนี้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากพระเจ้าค่ะ”

สีพระพักตร์เจ้าหลวงซลาซอเปลี่ยนเป็นซีดเซียว หวั่นพระทัยไม่น้อย

“จัดส่งหมอยาเข้าไปดูแล้วรึ”  

“หมอยาไม่กล้าไปสักคนพระเจ้าค่ะ หวั่นว่าจะติดโรคกลับมา”

“แล้วมีผู้ใดรู้หรือไม่ ว่าโรคที่พวกชาวเมืองเป็นอยู่คือโรคใด”

“โรค..โรค...พระยอดพระเจ้าค่ะ”

ชื่อของโรคดังกล่าว ทำเอาเจ้านางราวียายกพระหัตถ์ขึ้นทาบพระอุระ สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ด้วยรับรู้ว่าคือโรคฝีชนิดร้ายแรงที่หากมีผู้ใดติดโรคนี้เข้าไป ทางรอดยากเหลือเกิน

 “แต่ละคนที่เป็นมีฝีตุ่มใหญ่ผุดขึ้นตามตัวเต็มไปหมดพระเจ้าค่ะ แถมยังตัวร้อนไข้ขึ้น คนที่เป็นมากก็ล้มตายไปก่อนหน้าพระเจ้าค่ะ”

เจ้าหลวงซลาซอข่มพระทัยให้เย็นลง ทรงหันไปยังซาบีฮา ที่นั่งนิ่งรับรู้เหตุการณ์เงียบเชียบ

 “แม่เฒ่า ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่”

 ‘แม่เฒ่าซาบีฮา’ ในชุดขาวยาวกรอมเท้า  ขยับกายรับรู้ถึงข้อคำถามจากเจ้าหลวง ก่อนลุกช้าๆ ก้าวเท้าเข้าไปยืนโดดเด่นบริเวณจุดใจกลางท้องพระโรง ยกมือขึ้นขยับผ้าคลุมศีรษะผืนบาง มองเห็นดวงตากลมโตที่ดูสงบราบเรียบ

 สายตาที่เหลือบมองไปยังทุกผู้คน  เฉียบคมดูน่าเชื่อถือ เค้าความงามของซาบีฮายังดูโดดเด่นไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงทรงพลังดังกังวานประกาศก้องออกมาว่า

“ดวงชะตาเมืองกำลังถึงขีดต่ำสุด...จะเกิดอาเพทครั้งใหญ่”

มีเสียงอื้ออึงของผู้อยู่ด้านใน แข่งขันกันออกความเห็นท่าทางตื่นเต้น

“เทพจากฟ้ากำลังลงโทษชาวเมือง...ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหลวง”

คำพูดดังกล่าวทำให้สายตาแต่ละคนพากันมองมายังซาบีฮาเป็นตาเดียว คาดไม่ถึงว่าจะอาจหาญบอกคำทำนายออกมาเช่นนั้นได้

เจ้าหลวงซลาซอและเจ้านางราวียาทรงเงียบงัน สายตาซาบีฮานิ่งมองไปยังเบื้องหน้า ไม่มีท่าทีหวั่นเกรงผู้ใด  บอกคำทำนายเพิ่มเติมจากนั้นว่า

“โรคไข้หัวหรือก็คือฝีห่า เป็นโรคร้ายแรง ติดต่อไปตามหัวเมืองต่างๆ ได้ง่ายหากลุกลามเข้าถึงนคร จะมิมีผู้ใดรอดพ้นจากมันได้ ข้าในฐานะแม่เฒ่า...ขอบอกคำทำนายต่อจากนั้นว่า จะถึงการวิบัติแห่งราชวงศ์”

“แม่เฒ่า...เหตุใดกล้าบอกคำทำนายเช่นนี้ออกมา” ยูเซะส่งเสียงเข้มเข้าใส่

ซาบีฮาบอกต่ออย่างไม่หวาดหวั่น “นครอัญญาวีจะถึงการวิบัติ ไม่เว้นแต่ผู้ครองนคร”

“หยุดบอกคำทำนายเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงทรงมีรับสั่งเสียงดังขึ้น

“ท่านเทพอมิตากำลังโกรธเคือง ที่เจ้าหลวงยกย่องเอาสาวชาวป่าขึ้นมาเป็นพระชายาเคียงคู่”

“ใครก็ได้พาแม่เฒ่าผู้นี้ออกไป!..” ทรงพิโรธอย่างหนัก

“ราชวงศ์อัญญาวีจะถึงการวิบัติ”

“ข้าบอกให้หยุดสบประมาทถึงราชวงศ์ประเดี๋ยวนี้แม่เฒ่า!..”  

เจ้านางราวียาน้ำพระเนตรเอ่อคลอ ทรงเสียพระทัยไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุแห่งคำทำนาย

“พาแม่เฒ่าเข้าไปขังที่คุกหลวง!..พาออกไป”

“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นกล้า...ทรงรับฟังหม่อมฉันสักนิดพระเจ้าค่ะ”

“เจ้าจะว่าสิ่งใดยูเซะ”

ยูเซะหันมาทางซาบีฮา ประมาณแบ่งรับแบ่งสู้

“หากทุกอย่างเป็นดังคำทำนายของท่าน เช่นนั้นท่านจงแจ้งทางแก้ไขมาเถิด”  

“ทางออก..มีทางเดียวเท่านั้น...หากวันใดที่เจ้านางราวียาทรงมีพระประสูติกาลรัชทายาท..จักต้องนำองค์รัชทายาทผู้นั้นมาบูชาต่อฟ้า”

“สามหาว!...”

