
คู่แกร่ง แข่งกันเก่ง (เพ็ญศิริ)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
คู่แกร่งแข่งกันเก่ง
ประพันธ์โดย เพ็ญศิริ
๑
หน้าสถานีโรงพักกลางใจเมืองในยามบ่ายที่ผู้คนต่างก็วุ่นวายกับภารกิจทั้งหลายของตน
รถปิกอัพเขียนป้ายระบุว่าเป็นรถตำรวจแล่นเข้ามาจอดหน้าสน. แห่งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบสาม-สี่นายลากร่างเด็กหนุ่มวัยรุ่นสองคนซึ่งมีกุญแจมือสวมลงจากกระบะท้ายรถ
หมวดภาคย์กับหมวดนัตย์ สองนายตำรวจคู่หูเปิดประตูตอนหน้ารถก้าวลงมา หมวดภาคย์มองดูผู้ต้องหาหนุ่มน้อยวัยรุ่นทั้งสองอย่างนึกเสียดายแทนอนาคตเด็กหนุ่มที่กำลังดับวูบลงในไม่ช้า
“พาเขาขึ้นไปข้างบนเลย หมู่สมพงษ์”
“โธ่ หมวดครับปล่อยผมไปสักครั้งเถอะครับ ผมมีความจำเป็นจริง ๆ”
ผู้ต้องหาวัยรุ่นหนุ่มหุ่นกล้องแกล้งยกมือขึ้นไหว้หมวดหนุ่ม พร้อมทำหน้าเศร้าสร้อย ภาคย์ได้แต่ฝืนใจยิ้มอย่างรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง เด็กหนุ่มเหล่านี้น่าจะมีชีวิตที่ดีอยู่ในโรงเรียนสักแห่งกับครอบครัวที่อบอุ่น แต่เขากลับพบว่าทั้งสองกำลังโจรกรรมรถมอเตอร์ไซค์อยู่ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง
“ไม่ได้หรอก นายสองคนทำความผิดก็ต้องรับผิดตามกฎหมายบ้านเมือง”
“โธ่ หมวดครับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพวกเรานะครับ ผมจำเป็นจริง ๆ แม่ผมป่วยหนัก ผมอยากได้เงินไปซื้อยาให้แม่ครับ”
ผู้ร้ายวัยรุ่นพยายามอ้อนวอนอีกครั้งด้วยความมุ่งหวังเผื่อว่าจะสำเร็จ ภาคย์มองเห็นภาพหญิงคนหนึ่งนอนป่วย และรอคอยความหวังจากลูกชายอยู่ที่บ้าน พลันใจก็หายวาบขึ้นมาเมื่อจิตคิดไปไกลกว่านั้น
หากว่าแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้กำลังป่วย และตายก่อนที่ลูกชายจะพ้นโทษกลับบ้าน...ความผิดนี้ ใครเล่าสมควรรับผิดชอบ
“บ้านเธออยู่ที่ไหน”
“หมวดจะปล่อยผมกลับไปหาแม่ใช่มั้ยครับ”
คนร้ายทำท่าดีใจแต่เมื่อเห็นหมวดหนุ่มส่ายหน้า เขาก็ทำท่าไหล่ตกหมดแรง
“เปล่าหรอก ฉันจะไปดูแม่เธอเอง ถ้ามีอะไรช่วยได้ฉันก็จะช่วย”
“โธ่ แค่หมวดช่วยปล่อยเราสองคนไปก็ถือว่าช่วยแม่ผมแล้ว”
“ภาคย์ ฉันว่าแกอย่าไปใจอ่อนกับมันดีกว่า ไอ้พวกนี้มันพวกตลบตะแลงปลิ้นปล้อนเชื่อไม่ได้หรอก มันจะหาเงินไปซื้อยามาเล่นน่ะซิ”
หมวดนัตย์ซึ่งยืนฟังผู้ต้องหาต่อรองกับผู้บังคับบัญชาอยู่นานจนรู้สึกรำคาญ จึงได้ค้านขึ้น
แต่ภาคย์ยังติดตากับภาพในจิตสำนึกที่เขาสร้างขึ้นมาและไม่สามารถขจัดทิ้งออกไปได้
