
คฤหาสน์ผีสาว (ไพบูลย์ พันธุ์เมือง)
ประหยัด: 35.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
คฤหาสน์ผีสาว
..ไพบูลย์ พันธุ์เมือง..
๑.
พอขับรถเข้ามาสู่เขตจังหวัดที่มีคำขวัญว่า “ประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก” ฝนก็ตกลงมาเปาะแปะทันที มีคนกล่าวว่าฝนภาคใต้ตกได้ทุกวี่ทุกวันเพราะเป็นภาคที่มีอากาศร้อนชื้น ภูมิประเทศยังเป็นป่าและเขาอันสดเขียวด้วยมวลต้นไม้ อีกทั้งยังมีทะเลขนาบอยู่ทั้ง ๒ ด้าน ภาคใต้จึงไม่ค่อยจะขาดแคลนฝนไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใด
ธนา อารีราษฎร์หนุ่มวัยสามสิบเศษ บังคับรถแวนอเนกประสงค์ให้แล่นช้าลง เมื่อถนนเริ่มคดโค้งและไต่ขึ้นไหล่เนิน มองไปข้างหน้าเห็นเมฆดำหนาทึบ และบรรยากาศสลัวมัวลงเรื่อย ๆ เขาพยายามมองหาและอ่านป้ายข้างทาง พลางมองนาฬิกาที่แผงหน้ารถ
๑๗ นาฬิกา ๕๐ นาที เลยเวลานัดมากว่าชั่วโมง…
ชายหนุ่มเปิดไฟหรี่ และชะลอความเร็วของรถลงอีก และเมื่อถึงชุมชนเล็กๆ อันมีห้องแถวปลูกห่างๆ อยู่สองฟากถนน ชายหนุ่มจึงมองเห็นทางแยกเป็นถนนลาดยางสายเล็กๆ อยู่ด้านซ้ายมือ แต่ไม่เห็นป้ายบอกทางว่าไปไหน เพื่อความแน่ใจชายหนุ่มจึงเหหัวรถเข้าไป จอดและถามเด็กหนุ่มที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องแถวใกล้ทางแยก
“ทางนี้ไปตลาดมาบอำมฤตหรือเปล่าน้อง”
“ใช่ครับ” เด็กหนุ่มตอบ ชายหนุ่มจึงขับรถเลี้ยวเข้าไป
ถนนคดโค้งผ่านดงหญ้าคา และยางพาราต้นเล็กๆ ที่พึ่งปลูกใหม่ได้ปีหรือสองปี บางที่ยังพอมองเห็นซากความหายนะครั้งเกิดพายุไต้ฝุ่น ซากบ้านที่ก่อด้วยอิฐฉาบปูน ซากต้นไม้ใหญ่ ต้นมะพร้าวที่โค่นล้ม พอพ้นจากนั้นถนนก็ลดเลี้ยวไปในระหว่างป่า หุบลึกและเนินเขา บรรยากาศที่มัวฝนทำให้ความมืดมาเยือนเร็วขึ้น
เวลา ๑๙ นาฬิกา ๓๐ นาที ชายหนุ่มจึงขับรถข้ามทางรถไฟแล้วก็มาถึงตลาดมาบอำมฤต พลางมองหาโรงแรมอันเป็นจุดนัดหมาย ครู่เดียวก็มองเห็น มาบอำมฤตโฮเตล เป็นโรงแรมเล็ก ๆ สองชั้น ด้านหน้ากว้างเพียงสองคูหา แต่ด้านหลังยาวลึกเข้าไป ฝั่งถนนตรงกันข้ามเป็นโรงภาพยนตร์ หน้าโรงภาพยนตร์เป็นลานโล่งตัวโรงภาพยนตร์ ตั้งห่างจากถนนเข้าไปประมาณ ๓๐ เมตร คืนนั้นไม่มีภาพยนตร์มาฉาย บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์จึงตกอยู่ในความมืดสลัว
ในตลาดเงียบ ๆ เหงา ๆ ไม่ค่อยมีผู้คน มีร้านค้า และร้านอาหารเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน ชายหนุ่มจอดรถที่ริมถนนฝั่งหน้าโรงแรมแล้วเดินเข้าไปที่หน้าเคาเตอร์
“ต้องกางห้องพักหรือคุง” ชายร่างอ้วนตัดผมสั้นเกรียน นัยน์ตาเล็กตี่ อายุประมาณห้าสิบยืนอยู่หลังเคาเตอร์ถาม
“ขอเปิดห้องก่อนหนึ่งห้อง แต่ยังไม่ขึ้นไปพักนะตอนนี้ขอถามอะไรหน่อย ผมชื่อธนา อารีราษฎร์มาจากกรุงเทพ ผมนัดกับคนชื่อ เทิน ท่าลาด ไว้ว่าจะมาพบเขาที่นี่ มีใครมาถามหรือมารอพบผมบ้างไหม?”
