คราสตะวัน (พินธุนาถ) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: คราสตะวัน
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 143.00 บาท
ประหยัด: 77.00 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ความรักหมายเลข 2

 

          โลกเปลี่ยนไปเสมอ ไม่มีอะไรคงอยู่ที่เดิม มีเพียงความรักเท่านั้นที่ยังยืนหยัดเพื่อทดสอบกาลเวลา

 

 

คราสตะวัน

 

 

เริ่มต้นรัก k

 

- 1 -

 

แถวรถติดอันยาวเหยียดข้างหน้า เกิดจากการที่รถทุกคันพยายามเบียดเข้ามาในเลนเดียวกันเพื่อเลี้ยวซ้าย รถที่อยู่ในเลนซ้ายอยู่แล้วก็พยายามสุดฤทธิ์ไม่ให้ตัวเองถูกแย่งพื้นที่

            อนงค์ณัฐขับจี้คันหน้ามาติด ๆ เพื่อกันไม่ให้คันอื่นมาปาดเข้าได้ เธอรู้...ว่าควรจะมีน้ำใจให้ทางคนอื่นบ้าง แต่ต้องไม่ใช่วันนี้...วันที่เธอมีนัดกับลูกค้าคนสำคัญ

            มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยถ้าจะสาย อนงค์ณัฐอยากจะตะโกนออกมาให้ลั่นรถ

            ชุดเลือกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน แถมยังทำข้าวต้มสำหรับมื้อเช้าไว้แล้วด้วย ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามแผน ป่านนี้เธอควรจะไปนั่งเฉิดฉายอยู่ที่ออฟฟิศแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะ...ความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น

            นาฬิกาปลุกไม่ยอมปลุกตามเวลา เหตุเพราะ...ถ่านหมด คิดแล้วอยากจะร้องกรี๊ด มันเดินของมันมาได้ทุกวัน แต่ต้องมาตายเอาวันที่เธอมีนัดนี่ละนะ เธอก็เลยนอนจนเพลิน

            “โอ๊ย...อะไรเนี่ย” อนงค์ณัฐร้องลั่น เมื่อรถเบ็นซ์คันหรูสีดำสนิทปาดหน้าเธอเข้ามาในเลนอย่างว่องไว

            หญิงสาวชะเง้อมองผ่านกระจกหลังของรถคันหน้าซึ่งติดเพียงฟิล์มกันแสงสีอ่อนก็เห็นชายหนุ่มคนขับกำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่

            เกลียดจัง...พวกที่ชอบโทรศัพท์ขณะขับรถ แล้วก็ขับแบบไม่สนใจคนอื่น อนงค์ณัฐหน้าบึ้งจ้องมองรถคันหน้าอย่างเห็นเป็นปฏิปักษ์ แต่ก็อารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อยเมื่อเลี้ยวซ้ายออกมาแล้วรถเริ่มเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น

            จังหวะหนึ่งที่ขับขึ้นมาตีคู่กัน อนงค์ณัฐหันไปมองคนขับรถเบ็นซ์สีดำ หญิงสาวเผลอตัวมองนานจนเกือบชนท้ายรถคันหน้า จนรถคันใหญ่เคลื่อนผ่านไปแล้ว เธอก็ยังมองตามท้ายรถเขาไป

            นาน ๆ จะเห็นแบบนี้สักที บ่อยครั้งที่เห็นรถสวย ๆ หรู ๆ แต่คนขับไม่ได้เป็นไปตามภาพที่จินตนาการเอาไว้ แต่นี่มันใช่สุด ๆ เลยล่ะ อนงค์ณัฐเผลออมยิ้มออกมาคนเดียว แค่เห็นแวบเดียวก็ทำให้รู้สึกสดใสปิ๊งปั๊งขึ้นมาได้ โอเค...โทษฐานที่หน้าตาดี ให้อภัยที่ขับปาดหน้าเมื่อครู่

            นึกแล้วอยากโทรหายายมุก จริงสิ...สายป่านนี้น่าจะมีใครโทรตามบ้าง หรือว่า...อย่าบอกนะว่าโทรศัพท์แบตฯ หมด หญิงสาวทำตาเหลือกอยู่คนเดียว นึกได้ว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเตือนว่าแบตฯ ใกล้หมด แต่เธอก็ยังไม่ได้ชาร์จ   

