Customer Reviews

นวนิยายชุด ลูกไม้ของพ่อ : แสงดาวกลางใจ (รินท์ลภัส)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 12 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน รินท์ลภัส
สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ
จำนวนหน้าหนังสือ 296 หน้า

ผมพึ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบเมื่อวานนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนที่หนังสือเล่มนี้ถูกนำมาทำเป็นละคร ก็เป็นที่ถูกใจของผมไม่น้อย โดยเฉพาะอาชีพของพระเอกในเรื่องนี้คือหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าครับ ซึ่งเมื่อ่านหนังสือจบแล้ว ผมคิดว่าในหนังสือสนุกกว่าเยอะ เพราะละครกับหนังสือ ต้องบอกเลยว่า ต่างกันมาก ๆ ดู ๆ ไปก็เหมือนจะใช้แค่เค้าโครงกับตัวละครเท่านั้นครับ

หนังสือเล่มนี้ เป็น 1 ใน 5 เล่มในชุด "ลูกไม้ของพ่อ" โดยเรื่องนี้จะถ่ายทอดพระอัจฉริยภาพของในหลวงในเรื่องการทำเกษตรที่สูงแทนการปลูกฝิ่นครับ ดังนั้นในเรื่องนี้เราจะได้พบเห็นพันธุ์ไม้เมืองหนาว และชื่อพันธุ์ไม้แปลก ๆ ซึ่งผมคิดว่า เป็นอะไรที่ได้อรรถรสมากในส่วนนี้ครับ

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าที่ตกหลุมรักสาวเจ้าของไร่สตรอว์เบอร์รี่ จึงพยายามที่จะจีบเธออย่างสุดความสามารถ แต่นางเอกไม่เล่นด้วยครับ (ในตอนแรก ๆ แค่นั้นแหละ) เพราะพระเอกหาว่าพ่อของนางเอกเป็นคนตัดไม้ทำลายป่า เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะมีจุดขัดแย้งอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งผมคิดว่าผู้เขียนทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ

ไป ๆ มา ๆ ผมชอบหนังสือเล่มนี้มากกว่า "ในม่านเมฆ" เสียอีก ถ้าเปรียบเทียบ 2 เรื่อง ต้องบอกว่าพระเอกสูสีกันมากครับ ทั้งอาชีพการงาน ความหล่อ และความกวนอารมณ์ แต่ผมให้เปอร์เซ็นต์เอนมาที่ "อคิน" มากกว่า เพราะบุคลิกใกล้ ๆ ตัวผม และอคินในเรื่องเป็นคนน่ารักมากครับ เป็นคนที่จริงจัง ชัดเจนในด้านอุดมการณ์ และรักนางเอกมาก ๆ ครับ

ส่วน "นับดาว" ผมเทใจให้หมดเลย หญิงสาวชาวเหนือเจ้าของไร่สตรอว์เบอร์รี่ ผู้หญิงที่รักธรรมชาติและผืนป่า ซึ่งตัวละครนี้น่ารักมากครับ น่ารักจนรู้สึกว่าเธอมีจริงและสัมผัสได้จนสามารถ "ตกหลุมรัก" ได้เลย แถมยังอู้คำเมืองอีก ยามงอนพระเอกก็น่ารักมากครับ ยามโหดก็น่าเอ็นดู ถ้าผมเป็นอคิน ผมก็คงจะทำเหมือนที่อคินทำครับ

หนังสือเล่มนี้ผมให้คะแนนเต็มเลย น่ารักทั้งเรื่อง เห็นภาพบรรยากาศทางเหนือได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้ภาษาเหนือ ผู้เขียนศึกษามาดีมากครับ ในส่วนของพระรองอย่าง ร้อยตำรวจเอกน่านนที ก็ทำออกมาได้ดูน่ารักมากเช่นกัน ดูเป็นพี่ชายที่อบอุ่น ( ซึ่งมันต่างกับละครเยอะ ที่ให้พระเอก กับพระรองมาต่อยกันแย่งนางเอก และนางเอกหนีไปอยู่กับพระเอกในบ้านพัก มันต่างกับหนังสือแบบสุดกู่) อ่านจบแล้ว ผมเลยกลายเป็นไม่ถูกใจละครเลยครับ ถ้าทำออกมาตามหนังสือก็น่ารักแล้ว ไม่น่าเบื่อด้วย นี่จากความคิดผมนะ

สรุปว่า ถ้าคุณชื่นชอบบรรยากาศภาคเหนือ (เหนือแบบบนดอยเลยนะครับ) หรือชื่นชอบคนเหนือ ก็อยากให้ลองอ่านครับ อ่านแล้วคุณจะอมยิ้มเหมือนผมตลอดทั้งเรื่อง ลุ้นไปกับพระเอกในการสู้กับโจรทำลายป่า และปลาบปลื้มไปกับพระอัจฉริยภาพของพ่อหลวงของเราครับ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน บก.เอกนรี พรปรีดา
สำนักพิมพ์ มายิก
จำนวนหน้าหนังสือ 207 หน้า

หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาก่อนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัม ลินคอล์น หรือ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ซึ่งผมเองเกิดไม่ทันครับ อาจจะทันในช่วงของโรนัลด์ เรแกน แต่ก็คงจะยังเด็กมาก เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องหาคลิปเก่า ๆ มาดู จนมาเจอหนังสือเล่มนี้ถึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วประธานาธิบดีสหรัฐที่ถูกลอบสังหาร มีมากกว่าที่รู้ (มาก่อน) เยอะมากครับ

มีความเชื่ออยู่เรื่องหนึ่งครับ คือเรื่อง "คำสาปทิปเปคานู" ของอินเดียนแดงที่สาปแช่งผู้นำของสหรัฐให้เสียชีวิตในปีที่หารด้วย 20 ลงตัว ซึ่งมันอาจจะสอดคล้องกับปีที่ประธานาธิบดีสหรัฐถูกลอบสังหารจริง ๆ เสียด้วย และคำสาปนี้พึ่งจะเสื่อมลงในยุคของโรนัลด์ เรแกน เมื่อเค้าถูกลอบยิงถึง 3 นัด แต่ไม่เสียชีวิตครับ จากนั้นผมก็ไม่เห็นการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอีกเลย

ในหนังสือจะเริ่มจาก การลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น ครับ (แต่ลินคอล์นไม่ใช่คนแรกที่โดนคำสาปนะครับ) ลินคอล์นเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืนในโรงละครฟอร์ด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องช๊อกโลกมากขณะนั้น และตอนนี้ก็ยังมีเงื่อนงำที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างแท้จริงครับ (ตลอดเลยละครับ ตายจากคนวงในที่ขัดประโยชน์กันเองทั้งนั้น)

ต่อมาคือ เจมส์ เอ การ์ฟิล์ด อันนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่อยากจะบอกว่าการป้องกันหลละหลวมมากครับ การ์ฟิล์ดเสียชีวิตจากการถูกยิง (ไม่ลอบครับ ยิงซึ่ง ๆ เลย) โดยบุคคลวิกลจริต และต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษบาดแผลถึง 2 เดือน ก่อนจะเสียชีวิตไปพร้อมความโศกเศร้าจากชาวอเมริกันครับ

วิลเลียม แม็กคินลีย์ นี่ก็ถูกยิงซึ่ง ๆ หน้าครับ โดยถูกคนร้ายถือปืนรีวอลเวอร์ที่มีผ้าเช็ดหน้าคลุมอยู่จ่อยิงในระยะประชิด 2 นัด จริง ๆ ผมมองว่าเมื่อมันเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อน ทำไมการป้องกันภัยท่านผู้นำของเค้าถึงยังหละหลวมอยู่นะ ?

