Customer Reviews

คู่มือสร้างโมเดลธุรกิจ (Business Model Generation)
4
ถือว่าเป็นผู้ช่วยที่ดี ทำให้เราเรียบเรียงความคิดได้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น เห็นสถานการณ์ของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้น
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คู่มือสร้างโมเดลธุรกิจ เล่มนี้เราซื้อมาพร้อมกับอีกเล่มที่มีเนื้อหาใกล้ๆ กัน โดยผู้เขียนทีมเดียวกัน คือจะซื้อมาเปรียบเทียบว่ามีอะไรแตกต่างบ้าง โดยรวมๆ แล้วก็คล้ายกันนะ เรื่อง Main Idea ที่ต้องการสื่อ แต่จะมีเทคนิคการถ่ายทอดแตกต่างกันนิดหน่อย มีความละเอียดไม่เหมือนกัน

เล่มนี้ถือว่าเนื้อหาดี อ่านเข้าใจง่าย เรียบเรียงเป็นระบบระเบียบ คือมันช่วยให้เรารู้ลำดับก่อนหลังว่าเราควรจะมองมุมกว้างยังไง แล้วค่อยมาซอยย่อย ใส่ข้อมูลตรงไหน คิดตรงไหนบ้าง มี Keys ต่างๆ ที่เราต้องเค้นออกมาเพื่อจับต้นชนปลายให้โมเดลธุรกิจของเราออกมาโอเคที่สุด (แค่โอเคที่สุดนะ จะบอกว่าสมบูรณ์ ดีที่สุด ก็คงไม่ได้ เพราะต้องผ่านการลงมือทำก่อนอยู่ดี ถึงจะรู้ว่าต้องปรับต้องเปลี่ยนตรงไหนบ้าง) มีตัวอย่างการคิดสำหรับคนที่ไม่เคยเรียนบริหารธุรกิจมาก่อน เอาเป็นว่า ตาสีตาสา ถ้าอยากเลิกจับปลาแล้วหันมาทำธุรกิจจริงจังที่ใหญ่โต ที่สามารถขยายสเกลได้ มาอ่านเล่มนี้ รับรองได้ในระดับหนึ่งว่าสามารถเริ่มต้นได้ดีเลย

คำศัพท์บางคำ เราไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่เคยรู้มาก่อน (เราก็ไม่ใช่สายธุรกิจอ่ะนะ แบลงค์มากเหมือนกัน) แต่เล่มนี้สามารถอธิบายจนเราเห็นภาพได้ สามารถคิดตาม วิเคราะห์สิ่งที่ตัวเองจะทำ หรือทำไปแล้วกำลังเจอสถานการณ์มึนๆ อึนๆ เขาช่วยตบๆ ให้เราเข้ามาอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น

ธุรกิจจะดีได้ ต้องลงมือทำ ต้องเรียนรู้ ค่อยๆ ปรับแก้กลยุทธ์กันไป แต่มันคงจะดีมากขึ้น หากว่าการเริ่มต้นสามารถทำได้อย่างเข้มแข็งในระดับหนึ่ง มีแผนที่ชัดเจน มีโมเดลที่เป็นไปได้ หนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้เราค้นหาสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ช่วยให้เราประเมินตัวเองได้ด้วย ว่าสถานการณ์ของเราอยู่ในระดับไหน จากที่ตะบี้ตะบันทำอย่างเดียว บางอย่างเรามองข้ามไป เล่มนี้ก็ช่วยสะกิดเราว่า เฮ้ย ตรงนี้อย่าลืมนะ อย่าลืม เอ้า คิดตรงนั้นเข้าไปด้วยเซ่ ไอ้นั่นทำไมไม่ใส่ลงไป ไอ้ที่ทำไมไม่คิดถึง เป็นต้น ถือว่าเป็นผู้ช่วย เป็นไกด์ที่ดีเลย
กินกบตัวนั้นซะ! (วีเลิร์น)
5
ถือว่าเป็นฮาวทูที่ดีเยี่ยมเล่มหนึ่ง ตามที่ฮาวทูควรจะเป็น
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Eat That Frog! เป็นหนึ่งในหนังสือในดวงใจของเราเลย เป็นฮาวทูเล่มแรกๆ ที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่า มีหน้าที่ต้องพับหรือไฮไลท์ หรือจดโน้ตเอาไว้เยอะมาก คือตอนนั้นยังเด็กอยู่ ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ และรู้สึกว่าอยากพัฒนาตัวเอง ก็เริ่มอ่านฮาวทู จับพลัดจับผลูได้เจอเล่มนี้พอดี เพราะขึ้นชั้นหนังสือในช่วงนั้นว่า หนังสือขายดี (น่าจะขายดีมาเรื่อยๆ อยู่แล้วมั้ง เพราะทุกวันนี้ถึงแม้จะไม่ขายดีแล้ว แต่ก็ยังเห็นได้ตามร้านหนังสือทั่วไป แม้จะผ่านเวลามานานแล้วก็ตาม)