โอ๊ย...อยากจะบ้าตาย แต่ก็ยังดีที่มีแบตเตอรี่สำรองอีกอันอยู่ที่โต๊ะทำงาน

            ป่านนี้ธรณิศคงจะรัวนิ้วกดโทรศัพท์หาเธอเป็นระวิง เขาตื่นเต้นกับลูกค้ารายนี้มาก แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นคนแนะนำมาก็ตาม เธอรู้ว่าธรณิศไม่ชอบพึ่งพาใคร ไม่ชอบใช้เส้นสาย แต่ตอนนี้บริษัทแทงโนน่าของเขากำลังต้องการโอกาสดี ๆ สักครั้งให้เขาได้โชว์ฝีมือ

            ชายหนุ่มให้เหตุผลว่าบางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับการช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง (เหมือนตอนที่เขาหาเหตุผลให้กับลูกค้าที่พ่อหามาให้เมื่อเดือนก่อน)

            ลูกค้ารายนี้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมในเครือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ แม่ของเขาเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกับแม่ของธรณิศ เมื่อรู้ว่าลูกชายของเพื่อนเปิดบริษัทเกี่ยวกับการให้บริการประชาสัมพันธ์ หล่อนก็เลยแนะนำโครงการของลูกชายตัวเองให้ และฝ่ายนั้นก็นัดจะเข้ามาคุยรายละเอียดวันนี้

            หญิงสาวชะลอความเร็วลงมองหาที่จอด บริษัทของเธอตั้งอยู่ในซอยซึ่งมีที่จอดรถจำกัด จึงต้องหาจอดเอาแถวริมถนน เธอมองเห็นที่ว่างข้างหน้าแล้ว โชคดีจริง ๆ

            แต่แล้วแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อรถเบ็นซ์หรูสีดำคันใหญ่ที่เพิ่งมีคดีปาดหน้ารถเธอมาหยกๆ เลี้ยวปราดมาจากไหนไม่รู้ พุ่งเข้าไปในช่องจอดที่เธอหมายตาเอาไว้ เธอจำได้ว่าเป็นรถคันเดียวกันเพราะจำหน้าคนขับได้

หึ...ไม่สนแล้ว หน้าตาดีแต่นิสัยแย่เหลือทน

ฝ่ายนั้นขยับรถไม่กี่ครั้งก็จอดได้อย่างเรียบร้อย จากนั้นคนขับก็เปิดประตูรถ ร่างสูงในชุดสูทหรูก้าวลงมา เขายังแนบโทรศัพท์ไว้ที่หูอย่างไม่สนใจจะมองคนที่ตัวเองเพิ่งแย่งที่จอดรถ ชายหนุ่มกดรีโมทปิดประตูรถแล้วเดินจากไป

            อนงค์ณัฐได้แต่กำพวงมาลัยแน่น ถ้าเป็นภาพในการ์ตูนตอนนี้คงจะเห็นควันลอยออกจากหูของเธอแน่ ๆ ขณะที่กำลังโกรธทั้งโชคชะตาของตัวเองกับเจ้าของรถเบ็นซ์ที่ไร้มารยาทสังคมคนนั้น รถคันหนึ่งที่จอดอยู่ก็ขับออกไปพอดี หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเลี้ยวรถเข้าไปจอดต่อจากเบ็นซ์คันนั้น

            ขณะรีบตะกายคว้ากระเป๋าสะพายใบโตลงจากรถ อนงค์ณัฐก็เห็นบางอย่างหล่นอยู่กับพื้นข้างรถคันหรู เป็นกระเป๋าธนบัตรของผู้ชาย ใหม่เอี่ยม ดูไกล ๆ ก็เห็นแล้วว่าต้องเป็นของแบรนด์เนม หญิงสาวหรี่ตามองอย่างมุ่งร้ายขณะเดินไปหยิบมันขึ้นมา

            มองไปก็เห็นไหล่กว้างในเสื้อสูทสีเข้มกำลังเดินเข้าไปในซอยเดียวกับเธอ วิ่งตามไปก็คงทัน ตอนนี้คุณธรรมกับด้านมืดของอนงค์ณัฐกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง อย่างน้อยขอเปิดดูข้างในหน่อยก็ยังดีนะ

            แต่มันไม่ใช่ของของเรานะ...อีกเสียงตะโกนก้อง รีบวิ่งเอาไปคืนให้เขาสิ

            ในที่สุดเธอก็เห็นตัวเองวิ่งเหยาะ ๆ ตามเขาไป ได้ยินเสียงเขาคุยโทรศัพท์ดังแว่ว ๆ น่าจะเป็นเรื่องงาน อะไรชีวิตมันจะยุ่งขนาดนั้น...พูดไม่ได้หยุดขนาดนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ อนงค์ณัฐนึกค่อนอยู่ในใจ ก่อนจะตะโกนเรียกเขาไม่ดังนัก

            “คุณ...คุณ...”