“แหม หมวดรู้ได้ยังไง แม่ผมไม่สบายจริง ๆ นะ ไม่เชื่อหมวดก็ให้ผมพาไปดูก็ยังได้”
“ไม้ต้องมาเถียงกูเลย ไอ้เวร คนอย่างพวกมึงกูรู้เช่นเห็นชาติคนอย่างพวกมึงดี ตอแหลสด ๆ ร้อน ๆ กูเห็นมานักต่อนักแล้ว คนอย่างพวกมึงขืนอภัยให้ง่าย ๆ เดี๋ยวยิ่งได้ใจ ไปภาคย์ อย่าไปฟังคำมันอ้อน เสียเวลาทำงานทำการเปล่า ๆ หมู่อรรถ เอาพวกมันไปขึ้นข้างบนได้แล้ว”
นัตย์ร้องสั่งลูกน้องเสียงเคร่ง ไม่สนใจสีหน้าสะเทือนใจของเพื่อนซึ่งกำลังจะใจอ่อนลงไปทุกขณะ ภาคย์ได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ เมื่อเห็นตำรวจใต้บังคับบัญชาผลักร่างผู้ต้องหาสองคนพาขึ้นบันไดสน. โดยมีนัตย์ไปกำกับคดีนี้อย่างใกล้ชิด
“ภาคย์ แกอย่าลืมซิว่าแกเป็นตำรวจ มีหน้าที่รักษากฎหมาย ไม่ใช่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ปล่อยให้คนร้ายรกเกลื่อนเมือง เจอคนทำผิดแกมีหน้าที่จับกุมพวกมันอย่างเดียว”
นัตย์กระแทกไหล่เพื่อน เอ่ยเตือนสติ แล้วเดินตามลูกน้องไปบ้างปล่อยให้ภาคย์ยืนคว้างต่อความรู้สึกสองด้านที่กำลังต่อสู้กันเองอย่างหนัก ระหว่างมโนธรรมกับความรับผิดชอบ
ภายในห้องทำงานเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่าห้องสอบสวนนั้น มีผู้ชายสวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนนั่งอยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกันไป เนื่องจากว่าเช้านี้ยังไม่มีคดีความอะไรเข้ามาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ นอกจากคดีเก่า ๆ ที่ยังสืบสวนสอบสวนหาต้นตอที่มาที่ไปยังไม่จบสิ้น
บนโต๊ะทำงานของนายตำรวจบางคนมีแก้วกาแฟเย็น อาหารง่าย ๆ และหนังสือพิมพ์พาดกับขอบโต๊ะ ผู้อ่านร่ายสายตาไปตามตัวอักษรเล็กบ้างใหญ่บ้างที่นักข่าวโปรยหัวข่าวเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า แต่ข่าวส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องอุ้มฆ่า หรือไม่ก็ฆ่าตัดตอน อันเป็นกิจวัตรประจำวันของคนเมืองพุทธใจพระ ยุคไฮเทคที่สามารถหาอาวุธสงครามมาประหัตประหารศัตรูง่ายพอ ๆ กับหายานรกนั่นแหละ
ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มฉกรรจ์ในเครื่องแบบสองนายเดินผึ่งผายผลักประตูกระจกเข้ามา ทำให้นายตำรวจที่นั่งอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้วเหลือกตาขึ้นมามองดูผู้มาใหม่นิด ๆ
“อ้อ หมวดภาคย์ หมวดนัตย์น่ะเอง”