สายตาซาบีฮาและเจ้าหลวงซลาซอสบกันนิ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร พระหัตถ์กำเกร็งแน่นจนมองเห็นเส้นพระโลหิตปูดโปน  

“ยูเซะ พาแม่เฒ่าออกไปให้พ้นหน้าข้า..หาไม่แล้วข้าจะสั่งตัดหัวมันในแดนประหารเสีย”

“ผู้ใดก็ลบล้างคำสาปมิได้ แม่เฒ่า...คือตัวแทนสวรรค์ที่จะส่งข่าวของเหล่าทวยเทพสู่หมู่มวลมนุษย์ ขอให้เจ้าหลวงทรงเชื่อ....หาไม่แล้วนครอัญญาวีจะถึงกาลวิบัติในเร็ววัน”

“ข้าบอกให้หยุด!..ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าชีวิตเยี่ยงข้า...แม่เฒ่าอ่อนประสบการณ์เช่นเจ้า เหตุใดกล้ากล่าวคำทำนายอัปยศเช่นนี้ออกมาได้  เหล่าชาวเมืองและทุกคนในที่นี้ ต่างรู้ดีว่า ข้าเฝ้ารอการกำเนิดรัชทายาทมานานเพียงใด ตามคำทำนายของแม่เฒ่าคนก่อน ราชวงศ์ของข้าจะให้กำเนิดนางพญาไฟ ตัวแทนเทพอมิตาที่จะทำให้นครเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป 4 ปีที่ผ่านยังไม่มีแววว่าเจ้านางราวียาจะทรงครรภ์ และหากวันใดข้าได้รับข่าวดีนั้น คงไม่ยอมให้ผู้ใดเอาไปบูชาฟ้าตามคำทำนายบ้าๆ ของเจ้าได้...ยูเซะ...นำแม่เฒ่าไปขังไว้ในคุกหลวงเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าว อย่าให้น้ำ จนกว่าแม่เฒ่าจะเปลี่ยนแปลงคำทำนาย”

“แต่ว่า..เจ้าหลวงขอรับ” ยูเซะทำท่าจะทักท้วง

“ข้าสั่งให้นำแม่เฒ่าผู้นี้ออกไป เจ้ามิได้ยินรึ หาไม่แล้ว ข้าจะตัดหัวมันเสียด้วยมือของข้าเอง” รับสั่งพร้อมทรงลุกขึ้นจ้องพระเนตรแวววาว

“เจ้าพี่เพคะ พระทัยเย็นก่อนเถิด” เจ้านางราวียาทรงยื้อพระหัตถ์ไว้

 “ไม่ว่ารัชทายาทคนใดที่จะมีพระประสูติกาลออกมา ล้วนจักต้องมีอันเป็นไป...จักต้องมีอันเป็นไปๆๆๆ”

 เสียงซาบีฮาตะโกนก้อง ระหว่างการถูกยูเซะลากพาออกไปจากสถานที่แห่งนั้น

 เจ้านางราวียาทรงเสียพระทัยอย่างหนัก กรรแสงซบอยู่เคียงข้างพระสวามี  เจ้าหลวงซลาซออยู่ในพระอาการห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวแรง  

“เจ้าพี่...หม่อมฉันเป็นต้นเหตุทำให้นครถึงกาลวิบัต..หม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ”

“เจ้าอย่าไปเชื่อคำทำนายบ้าบอนั่น  อย่างไรเสีย พี่ก็ไม่เชื่อคำจากแม่เฒ่า”

“แต่ว่า..แม่เฒ่าเป็นตัวแทนจากฟ้า..แล้วก็ให้คำทำนายเกี่ยวกับนครถูกต้องมาหลายคราวนะเพคะเจ้าพี่”

“แต่ข้าไม่เชื่อแม่เฒ่า” เจ้าหลวงซลาซอทรงลุกขึ้นประกาศต่อทุกคนในที่นั้นว่า “คำทำนายจากแม่เฒ่าในวันนี้ ข้าจะถือว่ามิได้ยิน หากผู้ใดนำเอาไปแพร่งพรายต่อผู้อื่น หากข้ารู้..ข้าจักตัดหัว 7 ชั่วโคตร”

บรรยากาศภายในท้องพระโรงเงียบงันไปชั่วขณะ เจ้าหลวงซลาซอทรงประคองพระชายาเสด็จออกไปจากที่นั่น ระหว่างนั้นจึงมีเสียงออกความเห็นอื้ออึงของเหล่าเสนาบดีและกลุ่มขุนนางทั้งหลายดังขึ้นมาแทนที่ ทั้งทางดีและทางร้ายปะปนกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่างพากันหวาดหวั่น

 ตามทางเดินเพื่อมุ่งสู่คุกหลวงเป็นทางค่อนข้างรก ริมสองข้างทางมีหมู่มวลเถาวัลย์ขึ้นรายรอบ เนื่องจากไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแล โครงสร้างทั้งหมดก่อด้วยอิฐที่แข็งแรงรูปทรงคล้ายถ้ำ  ไม่ได้ตบแต่งหรือประดับประดาให้สวยงามแต่อย่างใด

ซาบีฮาย่ำเท้าก้าวเดินอย่างมาดมั่น นำหน้ายูเซะที่ติดตามมาทางด้านหลัง สีหน้าและท่าทางยังคงนิ่งสงบเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เดินมาได้สักครู่ยูเซะจึงร้องเรียก

“แม่เฒ่า..”

ฝีเท้าเจ้าของชื่อหยุดลง โดยไม่ได้หันมามอง

“ท่านมิรู้สึกเช่นไรเลยรึ”

“เจ้าหลวงให้เจ้าพาข้ามาคุกหลวง”

“แต่ว่า..”

“เจ้าก็รู้คำสั่งจากเจ้าหลวงศักดิ์สิทธิ์เพียงใด”

“ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ เหตุใดจึงบอกคำทำนายออกไปเช่นนั้น”

“ข้าคือแม่เฒ่า ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน คำทำนายทุกสิ่งมิได้มาจากการเสแสร้ง”

“เป็นเพราะท่านคิดว่า อย่างไรเสียเจ้าหลวงก็มิกล้าสั่งฆ่าท่าน”

“ยูเซะ ท่านก็รู้ว่าบัดนี้เจ้าหลวงมิใช่เจ้าหลวงคนเดิมแล้ว ทรงลุ่มหลงต่อพระชายายิ่งกว่าสิ่งใด”

“ข้าจักเข้าไปหาเจ้าหลวง ขอให้ยกเลิกคำสั่งเสีย”

“แต่ข้าอยากอยู่คุกหลวง”

“ท่านแม่เฒ่า...”

“ผู้ตัดแล้วทุกสิ่งเช่นข้า อยู่ที่ใดก็มิต่างกัน วันเวลานับแต่ข้าละทางโลกเข้าสู่วิหารหลวง นั่นคือทางเลือกที่ข้าได้เลือกแล้ว”

“แต่ข้าทนเห็นท่านอยู่คุกหลวงมิได้”

“โปรดอย่าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีก...ตำแหน่งแม่เฒ่าจะมัวหมองเสีย”

“ข้าจักรอวันนั้น...”