            แต่ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้ยินเธอ อนงค์ณัฐเรียกอีกครั้ง เมื่อเขายังไม่สนใจ เธอก็เลยเดินเข้าไปใกล้แล้วเอานิ้วจิ้มไปที่ไหล่เขา ชายหนุ่มหันมามอง แวบแรกคิ้วเข้มขมวดขึ้งเหมือนไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ

            ไม่รู้อะไรดลใจ อาจเป็นด้วยสีหน้าและแววตายโสของเขา หรือไม่ก็อารมณ์ค้างจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แทนที่จะเอากระเป๋าคืนให้เขาหญิงสาวกลับคว้าโทรศัพท์มือถือมาจากเขา ก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่ปุ่มตัดสายอย่างสะใจ

            มีแววตกใจฉายวาบขึ้นนิดเดียวในดวงตาดำโตของอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงุนงง เขาก้มลงมามองหญิงสาวแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็มากระชากโทรศัพท์ไปจากมือตัวเอง

            “อะไรกัน...คุณ เอาโทรศัพท์ผมคืนมานะ”

            เสียงพูดของเขาน่าฟังทีเดียว แต่ไม่ใช่อารมณ์จะมาชื่นชมเอาตอนนี้ อนงค์ณัฐแอบดุตัวเองในใจ ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งขรึมพูดกับเขาอย่างเป็นงานเป็นการ

“คุณพูดโทรศัพท์ตลอดเวลาเลย รู้ไหมว่าคุยโทรศัพท์ตอนขับรถมันอันตราย แล้วก็ผิดกฏหมายด้วย” อนงค์ณัฐทำตาโตใส่เป็นเชิงให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดา

            “คุณคงไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าขับรถปาดหน้าฉันแถมยังแย่งที่จอดรถของฉันด้วย คุณไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยเพราะคุณมัวแต่โทรศัพท์ แล้วคุณก็ยัง...” อนงค์ณัฐยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็ยกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองเธอแล้วพูดขัดขึ้น

            “อย่าบอกนะว่านี่เป็นวิธีหากินแบบใหม่”    

            “หา...อะไรนะ” อนงค์ณัฐเป็นฝ่ายงงบ้าง

            “พูด พูด แล้วคิดจะฉกมือถือไปเลยใช่ไหมล่ะ ขอบอกว่าไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”

            คนพูดทำน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนรู้ทัน อนงค์ณัฐนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะร้องกรี๊ดออกมาอย่างโกรธจัด

            “นี่...นี่คุณหาว่าฉันเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเหรอ”

            “ก็พฤติกรรมของคุณมันใช่นี่” อีกฝ่ายบอกอย่างยโส

            แวบหนึ่งที่อนงค์ณัฐแอบก้มลงมองตัวเอง วันนี้เธอใส่ชุดสูทกางเกงตัวหรูของชาแนลที่ตัดใจซื้อไว้สำหรับใส่ในโอกาสสำคัญ ๆ  กับรองเท้าส้นสูงคู่ละค่อนหมื่น นักต้มตุ๋นที่ไหนจะต้องลงทุนแต่งตัวดีขนาดนี้

            แต่พอนึกได้ว่าตัวเองแต่งตัวดีมาทำไม อนงค์ณัฐก็ตกใจ เธอโยนโทรศัพท์มือถือคืนให้เขา ก่อนจะตามด้วยกระเป๋าสตางค์ใบแพง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

            “คุณทำกระเป๋าตกไว้ ฉันก็แค่จะเอามาคืนให้คุณ ไม่ต้องขอบคุณหรอกนะ...” แวบหนึ่งที่อนงค์ณัฐนึกสะใจที่ได้เห็นสีหน้าผิดคาดของเขา แล้วเธอก็สะบัดหน้าใส่ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่บริษัท

            แอบหันไปมองก็เห็นฝ่ายนั้นกดโทรศัพท์มือถือแล้วคุยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้มีท่าทางว่าเขาจะซาบซึ้งในสิ่งดี ๆ ที่คนแปลกหน้าทำให้เลยสักนิด

            รู้อย่างนี้ปล่อยให้หายไปเลยก็ดีหรอก อนงค์ณัฐคิดอย่างแค้น ๆ แล้วรีบผลักประตูกระจกเข้าไปในบริษัทซึ่งเป็นอาคารทาวน์โฮมสามชั้น

            “คุณอธิปกมาหรือยัง” หญิงสาวถามพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า

            “ยังไม่มาเลยค่ะ พี่ธูปกับพี่เก๋รออยู่ในห้องประชุมแล้วค่ะ”