เล่มนี้แยกองค์ประกอบออกเป็นหลายส่วน คือเป็นบท บทนึงก็ไม่ได้ยาวมาก และในแต่ละบทก็แบ่งออกเป็นเนื้อหา เป็นโควทคำพูด เป็นจดบันทึก ซึ่งทำให้เราจับประเด็นสำคัญได้ง่าย และหยิบเอา Main Idea ของแต่ละบทมาใช้ได้เลย บางข้อเราก็ใช้มาทุกวันนี้ แต่บางข้อก็ลืมเลือนไป ตามประสาน่ะเนอะ อ่านแล้วทำตามบ้าง ไม่ทำบ้าง ฮ่าๆๆ

ชื่อของ ไบรอัน เทรซี่ คือหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียงเรื่องการเขียนหนังสือฮาวทู หรือจัดคอร์สอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง หนังสือของเขาก็มีเนื้อหาที่หยิบเอาไปใช้ได้จริงๆ เราไม่แน่ใจนักว่าหนังสือเล่มหลังๆ ของเขามีการฉีกแนว หรือมีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ มาช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกไหม แต่สำหรับเล่มนี้ สำหรับเด็กเพิ่งเริ่มอ่านฮาวทู (เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว) ถือว่าเป็นฮาวทูที่ดีมากๆ แต่กระนั้น ถ้าใครเคยอ่านๆ ฮาวทูมาเยอะๆ จะพบเลยว่า หลักการบางอย่าง เป็นหลักการที่ใครหลายคนเคยพูดถึง มีหนังสือหลายเล่มหยิบยกมา ไม่รู้หรอกว่าใครมาก่อนมาหลัง แต่มีมาก็ดี ถือว่าดีสำหรับเราในตอนนั้นมากๆ
อ่านไวใน 7 วัน
4
อ่าน ลองทำตาม หาแนวทางของตัวเอง ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เราว่าผลลัพธ์ที่ได้ น่าพอใจมากๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อ่านไวใน 7 วัน เล่มนี้เราอ่านตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 ได้มั้ง และนั่นคืออีกจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา เป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ก้าวกระโดดพอสมควร

โดยปกตินั้น เราจะอ่านได้เร็ว ก็คือเราอ่านมาก เหมือนทักษะทั่วไปแหละ ฝึกอะไรบ่อยๆ ก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ดี อยากอ่านเร็ว ก็ต้องอ่านเยอะๆ พออ่านเยอะจนชิน สปีดความเร็วในการอ่านของเราจะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่เล่มนี้ จะเป็นคำอธิบาย เป็นหลักการที่ช่วยส่งเสริมเรา นอกเหนือจากการฝึกฝน ก็เหมือนกับเรื่องทั่วไปอีกนั่นแหละ เราจะทำอะไร ก็ควรจะต้องมีหลักการ มีแนวทางที่ถูกต้อง ตะบี้ตะบันทำโดยไม่ถูกหลัก บางทีก็ไม่ได้ให้ผลอย่างที่เราต้องการ หรือบางทีอาจจะให้ผล แต่ไม่เร็วเท่าที่ควร