“นครอัญญาวียังมีอีกหลายสิ่งที่ข้ากับท่านจักต้องรับรู้ร่วมกัน..ขอแต่ท่านมั่นคงในวาจาและเจตนาแท้จริง” ซาบีฮาเดินนำหน้าไปตามทาง โดยมียูเซะก้าวตามไปอย่างห่วงใย

 นับว่าคำทำนายของแม่เฒ่าซาบีฮา มีบทบาทมากมายต่อความรู้สึกของเจ้านางราวียา แม้ว่าค่ำคืนนี้จะมีเจ้าหลวงซลาซอบรรทมเคียงข้าง หากแต่มิได้ทำให้ความกังวลพระทัยจางหายไป ด้วยรู้ดีว่าปฏิกิริยาที่แม่เฒ่าซาบีฮาแสดงออกมา ต่อต้านกับพระนางมากมาย

 ระหว่างบรรทมทรงยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งลูบแผ่วเบาไปที่พระนาภี น้ำพระเนตรไหลเอ่อคลอ มีเสียงสะอื้นแผ่วเบา และค่อยทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทรงกรรแสงจนผู้อยู่ข้างพระวรกายรับรู้ได้ จึงมีรับสั่งสอบถามอย่างห่วงใย 

“น้องหญิง เจ้าร้องไห้รึ”

เสียงสะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิม

“น้องหญิง เจ้าเป็นอันใดไป” ทรงลุกขึ้นรวดเร็ว

“เจ้าพี่...หม่อมฉันกลัว..กลัวเหลือเกิน..”

“เจ้ากลัวสิ่งใด” ทรงโอบประคองให้พระชายาลุกตามขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

“คำทำนายตามหลอนหม่อมฉัน..จนข่มตาหลับมิได้เพคะ”

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามิเห็นต้องกังวลสิ่งใด ในเมื่อคำทำนายมิได้เป็นความจริง”

“เจ้าพี่...เลือดข้ายังไม่มาตามกำหนด..ข้าหวั่นว่า ข้ากำลังจะมีครรภ์ให้เจ้าพี่”

“น้องหญิง...เจ้าพูดจริงรึ เจ้ากำลังจะมีลูกหรือนี่” เจ้าหลวงซลาซอทรงจับไปตามพระวรกายของเจ้านางราวียาท่าทางดีพระทัย

“เจ้ากำลังจะมีลูกให้ข้า เหตุใดจึงนั่งเศร้าเสียใจเล่า”

“หม่อมฉันกลัว..ถ้าหากหม่อมฉันตั้งครรภ์จริง มันจะเป็นไปตามคำทำนายเพคะ”

“น้องหญิง..เจ้าก็รู้ว่าแม่เฒ่านั่นทำนายผิด..หรือไม่ก็ฟั่นเฟือนไปแล้ว”

“เจ้าพี่ก็รู้ว่าแม่เฒ่าผู้นี้คือตัวแทนจากฟ้า ผู้สืบทอดบัญชาสวรรค์”

“อย่างไรข้าก็มิเชื่อแม่เฒ่า..ยามนี้ข้ากำลังดีใจ..น้องหญิงอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นกังวลอีก วันรุ่งข้าจักให้หมอหลวงตรวจความแน่ใจอีกที” ทรงผุดลุกขึ้นจากเตียง

“เจ้าพี่จักไปที่ใดเพคะ”

“ข้าจักไปคุกหลวง”

“ไปคุกหลวง?..”  

“ข้าจักไปถามแม่เฒ่า ว่าเหตุใดจึงบอกคำทำนายบ้าบอนั่นต่อข้า”

“แต่นี่ดึกแล้วนะเพคะ ไปวันรุ่งมิดีรึเพคะ เหตุใดจึงร้อนพระทัยเช่นนั้นเล่า”

เจ้าหลวงซลาซอทรงเร่งดำเนินออกไปจากห้องแทนคำตอบ โดยไม่สนใจฟังคำทักท้วงใดๆ   

                                                           ***********

แสงไต้วิบวับขยับไหวตามแรงลม ส่องให้เห็นทหารยามเดินสลับกันไปมาอยู่ด้านหน้าคุกหลวง สถานที่แห่งนี้ใช้จองจำเฉพาะผู้รับโทษที่อยู่ในราชวงศ์ กับผู้ที่มีตำแหน่งเหมาะสมเท่านั้น หากเป็นผู้ต้องโทษคนอื่นๆ จะถูกส่งไปยังที่คุมขังอีกแห่งหนึ่งห่างไกลนคร

  สิ่งอำนวยความสะดวกด้านใน มีเพียงเตียงนอนไม้เก่า กับโต๊ะเก้าอี้สองสามตัว เพื่อใช้นั่งเล่น ช่องหน้าต่างที่ทำให้อากาศถ่ายเทได้บ้างติดกรงเหล็กแน่นหนา เพื่อให้ผู้ถูกจองจำสามารถมองออกไปด้านนอก แต่ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

 เจ้าหลวงซลาซอเสด็จนำหน้ายูเซะเข้ามาที่นั่น ทหารยามที่เฝ้าอยู่รีบคุกเข่าลงยกมือไหว้อย่างรู้หน้าที่

“เจ้าหลวงจะเข้าไปข้างใน” ยูเซะบอกความประสงค์กับผู้เฝ้ายาม

“พระเจ้าค่ะ”

ทหารยามรี่ไปดึงสลักประตูด้านหน้า ที่ทำจากไม้แผ่นใหญ่ เพื่อให้เจ้าหลวงและยูเซะพากันเข้าไปด้านใน

ยูเซะตามเจ้าหลวงซลาซอมาหยุดอยู่ใกล้ประตูอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้เจ้าหลวงดำเนินเข้าไปเจรจากับซาบีฮาเพียงลำพัง

การมาเยือนของเจ้าหลวง เหมือนซาบีฮารับรู้อยู่ก่อนแล้ว ระหว่างนั่งหันหลังนางเอ่ยขึ้นว่า