            อนงค์ณัฐแทบจะถอนใจออกมาดัง ๆ ด้วยความโล่งอก เธอรีบวิ่งเอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่โต๊ะ เปลี่ยนแบตเตอรี่โทรศัพท์ แล้วเตรียมเอกสารเข้าไปในห้องประชุม

            ธรณิศนั่งรออยู่กับรมณี อาร์ตไดเร็คเตอร์ พอเธอโผล่หน้าเข้าไป ธรณิศก็ทำท่าโล่งใจ ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

            “ทำไมไม่รับสายล่ะ...ตั้งโอ๋ ผมโทรหาเป็นสิบ ๆ ครั้งเลย นึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก”

            ท่าทางของฝ่ายนั้นมองออกชัดเจนว่าห่วงใยมากกว่าจะตำหนิที่เธอมาสาย

            “ขอโทษนะ...ธูป โทรศัพท์โอ๋แบตฯ หมดน่ะ แล้วเมื่อเช้านาฬิกาปลุกก็ตาย โอ๋เลยตื่นสาย รีบแทบตายแถมยังมาเจอคนงี่เง่าอีก โชคดีนะที่ลูกค้ายังไม่มา” อนงค์ณัฐบ่น และไหน ๆ ลูกค้าก็ยังไม่มา เธอเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้คนทั้งสองฟัง

            “น่าเสียดายหน้าตาท่าทางก็ดี แต่นิสัยแย่มาก”

            รมณีไม่มีความคิดเห็น แต่ธรณิศดูจะเป็นเดือดเป็นแค้นแทนหญิงสาว

            “ถ้าเป็นผมนะ ไม่เอาไปคืนง่าย ๆ หรอก คนแบบนี้ต้องแกล้งให้เข็ด”

            “แล้วธูปจะทำยังไง” อนงค์ณัฐถาม มองไปทางรมณีเห็นฝ่ายนั้นนั่งฟังเฉย ไม่ออกความเห็นแต่ก็ดูสนใจอยากรู้

            รมณีเป็นคนแบบนี้เอง หล่อนดูเยือกเย็น ลึกลับเหมือนมีอะไรซ่อนเร้น ทำงานด้วยกันมาหลายเดือนไม่เคยเห็นฝ่ายนั้นหัวเราะสักครั้ง อย่างมากก็แค่อมยิ้ม หล่อนดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากทั้งที่อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆ แต่ท่าทางเหมือนอาจารย์ทรงภูมิวัยกลางคน

            อนงค์ณัฐเห็นหล่อนมองไปที่ธรณิศเพื่อรอฟังคำตอบของเขา

            “ก็ยังไม่รู้หรอก แต่มันก็มีตั้งหลายวิธี ถ้าเรารู้ชื่อ รู้ที่อยู่ของเขา ทำอะไรได้ตั้งสารพัด”

            “คนอย่างธูปไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” เป็นเสียงเย็น ๆ ที่ลอยมาจากปากของรมณี

            “อือหือ...พี่เก๋ เข้าข้างกันอีกแล้ว” อนงค์ณัฐค่อน นึกขำความถ้อยทีถ้อยอาศัยของคนทั้งสอง ขณะที่ธรณิศชื่นชมฝีมือของรมณี อีกฝ่ายก็ดูจะปลาบปลื้มในความเป็นคนนิสัยดีของฝ่ายชาย

            “เก๋น่ะ ยังไม่เคยเห็นด้านมืดของผม” ธรณิศแกล้งทำหน้าเหี้ยม เขาอ่อนกว่าฝ่ายนั้นแค่ปีเดียวก็เลยเรียกชื่อเฉย ๆ

            “มืดแค่ไหนเหรอ” อนงค์ณัฐแกล้งถาม หันไปมองรมณี ฝ่ายนั้นแค่อมยิ้ม

            “ไม่บอกหรอก เดี๋ยวตั้งโอ๋เลิกคบผม”

            ชายหนุ่มทำเป็นส่งประกายตายิบ ๆ มาให้ อนงค์ณัฐเลยแกล้งค้อนให้ แต่แอบเห็นว่าอาร์ตไดเรกเตอร์คนเก่งของธรณิศไม่ขำด้วย หล่อนเอาแต่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตัวเอง บางครั้งอนงค์ณัฐก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทำให้เธออึดอัดเวลาที่มีธรณิศอยู่ด้วย

            เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ไข่มุกโทรมา อนงค์ณัฐลุกออกไปยืนคุยที่มุมห้อง ตอนแรกเธอคิดว่าเพื่อนโทรมาคุยเล่นเรื่อยเปื่อย ปรากฏว่าฝ่ายนั้นกำลังเผชิญกับปัญหาคอขาดบาดตายเลยทีเดียว

มีชายหนุ่มคนหนึ่ง มาจากไหนก็ไม่รู้ลอยมาติดอยู่ที่ท่าน้ำหลังร้านกาแฟของเพื่อน เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไข่มุกพาเขาไปทำแผลที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาคือเขาความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร

อนงค์ณัฐรู้นิสัยเพื่อนดีว่าเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร ไข่มุกต้องช่วยเหลือจนถึงที่สุดแน่ แต่คนเราสมัยนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน แล้วเพื่อนของเธอก็ตัวคนเดียว ครอบครัวอยู่ต่างประเทศกันหมด หากไม่ติดว่ามีประชุมด่วนตอนนี้เธอคงจะรีบแล่นไปหาเพื่อนแล้ว

            ในเมื่อไปไม่ได้ เธอก็เลยตัดบทด้วยการแนะนำให้เพื่อนทิ้งชายหนุ่มนิรนามนั้นไว้ที่โรงพยาบาล รู้ว่ามันเป็นคำแนะนำที่ใจร้ายและเห็นแก่ตัวทีเดียว แต่ในเวลานี้ก็คิดวิธีอื่นไม่ออก ดูเหมือนไข่มุกจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำแนะนำของเธอนัก ท่าทางจะโกรธนิดๆ ผสมน้อยใจหน่อยๆ ด้วย

            แต่อนงค์ณัฐไม่มีเวลาจะมามัวพะนอเอาใจเพื่อน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องประชุมและเสียงพนักงานต้อนรับด้านหน้าพาคนที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่เข้ามาในห้อง

เออีสาวรีบกดปุ่มตัดสายของเพื่อนไป ยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อสูท เตรียมฉีกยิ้มแบบมืออาชีพพร้อมต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ แต่เมื่อเธอหมุนตัวหันกลับไปอนงค์ณัฐก็ถึงกับยิ้มค้าง 

รายละเอียด

คำโปรย คราสตะวัน

เป็นนิยายรักเรื่องที่ ๒ ในชุดเรื่องรักสามเวลา อันประกอบด้วย

เลศอรุณ คราสตะวัน แรมพร่างดาว

 

ความรักของหนุ่มสาวต่างวัยในยุคไอทีครองเมือง อนงค์ณัฐ AE สาววัยสามสิบกว่า กับอธิปก นักธุรกิจหนุ่มเจ้าสำราญวัยละอ่อนที่อายุน้อยกว่าตั้ง 5-6 ปี

นอกจากจะเด็กกว่า รวยกว่า ไฮโซกว่า อธิปกยังเป็นคนเจ้าสำราญ คาดเดายาก เพราะลึกลงไปภายใต้ท่าทีไม่แยแสโลกของเขา ชายหนุ่มมีบาดแผลซึ่งคนที่ควรจะรักเขามากที่สุดในโลกได้สร้างเอาไว้ ทำให้เขาไม่เคยศรัทธาในความรัก ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่รักเขาจริง ทั้งที่ใจของเขาโอนเอียงไปทางอนงค์ณัฐจนแทบจะหมดใจอยู่แล้ว

ขณะที่ ธรณิศ ผู้เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนผู้พยายามจะก้าวพ้นจากคำว่าเพื่อนไปเป็นมากกว่านั้นกับอนงค์ณัฐ แต่ปัญหาคือใจของเธอเทไปทางนักธุรกิจหนุ่มน้อยหมดใจเสียแล้ว

อนงค์ณัฐจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง รักคนที่เขารักเรา กับรักคนที่เรารักเขา

การคบกับอธิปกนั้นเหนื่อยยากเหลือเกิน แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ...จะทำใจให้เลิกรักนั้นยิ่งยากกว่า แม้ต้องเสียใจ เสียน้ำตา บางครั้งถึงกับสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เธอก็ไม่อาจตัดใจจากเขาได้ง่ายๆ

แต่อย่างที่บอก ความรักมีหนทางของมันเองเสมอ มันสามารถทำให้คนที่ไม่เคยรู้ว่ารักแท้เป็นอย่างไรอย่างอธิปกได้เข้าใจในที่สุด ได้รู้ว่าความรักแท้นั้นมีอยู่จริง และมันก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ขึ้นอยู่กับเขาเองว่าจะไขว่คว้ามันไว้หรือจะยอมเสียมันไป


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (79 รายการ)

www.batorastore.com © 2025