“คุงเทิง ท่าลาก มารอคูงอยู่ต้างแต่สี่โมงเย็ง เพิ่งจากับปายเมื่อตอนทู่มกว่าๆ นี่เอง คูงมาช้าปายราวยี่เสียบนาที” อาแป๊ะพูดไม่ชัดแบบคนจีนทั่วๆ ไปตอบ
“เขาสั่งความอะไรฝากถึงผมบ้างไหม” ธนาถามรัว
“ส่างไว้คัก ส่างว่า ถ้ามีคงจากกุงเทพมาให้ปายที่ทู่งมาหา ปายหานายยอก ดองผ่าย นายยอกเป็งลูกน้องของคุงเทิง อีจาพาคุงไปพกคุงเทิงอีกที”
“ทุ่งมหา ไปทางไหน” ธนาถาม
“ทู่งมาหาอยู่เลยจากที่นี่ปายแปกกิโล ทาโหนงลากยางปายมาล่ายซาดวก” อาแป๊ะชี้มือไปทางด้านซ้ายของโรงแรม “แต่อั๊วว่า ลื้อมาถืงต้างป่างนี้เลี้ยว นองพักเสียที่นี่ลีก่า คืงนี้อย่าปายเลย ค่อยปายพุ่งนี้เช้า”
“ทำไมละเถ้าแก่ นี่ก็เพิ่งจะทุ่มครึ่งเท่านั้นยังไม่ดึก แล้วผมก็รีบจะทำธุระให้เสร็จด้วย”
ชายหนุ่มเรียกอาแป๊ะว่าเถ้าแก่ ทำเอาอาแป๊ะหรือแท้ที่จริงคือคนดูแลและเฝ้าโรงแรมยิ้มเห็นฟันทองขณะตอบ และนึกชอบหนุ่มแปลกหน้าขึ้นมาทันที
“แล้วทามมายจึงมาเถิงเอาค่ามมืกล่ะ น่าจามาให้แต่วังหน่อย” อาแป๊ะพูดอย่างผู้ที่หวังดี
“มันจำเป็น… คือผมมาเจออุบัติเหตุระหว่างทาง”
“อุบักเหก เลี้ยวคายเป็งอารายหลือเป่า ม่ายเห็งลื้อเป็งอารายนี่”
อาแป๊ะมองเขาอย่างสำรวจ แล้วมองไปที่รถ ก็เห็นรถของเขายังเป็นปรกติไม่มีรอยบุบสลาย
“อุบัติเหตุ คือมีรถแก๊สพลิกคว่ำขวางทางอยู่ที่กุยบุรี ตำรวจเขากลัวแก๊สระเบิดจึงปิดถนนมิให้รถผ่าน ต้องรอให้ตำรวจทางหลวงมากู้รถที่พลิกคว่ำ เสียเวลาตั้งสองชั่วโมงกว่าจะผ่านมาได้” ธนาเล่าย่อ ๆ
“แต่อั๊วว่า ลื้อก็ม่ายควงปายที่น่านในคืงเนี้ย”
“ทำไมหรือครับ?”