“คงมีเรื่องสำคัญ ถึงได้เสด็จมาหาหม่อมฉันถึงคุกหลวง”

“ข้ามาก็เพื่อหวังว่าท่านจักเปลี่ยนแปลงคำทำนาย”

“คำทำนายที่บอกถือเป็นความจริง และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ข้าคิดว่าท่านยังมิเปลี่ยนใจจากข้า จึงแกล้งสร้างคำทำนายอัปยศนี้ขึ้นมา”

ซาบีฮาใจหายวาบ เหมือนคำพูดต้องใจอย่างจัง ตวัดสายตามองเจ้าหลวงซลาซอด้วยความโกรธเคือง ก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นตัดพ้อ

“ความหลังแต่กาลเก่า นับตั้งแต่หันหน้าเข้ามาสู่วิหารหลวง ฝึกฝนทุกสิ่งเพื่อการเป็นแม่เฒ่า มันทำให้หม่อมฉันลืมเรื่องของพระองค์หมดสิ้น...วันที่พระองค์กับเจ้านางราวียาขึ้นครองบัลลังก์ หม่อมฉันก็ยินดีจากใจ...”

“ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อจะมาบอกบางสิ่งกับท่าน”

“มีสิ่งใดเพคะ”

“น้องหญิงกำลังมีครรภ์ นางกำลังจะมีลูกให้ข้า”

บรรยากาศโดยรอบเงียบงันไปชั่วขณะ สายตาซาบีฮาที่มองตรงไปเบื้องหน้า ยังคงราบเรียบไม่มีท่าทียินดีหรือขัดแย้ง

“พระองค์มาเพื่อจะบอกหม่อมฉันด้วยเรื่องนี้”

“ข้ามาเพื่อจะบอกเจ้าว่า ข้ามิได้เชื่อตามคำทำนายของเจ้า ลูกข้าที่จะถือกำเนิดในอีกไม่ช้า จะเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ หรือไม่เขาอาจเป็นนางพญาไฟที่ทุกคนรอคอย”

“ช่างน่าเวทนานัก...”

“เห็นแก่ความที่ท่านกับข้าเคยมีเยื่อใยอันดีต่อกัน อีกอย่างข้าก็อารมณ์ดีขึ้นมากกับข่าวนี้ ข้าจะปล่อยท่านกลับคืนสู่วิหารหลวง  แต่ข้าจำต้องกักกันบริเวณห้ามมิให้ท่านออกไปที่ใด กระทั่งถึงวันที่น้องหญิงมีพระประสูติกาล หากทุกสิ่งมิได้เป็นตามคำทำนาย มันคือวันตายของเจ้า”

 “แล้วถ้าหากเป็นไปตามคำทำนายของหม่อมฉันเล่า..เจ้าหลวงจะทรงเชื่อหรือไม่”

“อย่างไรเสีย ก็มิมีทางเป็นเช่นนั้นไปได้”

 “ข้าเป็นเพียงผู้สืบทอดบัญชาสวรรค์ ท่านก็รู้ว่าในความจริงนั้น ข้าเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้นสักนิด”

สายตาผู้พูด มองไกลออกไปจากช่องกรงเหล็กของหน้าต่าง

“อีกไม่นานจักเป็นคืนจันทรคราส..ท่านก็รู้ว่าเทพอมิตาจะลงมาจากสรวงสวรรค์ หากท่านโกรธเคืองขึ้นมา จักเกิดอาเพทสิ่งใดขึ้นอีก ก็สุดจะคาดเดา”

“ในคืนนั้น ข้ากับน้องหญิงจักทำพิธีบวงสรวงเทพอมิตาเอง จะบอกให้ท่านรู้ว่าข้ากำลังจะมีทายาท ข้าคิดว่าท่านเทพอมิตา น่าจะยินดีกับข้าเช่นกัน”  

“ข้าก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น”

ท่าทีหยิ่งผยองที่ไม่ยอมอ่อนข้อลงจากเดิม ทำให้เจ้าหลวงซลาซอจำต้องเสด็จกลับออกไป  โดยมียูเซะติดตามอย่างเคย

 ให้หลังผู้ทรงอำนาจพ้นไปจากคุกหลวง แววตาของซาบีฮาที่ดูเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าค่อยก้าวช้าๆ ไปยังหน้าต่างกรงเหล็ก แหงนมองท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวอวดแสงระยิบระยับ ภาพความหลังในอดีตเริ่มปรากฏในห้วงความทรงจำ

คราวนั้นซาบีฮาเพิ่งเข้าสู่วัยสาว และสนิทสนมอย่างดีกับเจ้าหลวงซลาซอซึ่งอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน สาวน้อยซาบีฮาเป็นบุตรสาวของผู้ฝึกสอนการขี่ม้าให้กับองค์ชายซลาซอ รัชทายาทชายผู้เดียวแห่งราชวงศ์อัญญาวี

บ่อยครั้งที่พากันขี่ม้าทะยานสู่โลกกว้าง ท่องเที่ยวไปตามริมหาดอันสวยงามของเกาะอัญญาวี ในคราวหนึ่งองค์ชายซลาซอ ขี่ม้าพาซาบีฮาเข้าไปยังหาดหลวง ซึ่งเป็นหาดต้องห้าม ผู้เข้าไปท่องเที่ยวในที่นั้น จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น 

บริเวณหาดต้องห้ามเป็นหาดทรายสีแดงคล้ายอิฐ มีซากเปลือกหอยนานาชนิดทับซ้อนกันหลากสีสัน เปลือกหอยที่เห็นแข็งจนเป็นหินเนื่องจากผ่านเวลายาวนาน เปลือกหอยบางชนิดตกผลึกสะท้อนประกายแดดระยิบระยับ โขดหินจากซากหอยยื่นยาวลงไปในทะเล ปะปนกับหมู่ไม้น้ำเค็มขึ้นแซมรับสลับสวยงาม  

ม้าทรงสง่าสองตัววิ่งทะยานเข้ามาหยุดบริเวณริมหาดพร้อมกัน

“สวยจังเลยซลาซอ” เสียงใสของซาบีฮาบอกบรรยาย

“เจ้าชอบใช่มั้ยซาบีฮา”

“ข้าชอบมาก” พูดพร้อมลงจากม้า กวาดสายตาไปทั่วทิศ “แต่ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามมิใช่รึ ท่านพาข้ามาทำไม”

องค์ชายซลาซอลงจากม้าของตนตามมาเช่นกัน “พามาทำความคุ้นเคยเอาไว้ เพราะอีกไม่นานเจ้าก็จะเข้ามาเป็นชายาของข้า”

“เจ้าพูดสิ่งใดออกมารู้ตัวรึไม่”

“ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้ากับข้าสนิทสนมกันเพียงใด ข้าจะบอกเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ว่าข้ากับเจ้า..”