และก็มาถึงประธานาธิบดีรูปหล่อ ชื่อดัง จอห์น เอฟ เคนเนดี้ครับ (จริง ๆ ผมมีหนังสือมากมายเกี่ยวกับเค้า รวมไปถึงหนังสือที่รวบรวมข้อมูลเสียชีวิตอย่างละเอียด ในส่วนของหนังสือเล่มนี้เลยไม่ละเอียดเท่าครับ) เค้าถูกลอบสังหารที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ขณะกำลังนั่งอยู่ในรถลีมูซีนเปิดประทุน และเสียชีวิตเกือบจะทันทีครับ ซึ่งคดีนี้ได้เต็มไปด้วยข้อสงสัยหลายประการ แต่เนื่องจากในหนังสือไม่เน้น ผมจึงไม่เน้นด้วยครับ

ต่อมา เคนเนดี้คนที่ 2 หรือโรเบิร์ต เคนเนดี้ น้องชายของจอห์น เอฟ เคนเนดี้ผู้ล่วงลับ ก็ถูกลอบสังหารเช่นกัน โดยถูกยิงขณะหาเสียงเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต (ลองดูในยูทูปยังมีคลิปเหตุการณ์ให้ชมกันอยู่ครับ)

และคนสุดท้ายคือโรนัลด์ เรแกน ผู้ที่ถูกลอบสังหารโดยถูกยิงถึง 3 นัด แต่ไม่เสียชีวิตครับ จากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประธานาธิบดีชาติอื่น ๆ ที่ถูกลอบสังหารอยู่ในส่วนท้ายของหนังสือเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

สรุปว่า สนุกครับ นาน ๆ จะมีหนังสือแนวนี้ออกมาให้อ่านกัน ก็อยากให้อ่านกันเยอะ ๆ ผมว่าคุ้มนะ บางท่านยังมีคลิปให้ดูในยูทูป เพิ่มอรรถรสในการอ่านมากขึ้นอีกครับ
ควันหลงสงครามโลก (โดย สังคีต จันทนะโพธิ)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน สังคีต จันทนะโพธิ
สำนักพิมพ์ สยามบันทึก
จำนวนหน้าหนังสือ 176 หน้า

หนังสือเล่มนี้ชื่อ "ควันหลงสงครามโลก" ครับ ตอนที่ผมเห็นหน้าปก ผมเข้าใจว่า มันจะเป็นเรื่องราวที่ตกหล่นจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นของใช้อะไรประมาณนี้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ทั้งหมดครับ

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 (แล้วทำไมหน้าปกถึงไม่เติมว่าครั้งที่ 2 ด้วยนะ ?) ในส่วนของประวัติศาสตร์ที่ตกหล่นไปจริงอย่างที่ผมคิดครับ แต่ที่ผมคิดไม่ถึงคือ มันเป็นประวัติศาสตร์ส่วนสำคัญ ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความเลวร้ายต่าง ๆ ที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย (ส่วนมากจะร้ายมากกว่า) ที่แปลกจนทึ่งก็มีครับ ลองมาดูกันว่าหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้าง

โดย 2 บทแรกในเล่มนี้ จะเริ่มเรื่องราวของนายพลดักลาส แม็กอาเธอร์ เจ้าของวลีเด็ด "I Shall return" ครับ โดยจะเน้นไปตรงที่เมื่อฟิลิปปินส์ถูกโจมตีจากกองทัพญี่ปุ่นจนแม็กอาเธอร์ต้องหนีไปและกล่าววลีเด็ดนั้นออกมา อาจจะดูไม่สำคัญนะครับ แต่ตรงนี้ก็เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหนึ่ง และเกิดขึ้นในแถบทวีปเอเชียด้วย ตรงนี้ผมว่าผู้แต่งเขียนได้อย่างน่าสนใจมากครับ เหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ ครับ จากนั้นก็จะมีเรื่องของของจอมพลรอมเมล ที่ถูกลอบสังหาร (?) ว่าแท้จริงแล้ว นายพลผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และจอมพลแห่งกองทัพเยอรมันที่เหล่าทหารพันธมิตรยกย่อง ถูกใครสังหารกันแน่ และเพราะอะไรจึงถูกสังหาร เรื่องนี้ก็สนุกครับ อ่านแล้วจะอึ้งกันเลยทีเดียว ทั้งหดหู่และทั้งน่าประทับใจในความกล้าหาญของจอมพลรอมเมลในวินาทีสุดท้ายของชีวิต แล้วก็ยังมีเรื่องที่อ่านแล้วเศร้าใจ คือเรื่อง ใครเป็นคนสั่งทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิครับ

และที่แปลกแต่จริง คือเรื่องของ ร.ท.หญิง ทาคิโน่ ยามาโมโตะ ทหารหญิงชาวญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นนิตยสาร Man's world ใช่ครับ น่าประหลาดใจจริง ๆ ที่เธอได้ขึ้นนิตยสารผู้ชาย อยากรู้ว่าเพราะอะไรต้องลองมาอ่านดูกันครับ ผมคิดว่ามีในหนังสือเล่มนี้แต่เพียงเล่มเดียวด้วยนะ เพราะหาไม่เจอจากกูเกิ้ลครับ

ถ้าคุณชื่นชอบสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดี ๆ อีกเล่มที่ไม่ควรพลาดครับ จะว่าเป็นควันหลงก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ดูเหมือนจะเหมาะกว่าครับ เพราะรวบรวมข้อเท็จจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางประวัติศาตร์เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างละเอียด ลองหาซื้อมาอ่านกันดูนะครับ เป็นหนังสืออีกเล่มที่คุ้มจริง ๆ เพราะเนื้อหาบางอย่าง ไม่สามารถหาได้จากในเน็ตแน่นอนครับ
ทหารเรือปฏิวัติ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง นายหนหวย
สำนักพิมพ์ มติชน
จำนวนหน้าหนังสือ 124 หน้า

นาน ๆ จะเห็นหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ครับ หนังสือส่วนมากค่อนข้างจะคุณภาพและค่อนข้างจะหายาก ส่วนมากจะหาได้ตามงานหนังสือครับ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ก็เป็นอีกเล่มที่น่าสนใจเช่นเดียวกันครับ

ถ้าผมจำไม่ผิดตามตำราประวัติศาสตร์ ทหารเรือหมดอำนาจไปหลังจากการก่อ "กบฎแมนฮัตตัน" ครับ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือไปมาก จนไม่สามารถก่อกบได้อีก หรือจะเรียกว่ากองทัพเรือหมดอำนาจทางการปกครองไปเลยก็ว่าได้ครับ เพราะหลังจากนั้นผมเห็นแต่กองทัพบกนี่แหละที่ก่อกบฎกันเอง (แต่ผมไม่เคยเห็นกองทัพอากาศก่อกบฎนะครับ หรือผมอ่านไม่ละเอียดก็ไม่รู้)

ในหนังสือเล่มนี้ จะพูดถึงความสำคัญของทหารเรือ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เลยครับ ซึ่งต้องบอกเลยว่าขณะนั้นสายอำนาจทหารเรือมีความสำคัญมาก ซึ่งผู้นำคณะราษฎร์ในสายทหารเรือ คือหลวงสินธุสงครามชัย ได้เกณฑ์กะลาสีเรือติดอาวุธ 500 นายพร้อมที่จะยึดพระที่นั่งอนันตสมาคม (แต่ไม่รู้ทำไม ในหนังสือที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการปฎิวัติสยามในครั้งนี้ที่ออกมาภายหลัง ไม่ค่อยให้ความสำคัญของทหารเรือในสมัยนั้นครับ เหมือนไม่มีตัวตนเลย เต็มที่ก็มีแค่ชื่อของหลวงสินธุสงครามชัยเพียงเท่านั้น)

ภายหลังไม่รู้อย่างไร ทหารเรือต่างพากันก่อกบฎมากเหลือเกิน จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ผมเขียนไว้ในข้างต้นแหละครับ ปัจจุบันนี้ กองทัพเรือก็ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมาก (ขนาดปัจจุบัน คสช.ยึดอำนาจ ผมก็ยังไม่เห็นผบ.ทร.ได้ทำอะไรเลย)

ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะเน้นในเรื่องของสายทหารเรือมาก ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เขียนจากเรื่องจริงโดยการออกตระเวนสัมภาษณ์นายทหารผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายท่าน โดยเริ่มจาก พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต หรือหลวงนาวาวิจิต อดีตผู้บังคับกองเรือรบหรือกองเรือยุทธการในปัจจุบัน ผู้เป็นหนึ่งในคณะราษฎร์สายทหารเรือครับ จากนั้นก็ได้รับการบอกต่อไปว่า ให้ไปสัมภาษณ์คนนู้นบ้าง คนนี้บ้าง (นี่ถ้าเป็นผมก็คงจะเหนื่อยแทน เยอะมากเชียวครับ)