เล่มนี้สอนตั้งแต่หลักการพื้นฐาน อธิบายวิธีการ และให้เราฝึกฝนด้วยแบบฝึกหัดเพื่อฝึกการทำตาม แรกๆ อาจจะยังไม่ชิน แต่พอทำไปสักพักเราก็จะเริ่มปรับตัวได้ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบของตัวเอง คือเรารู้สึกว่า อ่านเล่มนี้เพื่อเอาหลักการว่าควรวางสายไว้ตรงไหน อ่านยังไง จับประเด็นสำคัญในระดับไหนควรใช้สกิลการอ่านแบบไหนเพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการอ่าน ซึ่งหมายความว่า เรารู้ แต่เราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ เราเลือกได้ เช่น เขาบอกให้เรามีอุปกรณ์ช่วยในการเล็งตัวอักษร เพื่อให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือมากขึ้น อ่านได้เร็วขึ้น เราอาจทำตามในขั้นแรก ลองดูว่ามันโอเคกับเราไหม พอจับแนวทางได้แล้ว เราจะรู้ได้เองว่า สุดท้ายแล้ว เราจะเอาไม้บรรทัด ปากกา หรืออะไรก็ตามอย่างที่เขาบอก มาเป็นจุดช่วยในการวางสายตาไหม เราจะเรียนรู้และปรับมาพัฒนาสกิลได้เอง

หนังสือเล่มนี้เป็นตัวช่วยที่ดีในระดับหนึ่ง อ่าน ลองทำตาม หาแนวทางของตัวเอง ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เราว่าผลลัพธ์ที่ได้ น่าพอใจมากๆ
5
หนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เราได้แนวทางที่ถูกต้องมากขึ้น เอาไปใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้จริงๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เล่มนี้เราชอบมาก ถือว่าโชคดีมากที่ตีพิมพ์ในช่วงที่เรากำลังเข้าปี 1 สมัยเรียนมหาวิทยาลัยพอดี (อุ๊ย รู้อายุกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ) ตอนนั้นเราถือว่าหนังสือเล่มนี้ช่วยชีวิตเราไว้เยอะพอสมควรเลย คือเป็นทั้งกำลังใจ เป็นทั้งโค้ชชีวิต และเป็นไกด์ให้เราในเรื่องที่เรายังไม่รู้ แต่สมควรรู้

เราเอาเทคนิคหลายอย่างไปใช้ในชีวิตการเรียน แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากขึ้น คือบางอย่างในบรรดาสิ่งที่ต้องทำนั้น เราทำมาอยู่แล้ว แต่ทำมาแบบไม่รู้ว่ามันคือสิ่งที่ดี ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงดี แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจมันมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจจริงๆว่า ทำไมถึงต้องจด short note (การจด short note เป็นสิ่งที่เราทำเสมอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เรามีสมุดจดบันทึกย่อเป็นของตัวเอง และจะอ่านแค่นั้นก่อนเข้าห้องสอบ ซึ่งเพื่อนๆ หลายคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสียเวลาจด ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก แต่เรารู้สึกว่า การทำอย่างนั้น มันทำให้เราได้คะแนนดี และเวลาเพื่อนๆ สงสัยว่า ำทไมเราถึงได้คะแนนทั้งที่ไม่ได้เรียนพิเศษ เราก็ไม่รู้จะตอบยังไงดีว่าเราก็มีวิธีของเรา เอิ้กๆ) และรวมถึงการวางแผนการอ่านหนังสือ การพัฒนาจากจดเป็นตัวหนังสือติดกันเป็นพรืด มาเป็นการใช้ Mind map มาเป็นตัวช่วย ซึ่ง mind map ของเราก็ง่อยๆ จนกระทั่งมาเจอหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เราได้แนวทางที่ถูกต้องมากขึ้น เอาไปใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้จริงๆ