ซาบีฮาเอามือปิดปากผู้พูด เอียงอายในที

“ที่นี่มิมีใครได้ยินดอก”

“แต่ข้าอายนี่นา”

“เจ้าอายด้วยรึที่เป็นเมียข้า”

“ซลาซอ เจ้า..” ซาบีฮาเอามือทุบอกองค์ชายมือเป็นระวิง

องค์ชายซลาซอจับมือไว้รวบร่างซาบีฮาเข้ามากอดแนบชิด ปากยังพูดพร่ำ

“ข้าจักกอดจักจูบเมียข้า ผู้ใดจะทำไม”

“ปล่อยข้านะซลาซอ”

“ข้าไม่ปล่อย”

“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“ไม่ปล่อย”

ซาบีฮาทำทีโอนอ่อนไปในอ้อมกอด หัวเราะต่อกระซิกยิ้มแย้มมีความสุข และเมื่อสบโอกาสเหมาะ ก็วิ่งหนีออกมาจนได้

“แน่จริงก็ตามจับข้าให้ได้สิ”

หญิงสาววิ่งลัดเลาะไปริมแนวชายหาด โดยมีองค์ชายซลาซอทรงวิ่งตามติด

“มาให้ข้าจับเสียดีๆ”

วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็สะดุดขาตัวเองล้มลง องค์ชายซลาซอที่ตามมาสะดุดล้มตามไปด้วย สองชายหญิงกอดกลิ้งกันไปริมชายหาด  

“เจ้าก็รู้ว่าหนีข้าไม่พ้น”

“ซลาซอ เจ้ารักข้าจริงรึไม่”

“เหตุใดถามเช่นนั้น ข้าบอกกี่คราวว่ารักเจ้า...รักเจ้าคนเดียวเท่านั้น”

ต่างพากันแหงนมองหมู่ดาวบนฟากฟ้า

“อีกสองคืนจะป็นคืนจันทรคราส จะมีการบูชาท่านเทพอมิตา  ข้าจักอธิษฐานขอพรท่านเทพ อมิตา อย่าให้ความรักของเรามีสิ่งใดมาขัดขวาง”

ซาบีฮายิ้มมีความสุข   

“ย่ำรุ่งข้าจักต้องเข้าป่าล่าสัตว์กับยูเซะ เจ้าต้องการสิ่งใดรึไม่  ข้าจะให้ผู้ติดตามหามาให้”

“ข้ามิต้องการสิ่งใด นอกจากให้ท่านกลับมาให้ข้าเห็นหน้าเท่านั้น” รอยยิ้มสดใสปรากฏในหน้า

“ชื่นใจข้านัก” สองสายตาประสานกันนิ่ง ซาบีฮาซบลงช้าๆ ในอ้อมอกขององค์ชายซลาซอ สองหนุ่มสาวดื่มดั่มความรักอิ่มเอมไปบนผืนทราย

ภาพเหตุการณ์ในอดีตจางหายไป...ขณะนี้สองมือซาบีฮาจับลูกกรงเหล็กบีบแน่น น้ำตาเอ่ออาบแก้ม  

“หลังจากย่ำรุ่งไปแล้วท่านก็กลับมาพร้อมกับแม่หญิงชาวป่าคนนั้น...” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่สักครู่ ก่อนปรับความรู้สึกกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สองมือป้ายน้ำตาให้เหือดแห้งเสีย “ข้าลืมท่านไปแล้วนี่นา...เพราะข้าคือแม่เฒ่า ผู้ตัดแล้วซึ่งทางโลก”

                                             **********

เมื่อวันจันทรคราสมาถึง บรรยากาศยามเย็นที่ด้านหน้าวังหลวง มีการจัดพิธีใหญ่เพื่อบูชาท่านเทพอมิตา ของเซ่นไหว้มากมาย ถูกนำออกมาวางที่โต๊ะตัวใหญ่บริเวณด้านหน้าวังหลวง ซึ่งล้วนเป็นของที่เหล่าสนมนางในจากห้องเครื่อง ลงมือประดิษฐ์ประดอยกันตั้งแต่ตอนเช้า  ส่วนเหล่านักบวชในชุดพราหมณ์สีขาว 9 คน ได้เข้าไปทำพิธีสวดขอพรเทพอมิตาอยู่ในวิหารหลวง มาตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ช่นกัน

 ทุกคราวในการบูชาเทพอมิตาที่ผ่านมา จะมีแม่เฒ่าเข้าร่วมพิธี โดยจะเป็นผู้นำการสวดแทบทั้งสิ้น แต่ในคราวนี้ไร้วี่แววของแม่เฒ่า ด้วยถูกตัดสิทธิ์จากเหตุผลที่ต่างรับรู้และเข้าใจกันดี

 บริเวณกลางลานกว้างอีกมุมหนึ่ง ห่างออกมาจากโต๊ะอาหาร มีกองไม้ขนาดใหญ่วางสุมกัน เตรียมก่อเป็นกองไฟ  ข้างกันมี แพะ แกะ ควาย ไก่และนกที่เสียชีวิตแล้ว นอนเรียงรายกันไป เลือดสดๆ ของพวกมัน ถูกเทใส่ถ้วยวางไว้ด้านข้าง เพื่อรอเข้าพิธีบูชาเทพอมิตา ซึ่งถือว่าเป็นเทพแห่งไฟ  

 เมื่อใกล้เวลาทำพิธี เหล่านักบวชพากันออกมายืนล้อมรอบตรงกองไม้ ท่องสวดคาถาบูชาไฟตามกัน

 ท่ามกลางเสียงสวดที่ยาวนานอีกเช่นกัน เจ้าหลวงซลาซอและเจ้านางราวียาในชุดเครื่องทรงขาวล้วน เสด็จยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ถัดไปจากวิหารหลวงไม่ไกลกัน โดยมียูเซะและทหารหลวงติดตามไปด้วย