หมวดหนุ่มทั้งสองเดินผ่านโต๊ะผู้ร่วมงานเข้าไปประจำโต๊ะทำงานของตัวเอง ภาคย์ผลักประตูเข้าไปทำงานอีกห้องหนึ่งที่ถัดจากห้องนั้นเข้าไปทางด้านหลัง ทั้งสองเป็นเพื่ออาชีพเดียวกันที่สนิทสนมกันมานาน เนื่องจากเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันและจบออกมาทำงานสถานที่แห่งเดียวกันอีกด้วย แต่นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับสายตาของผู้คนทั่วไปที่รู้จักหมวดหนุ่มทั้งสองนี้เป็นอย่างดี
เพราะขณะที่ภาคย์นั้นทำงานด้วยความรอบคอบ นุ่มนวล ถ้อยทีถ้อยอาศัย จนเขาได้รับสมญาจากบรรดาผู้ต้องหาบนสน. แห่งนี้ว่า ‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้เข้าใจคนทั้งโลก’ แต่นัตย์กับเป็นตำรวจดีเดือด เข้าตำราหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือศัพท์ภาษาคนยุคใหม่ว่าหักได้แต่ไม่ยอมงอ โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ถูกเขาจับกุมนั้นรู้รสมือรสตีนของหมวดหนุ่มคนนี้กันดีนักหนา สมญาของตำรวจหนุ่มคนนี้ คือ ‘นายตำรวจเลือดเดือด’
แม้ตำรวจหนุ่มทั้งสองจะมีข้อแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ทั้งคู่กับมีชีวิตส่วนตัวที่สนิมสนมกันยิ่งนัก มักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เข้ามาทำงานพร้อม ๆ กันอยู่เป็นประจำ
หมวดนัตย์คว้าแฟ้มงานมาเปิด แล้วเริ่มลงมือทำงานไปเรื่อย ๆ เขาทำงานได้พักใหญ่ ๆ เมื่อนายตำรวจหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาดูผู้ร่วมงานในห้องก็ยังพบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ อยู่นั่นเอง
“สายจนป่านนี้ ยังไม่มีใครคิดจะทำอะไรอีกหรือไง”
เสียงหมวดหนุ่มขวานผ่าซากเอ่ยขึ้นลอย ๆ เมื่อเห็นทุกคนในห้องยังปล่อยเวลาไปอย่างเลื่อนลอย กับการพูดคุยเรื่องราวจิปาถะไร้สาระ และอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง โทรศัพท์หานักร้องขาประจำ หรือคุยกับแฟน และเมียน้อยกับบ้างแทบจะทุกคน จ่าเสรีวางโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่เขาเพิ่งจะถอยมาใช้ได้สอง-สามวัน เหลือบตามามองทางคนพูดอย่างยียวนในที
“แล้วหมวดจะให้พวกเราทำอะไรล่ะ ก็งานมันยังไม่มีอะไรให้ทำนี่น่า”
“อ้าว คดีเก่า ๆ ที่ยังทำไม่เสร็จน่ะไม่เรียกว่างานอีกหรือไง”
หลายคนชักจะเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจความบ้างานของหมวดหนุ่มกันขึ้นมาบ้าง
“ก็มันยังไม่มีอะไรคืบหน้านี่นา ผู้ต้องหาก็ไม่ยอมสารภาพ อ้างว่าจะให้การชั้นศาล เจ้าทุกข์ก็ตายไปแล้ว จะเอาใครมาชี้ตัวล่ะว่าใครเป็นตัวจริงที่ฆ่ามัน”
