ดงคนดิบ (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 500.00 บาท 125.00 บาท
ประหยัด: 375.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เปลวเทียนมองแฟ้มหลายสิบแฟ้มบนโต๊ะทำงานตรงหน้าแล้วก็ถอนใจใหญ่ เธอจะต้องเสนองานจากแผนกต่าง ๆ เหล่านี้ให้ผู้บังคับบัญชาลงนามอนุมัติให้เสร็จสิ้นในวันนี้ เก็บใบปะหน้าของเรื่องทุกเรื่องไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัท คือ ท่านผู้อำนวยการเรียกตรวจได้ทุกเมื่อ แต่จนสิบโมงเช้าแล้วผู้จัดการก็ยังไม่ปรากฏตัว

เปลวเทียนไม่ได้นั่งว่างรอผู้จัดการ หล่อนมีงานอื่นต้องทำ กระนั้นใจก็ยังกระวนกระวายจดหมายติดต่อจากต่างประเทศ จ่าหน้าซองถึงผู้จัดการทั้งนั้น แต่คนทำงานหรือเจ้าของเรื่องที่จะต้องดำเนินงานเหล่านั้นไม่ใช่ผู้จัดการ ผู้จัดการมอบหน้าที่ให้หล่อนแยกจดหมายและส่งผู้เกี่ยวข้องเอง จดหมายเกี่ยวกับการซื้อกระดาษมาพิมพ์หนังสือต้องส่งให้หัวหน้าแผนกผลิต

เขาจะต้องรับทราบเรื่องกระดาษว่ามีพอหรือไม่ ราคาขึ้นลงอย่างไร เพราะหัวหน้าแผนกผลิตจะต้องเป็นผู้กำหนดราคา ไม่ใช่ผู้จัดการ จดหมายจากบริษัทหนังสือต่างประเทศต้องส่งให้แผนกหนังสือต่างประเทศ ก่อนแยกจดหมายส่งไป เปลวเทียนจะต้องถ่ายสำเนาจดหมายพวกนั้นแล้วเก็บเข้าแฟ้มต่างๆ ไว้ งานด้านจดหมายนี้ไม่มีอะไรหนักใจ ทุกอย่างเป็นไปตามรูปแบบของมัน ยกเว้นจดหมายส่วนตัวถึงผู้จัดการอาจมีปัญหาบ้าง บางฉบับดูไม่ออกเลยว่าเป็นจดหมายส่วนตัว เปลวเทียนเปิดออกอ่านแล้วต้องรีบพับคืนใส่ซอง ผู้จัดการไม่ว่าหรอกที่หล่อนอ่านจดหมายพวกนั้น เพราะเป็นหน้าที่ของเลขานุการอย่างเธออยู่แล้ว แต่เปลวเทียนไม่กล้าอ่านเพราะเป็นจดหมายจากผู้หญิง หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของผู้จัดการ เนื้อความมีทั้งนัดแนะ ต่อว่า ตัดพ้อ ด่าทอ มีบ้างที่โทรศัพท์มา ผู้จัดการไม่ยอมพูดด้วยต้องให้เปลวเทียนจัดการตัดรอนให้ เปลวเทียนเคยถูกด่าจากสาวสังคมปากจัดเหล่านั้น หลายครั้ง

ทั้งนี้และทั้งนั้นเพราะผู้จัดการเป็นหนุ่มประเภท ‘เพลย์บอย’ ระดับเศรษฐีเสียด้วย ภรรยาที่มีก็ไม่ค่อยลงรอยกัน ขนาดแยกบ้านกันอยู่

   แต่ผู้จัดการก็มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่เคยวอแวกับพนักงานในปกครอง เขาจะเสเพลอย่างไรก็ไม่เคยทำตนเป็น ‘สมภารกินไก่วัด’