ซึ่งผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก การจะหาประวัติของทหารเรือในเหตุการณ์ครั้งนั้น หาได้ยากเหลือเกินในสมัยนี้ แต่ในหนังสือเล่มนี้จะรวบรวมบทบาทของนายทหารเรือหลาย ๆ ท่านทั้งในวันก่อนหน้า ไปจนถึงวันที่ได้ร่วมมือกับปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศครับ ซึ่งก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและเสียงซุบซิบนินทา ผู้เขียนได้เขียนออกมาได้อย่างสนุกและน่าติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง เมื่ออ่านจบแล้ว ทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์การปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศครั้งนี้ได้อย่างดีมากขึ้นอีกครับ และถ้าหากว่าคุณเรียนคณะรัฐศาสตร์ แล้วจำเป็นต้องทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยคุณได้อย่างแน่นอนครับ
บ้านไร่ปลายฝัน : ธาราหิมาลัย (ณารา)
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ณารา
สำนักพิมพ์ พิมพ์คำ
จำนวนหน้าหนังสือ 480 หน้า

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มแรกของผู้แต่ง "ณารา" ที่ผมอ่านครับ และผมก็อ่านหนังสือเล่มนี้ หลังจากที่ดูละครจบครับ

ผมอยากจะบอกว่า ในหนังสือกับในละครต่างกันมากเลย ละครเพียงแต่นำเค้าโครงหนังสือไปใช้ครับ ซึ่งผมว่าก็ถูกอยู่นะ เพราะในหนังสือนี้ ติดเรทไปก็เกือบ 10 แผ่นแล้ว จะเอาไปทำละครก็คงจะไม่เหมาะสมครับ

สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน หรือคนที่เคยอ่านแต่ลืมไปแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของเจ้าชายหนุ่มที่ถูกทำร้ายโดยกลุ่มกบฎ และถูกส่งตัวมารักษาประเทศไทยโดยลับ ๆ ครับ โชคชะตาทำให้เค้าได้พบกับแพทย์หญิงทิพย์ธารา อดิศวร ลูกสาวคนเล็กของตระกูลอดิศวร จากพี่น้องฝาแฝดทั้ง 4 คน ซึ่งเธอถูกพี่ชายทั้ง 3 ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เธอมีคู่ครอง และด้วยความสงสารของเธอที่หลงเชื่อว่าเจ้าชายหนุ่มเป็นคนยากไร้ที่ความจำเสื่อม จึงได้รับไปทำงานในไร่ของพี่ชาย จากนั้นเรื่องราวกุ๊กกิ๊กก็เกิดขึ้น และเมื่อความจริงเปิดเผย (โดยเจ้าชายเอง) ว่าเค้าเป็นถึงเจ้าชายภูวเนศ เจ้าชายแห่งประเทศปารวัตร หนุ่มในฝันของสาว ๆ หลายคน ความรักของทั้งคู่จึงมีอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย และด้วยความเป็นหญิงไทย เป็นหญิงต่างชาติในสายตาของราชาและราชินีแห่งปารวัตร การจะผ่านอุปสรรคนี้ไป แค่ความรักย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่ ?

จริง ๆ ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ค่อยสนุกนะครับ จากสายตาของผู้ชาย แต่จริง ๆ แล้วเรื่องที่ไม่ค่อยสนุกเลยคือเรื่อง "ปฐพีเล่ห์รัก" (ซึ่งผมจะเขียนในหนังสือเล่มนั้นครับ) เรื่องนี้ก็ค่อนข้างดีครับ เป็นความรักระหว่างชนชั้นที่อาจจะเห็นได้บ่อย ๆ (แต่ที่ประทับใจจริง ๆ มีน้อยครับ) นางเอก หมอน้ำเป็นคนน่ารักที่เกือบจะต้องขึ้นคานเพราะฝีมือพี่ชายทั้ง 3 คน ผมว่าจริง ๆ คิมเบอร์รี่ก็แสดงดีนะ ดูเป็นหมอน้ำจริง ๆ เลย เลยค่อนข้างชอบคาแร็กเตอร์ตัวละครนี้ครับ หมอน้ำเป็นผู้หญิงที่รักเดียวใจเดียว แม้จะรู้ว่ายากที่จะแหวกม่านประเพณี เธอก็ยังจะทำอย่างสุดความสามารถครับ และเธอเชื่อว่าความรักจะเอาชนะทุกอย่างได้

เจ้าชายภูวเนศ ผมว่าคาแร็กเตอร์นี้เหมือนมีแค่ 2 มิติเลย คือมิติที่เรียกว่าขี้เก๊กกับหื่นครับ ยิ่งพอมีฉากแบบนั้นกับนางเอกแล้ว ไม่หยุดเลยดีกว่า คอยแต่จะทำนางเอกไปยันจบเรื่องเลยครับ แต่เรื่องขี้เก๊กนี่ให้อภัยได้ เพราะเป็นเจ้าชาย อาจจะต้องมีมาดตลอดเวลาครับ

ส่วน 3 พี่น้อง ดิน ลม ไฟ นี่ก็กวนจนไม่รู้จะกวนยังไง แต่ผมชอบนายไฟมากกว่า เลยขอยกให้เป็นพระรองในเรื่องนี้ไปเลยครับ อะไรจะเถื่อนขนาดนั้น แต่จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าหนังสือเน้นไปที่นายลมมากกว่า เพราะครึ่งหลัง ๆ นางเอกให้พระเอกไปพักอยู่ที่ไร่องุ่นของนายลม ก่อนที่จะกลับไปปารวัตรครับ

จริง ๆ ผมได้ยินชื่อโครงการ "บ้านไร่ปลายฝัน" นี้มานานแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าจะผูกเรื่องกันได้อย่างไร ที่ผ่านมาเห็นแต่นิยายของคุณกิ่งฉัตรชุด "สามทหารเสือสาว" ครับ ที่นำตัวละครมาผูกโยงกัน เมื่ออ่านแล้วก็พบว่า เขียนได้ดีมากครับ ดีจนไม่เชื่อว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่เลย อันนี้ขอชื่นชมจริง ๆ ครับ แต่ขอหักคะแนนเรื่องอย่างว่าที่เห็นภาพพจน์ชัดเกิน ผู้ใหญ่อ่านคงไม่คิดอะไร แต่ถ้าวัยรุ่นอ่านสิครับ ผมละนึกไม่ออกเลย

5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 09 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน อ.สายสุวรรณ
สำนักพิมพ์ อมรินทร์
จำนวนหน้าหนังสือ 336 หน้า

จริง ๆ แล้วผมว่าตำนานเทพเจ้ากรีกและโรมัน เป็นเรื่องราวที่สนุกนะครับ เป็นเรื่องที่อ่านได้ไม่ยาก ในแต่ละองค์เทพเจ้า ก็จะมีเรื่องราว (ประหลาด ๆ ) แตกต่างกันไป แล้วถ้าคุณเป็นคนชอบดูการ์ตูนแบบ เซนต์เซย่า หรือว่าชอบอ่านหนังสือ เพอร์ซีย์ แจ๊กสัน ตำนานพวกนี้จะสนุกมากขึ้นเป็น 2 เท่าอีกครับ

หนังสือเล่มนี้ ต้องถือว่าเป็นหนังสือชั้นเยี่ยมอีกเล่มในเครืออมรินทร์ครับ โดยอ.สายสุวรรณ ผู้เขียน ได้รวบรวมเนื้อหามาจากหนังสือ 4 เล่มคือ The myth of Greece and Rome , The Age of Fable , Mythology และ Men and Gods หนังสือเกี่ยวกับปกรณัมกรีก - โรมันชื่อดังของต่างประเทศครับ

ผมเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้มาก ๆ ถึงขนาดลงวิชานี้ในมหาลัยรามคำแหง เมื่อผมมาเจอหนังสือเล่มนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนเจอขุมทรัพย์มหาศาลกลางทะเลทรายเลยครับ คุ้มค่ากับราคาที่ซื้อมาก ต้องบอกว่าเพลินมากที่อ่าน และไม่วางเลยจนอ่านจบครับ

หนังสือเล่มนี้จะรวบรวมความเป็นมาของเทพเจ้าทั้งหมด รวมไปถึงที่มาของการสร้างโลกในแบบฉบับของเทพเจ้า และการกำเนิดของเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ (บางองค์อ่านแล้วก็ประหลาดใจดีนะครับ ช่างเป็นไปได้)