“ถ้าคนตายพูดได้ ผมหรือจ่า หรือนายตำรวจทุกคนคงไม่ต้องมานั่งงมโข่งอยู่อย่างนี้หรอก แล้วไอ้อาชีพตำรวจก็คงไม่จำเป็นจะต้องมีต่อไป”
“หมวดพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก ถ้ามีงานเราก็ทำจริงจังกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้งานมันยังไม่มีเข้ามา หมวดจะให้เราไปวิ่งหางานใหม่ทำกันเองเหรอ”
จ่าเสรีพูดแทนเสียงเพื่อนพ้องของเขาซึ่งส่วนใหญ่แล้วนั่งอยู่ในห้องนี้แทบทั้งนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาคือ ‘เด็ก’ ของผู้กองพันลภ คนพิเศษของท่านผู้การไพโรจน์ ผู้บังคับบัญชาสน. แห่งนี้ ท่านผู้การให้ความไว้วางใจ และฟังเสียงผู้กองหนุ่มมากเป็นพิเศษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าใครถือข้างผู้กองพันลภได้ก็ทำงานอย่างสบายอกสบายใจได้เหมือนกัน
“อ้าว แล้วไอ้คดีที่เรายังทำสำนวนยังไม่เสร็จล่ะพวกถูกฆ่าตายปริศนาในท้องที่ไม่รู้ว่ากี่รายต่อกี่ราย วันก่อนก็พ่อแม่คนตายมาร้องไห้ร้องห่มว่าคดีลูกชายเขายังไม่เดินไปถึงไหนเลย”
“โธ่ หมวด...หมวดก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ตั้งนาน พวกสายส่งค้ายาตาย ๆ เสียได้หมวดไม่ชอบใจเหรอ”
จ่าอีกคนหนึ่งพูดเสียงรำคาญขึ้น เขาจึงถูกหมวดนัตย์หันไปมองด้วยสายตาขุ่น ๆ ไอ้พวกขี้เกียจทำงาน พอใครตายก็ยัดเยียดว่าเป็นพวกสายค้ายาถูกฆ่าตัดตอนตะพึด หลังจากนั้นคดีก็จะค่อย ๆ สูญหายไปจากแฟ้มของตำรวจ พ่อแม่พี่น้องหรือลูกเมียที่วิ่งตามคดีเหนื่อยหน่ายต่อการคว้าน้ำเหลวของพวกตน ต้องปล่อยให้ลูกผัวตัวเองตายไปฟรี ๆ
สมัยนี้ตำรวจบางรายใช้วิธีนั้นบิดเบือนการทำงานของตัวเองกัน บางคนน่ะใช่ถูกฆ่าตัดตอนเพราะธุรกิจมืด หรือเพราะถูกขึ้นชื่ออยู่ในบัญชีดำ แต่บางคนตายเพราะตกกระไดพลอยโจน ตัวเองเป็นคนดี บริสุทธิ์ แต่อาศัยช่วงจังหวะรัฐบาลทำสงครามกับแก๊งก์ค้ายาเสพติด และพวกมาเฟีย ถูกศัตรูที่เขม่นหน้าอุ้มไปฆ่าตายแล้ว เลยถูกยัดเยียดใส่ร้ายด้วยข้อกล่าวหานั้น ตายไปฟรี ๆ ก็มีอยู่เหมือนกัน
“เราเป็นตำรวจมีหน้าที่สืบคดีให้ชัดเจนออกมาว่า คนตายเพราะอะไรกันแน่”
“ขืนทำอย่างหมวดว่า เราคงต้องพลิกคดีทั้งหมดขึ้นมาทำกันใหม่”
“ถ้าทำได้ผมก็ว่าเราน่าจะทำเหมือนกัน”
จ่าเสรีหรี่ตามองหน้าจริงจังของหมวดหนุ่มอย่างหมั่นไส้ในที ไอ้หมอนี่มันจะซีเรียสกับชีวิตและหน้าที่การงานไปถึงไหน ประเดี๋ยวมันก็ถูกประสาทถามหาก่อนจะได้เลื่อนขั้นกับคนอื่นเขาบ้าง