“ค่ามๆ มืกๆ อาจมีอานตาลาย นองพักเสียที่นี่สากคืงเลี้ยวพุ่งนี้ค่อยไปพกคูงเทิงลีก่า” อาแป๊ะกล่าวอย่างหวังดีอีก
“อ๋อ - เถ้าแก่คงคิดว่าผมมาซื้อที่ดินพกเงินมามากจะโดนปล้น อย่างนั้นใช่ไหม ขอบใจมากเถ้าแก่ที่หวังดี แต่ผมไม่ได้พกเงินมามากหรอก ใครคิดจะปล้นก็คงจะผิดหวังไม่ได้อะไรไปหรอก”
ธนาพูดยิ้มๆ พลางชำเลืองไปรอบๆ ใต้ถุนโรงแรม ซึ่งขณะนั้นมีชายแต่งกายแบบคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง นั่งกินเหล้าและโขกหมากรุกกันอยู่สามสี่คน แต่ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขา
“ม่ายช่าย อั๊วม่ายล่ายเป็งห่วงเลื่องน้าง” อาแป๊ะโบกมือปฏิเสธ
“แล้วอาแป๊ะห่วงเรื่องอะไร” ธนาจ้องหน้าอาแป๊ะ
“บอกม่ายล่าย อั๊วขอม่ายพูกลีก่า” อาแป๊ะส่ายหน้า
“ถ้างั้น อั๊วขอเช่าห้องอาแป๊ะคืนหนึ่ง แต่ยังไง ๆ ก็ต้องขอไปพบคนที่นัดหมายไว้ให้ได้ในคืนนี้ เสร็จธุระแล้วอั๊วจะกลับมานอนที่นี่"
ธนาล้วงกระเป๋าสตางค์มาควักจ่ายค่าโรงแรม อาแป๊ะส่งกุญแจให้แต่ธนาบอกว่า
“ฝากไว้ก่อน พอจะมานอนค่อยมาขอ พกพาไปเดี๋ยวหาย”
“ลื้อไม่ควรปายเวลาค่ามๆ มืดๆ อั๊วหวังลีต่อลื้อจินๆ แต่ถ้าลื้อม่ายเชื่อก็ตามจาย” อาแป๊ะยังคงเหนี่ยวรั้ง
“บอกมาเถอะอาแป๊ะ มีอะไรที่น่ากลัวงั้นหรือ” ธนาพยายามคาดคั้นถาม
“ม่ายลู้ แต่ชาวบ้านแถวทู่งมาหา บางแหวง บ่อสามโลง ถ้ามโทงเขากัวกันท้างน้าน ค่ามๆ มืกๆ ม่ายค่อยมีคายเขาออกจากบ้านปายหนายหรอก”
“โธ่เหลวไหลน่าอาแปะ ผมจะไปละ”
อาแป๊ะมองตามหลังธนา พลางส่ายหน้าอย่างระอาในความดื้อรั้นของเขา
.......
ฝนตกพรำๆ ขณะที่ธนา อารีราษฎร์ ขับรถออกจากตลาดมาบอำมฤต เวลาเพิ่งจะทุ่มสี่สิบแต่แปลกที่สองข้างทางบ้านทุกหลังดับไฟมืด ราวกับเขากำลังขับรถเข้าไปในแดนสนธยา แสงไฟที่พุ่งเป็นลำไปข้างหน้าเห็นแต่พื้นถนนสีดำ มีหลุมบ่อบ้างเป็นบางตอนทำให้ต้องขับรถไปด้วยความเร็วไม่เกินหกสิบ ไม่มีรถวิ่งสวน ไม่มีจักรยานถีบ ไม่มีจักรยานยนต์ ไม่มีคนเดิน… มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือหรือ?