บางตำนานในเล่มนี้ อาจจะเคยผ่านตามาบ้างแล้วทั้งในรูปแบบตัวหนังสือและภาพยนตร์ อย่างเช่นตำนานม้าไม้เมืองทรอย ตำนานแอปเปิ้ลของอะโฟรไดต์ ตำนานเฮอร์คิวลิส กับ 12 ภารกิจ ตำนานเพอร์ซีอุสผู้ปราบเมดูซ่า หรือตำนานเจสันกับขนแกะทองคำ เป็นต้น อ่านจบแล้วก็มาลองเปรียบเทียบดูกันเล่น ๆ ครับว่าที่ผ่านมาที่เรารับรู้ แตกต่างจากเรื่อราวในหนังสือเล่มนี้อย่างไรบ้าง เพราะส่วนใหญ่ จะนำมาแค่เค้าโครงครับ อาจมีการต่อเติมเสริมแต่ง ก็สุดแล้วแต่จินตนาการของผู้เขียนท่านนั้น ๆ

แต่ที่สำคัญและน่าสนใจ คงจะอยู่ตรงที่ว่า หนังสือเล่มนี้ ใช้เป็นหนังสือในการปลูกฝังคุณธรรมให้เด็กตัวน้อย ๆ ที่กำลังจำได้ดีครับ เพราะในประวัติเทพเจ้าแต่ละองค์ของหนังสือเล่มนี้ จะแฝงไปด้วยความรู้ในด้านต่าง ๆ มากมาย อย่างเรื่องของไดโอนีซุสก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองุ่น เป็นต้น ซึ่งจุดที่เห็นได้ชัดของบรรดาเทพเจ้ากรีกและโรมัน (ว่ากันว่าโรมันคืออีกภาคหนึ่งของเทพเจ้ากรีก เทพเจ้าบางองค์อาจไม่มีบทบาทเมื่ออยู่ในรูปของเทพเจ้ากรีก แต่จะมีความสำคัญมากเมื่ออยู่ในภาคของเทพเจ้าโรมัน) คือความเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาเดินดินแบบเรา ๆ นี่แหละครับ เพราะเทพเจ้าเหล่านี้ต่างก็มีความรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนพวกเรา (เรื่องราวของเทพเจ้าเหล่านี้ อ่านแล้วก็เหมือนอ่านประวัติคนอื่น เลยไม่ค่อยน่าเบื่อไงครับ) ซึ่งนี่จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงคุณธรรม หรือข้อคิดต่าง ๆ ในแต่ละเรื่อง ที่สามารถนำมาสอนเด็ก หรือนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของเราได้ครับ
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 08 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ดานุกา ไชยพรธรรม
สำนักพิมพื แพรธรรม
จำนวนหน้าหนังสือ 208 หน้า

ผมเชื่อว่า การที่เราใช้ชีวิตด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ทุกวันนี้ หรือการได้เห็นเทคโนโลยีในด่านต่าง ๆ ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นความเจริญอย่างหนึ่งของโลก ที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบาย แต่ใครจะรู้ว่า กว่าที่จะเกิดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้น ต้องยากลำบากแค่ไหนกว่าจะมีดารคิดค้น และต้องยากลำบากเท่าไร กว่าที่มนุษย์จะยอมรับ และให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาแทนที่ในชีวิต และสุดท้ายมันกลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในที่สุด ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปดู 10 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลกครับ ไม่ใช่แค่ตัวอย่างทางเทคโนโลยีข้างต้นที่ผมเขียนขึ้นมาเพียงเท่านั้น ยังมีแนวทางในการดำรงชีวิต ลัทธิความเชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้โลกนี้ถูกเปลี่ยนมุมมองไปจากเดิมมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างที่บอกครับว่าหนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปพบกับ 10 บุคคลผู้เปลี่ยนโลก หรือเปลี่ยนแปลงโลกไปจากเดิม จริง ๆ ผมขอจัดหนังสือแบบนี้ให้อยู่ในหมวดของความรู้รอบตัวด้วยนะครับ เพราะมันเป็นความรู้อย่างหนึ่งที่สมควรรู้และไม่เสียหายที่จะรู้ไว้ครับ มีใครกันบ้างมาดูกันเลย

เริ่มจากคนแรก อับราฮัม ลินคอล์น ชายผู้นำการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา ผมคิดว่าไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าการเลิกทาสนั้น เปลี่ยนแปลงโลกขนาดไหน แม้ในการเลิกทาสครั้งนั้น จะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกาจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สุดท้ายลินคอล์นก็ทำสำเร็จและประเทศต่าง ๆ ก็ได้เริ่มนำมาใช้ รวมไปถึงประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยครับ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ ยังได้รับการยอมรับมาถึงทุกวันนี้และนำไปสู่วิวัฒนาการต่าง ๆ มากมายครับ ในหมวดนี้ยังมี ชาล์ลส์ ดาร์วินที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิม ๆ ในเรื่องของที่มาของสิ่งมีชีวิต และได้คิดค้นทฤษฎีต่าง ๆ ที่ไม่สามารถมีใครมาหักล้างได้จนถึงปัจจุบันครับ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟ และผู้คิดค้นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันครับ (ถ้าหาประวัติอ่านตั้งหากได้ จะดีมากครับ เพราะเอดิสันเก่งจริง ยิ่งอ่านยิ่งทึ่ง อะไรจะคิดเก่งทำเก่งขนาดนั้น)

บิล เกตส์ สตีฟ จ๊อบส์ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ผมขอจัด 3 คนนี้อยู่ในหมวดหมุ่เดียวกันคือในด้านของการเปลี่ยนแปลงโลกในเรื่องของสารสนเทศ หรือพูดง่าย ๆ คือเกี่ยวกับด้านคอมพิวเตอร์ครับ สองคนแรกคุณอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่คนสุดท้ายคือผู้คิดค้น เวิล์ด ไวด์ เว็บ (www.) ขึ้นมาครับ

แล้วก็ยังมีคาร์ล มาร์กซ์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ผู้เป็นต้นแบบของลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิที่มีการเคลื่อนไหวแบบคอมมิวนิสต์ครับ (เรื่องนี้อาจจะน่าเบื่อ ถ้าคุณไม่ได้ชอบด้าานรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์) มหาตมะ คานธี ผู้นำระบบอหิงสามาใช้ในการประท้วง และเป็นผู้เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษให้กับอินเดีย (ผมว่าตอนนี้ก็น่าเบื่อนะครับ มันไม่ค่อยน่าสนใจ) และคนสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกจากหนังสือเล่มนี้ คือ เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อค แอนด์ โรลครับ

สรุปว่า ก็อ่านสนุกเพลิน ๆ ดีครับ อ่านแล้วได้ความรู้ ผมว่าหนังสือเล่มนี้จะเหมาะกับเด็กช่วงมัธยมต้นขึ้นไปจนถึงวัยรุ่นตอนปลาย ๆ ครับ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 08 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน Anne Frank (แอนน์ แฟรงค์)
ผู้แปล สังวรณ์ ไกรฤกษ์
สำนักพิมพ์ ผีเสื้ออังกฤษ
จำนวนหน้าหนังสือ 464 หน้า

หนังสือเล่มนี้เป็น 1 ใน 49 หนังสือต้องห้ามในโรงเรียนของประเทศสหรัฐอเมริกาครับ แต่เป็นหนังสือที่แปลมาแล้วหลายภาษา (ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ) และถูกพิมพ์จำหน่ายมากกว่าล้านเล่มทั่วโลก (ผมว่ามันขัดแย้งนะ อเมริกามักจะขวางโลกเสมอในทัศนคติของผม)

คนที่เปิดเข้ามาดูข้อมูลของหนังสือเล่มนี้ ผมคาดเดาว่าส่วนมาก คุณต้องรู้จักเธอแน่นอนครับ และส่วนน้อยที่เข้ามาดู เพราะอยากรู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร ผมอยากให้อ่านรีวิวนี้ของผมเพื่อพิจารณาครับ

หนังสือเรื่อง "บันทึกลับของ แอนน์ แฟรงค์" เป็นหนังสือที่สร้างขึ้นมาจากสมุดบันทึกประจำวันของแอนน์ แฟรงค์ เด็กหญิงชาวยิวที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในช่วงเวลาที่เธอเขียนบันทึกนี้ เป็นช่วงเวลาที่เธอหลบซ่อนตัวจากนาซีเยอรมันในยุคฮิตเลอร์เรืองอำนาจเป็นเวลา 2 ปี เราจะเห็นบันทึกหน้าสุดท้ายของเธอลงวันที่ 1 สิงหาคม 1944 ซึ่งหลังจากนั้น 3 วัน คือวันที่ 4 สิงหาคม 1944 ครอบครัวของเธอถูกหักหลังและส่งผมให้นาซีจับครอบครัวของเธอได้ เธอจึงถูกส่งตัวไปที่ค่ายกักกันแห่งหนึ่ง (ชื่ออะไรผมจำไม่ได้เสียแล้ว) และท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่ (ถ้าจำไม่ผิดเธอเสียชีวิตก่อนค่ายกักกันมรณะจะถูกทำลาย 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือนนี่แหละครับ)