แล้วก็ยังมีเทคนิคอื่นๆ เช่น การบำรุงร่างกาย บำรุงสมอง อันนี้เรามองข้ามไปเลย พอมาอ่านแล้วก็รู้เลยว่า เออ ที่ผ่านมาเราลืมนึกไปว่าอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองก็สำคัญ ปกติมีแต่น้ำชา ช็อกโกแลต มาม่ารอบดึก ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับร่างกายเราเลย พอได้การแนะนำจากเล่มนี้ก็เปลี่ยนมาดูแลตัวเองมากขึ้น กินอาหารมีประโยชน์มากขึ้น คือพออาหารดี รู้สึกเหมือนร่างกายเราดี มันก็พร้อมจะลุยมากขึ้นนะ รู้สึกฟินกับการเรียนมากขึ้นเลยทีเดียว

ทุกวันนี้หนังสือเล่มนั้น เราไม่มีแล้ว เพราะมอบให้รุ่นน้องปีหนึ่งที่เรารักมากๆ ไปแล้ว ส่งต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น เพราะรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือที่มีค่ามากๆ และคนที่ได้อ่านเร็วเท่าไหร่ ทำตามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดประโยชน์เร็วมากขึ้นเท่านั้น จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ มันต้องมีวิธีการ วิธีของใครของมัน วิธีการของเราอาจดีอยู่แล้ว (หรือาจไม่ดี) หนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็ม เสริมให้ดี หรือดียิ่งๆ ขึ้นไป
การลาออกครั้งสุดท้าย The Last Resignment
1
เหมาะกับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ เหมาะกับเด็กที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การลาออกครั้งสุดท้าย เล่มนี้เราอ่านนานแล้ว และยังจำความรู้สึกที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ได้ดี ย้อนกลับมาเปิดดูผ่านๆ ก็ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่ ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อ เพราะขึ้นชื่อ a book, a day เราไม่ค่อยถูกชะตาสักเท่าไหร่ ไม่ได้หมายถึงเนื้อหาหรืออะไรของเขาหรอก เนื้อหาดีๆ ก็พอมี แต่เราไม่ชอบแนวความคิดที่บางทีก็เน้นโลกสวยแบบหลอกตัวเอง คือการมองโลกในแง่บวก มันต้องไม่ลืมว่า ควรตรงกับความเป็นจริง เป็นเหตุผลเป็นผล ให้มันเกิดการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่แค่ให้มีความสุขไปวันๆ

แล้วทำไมถึงซื้อหนังสือเล่มนี้มา? (เสียงตังค์ซื้อเองด้วยนะ ไม่ได้ยืมใครอ่านซะด้วย)

ก็แค่อยากรู้ว่า ทำไมมันถึง Best seller แค่นั้นเองจริงๆ

แต่ก็อย่างที่คาดเดา อ่านจนจบแล้ว ได้แต่เบะปาก ไม่ใช่แนวเราจริงๆ

เรื่องราวมันเบาๆ กลวงๆ เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่า คนที่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร และมีการเติบโตทางความคิดที่สมกับวัย ย่อมต้องคิดและรู้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือด้วยซ้ำ มันเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เกิดปิ๊งอะไรบางอย่าง แล้วก็รู้สึกว่าไอเดียนั้นเจ๋งมากๆ เจ๋งกว่าคนอื่น จนอยากป่าวประกาศ แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นว่า ไอเดียนั้น ใครๆ ก็คิดได้

ชีวิตคนเรามันสั้น ตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อันนี้ไม่ต้องให้ใครมาบอก เราต่างรู้กันดี ไม่ต้องไปเจอประสบการณ์เฉียดตายอย่างคนเขียน เราก็รู้ได้ (คือมันต้องให้เฉียดตายอย่างคนเขียนก่อนเหรอ ถึงจะตระหนักได้ว่าคนเราสามารถตายได้ทุกเมื่อ)

วิธีการใช้เงินของคนเขียน รวมถึงอะไรๆ ที่หยิบมายำๆ ใส่ในหนังสือ เรื่องการวางแผนทางการเงิน การบริหารเงิน การคิดถึงอนาคตตัวเอง มันเป็นสิ่งที่หนังสือฮาวทูต่างๆ พูดถึงกันมาเป็นสิบปีได้แล้วมั้ง การหยิบมาใส่แบบผิวเผินไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลย

หนังสือเล่มนี้ เหมาะกับเด็กวัยรุ่น ถือว่า a book ตีโจทย์ได้แตกสำหรับกลุ่มเป้าหมาย เพราะมันเหมาะกับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ เหมาะกับเด็กที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อ่านแล้วถึงจะว้าว วู้ โว้ ตื่นเต้นไปกับประสบการณ์ดาษดื่นของคนเขียน แต่สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์ของชีวิต เกิดการเรียนรู้ มีคุณวุฒิตามวัยวุฒิ ย่อมตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว
ผจญภัยในความรัก
4
อ่านง่าย สบายๆ เหมือนฟังคนคุยกัน
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผลงานอีกเล่มของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ที่เราอ่านแล้วก็อมยิ้ม อารมณ์ดีขึ้น ใช้ชีวิตง่ายขึ้นเหมือนเดิม การมีโค้ชชีวิตดีๆ สามารถทำให้บางที เราก็ข้ามผ่านจุดมืดๆ หม่นๆ มาได้ง่ายขึ้น แต่บางทีข้ามไม่ได้ก็มี เพราะโจทย์ชีวิตของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน

เล่มนี้เป็นการรวบรวมคำถามจากทางบ้าน เหมือนคุยกับประภาสนั่นแหละ แต่ก็มีเรื่องราวๆ อื่นๆ สอดแทรกผสมกันมา ไม่ใช่แค่คำถามคำตอบอย่างเดียว และคำตอบของพี่จิก บางที บางคนก็งงว่า นี่คือตอบแล้วหรอ ไม่เห็นตรงกับคำถามเลย แต่สำหรับเรา ก็เหมือนที่พี่จิกบอกไว้แหละว่า โจทย์ชีวิต รวมถึงแนวคิดในการมองโลก หรือเข้าใจอะไรต่างๆ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ลางเนื้อชอบลางยา เพราะฉะนั้น เลยมีคนบอกว่า พี่จิกไม่เห็นตอบคำถามเลย เล่าแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ออกทะเลไปนู่น ตอบไม่ตรงคำถาม ในขณะที่พี่จิกเองก็บอกว่า ผมตอบคำถามแล้ว

สำหรับเรา บางเรื่องก็อ่านอย่างละเลียด พยักหน้าบ้าง ขมวดคิ้ว แต่บางเรื่องก็อ่านแบบกวาดสายตา จับใจความสำคัญแต่ไม่ได้จับอารมณ์ของคนเขียน บางคำถามที่พี่จิกยกมาตอบในเล่มนี้ เป็นคำถามที่เราอยากได้คำตอบเหมือนกัน...ผู้ชายเฮงซยเรื่องความรักจริงๆ หรือ? สามารถเฮงซวยได้ขนาดนั้นจริงน่ะ? เล่มนี้ พี่จิกตอบคำถามเรื่องความรักไว้หลายคำถาม และออกตัวในทุกคำตอบว่า ผมไม่ใช่คนเชี่ยวชาญด้านความรัก ฮ่าๆๆ

อ่านง่ายๆ สบายๆ เหมือนฟังคนคุยกัน ประสบการณ์ของคนอื่น มีค่าไม่แพ้ประสบการณ์ตรงของตัวเองหรอก เราสามารถเรียนรู้ได้เหมือนกัน
5
ดีงามตามลักษณะที่ฮาวทูควรจะเป็น
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เล่มนี้ ดีนะ ดีตามลักษณะที่ฮาวทูควรจะเป็น ตามมาตรฐานหนังสือพัฒนาตัวเองแหละ แต่อ่านง่าย เข้าใจง่าย ยกมาเป็นข้อๆ ที่เราต้องพยักหน้าตาม อาจมีบ้างที่บางไอเดียก็ธรรมดา (แต่ถูกเขียนให้ไม่ธรรมดา) อันนี้คงต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนที่จะเลือกหยิบไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองน่ะเนอะ