ธนานึกถึงวันที่พบกับนายเทิน ท่าลาด การเกิดพายุไต้ฝุ่น‘เกย์’ เป็นเหตุให้เขามีโอกาสได้มาท่องเที่ยวแถบนี้ วันนั้นเขามากับเพื่อนซึ่งเป็นนักข่าว นักเขียน และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง เพื่อนมาทำข่าวการเกิดพายุไต้ฝุ่น ที่พัดถล่มทำลายบ้านช่อง เรือกสวน นาไร่ของผู้คน ในสองสามอำเภอของจังหวัดชุมพร คือ อำเภอปะทิว อำเภอท่าแซะและอำเภอเมืองบางส่วน เกือบจะเรียบราบเป็นหน้ากลอง ข้าวของเสียหายถึงขนาดต้นไม้บนภูเขาไม่เหลือแม้แต่ใบติดกิ่งก้าน
ขณะที่เขากับเพื่อนนั่งกินข้าวกันอยู่ ในร้านอาหารในตลาดมาบอำมฤต โต๊ะใกล้ๆ กันมีชายฉกรรจ์อายุสามสิบถึงสี่สิบกลุ่มหนึ่งห้าหกคน นั่งดื่มเหล้าเบียร์และกินอาหารกันอยู่ ชายในกลุ่มนั้นเข้าใจว่าเขากับเพื่อนเป็นนักธุรกิจ จึงบอกว่ามีที่ดินหลายแปลงจะขายในราคาถูก ๆ สนใจไหม?
ชายวัยสี่สิบท่าทางเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้น แนะนำตัวว่าเขาชื่อเทิน ท่าลาด มีที่ดินชายทะเลหลายแปลงอยากจะขายเนื่องจาก หมดกำลังใจที่เคยมีบ้าน มีสวนแล้วกลับมาเสียหายหมด เขาอยากจะย้ายหนีพายุไปอยู่ถิ่นอื่น
ธนา อารีราษฎร์ กำลังอยากได้ที่ดินชายทะเล จะซื้อไว้ทำเป็นที่พักผ่อนอันสงบๆ สักแห่ง แต่ในวันนั้นไม่มีเวลาคุยในรายละเอียด หรือแม้แต่จะได้ไปเดินดูที่เพราะเพื่อนนักหนังสือพิมพ์จะต้องรีบขับรถกลับกรุงเทพฯ เขาจึงให้เบอร์โทรศัพท์ไว้และนัดวันมาดูที่กันอีกครั้งหลังจากเขาว่าง แล้วนายเทินก็ได้โทร. ติดต่อไป และเขาก็ได้เดินทางมาในวันนี้ แต่ต้องขับรถมาคนเดียวเพราะเพื่อนติดธุระมาด้วยไม่ได้
ธนาขับรถมาถึงตลาดเล็กๆ อีกแห่ง ซึ่งเขาเดาว่าคงเป็นบ้านทุ่งมหา ก็น่าประหลาดใจอีกหนเพราะบ้านและร้านค้าแทบทุกหลัง ล้วนปลูกแบบเพิงมุงสังกะสี กั้นสังกะสี แบบเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว และส่วนใหญ่ปิดประตูดับไฟมืด มีบ้างบางหลังที่ยังมีแสงไฟลอดออกมา
ธนาจอดรถที่หน้าร้านค้าหลังหนึ่ง ประตูร้านเปิดไว้เป็นช่องเล็กๆ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตู
“คุณน้าครับ บ้านคุณยอด ดอนไผ่ หลังไหนครับ”
“คุณมาจากไหน”ชายคนนั้นกลับถามย้อน
“ผมมาจากกรุงเทพฯ”
“บ้านนายยอด ดอนไผ่ อยู่ตรงหัวสะพานปลา ว่าแต่ทำไมคุณมาหาเขาค่ำ ๆ มืด ๆ ” ชายคนนั้นยังไม่วายถามอีก
“มีอุบัติเหตุตอนขับรถมานิดหน่อยครับ ทำให้มาถึงช้า”