ผมไม่เห็นรูปหน้าหนังสือของบาโทร่าสโตร์ เลยไม่รู้ว่าเป็นเล่มไหน เพราะมีอีกเล่มหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ออกมาใหม่ที่ได้เพิ่มเติมบันทึกเล็กน้อยของแอนน์ รวมไปถึงรูปภาพหรือภาพสเก็ตช์ แม้กระทั่งเรื่องราวการเข้าสู่วัยสาวและมีการมีความรักของเธอ เพราะฉะนั้น ผมขอรีวิวในส่วนที่ทั้งสองเล่มมีเหมือนกันแล้วกันครับ

ความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่าน สั้น ๆ ง่าย ๆ เลย หดหู่ครับ หดหู่มาก แต่ในความหดหู่ก็รู้สึกได้ถึงความหวัง กำลังใจเล็ก ๆ น้อย รวมไปถึงความสดใสและมองโลกในแง่ดีของแอนน์ แฟรงค์ แม้เราจะรู้ว่าการที่บันทึกใกล้จะจบ นั่นหมายถึงการใกล้จะพบจุดจบของแอนน์ แต่เราก็ยังอดที่จะมีความหวังไม่ได้อยู่ดี นี่คือจุดที่มันหดหู่ครับ และจะรู้สึกหดหู่ขึ้นไปอีก เมื่อคุณอ่านไปถึงช่วงที่แอนน์บันทึกถึงชาวยิวที่มีชีวิตอยู่ในขณะนั้นว่าต้องดำเนินชีวิตกันอย่างไร และชีวิตของเธอและครอบครัวที่ต้องอาศัยอยู่ใน "ที่ซ่อนลับ" ต้องอยู่กันด้วยความยากลำบากอย่างไร

ในส่วนที่รู้สึกอบอุ่นและมีกำลังใจนั้น คือช่วงที่เธอ (แอบ) ฟังข่าวการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในนอร์มังดี เรื่องนี้ทำให้เธอมีความหวังว่าสงครามอาจจะยุติในไม่ช้า เธออาจจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเสียที ขณะที่ผมอ่านถึงตอนนี้ ผมก็แอบหวังไว้ด้วยเช่นกันว่า อยากให้เธอรอดชีวิต แม้สุดท้ายจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม และการที่เธอมีกำลังใจดี เห็นว่าการใช้ชีวิตในที่ซ่อนลับ ถึงแม้จะลำบาก ไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็ดีกว่าถูกส่งไปตายในค่ายกักกัน ซึ่งเธอก็ได้เล่าเรื่องราวตรงนี้ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งผมเองก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินและสามารถนึกภาพตามได้ครับ

สำหรับผม หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดีที่ "ควร" อ่านอีก 1 เล่มครับ แม้มันจะหดหู่ แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง ความฝันของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง (ผมเองก็นึกไม่ออกว่าถ้าผมเป็นเธอในตอนนั้น จะมานั่งเขียนไดอารี่แบบนี้หรือเปล่า ?) ซึ่งผมมองว่า อันที่จริงแอนน์ไม่ได้ถูกขังอยู่หรอกครับ เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอเป็นอิสระจากนาซีเยอรมันด้วยบันทึกที่เธอเขียนขึ้นมาเล่มนี้ เล่มที่คุณกำลังอ่านรีวิวผมอยู่ หรือเล่มที่คุณถืออยู่ในมือครับ
คู่กรรม (เล่ม 01 - 02)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 04 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง ทมยันตี
สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม
จำนวนหน้าหนังสือ 701 หน้า (2เล่มครับ)

ผมคิดหนักว่าจะรีวิวหนังสือเล่มนี้ดีหรือไม่ เพราะเป็นหนังสือที่ขึ้นหิ้งในตำนาน และเป็นหนังสือที่ถูกนำไปทำละครมาหลายครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดก็มีทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ แต่ผมคิดว่าความที่ผมยังเป็นวัยรุ่น รีวิวของผมอาจจะแตกต่างจากรีวิวของผู้อ่านที่เป็นวัยผู้ใหญ่ครับ

ผมเห็นหนังสือคู่กรรมตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ๆ แม่เป็นคนชอบอ่านนิยายมาก และผมโชคดีที่ได้ซึมซับการรักการอ่านของแม่ไว้ หนังสือคู่กรรมเป็นหนังสือที่ผมมั่นใจว่าอ่านเกิน 10 รอบแล้วตั้งแต่เด็ก แต่ปัจจุบันก็ยังไม่เบื่อครับ

ผมไม่ทันยุค เบิร์ด ธงไชย เป็นโกโบริ ผมมาทันยุคศรราม แต่ก็ไม่ได้ดู มาดูอีกทีคือยุค บี้ สุกฤษณ์ แต่ก็ดูไม่จบ ที่จบก็คือไปดูในโรงที่ณเดชน์เล่นเป็นโกโบริครับ

ถ้าจะบอกว่าเหมือนหนังสือ ก็คือรุ่นของเบิร์ด ธงไชย (แม่ผมบอกครับ ว่าไม่มีผิดรายละเอียด ร้องไห้น้ำตาท่วมจอ โกโบริ 2 อาทิตย์ยังไม่ตาย) แต่ผมว่ารุ่นของบี้ก็คล้าย ๆนะครับ

คู่กรรมเป็นนิยายที่เขียนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นประเทศไทย จากตรงนี้ในหนังสือให้รายละเอียดภาพพจน์ที่ค่อนข้างชัดครับ ว่าสมัยนั้นวุ่นวายกันมากแค่ไหน ประเทศไทยมีสภาพอย่างไร ตรงนี้ผมให้คะแนนเต็ม

มาเข้าสู่เรื่องราวของพระเอก - นางเอกกันบ้าง ไม่เวิ่นเว้อนะครับ เพราะผมคิดว่าทุกท่านคงได้ดูละครกันมาแล้ว ผมชอบพระเอกในแบบโกโบริมากครับ ชายชาติทหารที่มีความมั่นคงในความรัก รู้ว่าเขาไม่รักก็ยังไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายต้องเอาชีวิตมาฝากไว้ที่ประเทศไทย ผมชื่นชมมากกก ปัจจุบันผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผู้ชายที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้จะมีเหลือซักเท่าไร โลกเราโลกาภิวัฒน์ไปมากแล้ว ปัจจุบันส่วนมากก็จะเจอเรื่องมีบ้านเล็กเป็นหลักครับ หารักเดียวใจเดียวยังยากเลย

ส่วนนางเอกอังศุมาลิน อ่า ผมคิดว่าผู้หญิงแบบนี้มีจริง ๆ ในโลกนะครับ แล้วในสมัยชาตินิยมช่วงนั้น ไม่แปลกหรอกครับที่เธอจะเกลียดญี่ปุ่น (ในส่วนตรงนี้จะเห็นได้ชัดเมื่ออ่านสี่แผ่นดินครับ) ครั้งแรกที่ผมอ่าน ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอจะรักโกโบริได้ ในเมื่อเธอเป็นคนชาตินิยมขนาดนั้น แต่หนังสือเล่มนี้ก็สอนให้รู้ว่า รักแท้มันแพ้ใกล้ชิดได้จริง ๆ ครับ

เมื่อคนชาตินิยมต้องมาพบเจอกับคนของชาติศัตรู แม้พระเอกจะหยิบยื่นไมตรีให้มากเท่าไรเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่า เขาไม่สามารถเลือกได้ หน้าที่ต้องมาก่อนหัวใจ ทำให้นิยายเรื่องนี้กลายเป็นนิยายที่สุดแสนจะประทับใจท่ามกลางความสะเทือนใจครับ

ที่ผมชอบก็คือภาษาที่ทั้งพระเอกและนางเอกใช้ ทำให้รู้ว่าภาษาไทยของเราเป็นภาษาที่มีความสละสลวยมาก ยิ่งมาอ่านหนังสือในช่วงที่ภาษาวิบัติเกลื่อนแบบนี้ อดสะท้อนใจไม่ได้ครับ ความสละสลวยของภาษาอาจไม่มีให้เห็นอีกต่อไปในอนาคต จะเห็นได้จากในนิยายหรือหนังสือเก่า ๆ เท่านั้น