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวถึงเป็นบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ปลูกสร้างเป็นตำหนักหินอ่อนอีกหลังหนึ่ง ภายในนั้นเป็นที่เก็บบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์  ได้เข้ามาชำระร่างกายเพื่อความเป็นศิริมงคลในวันบูชาเทพอมิตา สถานที่แห่งนี้จะมีทหารยามคอยเฝ้าดูแล ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด

นึกไม่ถึงว่า เมื่อเจ้าหลวงซลาซอและเจ้านางราวียาเสด็จเข้าไปถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ต่างพากันตกพระทัย เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคยขาวสะอาด มีสีแดงฉานกลายเป็นสีเลือด ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง

 “เจ้าพี่”  

 พระอาการตกตะลึงระหว่างเจ้าหลวงและเจ้านาง พาให้ผู้ติดตามทั้งหลาย เร่งรีบเข้ามาดูที่บ่อน้ำดังกล่าว 

สีหน้ายูเซะซีดเผือดลง ไม่ต่างจากพวกทหารที่เข้ามาด้วยกัน

“ยูเซะ เหตุใดเป็นเช่นนี้ได้” เจ้าหลวงรับสั่งถาม

 “กระหม่อม..กระหม่อม ไม่รู้เหมือนกันพระเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมเพิ่งเข้ามาสำรวจความเรียบร้อย และไม่พบสิ่งใดผิดปกติพระเจ้าค่ะ”

 “ไปตามทหารยามที่ดูแลมาพบข้า”

 “พระเจ้าค่ะ” 

 ยูเซะออกไปไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมทหารยามสองสามคน  แต่ละคนมีท่าทางตกใจกับเหตุการณ์ สีหน้าพวกมันหวาดหวั่นไม่น้อย ด้วยรู้ว่ามันคือความผิดใหญ่หลวง   

 “พวกเอ็งเฝ้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ประสาใด จึงเป็นเช่นนี้ไปได้”

 “กระหม่อม..เอ่อ..ก็มิรู้เหมือนกันพระเจ้าค่ะ ลงโทษพวกกระหม่อมเถิดพระเจ้าค่ะ”

 “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลารึไม่” เจ้านางราวียาทรงย้ำถาม

 “พระเจ้าค่ะ”

 “ยูเซะ จับพวกมันประหารบูชาไฟเสียในคืนนี้ โทษฐานดูแลรับผิดชอบบ่อน้ำแห่งนี้ได้ไม่ดี พวกมันต้องได้รับโทษถึงชีวิต”

 “เจ้าพี่..อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยเพคะ” พระชายาทรงทักท้วง

 “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ แถมเป็นวันสำคัญ หากพวกมันมิรับผิดชอบ ต่อไปจะพากันย่ามใจ ละเลยต่อหน้าที่”

 “หม่อมฉันขอชีวิตพวกเขาเถิดเพคะ..นึกว่าเห็นแก่ลูกของเราที่อยู่ในครรภ์ ขอเป็นของขวัญให้กับเขานะเพคะเจ้าพี่”

 เจ้าหลวงซลาซอทรงมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศเงียบไปสักครู่ ก่อนมีรับสั่งว่า

 “คราวนี้ถือเป็นโชคดีของพวกเจ้า..เร่งพากันออกไปพ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้”

 “พระเจ้าค่ะ” พวกทหารพากันลนลานออกไป

 “ยูเซะ”

“พระเจ้าค่ะ”

“วันรุ่งจงเกณฑ์คนมาจัดการเปลี่ยนน้ำเสียใหม่”

“พระเจ้าค่ะ”

“อย่าให้เรื่องนี้เล็ดรอดออกไปเป็นอันขาด จะพากันร่ำลือในทางร้ายเสียมากกว่า”

“พระเจ้าค่ะ”

“เจ้าคิดเช่นไรกับเรื่องนี้”

“ข้าแต่พระองค์...หรือว่า...สิ่งที่แม่เฒ่าบอกเอาไว้...”

“ยูเซะ...อย่าพูดถึงแม่เฒ่านั่นให้ข้าได้ยินอีก”

“เอ่อ..มิได้พระเจ้าค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ออกความเห็นเท่านั้น”

“เจ้าพี่...หรือจะเป็นดังคำแม่เฒ่า”

“เจ้าก็อีกคน เหตุใดชอบเก็บเรื่องนี้มาเกี่ยวข้องอีก บางทีอาจมีผู้ไม่หวังดีต่อข้ากับเจ้า..อย่างไรเสีย ข้าจักเป็นผู้ลบล้างคำทำนายนั้นให้จงได้...”

“จวนจะได้เวลาพิธีด้านนอกแล้วพระเจ้าค่ะ” ยูเซะบอกขึ้นมา

“อย่าลืมเสียเล่ายูเซะ จงอย่านำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใด”  

“พระเจ้าค่ะ”

“ไปบอกพวกที่อยู่ข้างนอก ว่าข้าพร้อมจะออกไปแล้ว”

ยูเซะรับคำแล้วเลี่ยงออกไป

“เจ้าพี่..เราข้ามขั้นตอนการอาบน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ไป จักเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ได้รึเพคะ น้องหวั่นว่า...”