“คุณขับรถไปในซอยนี้ ไปกลับรถที่ตีนท่าสะพานปลา บ้านนายยอดอยู่ตรงนั้นพอดี เป็นบ้านแบบชั่วคราวหลังคามุงสังกะสี เหมือนบ้านแถวนี้”
“ขอบคุณนะครับ” ธนารีบขึ้นรถขับไปต่อ
ถนนในตลาดทุ่งมหาเป็นถนนแคบรถแทบจะสวนกันไม่ได้ แต่คืนนั้นบ้านทุกหลังเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ จึงไม่มีรถใดๆ แล่นสวนมา ธนาขับรถลึกเข้ามาประมาณสองร้อยเมตร ถนนก็มาสิ้นสุดที่ตีนสะพานคอนกรีตหรือสะพานปลาที่ยื่นยาวลงไปในทะเล หัวสะพานมีที่พอให้กลับรถได้ ธนากลับหัวรถและจอดรถไว้ข้างหัวสะพาน แล้วเดินไปที่กระท่อมหลังที่มีลักษณะตามที่ชายชราบอก
กระท่อมหลังดังกล่าวมุงและกั้นด้วยสังกะสียังใหม่ ๆ มีแสงไฟลอดออกมา ทางร่องประตูและช่องลม มีเสียงเด็กและผู้หญิงคุยกันเบา ๆ ประตูเป็นบานไม้เก่า ๆ ฝนยังตกลงมาพรำ ๆ ขณะที่ธนาก้าวไปยืน เคาะประตูแล้วเรียก
“บ้านคุณยอดใช่ไหมครับ”
เสียงคุยกันเงียบไป แต่มีเสียงผู้หญิงตอบออกมา
“ใช่ค่า แต่พี่ยอดไม่อยู่ ไปข้างนอกตั้งแต่หัวค่ำ ใครมาธุระอะไร” ประตูไม่เปิดมีแต่เสียงถาม
“ผมมาจากกรุงเทพ จะมาหาคุณเทิน อาแป๊ะที่โรงแรมบอกให้ผมมาหาคนชื่อยอด ดอนไผ่”
ประตูกระท่อมเปิดออกทันที ผู้หญิงนุ่งผ้ากระโจมอก มือถือตะเกียงรั้วยืนอยู่ แสงตะเกียงไม่ค่อยสว่างแต่ก็พอจะมองเห็นใบหน้าหญิงเจ้าของบ้าน ว่ามีหน้าตาแบบชาวบ้าน อายุประมาณสามสิบ มีเด็กหญิงวัยประมาณสี่ขวบ และสามขวบยืนเกาะขาอยู่ข้างหลัง ราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“ขอโทษ ไม่ทราบคุณยอดจะกลับมาบ้านตอนไหนครับ” ธนาถามไปอย่างเก้อเขินเมื่อสายตาของผู้หญิงคนนั้นจ้องมองเขาเขม็ง
“ก็ไม่แน่… อาจจะสามทุ่ม สี่ทุ่ม เที่ยงคืน หรืออาจจะกลับเอาเช้าเลยก็ได้ พี่ยอดกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา” หญิงสาวตอบห้วนๆ แบบชาวบ้านการศึกษาน้อย
“ผมขอนั่งรอหน้าบ้านนี่ได้ไหมครับ”
“ได้ ตามใจคุณ… เดี๋ยวจะยกเก้าอี้มาให้”
ว่าแล้วหญิงสาวก็กลับเข้าไปยกเก้าอี้หัวโล้น แบบเก้าอี้ในร้านก๋วยเตี๋ยวมาให้ธนานั่ง ที่นอกชานซึ่งเป็นพื้นปูกระดานอยู่นอกบ้านและประตูบ้านเปิดไว้พอแง้มๆ
ธนานั่งรออยู่เป็นชั่วโมง ยอด ดอนไผ่ ก็ยังไม่กลับมา เขานึกเกรงใจสาวเจ้าของบ้าน ลูก ๆ ของนางคงหลับไปแล้วเพราะเสียงเงียบ และนางเองก็คงอยากจะพักผ่อนบ้าง ธนาเห็นท่าไม่เหมาะจึงคิดว่ากลับไปโรงแรมพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ จึงตัดสินใจบอกลาเจ้าของบ้าน