“กำลังคนเราพอเสียที่ไหนเล่า... หมวดก็...อย่าซีเรียสนักเลยน่า จังหวะดี ๆ อย่างนี้เราน่าจะพักผ่อนกันก่อนลุยงานใหญ่บ้างนะ”
“พักที่บ้านก็พอแล้วล่ะ จ่าไม่จำเป็นต้องเอาเวลางานมาพักอีกก็ได้”
“เอ ท่าทางหมวดอยากจะกระทืบใครสักคนเต็มแก่ เอามั้ยล่ะ เดี๋ยวผมจะหาแพะ ลากคอมันมาให้หมวดกระทืบเล่น ๆ สักคนสองคนแก้เซ็ง”
จ่าเสรีเดินเข้ามาเท้าแขนกับขอบโต๊ะทำงานของหมวดหนุ่มแล้วพูดอย่างไม่ยำเกรง เรียกเสียงหัวเราะฮึ ๆ จากพรรคพวกของตนออกมาได้ หมวดนัตย์ตบโต๊ะปัง ลุกพรวดพราดขึ้นมาประจันหน้ากับท่าทีไม่ยี่หระของจ่ารุ่นไล่เลี่ยกับตัวเอง
“นี่จ่า ผมไม่ชอบที่จ่าจะพูดอย่างนี้กับผมนะ ผมมีวิจารณญาณพอว่าผมจะทำอะไร เมื่อไร ผมไม่ใช่หมาบ้าได้ฉะใครดะไม่เลือกคน”
“อ้าว ใครจะไปรู้เล่า เห็นผู้ต้องหาแต่ละคนที่ถูกหมวดจับตัวมาสะบักสะบอมปางตายกันทั้งนั้น”
“ไอ้พวกนั้นมันสมควร...ผมกระทืบมัน แล้วลากคอมันโยนเข้าห้องขัง ก็ยังดีกว่าไอ้พวกจับนุ่ม ๆ แล้วอุ้มไปฆ่าทิ้งโยนกลางป่ากลางเขาหรือยัดยาใส่รถผู้ต้องหาล่ะน่า”
จ่าเสรีตาลุกวาว...ต่างก็จ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย...ต่างก็รู้จุดอ่อนจุดแข็งในตัวอีกฝ่ายดี ในที่สุดจ่าหนุ่มก็ต้องถอยกลับไปที่เดิม
“เซ็งโว้ย ทำงานห้องเดียวกับคนประสาท ไปหากาแฟข้างล่างกินดีกว่า”
เขาร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ แล้วเดินกร่างออกไปจากห้องทำงาน พลอยให้พวกพ้องอีกสาม-สี่คนทำตาม ต่างก็ไม่มีใครเกรงอกเกรงใจสายตาขุ่นเข้มของหมวดหนุ่มที่มองตามร่างตนกันเลย
หมวดนัตย์พยายามสลัดความขุ่นมัวเรื่องนายตำรวจนอกแถวที่พยายามจะเบ่งอำนาจบารมีว่าตนอยู่เส้นไหนสายไหนออกไปจากสมอง เขาลากงานต่าง ๆ ขึ้นมาทำ แม้ว่าห้องนั้นจะยังเหลือนายตำรวจที่ทำงานอยู่อีกไม่กี่คน
ในที่สุด งานก็ดึงความขุ่นมัวเรื่องส่วนตัวออกไปจากสมองของเขาจนหมด นายตำรวจหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนได้เวลาพักเที่ยง หมวดภาคย์จึงได้เปิดประตูก้าวออกมาเรียกเพื่อนเบา ๆ
“เที่ยงแล้วออกไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“อ้อ ภาคย์ ฉันว่าเราสั่งมากินบนนี้ดีกว่า ฉันกำลังทำงานเพลิน”
“อย่าเลย เที่ยงแล้ว ออกไปสักสายตาข้างนอกกันสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวค่อยขึ้นกลับมาทำงานกันต่อ”
ภาคย์ปิดแฟ้มสีดำของเพื่อนลง เขานั่งทำงานอยู่อีกห้องหนึ่งจึงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องนี้บ้างระหว่างครึ่งวันเช้า แต่เท่าที่เขาสังเกตสีหน้าเพื่อน นายตำรวจก็พอจะรู้ว่าจะต้องมีอะไรมาสะกิดสะเกาอารมณ์เพื่อนสนิทคนนี้ของเขาบ้างเป็นแน่