“ขอเพียงน้องหญิงกับข้าสบายใจ จักทำพิธีใดก็ล้วนศักดิ์สิทธิ์ เทพอมิตามองเราอยู่เบื้องบนและคงเข้าใจ”  เจ้าหลวงซลาซอทรงให้คำมั่น 

 

บริเวณลานพิธีกำลังมีเสียงประโคมดนตรีสลับกับการเป่าสังข์ ปะปนกับเสียงตีระฆังเป็นจังหวะ ผสมผสานกับบัณเฑาะว์ฟังแล้วไพเราะกลมกลืน เป็นช่วงเวลาแห่งการรอเจ้าหลวงและเจ้านางเสด็จกลับมาเข้าร่วมพิธี

สักครู่ใหญ่เมื่อเจ้าหลวงซลาซอและเจ้านางเรวิกาพากันเสด็จเข้ามาถึง นักบวชผู้ทำพิธีนายหนึ่ง ส่งพานกำยานให้แก่เจ้าหลวงรับไปจุดบูชาเทพ ส่วนนักบวชที่เหลือเริ่มสวดคาถาศักดิ์สิทธิ์หลายบทด้วยกัน

หลังจากจุดกำยานแล้วนักบวชถวายตะเกียงศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เจ้าหลวงซลาซอทรงโยนลงไปในกองฟืนขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะลุกโชติช่วงขึ้นในพริบตา

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่หนาตาขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงสวดคลอประกอบเป็นจังหวะจะโคน ทำให้พิธีในค่ำคืนนั้นคงความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม

พิธีดำเนินไปยาวนาน ก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ต่างพากันแหงนมองดูท้องฟ้า บัดนี้จันทร์เสี้ยวที่อับแสงค่อยเพิ่มแสงทีละนิด กองไฟที่ลุกโชติช่วงส่องให้เห็นสีหน้าและแววตาของแต่ละคนที่ต่างพากันปรีดา ตั้งอกใจกับพิธีดังกล่าวเป็นอย่างดี จันทร์เสี้ยวที่ถูกบดบังแสงเอาไว้ ค่อยคลายแสงทีละนิด กระทั่งมองเห็นรัศมีจันทร์เปล่งประกายเจิดจรัสเต็มดวงในเวลาไม่นาน เหล่าผู้อยู่ในพิธีต่างตะโกนกู่ร้องแสดงความยินดี

“ท่านเทพอมิตาเสด็จแล้วๆๆๆ”

แต่ละคนต่างพากันขอพร สิ่งใดที่ปรารถนาถูกประกาศออกมาต่อหน้าแสงจันทร์และกองเพลิงที่ลุกโชติช่วง

พิธีที่จัดทำขึ้นไม่ได้มีแต่ในวังหลวงเท่านั้น หากแต่ในหมู่บ้านและสถานที่สำคัญของเหล่าชาวเมือง ได้จัดพิธีคล้ายกันขึ้นมา เพื่อขอพรจากเทพเจ้าบนสวงสวรรค์เช่นกัน

 พิธีบูชาไฟในค่ำคืนนั้นสำเร็จลงเต็มขั้นตอน เจ้าหลวงและเจ้านางพากันเสด็จกลับตำหนักเพื่อพักผ่อนพระวรกาย

 ตลอดการบรรทมในค่ำคืนนั้น เจ้านางราวียาไม่อาจข่มพระเนตรให้หลับลงได้  บ่อน้ำสีเลือดยังคงวนเวียนให้ทรงกังวลพระทัยไม่เสื่อมคลาย เมื่อเห็นว่าเจ้าหลวงทรงหลับใหลไปก่อนแล้ว เจ้านางราวียาลุกดำเนินไปยังพระแกลที่เปิดกว้าง มองเห็นแสงจันทร์ยังคงความสว่างไสว

“ข้าแต่ท่านเทพอมิตา..ข้าขอพรต่อท่าน ขอให้ลูกในท้องข้าอยู่รอดปลอดภัย อย่ามีภัยใดๆ กล้ำกลาย แม้ข้าจักเป็นเพียงหญิงชาวป่า แต่ก็หาได้ลบหลู่ต่อท่านเทพ ความรักที่มีต่อเจ้าหลวงและแผ่นดิน ไม่น้อยไปกว่าเหล่าชาวเมือง”

นับจากการบูชาเทพอมิตาผ่านพ้นไป ข่าวการทรงพระครรภ์ของเจ้านางราวียาเริ่มแพร่สะพัดออกไปต่อชาวประชา พร้อมกันนั้นยังมีข่าวคำทำนายของซาบีฮาระบาดไปทั่ว ทำให้กระแสความยินดีปรีดา กลับกลายเป็นข่าวในทางร้าย

ไม่นานจากนั้นยังมีข่าวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสีเลือด แพร่กระจายออกไปเพิ่มอีก ทำให้เหล่าชาวเมืองพากันพูดปากต่อปากว่า อาจเกิดอาเพทในนครอัญญาวี ตามคำทำนายของซาบีฮาจริงๆ

หลังจากทรงรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหลวงซลาซอทรงพิโรธอย่างหนัก มีรับสั่งให้ยูเซะเข้าเข้าในทันที

“จับทหารยามเฝ้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกคนฆ่าเสีย ข้อหาที่พวกมันทำให้ข่าวแพร่ไปทั่วนคร”

“พระเจ้าค่ะ” ยูเซะรับคำ

“ข้าจะไปพบแม่เฒ่าที่วิหารหลวง”

“ทรงมีเรื่องใดหรือพระเจ้าค่ะ”

“ข้ามีเรื่องจะตกลงกับแม่เฒ่า” รับสั่งแล้วเสด็จออกไปจากตำหนักในทันที

                                               ************

“ทรงร้อนพระทัยถึงข่าวลือที่เก็บกักไม่อยู่หรือเพคะ” ซาบีฮาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเจ้าหลวงซลาซอเสด็จเข้ามา

“ข้ามีข้อตกลงกับท่าน”

“ข้อตกลง?...”

“ข้าจักขอให้ท่านบอกคำทำนายใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ชาวเมืองอุ่นใจ ว่าข่าวลือทั้งหมดทั้งมวล เป็นเรื่องที่ผู้คนเอาไปกันพูดปากต่อปากไปเอง มิได้เป็นความจริงแต่อย่างใด”

“คำทำนายแห่งแม่เฒ่า ผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เป็นสิ่งที่ผู้คนยึดมั่น และหม่อมฉันก็ได้ให้คำทำนายที่ถูกต้องไปแล้ว คงกลับคำมิได้”

“แม่เฒ่า นี่ท่านกล้าขัดต่อข้าผู้เป็นเจ้าหลวง...ท่านไม่เข็ดรึ”

“นครอัญญาวีจะถึงกาลวิบัติ ท่านเทพอมิตาผู้หยั่งรู้ฟ้าดินได้มองเห็นแล้ว ไม่ว่าจะจับหม่อมฉันเข้าคุกหลวง หรือพาสู่แดนประหาร หม่อมฉันก็มีเพียงคำทำนายเดียวเท่านั้นเพคะ”

เจ้าหลวงทรงกำพระหัตถ์แน่น จ้องพระเนตรไปยังแม่เฒ่าที่ยังพูดไม่หยุดว่า

“นครอัญญาวีจะถึงกาลวิบัติ ฮ่าๆๆๆ”

เสียงหัวเราะก้องกังวานอยู่ในวิหารหลวง กระตุ้นความรู้สึกขุ่นเคืองให้กับผู้มาเยือน เจ้าหลวงซลาซอทรงถลาเข้าหาซาบีฮา เงื้อพระหัตถ์สุดแรง

“เจ้าหลวงพระเจ้าค่ะ” ยูเซะรีบขัดขึ้นมา “ทรงระงับโทสะเถิดพระเจ้าค่ะ...”