“ผมขอตัวกลับไปพักที่โรงแรมก่อน พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ ช่วยเรียนคุณยอดให้บอกคุณเทินด้วยว่า คนที่นัดหมายไว้มาแล้ว พักอยู่ที่โรงแรมมาบอำมฤต”
หญิงสาวพยักหน้า “จ้ะ แล้วจะบอกพี่ยอดให้”
ธนาขับรถบ่ายหน้ากลับมาตามทางเดิม แต่พอถึงทางแยกที่ด้านซ้ายไปมาบอำมฤตและด้านขวาไปห้วยรากไม้ เขาเกิดการหลงทางทันที จำไม่ได้ว่าตอนขามามาจากทางซ้ายหรือขวา แต่ดูเหมือนว่าขามาเขามองไม่เห็นทางแยกตรงนี้
******
“มีคนจากรุงเทพมาหาพี่มานั่งรออยู่ตั้งนาน เพิ่งจะกลับไปเมื่อไปสักครู่ใหญ่ๆ นี่เอง” เมียของยอด ดอนไผ่ บอกเมื่อสามีกลับเข้าบ้านในระยะห่างกับที่ผู้มานั่งรอลุกไปประมาณ ๗-๘ นาที
“เป็นใครมาจากไหน เขารู้จักพี่งั้นเรอะ”
ยอด ดอนไผ่ถามภรรยา ขณะเข็นจักรยานยนต์เข้าจอดไว้ใต้เพิงหลังคา เนื้อตัว เสื้อผ้าของยอดเปียกชุ่ม เพราะขับรถกรำฝนมา วิถีชีวิตของทรชนอย่างยอดมักจะระแวง เมื่อมีคนแปลกหน้ามาถามหา
“เขาขับรถแวนมา ไม่ได้มาหาพี่หรอกแต่จะมาหาพี่เทิน ทางโรงแรมบอกให้เขามาหาพี่ที่นี่”
“ตายละซี พี่เทินสั่งไว้ว่าถ้าหากมีใครมาถามหาให้ช่วยพาไปพบด้วย ตอนนี้เขาไปไหนแล้ว”
ท่าทางอันเฉื่อยเย็นชาของยอดเปลี่ยนเป็นร้อนรน เมื่อรู้ว่าคนที่มาหาเป็นแขกของลูกพี่
“สงสัยจะกลับไปที่โรงแรมแล้วมั้ง ไม่ไปที่โรงแรมเขาจะไปพักที่ไหน” เมียของยอดให้ความเห็นกับสามี
“ฉิบหายละซี! พี่เทินเอาตายแน่” ยอด ดอนไผ่ บ่นออกมาดัง ๆ แล้วเดินพล่านอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด
“พี่ก็รีบตามไปที่โรงแรมซี นี่ก็เพิ่งจะสองทุ่มกว่า ๆ เขาคงยังไม่ทันนอนหรอก” เมียของยอดแนะนำ
ยอดมุ่งหน้าไปยังบ้านของสง เพื่อนผู้ทำให้เขาพลาดกับคนที่จะมาหา สง สินลา ซื้อรถจักรยานยนต์เก่าจากชาวบ้านมาคันหนึ่ง เครื่องยนต์ขัดข้องสตาร์ทไม่ติดจึงมาหายอดไปดูให้ เมื่อตอนประมาณ ๑ ทุ่ม ยอดพอจะมีความรู้ทางเครื่องยนต์ เมื่อตรวจดูพบว่าสายปลั๊กหัวเทียน โดนหนูเข้าไปกัดขาดข้างในไฟจึงไม่แล่นเข้าหัวเทียน ยอดต่อสายให้ใหม่เครื่องยนต์ก็ใช้การได้ตามปรกติ แต่ถ้าลูกพี่เทิน ท่าลาด รู้ว่าทั้งสองทำให้คนที่มาหามาแล้วไม่พบเขาตามที่สั่ง ลูกพี่ต้องไม่พอใจและผลร้ายจะตกอยู่ที่เขาและสงแน่ๆ
........