สรุปว่า ผมอยากให้ซื้อเก็บไว้ครับ ถ้าคุณเป็นคนชอบอ่านหนังสือ หรือหลงรักพระเอกเรื่องนี้อย่างสุดหัวใจ เพราะทุกครั้งที่คุณคิดถึงเขา คุณสามารถนำ"เขา"ขึ้นมาอ่านใหม่และประทับใจกับ"เขา"ได้เรื่อย ๆ ครับ
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 04 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน (Rick Beyer) ริก เบเยอร์
ผู้แปล ศุภมิตร เขมาลีลากุล
สำนักพิมพ์ อมรินทร์
จำนวนหน้าหนังสือ 219 หน้า

ส่วนมากแล้ว หนังสือของสำนักพิมพ์อมรินทร์จะค่อนข้างสนุกและน่าสนใจนะครับ นี่ก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งในเครืออมรินทร์ที่อยากให้ลองอ่านกันครับ

หนังสือ "นาทีประวัติศาสตร์ 100 เรื่องลับพลิกโลก" เป็นหนังสือที่ถูกแนะนำในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" และผมเองก็ได้รู้จักหนังสือเล่มนี้จากรายการนี้เหมือนกันครับ

ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบประวัติศาสตร์ ผมแนะนำให้อ่านครับ คุณจะไม่รู้สึกเบื่อเลยอีกต่อไปเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นหลายบทครับ แต่ละบทก็จะเป็น 1 เรื่องที่น่าสนใจ สรุปว่ามีทั้งหมด 100 บท (ชักจะงงเหมือนกันแฮะ)

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเรื่องราวครบรสครับ บางเรื่องก็ทำให้เราทึ่ง บางเรื่องก็ทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ และบางเรื่องก็ทำให้เรารู้สึกขำครับ

อาจจะมีบางเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนกำลังอ่านนิยายอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เทปกาวเพียงชิ้นเดียวที่ทำให้ประธานาธิบดีต้องลาออก (เหมือนจะขำแต่มันไม่ขำนะครับ) การแปลความหมายผิดเพียงคำเดียวที่ส่งผลให้มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา - นางาซากิ หรือแม้กระทั่งเรื่องกลลวงศพที่นำไปใช้หลอกฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งอาณาจักร์ไรซ์ที่ 3 ของเยอรมัน ซึ่งผมขอยืนยันว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงครับ

หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในปัจจุบัน เช่น ที่มาของอาหารยอดนิยมต่าง ๆ ขนมปังครัวซองต์ อาหารเช้าคอนเฟล็ก หรือว่าไอศครีมโคน (อันนี้ผมขอชื่นชมหัวการค้าเลย) หรือจะเป็นที่มาของตัวละครชื่อดังแบบ เชอร์ล็อก โฮล์ม แดร็กคิวล่า ก็ถูกนำมาบันทึกเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์เรื่องพลิกโลกครับ (จริง ๆ ผมว่าอันนี้ไม่ค่อยพลิกนะ มีอันอื่นที่น่าสนใจกว่านี้อีก)

เรื่องของการผจญภัยที่พลิกโลกก็มีนะครับ เช่น โคลัมบัสไม่ได้ค้นพบอเมริกา (ตอนนี้ผมเชื่อจริง ๆ จัง ๆ แล้วว่าโคลัมบัสโมเมขึ้นมา)การเดินทางของแม่ทัพเจิ้งเหอ (นี่ก็เกี่ยวกับประเทศอเมริกา) หรือเรื่องของแอตแลนติส (นี่คือจุดขายอย่างหนึ่งของหนังสือครับ หนังสือเกี่ยวกับแอตแลนติสหายากมาก)

จริง ๆ มันไม่ได้เน้นเจาะลึกประวัติศาสตร์ขนาดนั้นหรอกครับ เหมือนหนังสือที่รวบ ๆ รวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้มากกว่า เพราะส่วนมากก็จะเป็นที่มาของสิ่งของเสียส่วนใหญ่ ถ้าพูดตามภาษาวัยรุ่นก็คือ ถ้าาคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วจำได้ จงภูมิใจเถอะครับ คุณจะเป็นอัจฉริยะผู้รอบรู้ในวงเพื่อนได้ทันที (เพราะผมก็ภูมิใจมากครับ ได้เป็นตัวแทนไปตอบปัญหาความรู้รอบตัวด้วย)

ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรักประวัติศาสตร์ แค่คุณเป็นคนชอบอ่านหนังสือ หนังเล่มนี้ก็สมควรที่จะซื้อมาอ่านครับ เพราะทั้งเนื้อหาและรูปประกอบคุ้มค่าเกินราคาแน่นอน
4
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 04 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง สาละ บุญคง
สำนักพิมพ์ ก้าวแรก
จำนวนหน้าหนังสือ

ผมเคยเขียนรีวิวหนังสือเรื่อง "อยู่กับฮิตเลอร์จนชั่วโมงสุดท้าย (บันทึกความทรงจำจากเลขานุการ)"ไปแล้วครั้งหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นเป็นบันทึกความทรงจำจากเลขาคนสนิท ผู้ที่เทิดทูนบูชาฮิตเลอร์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้หนังสือเล่มนั้นอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงที่โลกภายนอกได้รับรู้มากนัก เพราะเขียนแต่ในส่วนด้านดีของฮิตเลอร์ ผมจึงมาเขียนรีวิวเล่มนี้อีก 1 เล่ม ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าชีวประวัติของฮิตเลอร์ และกองทัพนาซีตามจริงที่โลกภายนอกได้รับรู้กันครับ

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 9 บท โดยจะเริ่มจากประวัติของฮิตเลอร์ในวัยเด็กจนก้าวมาเป็นผู้นำอาณาจักรไรซ์ที่ 3 เยอรมัน จริง ๆ ผมว่าถ้าอ่านจากประวัติแล้ว คงจะเป็นโชคชะตาจริง ๆ ครับ ที่ทำให้เค้าก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ หากชีวิตในวัยเด็กของเค้าได้รับการเติมเต็มจากความอบอุ่นและพรสวรรค์ทางศิลปะที่เค้ามี โลกคงต้องไม่พบสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากถึงเพียงนี้

จากนั้นตั้งแต่บทที่ 2-6 ก็จะเน้นไปที่การจัดตั้งพรรคนาซี มีคนบอกเอาไว้มากมายว่าฮิตเลอร์เป็นนักพูดที่ไม่ได้เรื่อง ไม่น่าจะมาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้เลย การไฮปาร์คของเค้าแทบไม่มีคนฟังด้วยซ้ำ นั่นแหละครับ เพราะผมมองว่าโชคชะตาของเค้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เค้าจึงกลายเป็นหัวหน้าพรรคนาซี และกลายเป็นพรรคที่ขึ้นสู่การปกครองของเยอรมัน จากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการจัดตั้งกองทัพนาซี ผมว่ากองทัพนาซีเนี่ยเข้มแข็งมากนะครับ การที่ทหารอยู่ใต้อำนาจผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวอย่างจงรักภักดีจะทำให้ทหารเข้มแข็งขึ้น เพราะมีจุดมุ่งหมายที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำเพื่อใคร จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ผมขอชื่นชมกองทัพนาซีครับ (แต่ไม่ได้หมายถึงว่าผมชื่นชอบนาซีนะ) และเมื่อกองทัพที่เข้มแข้ง (ในสายตาผม) ก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ความหายนะก็อุบัติขึ้นครับ

จากนั้นในบทที่ 7 ก็จะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นที่เป็นชาติพันธมิตรกับเยอรมันเข้ามารุกรานประเทศไทย จุดนี้ผมขอไม่เน้นรายละเอียดมากนัก ไว้จะไปเขียนในส่วนของหนังสือแนวนี้แทนครับ

ในบทที่ 8 จะเป็นเรื่องของจุดพลิกผันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 และจุดจบของฮิตเลอร์ครับ และในบทสุดท้าย คือเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ

ถ้าคุณชอบอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลก ผมขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ เว้นแต่คุณจะมีหนังสือเกี่ยวกับฮิตเลอร์เต็มบ้านแล้ว แต่มีอีกสักเล่มก็คงจะไม่เสียหายครับ
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ดินแดนอาถรรพณ์ (ภิรมย์)
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 03 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ภิรมย์ พุทธรัตน์
สำนักพิมพ์ สุขภาพใจ
จำนวนหน้าหนังสือ 240 หน้า

หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร นอกจากเครื่องบินหาย เรือรบหาย ซึ่งเรื่องมันก็นานมากแล้ว และปัจจุบันก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าข้างล่างนั้นมันคืออะไร ที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ หลีกเลี่ยงสามเหลี่ยมปีศาจนี้ทั้งเส้นทางการเดินเรือและเส้นทางการบิน !!