“ยูเซะ เจ้าไม่เห็นรึ ว่ามันกล้าดีสาปแช่งนครของข้าอีกแล้ว”

“หม่อมฉันอยากให้พระองค์ระงับโทสะก่อน หากทำสิ่งใดลงไปจะไม่เป็นผลดีต่อพระองค์นะพระเจ้าค่ะ ทรงอย่าลืมว่าแม่เฒ่าผู้นี้คือผู้ที่ชาวเมืองให้ความเคารพนับถือนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่า สำหรับแม่เฒ่า ขอให้รอถึงวันที่มีพระประสูติกาลก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ”

“ทำไมข้าต้องรอ”

“หากในวันที่เจ้านางมีพระประสูติกาลแล้ว ไม่ได้เป็นไปดังคำทำนายจริง ค่อยลงโทษแม่เฒ่าตามแต่พระทัยเถิด”

  คำบอกของเสนาบดีคนสนิทได้ผล เมื่อเจ้าหลวงซลาซอยอมลดพระหัตถ์ลงช้าๆ

“ข้าจักรอวันนั้น...วันที่คำทำนายของเจ้าไม่มีผู้ใดเชื่อถืออีกต่อไป” รับสั่งพร้อมเสด็จกลับออกไปจากที่นั่นทันที  

                                               ************

รายละเอียด

“นครอัญญาวี” ดินแดนอันสวยงามปกครองตัวเองแบบรัฐอิสระอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ชนชั้นปกครองนครสืบเชื้อสายมาจากเทพสวรรค์ชื่อว่า “เทพอมิตา”ซึ่งเป็นเทพแห่งไฟ

ชาวเมืองทั้งหลายเชื่อตามคำเล่าขานว่า ก่อนจะเกิดนครแห่งนี้นับถอยหลังไปเมื่อ 2000 ปี เทพอมิตาทำผิดกฎสรวงสวรรค์อย่างร้ายแรง โดยการลงมายังเมืองมนุษย์แล้วมีสัมพันธ์กับมนุษย์จนตั้งครรภ์ขึ้นมา ทำให้สรวงสวรรค์สั่งลงโทษสถานหนัก ไม่ให้เทพอมิตาลงมาเมืองมนุษย์อีกเลย ยกเว้นแต่เพียงวันจันทรคราสเท่านั้น

หลายคนเชื่อว่า เทพอมิตาเนรมิตร“เกาะอัญญาวี”ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของลูกและสามี บันดาลทุกสิ่งไว้สวยงามตระการตาแล้วกลับขึ้นไปรับโทษทัณฑ์บนสรวงสวรรค์ และทุกครั้งเมื่อถึงวันจันทรคราส จึงจะลงจากฟากฟ้าเพื่อเยี่ยมลูกและชาวเมือง

ชาวอัญญาวีถูกปลูกฝังให้นับถือท่านเทพอมิตา และในวันจันทรคราสจึงมีการจัดพิธีเซ่นไหว้และขอพรรวมไปถึงการบูชาไฟเพื่อความรุ่งเรืองของตน โดยมี “แม่เฒ่า” เป็นตัวแทนในการบูชาไฟ

แม่เฒ่าผู้หยั่งรู้และเป็นที่นับถือของชาวเมืองให้คำทำนายดวงเมืองไว้ว่า ในอนาคตกาลเมื่อดาวเหนือและดาวราชันย์บังเกิดขึ้นพร้อมกัน จะมี“นางพญาไฟ”มาจุติในราชวงศ์ และนางพญาไฟผู้นี้เป็นตัวแทนของเทพอมิตา ซึ่งจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่นคร เหล่าชาวเมืองและทุกคนต่างเฝ้ารอนางพญาไฟด้วยใจจดจ่อ

“เจ้าหลวงซลาซอ”ผู้ครองแคว้นเคียงข้างเจ้านาง “ราวียา”แอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับ “ซาบีฮา”หญิงสาวลูกหัวหน้าทหาร แต่กลับละเลยต่อนางไม่ยกย่องให้สูงส่งอย่างที่หวังไว้

ซาบีฮาแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ตัดสินใจเข้าไปขอฝึกวิชากับแม่เฒ่าจนสำเร็จ พร้อมกับการฆ่าปิดปากแม่เฒ่าคนเก่า เพื่อยกระดับให้ตนขึ้นมาเป็นแม่เฒ่าคนใหม่แทน

 ไม่นานเจ้านางราวียาทรงพระครรภ์ เหล่าชาวเมืองต่างตั้งตารอคอยและมุ่งหวังว่าจะเป็นนางพญาไฟลงมาจุติในราชวงศ์

 ซาบีฮาที่หาทางทำให้เจ้าหลวงและเจ้านางเจ็บช้ำใจ กลั่นแกล้งสร้างคำทำนายในทางร้าย บอกว่าลูกในครรภ์ของเจ้านางราวียาเป็นกาลากิณีแก่พระนคร จะนำมาซึ่งความวิบัติและล่มสลาย

เจ้าหลวงซลาซอทรงพิโรธอย่างหนัก ถึงกับมีรับสั่งนำตัวซาบีฮาไปขังที่คุกหลวงริมทะเลสาป ขณะที่ซาบีฮาแอบมีสัมพันธ์กับทหารหลวงจนท้องขึ้นมา พร้อมกันนั้นยังพยายามหาทางสร้างคำทำนายเป่าหูชาวเมืองว่าลูกของเธอคือนางพญาไฟ! ที่กำลังจะมาจุติ ใครจะคือนางพญาไฟ!..ที่แท้จริง 

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024