3 ทุ่ม 40 นาที ยอด ดอนไผ่ กับ สง สินลา ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาที่โรงแรมมาบอำมฤต ยอดจอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าโรงแรม แล้วเดินเข้าไปถามอาแป๊ะที่เคาเตอร์
“แป๊ะเฮ้ง คนที่มาจากกรุงเทพเมื่อเย็นมาพักที่นี่ไหม?”
“มา แต่ออกไปเลี้ยว ยังไม่เห็นกับ อีบอกว่าจาปายหาลื้อ แล้วม่ายเจอกังหลือ” อาแป๊ะย้อนถาม
“ก็ไม่เจอนะซี ถึงได้มาถาม”
“เอ...แล้วอีไปหนายหว่า” อาแป๊ะพลอยทำท่าไม่สบายใจ
“เมียอั๊วบอกว่า เขาไปนั่งรออั๊วที่บ้านเกือบชั่วโมง พอดีอั๊วไม่อยู่บ้าน เขาบอกกับเมียอั๊วว่าจะมานอนที่นี่”
“อียังม่ายล่ายกับมาเลยตั้งแต่ออกไป อั๊วบอกว่าให้ลอ ให้นองพักอยู่ที่นี่อีก็ไม่เชื่อ ลูท่าทางอีเป็งคงใจล้อน...” อาแป๊ะให้ความเห็น
“หรือว่าเขาขับรถไปนอนที่ชุมพร” ยอด ดอนไผ่ ปรารภกับสง สินลา
“หลือว่าอีปายหาคุงเทิงเอง แล้วหลงทางปายเจอกับ... เฮ้อ! ป่านนี้มิ…?” อาแป๊ะพึมพำเหมือนพูดคนเดียว
“อย่าพูดอะไรมั่ว ๆ น่าอาแป๊ะ” ยอด ดอนไผ่ กล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“คัก ๆ ม่ายพูก... ขอโทก ๆ ปากมังเผอปาย” อาแป๊ะรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“สงสัยนายนั่นจะขับรถเข้าชุมพรไปแล้ว เรากลับไปบ้านนอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
สองสหายพากันขี่จักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันออกมา แต่พอพ้นจากหน้าโรงแรมยอดก็นึกขึ้นมาว่า
“หรือว่าไอ้คนกรุงเทพไปตามหาบ้านพี่เทิน แล้วเกิดว่าขับรถเลยไปออกถ้ำธง ไปเจออีนั่นเข้าเรื่องยุ่ง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างที่อาแป๊ะว่าทีเดียวนะ” ยอด ดอนไผ่ รำพึง
“ฮื่อ กูเองก็ชักหวั่น ๆ ว่ะ อีนี่มันใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ถ้ำธง บ่อสำโรง บางแหวน ทุ่งมหา ดอนยาง ใครแปลกหน้ามา อีนั่นเที่ยวบอกเล่าเขาหมดทุกราย”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี” ยอด ดอนไผ่ ถามสง สินลา เพราะตนคิดไม่ออก
“เราต้องรีบไปหาพี่เทิน ไปบอกให้แกรู้ว่าคนกรุงเทพมาแล้ว หรือไม่แน่บางทีเราอาจจะพบไอ้คนกรุงเทพที่บ้านพี่เทินก็ได้” สง สินลาให้ความเห็น
“แล้วถ้าไม่พบล่ะ” ยอด ดอนไผ่ ยังกังวล
“ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ใครเสือกใช้ให้มันมาผิดเวลา” สง สินลา สรุป