นี่เป็นหนังสืออีก 1 เล่มครับที่รับรองว่า ซื้อคุ้มเค่ามาก เป็นหนังสือที่ราคาไม่แพง แต่เนื้อหาข้างในและภาพประกอบนี่คุ้มมากครับ ผมมีเก็บไว้ที่บ้านเล่มหนึ่ง ยังหยิบมาอ่านอยู่เรื่อย ๆ ครับ แม้บางข้อมูลจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่อย่างนี้ แต่ข้อมูลส่วนมากที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ก็ยังถูกต้องทุกประการครับ

หนังสือเล่มนี้ จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เพราะอะไรมันถึงถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมปีศาจ !! แล้วไอ้สามเหลี่ยมนี้ มันมีที่มาที่ไปอย่างไร

ผมสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กครับ แต่สมัยก่อน การจะหาหนังสือแบบนี้อ่านมันก็ไม่ค่อยง่ายนัก เมื่อเจอหนังสือเล่มนี้เลยรีบซื้อแบบไม่ต้องลังเล ไม่มีส่วนลดเหมือนสมัยนี้ด้วย ฮ่า ๆ

ยิ่งอ่านก็ยิ่งตั้งคำถามครับ มีแต่คำว่าทำไม ๆ ๆ เต็มสมอง ช่วงนั้นผมบ้าเรื่องยูเอฟโอด้วย ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะในหนังสือยังมีบอกด้วยนะครับ ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นบริเวณที่พบเจอยูเอฟโอมากที่สุด

แต่สนุกจริง ๆ ครับ บทแรกของหนังสือจะพาคุณไปรู้จักกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ว่ามันอยู่ตรงไหนของโลก มีพื้นที่เท่าไร แต่หลังจากบทแรกไปแล้วเนี่ย สนุกครับ

คุณจะได้พบกับ เครื่องบินที่หายสาบสูญไปในพื้นที่สามเหลี่ยมปีศาจ ทั้งเครื่องบินรบ เครื่องบินพลเรือน และเรือที่สัญจรผ่านสามเหลี่ยมปีศาจ ทั้งเรือยอร์ช เรือบรรทุก เรือสำราญ และเรือใบส่วนตัว ? ทั้งหมดนี้หายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และไม่มีใครค้นพบอีกเลย

บทต่อ ๆ มาก็จะเป็นเรื่องราวของผู้ที่รอดชีวิตขณะขับเครื่องบินผ่านสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาครับ อ่านแล้วก็สร้างสมมติฐานในใจกันมากมาย แต่ผมขอไม่แสดงความเห็นในที่นี้ เพราะเรื่องนี้คนเราคิดไม่เหมือนกันครับ

และบทท้าย ๆ ก็จะเป็นการตั้งทฤษฎีความเป็นไปได้ของสามเหลี่ยมเบอร์ดานี้ว่า เพราะอะไร ทั้งเรือและเครื่องบินถึงได้สูญหายไป มีทฤษฎีมากมายที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ แต่ก็ไม่มีข้อไหนที่พิสูจน์ได้จริงครับ แม้ปัจจุบันจะมีวิทยาการมากมาย หรือมีผู้กล่าวอ้างว่าไขปริศนาได้แล้ว ผมว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่

ขอหักคะแนนนิดนึงตรงที่หนังสือเก่าแล้ว ข้อมูลบางส่วนเลยไม่อัพเดตครับ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเรือหรือเครื่องบินบางลำโผล่กลับขึ้นมาแล้ว ? แต่ก็ไม่มีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ข้อมูลทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ จึงยังค่อนข้างจะจริงทั้งหมดครับ ถ้าคุณรักวิทยาศาสตร์หรือเรื่องลึกลับบนโลก อย่าพลาดเล่มนี้ครับ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 03 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้แต่ง สาละ คงทอง
สำนักพิมพ์ ก้าวแรก
จำนวนหน้าหนังสือ 234 หน้า

ผมตื่นเต้นมากที่เห็นหนังสือเล่มนี้ยังมีขายอยู่ที่บาโทร่า สโตร์

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ไม่รุ้ผมนึกคึกอะไร มานั่งอ่านประวัติของตระกูล จักรพงษ์ และจะเน้นมากที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

ไม่รู้เหมือนกันนะครับ อาจจะเป็นเพราะพระองค์ท่านเป็นเจ้าลูกครึ่งฝรั่ง ที่มีใบหน้าแตกต่างจากคนไทยแต่งดงามมาก เวลาผมเห็นพระองค์ท่านทรงเครื่องทหารแล้ว รู้สึกบอกไม่ถูกครับ ดูดีมาก เห็นแล้วรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก ถ้าพระองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่สมัยนี้ ก็คงจะได้เป็นดารากิตติมศักดิ์แน่นอนครับ

เมื่อศึกษาประวัติพระองค์ท่าน ก็จะพบว่า ตอนที่ท่านอายุ 40 ปี พระองค์ท่านได้สนับสนุนการแข่งรถของพระองค์เจ้าพีระมาตั้งแต่เริ่มต้น และท่านพีระเองก็มีความนับถือพระองค์ท่านมาก ถึงกับเอาชื่อเล่นของพระองค์ท่านไปตั้งชื่อคอกที่ใช้แข่งรถ

ผมรู้จักท่านพีระ แค่ในหนังสือ พล นิกร กิมหงวน รู้ว่าพระองค์ท่านเป็นนักแข่งรถ ก็แค่เท่านั้น พึ่งจะมาศึกษาจริง ๆ ไม่กี่เดือนก่อนนี่แหละครับ และหนังสือเล่มนี้ผมก็ตามหาจนไปพบที่ห้องสมุดแห่งหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะยังมีขายในปัจจุบัน

พระองค์เจ้าพีระ หรือชื่อเต็ม พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภานุเดช โดยในหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 8 บท ทั้ง 8 บทเป็นเรื่องราวการแข่งรถของพระองค์ท่านล้วน ๆ ครับ

หนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่การแข่งรถของพระองค์ท่าน ดังนั้น ก็จะเป็นเรื่องราวที่เป็นที่มาที่ไปว่า พระองค์ทรงมาแข่งขันรถได้อย่างไร พระองค์มีชื่อเสียงในการขับรถมากแค่ไหน รวมไปถึงรุ่นรถที่ใช้ ทุกรายละเอียดที่อาจไม่สามารถหาได้ในเน็ต แต่หาได้ในหนังสือเล่มนี้ครับ และยังทำให้เรารู้อีกว่า รถสูตรหนึ่ง หรือที่เราเรียกว่าฟอร์มูล่า วัน มันมีมานานแล้ว แต่ลักษณะรถไม่เหมือนกับปัจจุบันแค่นั้นเอง (ผมว่าเมื่อก่อนสวยกว่าเยอะเลย ถึงจะดูโบราณกว่าก็ตาม)

ที่ผมถูกใจมาก ๆ คือรูปประกอบ สวยมาก ผมไม่คิดว่าจะยังมีรูปหลงเหลืออยู่เยอะขนาดนี้นะ งามมากจริง ๆ ครับ

พระองค์เจ้าพีระ ชนะเลิศการแข่งขันรถมา 16 ครั้ง รู้สึกภูมิใจแทนคนไทยในสมัยนั้นเลย ไม่น่าเชื่อว่า จะมีคนไทยไปแข่งรถและชนะเลิศกลับมา ยิ่งเป็นพระองค์เจ้าด้วย ก็ยิ่งปลาบปลื้มและเทิดทูนพระองค์ท่านยิ่งขึ้นไปอีกครับ

ถึงจะหาอ่านยากสักนิด แต่อยากให้ลองมาหาอ่านกันครับ ซื้อเก็บไว้ได้ก็จะดีมาก เพราะรูปประกอบข้างในก็คุ้มเกินราคาแล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่รักประวัติศาสตร์ไทยและผู้ที่รักเรื่องราวเกี่ยวกับความเร็วมาก ๆ ครับ
5
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 03 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ตวงพร อัศววิไล
สำนักพิมพ์ แพรว
จำนวนหน้าหนังสือ 175 หน้า

ถ้าถามว่า เคยได้ยินชื่อ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข มั้ย ? หลาย ๆ คนอาจจะตอบว่าไม่เคย หรือเคยแต่ไม่แน่ใจว่าได้ยินที่ไหน และอาจจะมีบางคนที่ยังจำได้ครับ