                                          ดังนั้นสาวสวยในบริษัททุกคนไม่ว่าจะสวยขนาดนางสาวไทยหรือ

                          ดาราภาพยนตร์ผู้จัดการก็ไม่เคยยุ่งด้วย เปลวเทียนจึงปลอดภัยสบายใจในการ

                         ทำงานกับผู้จัดการคนนี้ และภรรยาของเขาก็ไม่เคยมาหึงหวงเลขานุการของสามี

                         ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจ

เปลวเทียนเพิ่งรู้ซึ้งถึงเหตุที่ผู้จัดการบริษัทนี้เปลี่ยนเลขานุการได้ทุกปี ไม่มีใครถูกไล่ออกหรอก ทุกคนลาออกทั้งนั้น ความวุ่นวายมันอยู่ที่ระบบการทำงานของบริษัทเอง ขณะนี้เปลวเทียนก็กำลังปวดหัวเต็มที เลขานุการคนก่อนรู้จักกับเปลวเทียนดี พอสมควรเพราะเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นพี่ หล่อนบอกเปลวเทียนว่า

“เงินเดือนก็ดีหรอก ผู้จัดการก็ไม่ยุ่งกับไก่วัด ถึงจะชื่อเลื่องลือว่าเจ้าชู้ งานวิชาการก็ดีได้ความรู้ ได้รู้จักคนมากมาย ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ แต่มันไม่น่าอยู่หรอกบริษัทนี้”

“ทำไมล่ะคะ” เปลวเทียนงง ในเมื่อเงินเดือนดี ผู้บังคับบัญชาดี แล้วงานก็ดี ทำไมจึงมีปัญหา

“มันไม่สงบ อยู่ไปๆ ก็รู้เองแหละน่า เปลวเป็นคนใจเย็นอาจจะทนไหวก็ได้ คนก่อนพี่ลาออกไปในสามเดือน พี่อยู่ได้เกือบปีนับว่านานแล้ว คนมันแยะ คนนั้นจะเอายังงั้น คนนี้จะเอายังงี้ โอ๊ย ปวดหัว มีแต่นายทั้งนั้น”

“เอ๊ะ ก็เราเป็นเลขาฯผู้จัดการ ทำไมคนอื่นถึงจะมาเป็นนายเราล่ะคะ”

“งานเลขาฯที่นี่ไม่ใช่งานเลขาฯจริง ๆ เปลวก็คง

เห็นว่าเขาไม่ต้องการคนที่พิมพ์ดีดเป็นเก่งชวเลข แต่เขาต้องการคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ภาษาอังกฤษฝรั่งเศสใช้ได้ ไม่ต้องการเลขาฯที่ร่างจดหมายเก่งหรือว่าสวยเตะตาไว้รับแขก แต่ต้องเป็นนักวิชาการนิดหน่อย รู้งานด้านการพิมพ์บ้าง เปลวเคยทำหนังสือมหาวิทยาลัยมา เขาถึงรับ ต้องรู้เรื่องการศึกษาของชาติบ้าง นั่นไม่สำคัญหรอกมันเรียนรู้กันได้ ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้จักคน รู้วิธีจะจัดการกับคนนานาประเภท”

“ไม่ว่าในหน่วยราชการหรือบริษัทก็มีคนหลายประเภท ทั้งนั้นนี่คะพี่” เปลวเทียนยังมองไม่เห็นความแตกต่าง