บางข้อเป็นสิ่งที่ขัดกับลักษณะนิสัยเรา และเรารู้สึกว่า ต้องทำด้วยหรอ ทำไมต้องทำ ไอ้คำว่าทำไมต้องทำนี่แหละที่มันเหมือนเป็นการอภิปรายกับหนังสือเล่มนี้ ถ้าเหตุผลของเราเข้าที่เข้าทางกว่าของเขา เราก็ไม่ต้องทำ ก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป ยอมรับผลที่เกิดขึ้นต่อไป แต่ถ้าเหตุผลของเขาเข้าที่เข้าทางกว่า ก็ลองเปลี่ยนพฤติกรรมดูบ้างจะเป็นไรไป

มีหลายข้อที่เราโน้ตไว้ หลายอันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจจะทำอยู่แล้ว แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ความตั้งใจนั้นก็ค่อยๆ ลางเลือนไปตามกาลเวลา นึกได้อีกทีก็ค่อยมาตั้งใจกันใหม่ไรงี้ การอ่านหนังสือเล่มนี้มีข้อดีที่สุดตรงที่ กระตุ้นเตือนเราให้ตั้งใจ (จริงๆ) ซะทีโว้ย ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำอีกต่อไป เอ๊ะ ความขี้เกียจนี่นับว่าเป็นเหตุผลได้ไหมนะ ฮ่าๆๆ

อ่านเถิดจะเกิดผลดี บางไอเดียอาจไม่สะกิดใจเรา แต่บาางไอเดียก็สามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า กำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งในยามที่สถานการณ์รอบตัวไม่คลี่คลาย เหมือนเราวิ่งวนๆ อยู่ในอ่าง คิดไม่ตกสักทีว่าจะทำไงดี จะเอายังไงต่อไป แล้วเพื่อนคนนั้นก็ยิ้มร่า ตบบ่าเราว่า เฮ้ย นายมานั่งที่เก้าอี้ฉัน แล้วจะเห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นทำให้เราเห็นจริงๆ บางครั้งการเปลี่ยนมุมมองแค่องศาเดียว ก็ทำให้สถานการณ์รอบด้านเปลี่ยนไปมากมาย การเปิดใจฟังคนอื่นๆ หรือเปิดตาอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ย่อมให้อะไรเราแน่นอน ไม่มากก็น้อยแหละน่า ไม่มีหรอกที่เปิดหนังสือแล้วจะไม่ได้อะไรเลย

อาวุธทั้งเจ็ด ตอนที่ 6 ตาขอจำพราก
3
เล่มนี้ถือว่ากลางๆ ไม่ดีและไม่แย่
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตะขอจำพราก เล่มนี้ถือว่ากลางๆ ไม่ดีและไม่แย่ แต่ถ้าใครอยากได้คติธรรม อยากได้คำคมบาดใจยิ่งกว่าอาวุธที่โก้วเล้งบรรยาย ก็อ่านเถอะ คติธรรมในชุดอาวุธของโก้วเล้งแต่ละเล่ม ไม่ซ้ำกัน และมีความสดใหม่อยู่เสมอ

เล่มนี้ ส่วนที่เราชอบคือ การบรรยายภาพความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอยู่ในจิตใจ ไม่ว่าจะในฐานะพ่อลูก ฐานะคนรักที่ยอมทุกอย่างเพื่อให้คนที่ตัวเองรักได้มีชีวิต หรือได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่อยู่กับความผิดที่กัดกร่อนหัวใจตลอดไป ฐานะสหายที่ผูกพันกันชนิดตายแทนกัน สละชีพเพื่อกันก็ย่อมได้ และในขณะที่ภาพความสัมพันธ์เหล่านี้อบอุ่นแน่นแฟ้น โก้วเล้งก็มีตัวละครที่เหมือนว่าจะไม่มีความสัมพันธืกับใครเลย ไม่มีใครเลยบนโลกใบนี้นอกจากตัวเอง ไม่มีคนที่รัก ไม่มีคนที่นับถือ ไม่มีมิตรสหาย แน่นอนว่า ท้ายที่สุดแล้ว ฟ้าดินเข้าข้างใคร เราต่างคาดเดาตอนจบได้ง่ายดาย