นัตย์ยอมเก็บงานเข้าตู้ แล้วเดินคู่เพื่อนออกจากห้อง ร้านอาหารในสน. แห่งนั้นคลาคล่ำด้วยตำรวจกำลังสั่งอาหารมากินกัน บ้างก็เป็นพวกญาติผู้ต้องหาที่มาเยี่ยมนักโทษ แล้วเลยสั่งข้าวกล่องขึ้นไปฝากผู้ต้องขังที่อยู่บนนั้น
หมวดหนุ่มทั้งสองเลือกโต๊ะซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วบ้าง แต่ก็ยังพอเหลือที่ว่างให้พวกตนนั่งแทรกลงไป ภาคย์เป็นคนสั่งอาหารง่าย ๆ มาให้เพื่อนชายและของตนเอง
“หน้าตาทำไมไม่สบายเลยล่ะนัตย์”
“เบื่อ...เซ็ง”
หมวดนัตย์โพล่งออกมาน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ จนทำให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะหลายคนชำเลืองมองหน้าคนพูด ครั้นสบตากับหมวดหนุ่ม ตำรวจเหล่านี้ก็รีบหลบตาเขาแล้วก้มหน้าก้มตาโซ้ยข้าวในจานใส่ปากดั่งไม่สนใจอะไรอีก
“ใจเย็น ๆ หน่อยซิ เราทำอะไรทั้งหมดเพียงคนเดียวไม่ได้หรอกนะนัตย์ นายต้องรู้ซิ ว่าถ้ามีคนชนิดอย่างเรา ก็ต้องมีคนประเภทที่เราไม่ต้องการ อยู่ร่วมกัน ก็นี่แหละที่เขาเรียกว่าสังคมล่ะ”
“สังคมห่วย ๆ ของพวกชอบสอพลอ แล้วก็โคตรขี้เกียจน่ะซิ”
“เราไม่เป็นอย่างเขาก็ดีแล้ว อย่าไปมองคนอื่นซิ มองที่ตัวเราก่อน เราอยากได้ยังไง เราก็ทำไปตามนั้น ในเมื่อเราบังคับคนอื่นเขาไม่ได้”
“กฎวินัยล่ะยังบังคับไม่ได้อีกหรือ”
“ได้ ถ้าคนพวกนั้นเขาอยู่ในกฎ แต่บางทีมันก็ต้องมีละเว้นผ่อนผันกันบ้าง ฉันว่านายทำใจให้สบายดีกว่า”
นัตย์กระแทกลมหายใจพรวดยาวออกมา ขณะที่เขาทำงานแทบตาย แต่เขากลับได้รับคำตำหนิจากผู้บังคับบัญชามาตลอด ผิดกับไอ้พวกที่ไม่ยอมทำอะไร เอาแต่นั่งกระดิกหาวเลียคนโน้นที คนนี้ที กลับฉวยโอกาสรับความดีความชอบไปกิน
“ทำไมโลกสมัยนี้ คนทำดีถึงไม่ได้ดีด้วยวะภาคย์”
“ได้ซิ ได้ดีที่ใจของเราไง เพราะเรารู้ว่าเราทำดีแล้วเราภาคภูมิใจนั่นคือผลบำเหน็จที่เราได้รับ นายอย่าคิดฟุ้งซ่านเลย มีอะไรให้ทำก็ทำตามหน้าที่ เลิกงานกลับบ้าน พรุ่งนี้มาทำต่อ เท่านี้มันก็ดีเอง”
หมวดหนุ่มเลือดร้อนพยักหน้า ทั้ง ๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยเสียงคัดค้านเอ็ดอึง...จนอาหารเที่ยวผ่านพ้นไป คราวนี้ในห้องทำงานกลับเต็มไปด้วยตำรวจนั่งประจำที่ทำงานกันเพียบ
ที่แท้แล้ว เย็นนี้ท่านผู้การไพโรจน์จะประชุมนายตำรวจถึงประเด็นคดีสำคัญซึ่งทำท่าว่าจะโอละพ่อ กลายเป็นคดีใหญ่โตอย่างเร่งด่วน