“แต่คนที่นี่ไม่ค่อยเหมือนที่อื่น พี่เคยทำงานบริษัทอื่นมาแล้วนี่นา ผิดกัน คนที่นี่ไม่มีระบบ ไม่มีระเบียบ มีแต่คนชอบฝ่าฝืน มีแต่คนคิดว่าตัวเองใหญ่และหญ่าย” หล่อนทำเสียงยานคางประชดประชัน “มีแต่คนรู้ดี ข้าเก่ง เอ็งไม่ได้ความ หาความสามัคคีไม่ได้ แล้วอะไรๆ ก็มาลงที่เลขานุการผู้จัดการ เพราะเป็นแหล่งสุดท้ายก่อนจะอนุมัติ เปลวทำงานที่นี่จริงจังเป็นแห่งแรก ได้ผจญคนพวกนี้ก็ดีเป็นประสบการณ์ อีกหน่อยไปทำงานที่อื่นจะรู้สึกว่าปัญหาอะไรๆที่เกิดขึ้นน่ะมันเล็กนิดเดียวทั้งนั้น อย่างน้อยเปลวก็อยู่กับพวกนักวิชาการวิชาเกิน ปลอดภัยเรื่องจิ้งจอก สวย ๆ อย่างเปลวไปทำงานพวกบริษัทธุรกิจธรรมดาไม่ปลอดภัย ผู้จัดการกับเลขาฯ สาวสวย ปัญหากับเมียผู้จัดการ อยู่นี่ใจเย็น ๆ  ทำไม่รู้ไม่ชี้นึกว่าดูละครโรงใหญ่ก็สนุกดี จะไม่สนุกก็อีตรงใคร ๆ มารุมจะเอาโน่นเอานี่กะเราน่ะซี”

เปลวเทียนได้งานที่นี่เพราะความสามารถของตนเองแท้ๆ ไม่มีเส้นมีสายอะไร หล่อนเห็นประกาศรับสมัครเลขานุการที่มีความรู้ทางภาษาต่างประเทศดีไม่จำเป็นต้องรู้ชวเลขหรือพิมพ์ดีด มีความรู้ด้านการจัดทำหนังสือบ้างเล็กน้อย สำเร็จการศึกษาอย่างตํ่าปริญญาตรี เปลวเทียนเรียนจบมาครึ่งปีแล้วยังหางานทำไม่ได้ หล่อนก็รีบมาสมัครตั้งแต่วันแรกที่เห็นประกาศในหนังสือพิมพ์ หล่อนเตรียมภาพถ่ายและสำเนาปริญญามาพร้อม

เปลวเทียนก้าวเข้าไปในบริษัทแห่งนี้อย่างไม่มั่นใจนัก สอบถามพนักงานคนที่นั่งใกล้ประตูหน้าที่สุดก็ได้รับคำตอบว่า

“คุณเดินไปด้านหลังนะ ทะลุห้องไปเลย มีลิฟต์ คุณขึ้นลิฟต์ไปชั้นสี่ พบอาจารย์ทัดเที่ยง ห้องอาจารย์ทัดเที่ยงอยู่หน้าลิฟต์ด้านขวามือ มีป้ายชื่อหน้าห้อง”

ห้องอาจารย์ทัดเที่ยงหาไม่ยาก ป้ายชื่อหน้าห้องตัวใหญ่ อ่านง่าย เมื่อเห็นนามสกุล เปลวเทียนก็นึกขึ้นมาได้ว่า ท่านผู้นี้เคยเป็นข้าราชการชั้นพิเศษตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงพุทธิศึกษาแห่งชาติมาแล้ว ท่านคงออกจากราชการมาทำงานบริษัท ห้องถัดจากห้องอาจารย์ทัดเที่ยงมีป้ายชื่อติดไว้ว่า ประเชิญ วงศ์นรา เปลวเทียนรู้สึกอยากเห็นหน้าท่านผู้นี้ขึ้นมาทันที ท่านเป็นนักวิชาการมีชื่อด้านภาษาศาสตร์ แต่งตำรามากมาย เปลวเทียนยึดตำราของท่านเป็นหลักในการเรียนภาษาไทยมานานแล้วแต่ห้องทำงานที่นี่ปิดทึบ กระทั่งกระจกประตูหน้าห้อง

 