ถ้าถามว่า เคยได้ยินชื่อ "ผู้กองแคน" มั้ย ? ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนจำวีรบุรุษคนนี้ได้ครับ วีรบุรุษผู้เสียสละตัวเอง เพื่อความสงบของพี่น้องประชาชนในสามชายแดนใต้ จนกระทั่งเสียชีวิตครับ

ผมเจอหนังสือเล่มนี้ในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่รอเข้าตึกสอบ ขึ้นเป็นหนังสือแนะนำ ตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะอยากอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มากกว่า แต่ไม่รู้ยังไงนึกอยากอ่านขึ้นมาครับ

หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติของผู้กองแคน ผู้บังคับหมวดกองร้อยรบพิเศษที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ถ้าผิดต้องขออภัยด้วยครับ เขียนจากความทรงจำ) ตั้งแต่วัยเยาว์จนเสียชีวิต ผมอยากจะชมคนเขียนหนังสือเล่มนี้ว่า เขียนได้ดีและละเอียดมากครับ ในบทแรก ๆ จะเป็นเรื่องของการเปิดใจของเพื่อนทหารที่มีต่อผู้กองแคน อ่านแล้วน้ำตาซึมเลย รู้สึกเห็นใจและสงสารชีวิตของตำรวจที่ประจำการอยู่สามชายแดนใต้มาก ๆ ครับ

แต่ที่ผมประทับใจสุด ๆ ก็คงจะเป็นที่ความมุ่งมั่นของผู้กองแคนครับ ในหนังสือกล่าวไว้ว่า "ไม่มีใครในรุ่นที่ไม่รู้จักแคน เพราะแคนสอบได้ที่ 1 ของเหล่าตำรวจ แต่เมื่อเรียนจบ แคนเลือกที่จะลงบรรจุที่สามชายแดนใต้เป็นคนแรก ทั้ง ๆ ที่การเรียนของเขาสามารถที่จะบรรจุลงในเมืองหลวงหรือนครบาลได้ไม่ยาก" อ่านถึงตรงนี้แล้ว ผมรู้สึกภูมิใจแทนครอบครัวของผู้กองทุก ๆ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ และผมหวังว่า ทุกๆคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้คงจะคิดเช่นเดียวกับผม

และที่สะเทือนใจที่สุด คือนาทีการเสียชีวิตของผู้กองครับ ถ้าผมจำไม่ผิด คนที่ได้รับการแจ้งข่าวร้ายของผู้กองแคนคนแรก คือจ่าเพียร หรือพ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญาครับ อ่านแล้วใจหาย ท่านอายุสั้นพอ ๆ กันเลย ดังนั้น ผมไม่ขอเน้นรายละเอียดตรงนี้มาก อยากให้มาอ่านกันเอง รู้สึกหดหู่และเสียใจกับการจากไปของผู้กองแคน ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกันเลยมาก ๆ ครับ

อยากให้ลองอ่านกันครับ ชีวิตของตำรวจ – ทหารที่ไปประจำอยู่ที่สามชายแดนใต้ ไม่ใช่ชีวิตที่ง่ายและสะดวกสบายเลย ทุกคนต้องเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยใจอันห้าวหาญและเพื่อความสงบสุขในพื้นที่ ทำให้หลาย ๆ คนก้าวมาสู่จุดนี้ และบางคนก็ไม่ได้กลับบ้านครับ

และจากรีวิวนี้ ผมขอเป็นกำลังใจหนึ่งกำลังใจเล็ก ๆ ให้กับทหาร - ตำรวจที่ประจำอยู่ชายแดนใต้ทุกท่าน ให้ดับไฟใต้ได้อย่างปลอดภัยและได้กลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวได้อย่างสวัสดิภาพครับ
3
โดย: Takeshi วันที่เขียนรีวิว: 02 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียน ณรงค์ จันทร์เรือง
สำนักพิมพ์ ช้างทอง
จำนวนหน้าหนังสือ 152 หน้า

ผมไม่คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะมีขายอยู่ในปัจจุบัน

ผมเคยเดินไปเจอครั้งหนึ่ง รูปเล่มดูเก่ามาก ตอนอ่านต้องค่อย ๆ จับอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ว่ามันจะหลุดหรืออะไรนะครับ ผมเห็นใจเจ้าของที่อุตส่าห์เก็บไว้หลายปีและอาจจะเก็บไว้ตลอดไป แต่ผมไปขู่บังคับเอามาอ่านจนได้

หลายคนมองว่าผมเป็นเด็กแปลก (เด็กเถอะครับ ยังไม่ 20 เลย) มานั่งอ่านประวัติบุคคลในอดีต และเป็นแค่อดีตพระเอกหนังชื่อดังในประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใชนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกแบบไอสไตน์ หรือผู้นำสงครามโลกคนใด ๆ ก็ตามที่มีหนังสือขายกันมากในปัจจุบัน

ผมก็ไม่รู้คิดยังไง เปิดยูทูปเล่น ๆ ไป ไปเจอละครเก่าช่อง 7 ถ้าจำไม่ผิด ชื่อเรื่องว่า มิตร ชัยบัญชา มายาชีวิตครับ

ผมเองก็ไม่เคยดูหรอก เพราะมันเป็นละครเย็น ส่วนมากเวลาเย็นจะนิยมไปเตะบอลมากกว่า แต่วันนั้นไม่รู้ยังไง ผมเลือกที่จะเปิดดูตอนจบ ดูแล้วก็สงสัย จึงได้ไปพิมพ์ชื่อ มิตร ชัยบัญชาใน Google และก็เป็นที่มาของการไปตามล่าหนังสือเล่มนี้มาอ่านครับ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่บอกเล่าประวัติของมิตร ชัยบัญชา ตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนเข้าวงการ ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตครับ

โดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ไปจนถึงการรับราชการทหารของคุณมิตร ก่อนที่ก้าวมาเป็นพระเอกหนังเรื่องแรก ในเรื่อง "ชาติเสือ" ครับ และด้วยความที่มีรูปร่างดีและหน้าตาหล่อเหลา ทำให้คุณมิตรกลายเป็นพระเอกชื่อดังได้ในเวลาเพียงไม่นาน จากนั้นชื่อเสียงของคุณมิตรก็กระจายออกไป คุณมิตรกลายเป็นพระเอกผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง รับหนังปีละ 35-40 เรื่อง และความโด่งดังของคุณมิตรนี่เอง ที่ทำให้เขาพลาดโอกาสทางการเมือง และเป็นจุดหันเหให้เงินทองที่เขามีสะสมอยู่หมดลงไปมิใช่น้อย

ผมว่าไป ๆ มา ๆ จะบอกว่ามิตรกับเพชรา เป็นคู่จิ้นในตำนานอันดับแรก ๆ ของประเทศไทยเลยก็น่าจะถูกนะครับ เพราะเล่นหนังด้วยกันไม่ต่ำกว่า 200 เรื่อง และไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน เป็นเพียงเพื่อนสนิทหรือพี่น้องที่รักกันมากเท่านั้นครับ

เรื่องราวชีวิตของคุณมิตรดำเนินต่อไปจนกระทั่งท้ายเล่ม ที่เป็นการเล่าเหตุการณ์วันเสียชีวิตของคุณมิตร และงานศพของคุณมิตร เมื่ออ่านจบแล้วผมเองก็รู้สึกสะเทือนใจและใจหายไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าวันนั้นคุณมิตร (หรือผมควรจะเรียกว่าลุงมิตรดีนะ ?) ไม่เสียชีวิต ปัจจุบันคุณมิตรก็คงจะเป็นพระเอกหนังตลอดกาลเหมือนคุณสมบัติ เมทะนี คุณสรพงษ์ ชาตรี และคนอื่น ๆ อีกมากมายครับ

สรุปว่า อ่านแล้วก็สนุกครับ แต่ว่าเนื้อหาไม่ค่อยต่างจากการอ่านในบล็อกหรือบทความที่หาอ่านได้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ มากนัก ทำให้ผมลังเลนะถ้าจะซื้อเก็บไว้ เพราะในเน็ตบางเว็บมีข้อมูลมากกว่าที่หนังสือมี แต่ถ้าคุณเป็นคนรักประวัติศาสตร์ หรือเกิดทันช่วงที่คุณมิตรกำลังดัง ผมอยากให้คุณซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ
www.batorastore.com © 2024