วันนั้น นัตย์กับภาคย์กลับบ้านค่ำกว่าปรกติ เพราะประชุมครั้งนี้ยืดเยื้อออกไปจนกลายเป็นเรื่องบานปลาย ที่คนรับผิดชอบบางคนยังทำงานยังไม่คืบหน้า ทำให้ผู้การไพโรจน์ฉุนกราดใส่ลูกน้องทุกคนว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
“เซ็ง...บอกแล้วว่าให้ขยันงานกันหน่อย แล้วเป็นไง ถูกนายบ่นก็นั่งซึมกันไปหมด”
นัตย์พูดเสียงเยอะหยันขณะนั่งมาในรถของเพื่อนสนิท ทั้งสองพักอยู่ใกล้ ๆ กันเพราะต่างก็เป็นคนต่างจังหวัดเหมือน ๆ กัน ภาคย์มาจากภาคเหนือ ขณะที่นัตย์มาจากภาคใต้ และทั้งสองไม่เคยใช้ภาษาบ้านเกิดของตัวเองสื่อสารแก่กันมาก่อนเลยนับตั้งแต่คบหากันมานั่นแล้ว
“ก็บอกแล้วไงว่าใครทำยังไงเดี๋ยวก็ได้อย่างนั้นเอง เราขยันนายไม่ว่าอะไรเรา”
“ใครบอกล่ะ ฉันก็พลอยฟ้าพลอยฝนถูกท่านเขม่นใส่เหมือนกัน ก็ไอ้พวกประจบเก่งนั่นแหละ มันคงจะหาเรื่องใส่ร้ายฉันอีกตามเคย”
ท่าทางของนัตย์ยังสลัดเรื่องที่ชวนหงุดหงิดออกไปไม่ได้ ท้องถนนยามเย็นเช่นนี้ยวดยานสารพัดชนิดแน่นถนน ขนาดว่าการจราจรมีให้เลือกมากขึ้น แต่ก็ยังแก้ปัญหาได้ไม่เท่าที่ควร
หมวดหนุ่มนั่งหน้าบึ้งมองดูยวดยานที่วิ่งปาดซ้ายปาดขวาอย่างขาดระเบียบวินัยด้วยความขุ่นใจมาตลอด ขณะที่ภาคย์ต้องแบ่งเวลารับสายโทรศัพท์จากบรรดาสาว ๆ ที่โทรฯ เข้ามาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนทำให้คนฟังต้องลอบมองอย่างหมั่นไส้
หนึ่งในจำนวนสาว ๆ ที่โทรฯ เข้ามานั้น มีภาณุมาศ ลูกสาวโทนคนสวยของท่านผู้การไพโรจน์รวมสายอยู่ด้วย
นัตย์จับใจความเลา ๆ ได้ว่าหญิงสาวโทรฯ มาชวนหมวดภาคย์ไปทานข้าวด้วยกันค่ำนี้ แต่พอภาคย์ปรายตามามาองหน้าเพื่อนดั่งจะหยั่งอารมณ์อีกฝ่าย หมวดหนุ่มก็ตอบปฏิเสธไปเสียงนุ่มนวลชวนให้เคลิ้ม
“ผมต้องขอโทษคุณปอยด้วยนะครับ เอาไว้วันไหนจังหวะดี ๆ ผมสัญญาว่าจะไปไม่ขัดใจคุณปอยแน่ ๆ แต่คืนนี้ผมจะต้องพาคนป่วยหนักไปส่งโรงพยาบาลครับ ครับ ผมสัญญาครับว่าวันหน้าผมจะหาเวลาว่างให้ได้ สวัสดีครับคุณปอย”
นัตย์ถลึงตาใส่อีกฝ่ายที่ตัดสายไปแล้ว นายตำรวจหนุ่มถามขึ้นเลา ๆ ว่า
“ใครคือคนป่วยของนายน่ะภาคย์ นายหมายถึงฉันใช่ไหม”
“ฮื่อ...คนจิตใจไม่ปรกติ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เขาก็เรียกว่าคนป่วยได้เหมือนกัน ป่วยทางจิตไงล่ะ”
นัตย์ฉุนขึ้นมาอย่างหนักแต่คิดไปอีกที คนที่หวังดี และจริงใจ ยอมเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกสถานการณ์ ก็เห็นจะมีแต่ภาคย์แค่คนเดียวในโลก
เขาจึงโกรธเพื่อนคนนี้ไม่ลงสักที