ก็เป็นกระจกสีชาเข้มเหมือนดำ มองอะไรข้างในไม่เห็นเลย หน้าห้องอาจารย์ทัดเที่ยงมีสาว ๆ นั่งอยู่แล้วหลายคน คงจะมาสมัครงานเช่นเดียวกัน เปลวเทียนชำเลืองมองสาวสวยที่มาก่อน และสาวสวยเหล่านั้นก็ชำเลืองมองเปลวเทียนเปลวเทียนรู้สึกว่าตนเองช่างมอซออะไรอย่างนั้น เมื่อเทียบกับสาวสวยพวกนั้น คุณเธอทำผมหรู แต่งหน้าเข้ม ท่าทางปราดเปรียว เล็บสีสดทั้งมือและเท้า ส่วนเปลวเทียนปล่อยผมยาวเคลียไหล่ ผมไม่ได้ดัดแต่ง ใบหน้าปราศจากสีสัน เล็บตัดสั้นรักษาความสะอาดอย่างดีแต่ไม่มีสีอะไรเคลือบ เสื้อผ้าแบบเรียบ รองเท้าหุ้มส้นที่สวมอยู่ก็ใช้มานานเป็นปีแล้ว แบบล้าสมัย แต่งตัวอย่างเปลวเทียนนี่หรือมาสมัครงานเลขานุการ

ผู้สมัครทยอยกันเข้าไปในห้องอาจารย์ทัดเที่ยง หายเข้าไปคนละเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ออกมา มีบางคนที่มาด้วยกันบอกกล่าวกันว่า

“เขาจะเรียกมาให้ผู้จัดการสัมภาษณ์อีกทีถ้าผ่านรอบนี้ไปแล้ว แต่แหม ถามอะไรไม่รู้ซียังกับจะให้เราไปเป็นเสมียนโรงพิมพ์งั้นแหละ เหมือนไม่ใช่รับสมัครเลขานุการ”

มีอีกหลายคนที่มาทีหลังเปลวเทียนและมานั่งรออยู่หน้าห้องเช่นกัน เปลวเทียนนั่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ในที่สุดก็ถึงรอบของหล่อน

 

อาจารย์ทัดเที่ยงส่งแบบฟอร์มมาให้เปลวเทียนกรอก เกี่ยวกับตัวเอง ขอหลักฐานการศึกษา ภาพถ่าย เปลวเทียนกรอกทุกอย่างไปตามจริง หล่อนไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน ไม่รู้จักใครในบริษัทนี้เลย รู้ภาษาอังกฤษในขั้นใช้ได้ ภาษาฝรั่งเศสอ่านเขียนพอเข้าใจ รู้ภาษาเยอรมันเล็กน้อย อ่านได้แต่พูดไม่ได้ ประสบการณ์ เกี่ยวกับการผลิตหนังสือนั้นเคยเป็นสาราณียกรทำหนังสือ มหาวิทยาลัยอยู่สองปี รับผิดชอบหนังสือมาหลายสิบเล่มอยู่ อาจารย์ทัดเที่ยงอ่านที่หล่อนกรอกแล้วถามว่า
                     “ไม่รู้จักใครที่นี่เลยหรือ”

“ไม่รู้จักค่ะ เห็นประกาศก็มาสมัครค่ะ” เปลวเทียนตอบ ชักสงสัยว่าผู้รับสมัครจะเลือกคนที่เส้นสายคนฝากหรืออย่างไร

“ดี ผู้จัดการไม่ต้องการคนของใครทั้งนั้น เอาละข้อนี้ผ่าน ทีนี้ก็มาเรื่องภาษา ไหนคุณอ่านจดหมายนี่ซิ ไม่ต้องแปลทุกคำหรอกนะ เอาแต่ใจความก็พอ ย่อ ๆ  ผมจะดูว่าคุณเข้าใจแค่ไหน”

จดหมายฉบับนั้นเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อความเอ่ยถึงการส่งกระดาษชนิดต่าง ๆ มาให้ทางบริษัทสำนักพิมพ์สยามศึกษาพานิช บอกราคา ปริมาณ ชนิดอย่างละเอียด เปลวเทียนก็ย่อความลงกระดาษที่อาจารย์ทัดเที่ยงส่งมาให้ พอเสร็จก็แปลอีกฉบับหนึ่ง คราวนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส เกี่ยวกับการส่งหนังสือมาให้ทางบริษัทจำหน่าย สุดท้ายเป็นจดหมายภาษาเยอรมันเชิญทางบริษัทส่งผู้แทนไปร่วมออกงานแสดงหนังสือที่แฟรงก์เฟิร์ต

 “ภาษาเยอรมันนี่ที่จริงไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ มีการติดต่อกันน้อยมาก แต่เมื่อคุณบอกว่ารู้ก็เลยสอบเสียหน่อย ผู้จัดการท่านเป็นนักเรียนเก่าเยอรมัน ชอบเลขาฯ ที่รู้ภาษานี้,บ้าง”

อาจารย์ทัดเที่ยงสอบถามหล่อนเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน เป็นสาราณียกรในมหาวิทยาลัย ขั้นตอนของการทำหนังสือแต่ละเล่ม ถามกระทั่งว่าหล่อนเคยติดต่อโรงพิมพ์ไหน

“โรงพิมพ์ที่คุณเคยติดต่อน่ะพิมพ์บล็อกหรือออฟเซ็ท”

“มีทั้งสองอย่างค่ะ ทีแรกไม่ทราบก็พิมพ์บล็อก งานช้า ตัวก็ไม่สวย รูปไม่ชัดเท่าที่ควร เคยย้ายไปอีกโรงหนึ่งไปพิมพ์ออฟเซ็ท แต่เขาไม่ได้ทำเพลทเอง จ้างร้านเพลทที่อื่นถ่ายแล้วมาคิดเงินกับเรา ทีนี้ตอนหลังนี่จับได้ว่าเขาคิดเรามากกว่าที่ร้านเพลทคิดจริง เลยติดต่อถ่ายเพลทเองแล้วให้โรงพิมพ์อีกโรงหนึ่งพิมพ์ค่ะ เขาคิดแต่ค่าแรง เราต้องจ่ายค่ากระดาษเอง”

“งั้นคุณก็เคยตรวจเพลท”

“อ๋อ เคยค่ะ ตรวจทุกเพลทเลย ตอนปรู๊ฟก็ต้องทำเอง ทั้งตัวหนังสือทั้งปรู๊ฟสี”

อาจารย์ทัดเที่ยงถามหล่อนถึงความแตกต่างระหว่างการพิมพ์บล็อกและออฟเซ็ท เปลวเทียนตอบไปตามที่ทราบและอธิบายถึงการเรียงพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใหม่ด้วย

กว่าอาจารย์ทัดเที่ยงจะหยุดซัก เปลวเทียนก็เหนื่อยเต็มที แต่หล่อนรู้สึกขบขันจนลืมเหนื่อย ถามผู้รับสมัครขึ้นว่า

 “อาจารย์คะ นี่รับสมัครเลขานุการผู้จัดการหรือว่ารับสมัครผู้จัดการโรงพิมพ์คะนี่”

อาจารย์ทัดเที่ยงหัวเราะ

“จะเป็นเลขาฯ ผู้จัดการสำนักพิมพ์ก็ต้องรู้การพิมพ์ซี เอาละ พอแค่นี้ แล้วยังไงจะมีจดหมายตามมาให้ผู้จัดการสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง”

เปลวเทียนออกจากห้องทำงานของอาจารย์ทัดเที่ยงมา เมื่อเวลาผ่านไปถึงสี่สิบห้านาที ตอนแรกเปลวเทียนไม่รู้เลยว่าหล่อนเข้าไปในนั้นนานเท่าใด กระทั่งมีสาวหนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า

“คนอื่นเข้าไปสัมภาษณ์แค่ยี่สิบกว่านาที ทำไมคุณถึงถูกสัมภาษณ์ตั้งเกือบชั่วโมงล่ะคะ”

เปลวเทียนกะพริบตา ยกข้อมือดูนาฬิกา “ไม่ทราบซีคะ เขาถามอะไรเยอะแยะเลยเกี่ยวกับการพิมพ์”

เปลวเทียนรอจดหมายเรียกตัวอยู่เกือบสองสัปดาห์ หล่อนไปพบผู้จัดการตรงตามนัด คราวนี้หล่อนมีผู้แข่งขันสี่รายเท่านั้น ผู้จัดการเป็นหนุ่มใหญ่วัยกว่าสามสิบห้า หน้าตาดี รูปร่างสูง แต่งตัวโก้ เขาซักหล่อนเรื่องการพิมพ์หนังสือละเอียดยิ่งกว่าอาจารย์ทัดเที่ยง สอบภูมิรู้ทางภาษาทุกภาษา สุดท้ายก็อธิบายถึงแผนกต่าง ๆ  ในบริษัทและหน้าที่ของเลขานุการของเขา คุณระวิวงศ์ให้เปลวเทียนลองแยกจดหมายสิบกว่าฉบับว่าควรจะส่งต่อให้แผนกใด เปลวเทียนก็บันทึกปะหน้าจดหมายเหล่านั้นส่งต่อให้แผนกที่หล่อนคิดว่าควร

จะเป็นผู้ดำเนินเรื่อง ต่อจากนั้นผู้จัดการก็ให้หล่อนดูแฟ้มเรื่องในตู้เอกสารของเขาซึ่งมีมากมายน่าเวียนหัว

“คุณต้องจัดแฟ้มพวกนี้ให้เป็นระเบียบ เรื่องไหนควรอยู่แฟ้มไหน เวลาผมหรือพ่อผมเรียกหาเอกสารไปตรวจจะได้หยิบถูกและหยิบได้เร็วด้วย จะเพิ่มแฟ้มหรือลดแฟ้มเพื่อความสะดวกก็เป็นธุระของคุณเอง ไม่ใช่ธุระผม”

                คุณระวีวงศ์บอกให้หล่อนรอฟังผลในวันนั้นเลย เปลวเทียนต้องรออยู่จนบ่ายกว่าเขาจะสัมภาษณ์ทุกคนจนเป็นที่พอใจ และหล่อนก็ได้พบเพื่อนรุ่นพี่เลขานุการของคุณระวีวงศ์ผู้ซึ่งจะออกจากงานในสิ้นเดือนนั้น เปลวเทียนไม่ทราบว่าหล่อนทำงานอยู่ที่นี่

                แล้วเปลวเทียนก็ได้มานั่งทำงานแทนที่เธอผู้นั้น คุณระวิวงศ์บอกรับเปลวเทียนเข้าทำงาน ตกลงให้เงินเดือนค่อนข้างสูง

“ผมตกลงให้เงินเดือนคุณมากกว่าเด็กจบปริญญาตรีใหม่ ๆ เพราะว่าถึงคุณจะไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อนแต่คุณมีความรู้เรื่องการพิมพ์ดี เป็นที่พอใจผม รู้ดีกว่าภรณีเลขาฯ เก่าของผมอีก คงจะช่วยงานผมได้มาก”

เปลวเทียนช่วยงานเขาได้มากจริง แต่ก็รับโรคปวดหัวมามากเช่นกัน ผู้คนในบริษัทนี้ช่างยุ่งเหยิงดีแท้ๆ บางวันก็ทะเลาะกันเป็นงานหลักแทนงานผลิตหนังสือ แม้กระทั่งคุณระวิวงศ์ผู้จัดการเองก็มีเรื่องกับเขาด้วย บุคคลที่เขาต้องฟาดฟันด้วยเป็นประจำคือบิดาและภรรยาของเขาเอง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (85 รายการ)

www.batorastore.com © 2024