แต่ที่เราไม่ชอบก็คือ การจบแบบง่ายๆ ตายแบบง่ายๆ ทั้งที่ปูพื้นระดับความหวาดกลัวมามากมาย เหมือนเล่มขนนกยูงที่เรารีวิวไปก่อนหน้า อารมณ์คล้ายๆ กัน คือเราว่ามันไม่สมดุลกันจริงๆ นะ อาวิุธต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเป็นอาวุธที่ชนะคนทุกคนได้อย่างง่ายดายในทุกครั้งที่ใช้ คนต่อให้มีฝีมือแค่ไหน ก็แสดงให้เห็นหน่อยว่า เขาไม่ได้เป็นคนเก่งคนเดียวบนโลกใบนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวร้ายที่ปั้นขึ้นมา ก็โคตรจะร้ายกาจ ฆ่าคนได้ในพริบตา อาวุธของตัวร้ายก็ร้ายกาจ คนตายโดยไม่มีบาดแผลเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่อะไร พอพระเอกกับตัวร้ายมาเจอกัน มันคือมาชนะกันง่ายดายในชั่วเวลาแค่ 3-4 ย่อหน้า แล้วที่บรรยายมาว่าพระเอกก็ไม่รู้จะรอดชีวิตไหม ตัวร้ายมีสิทธิจะฆ่าพระเอกตายมากกว่า มันขัดกันแบบไม่อยากจะอ่านเล่มอื่นต่อเลยนะในบางที รู้สึกผิดหวัง (สองเล่มละ)

เอาเถอะ อ่านมาสี่เล่ม โอเคสอง ไม่โอเคสอง อย่างน้อยก็มีเล่มที่โอเค สมเหตุสมผลกันอยู่บ้าง เราก็จะอ่านต่อไป และแม้จะไม่โอเค ก็ยังมีคติธรรมบางอย่างสะกิดเตือนเรา คติธรรมที่บางทีเราก็หลงลืมไป ได้กระตุ้นเตือนตัวเองบ้างก็ถือว่ายังดี
เดอะ รีดเดอร์
4
มีหลายอารมณ์ มีหลายก้อนความคิดที่ถูกนำเสนอ ค่อยๆ ละเลียดอ่านให้สมดังชื่อหนังสือ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เดอะ รีดเดอร์ ผลงานของ Bernhard Schlink เล่มนี้เราอ่านเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ตีพิมพ์ภาษาไทยใหม่ๆ แต่ก็ยังจำความรู้สึกสะเทือนใจได้อยู่ดี มันเป็นหนังสือที่อบอุ่น ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด สงสัย และสะเทือนใจในท้ายที่สุดเมื่อได้รู้ความจริงที่นางเอกของเรื่องปิดบังไว้เป็นความลับเรื่อยมา ความลับที่ไม่อาจบอกต่อใครๆ ความลับที่แม้ว่าการรักษามันไว้จะต้องแลกด้วยอิสรภาพและชีวิตก็ตาม

เราไม่ได้ดูหนัง ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง แต่เท่าที่เห็นโปสเตอร์โปรโมท แวบแรกที่รู้สึกคือ เขาเลือกตัวละครได้เป๊ะมาก นางเอก คือ ฮันนา ในจินตนาการของเราตอนอ่านหนังสือเป็นยังไง หนังก็ถอดแบบออกมาได้ตรงกันสุดๆ หล่อนเซ็กซี่ แข็งแรง ไม่อ้อนแอ้นอรชรแต่ก็มีเสน่ห์เย้ายวน แน่นอนว่า ขนาดเราที่เป็นผู้หญิง อ่านแล้วยังอดจินตนาการท่าม้วนถุงน่องแลล้วน้ำลายซี๊ด พระเอกหนุ่มน้อยของเราที่ได้เห็นจะจะกับตาตัวเอง จะไม่หลงได้ยังไง

เรื่องนี้มีหลายอารมณ์ มีหลายก้อนความคิดที่ถูกโยนมาให้ขบคิดด้วย เรื่องความรักต่างวัยในกรณีที่ฝ่ายหญิงกร้านโลกกว่าฝ่ายชายมากๆ ชั้นเชิงความสัมพันธ์ก็ต่างกัน หล่อนเอาพระเอกหนุ่มวัยกระเตาะอยู่มือชนิดที่ว่าสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ สั่งให้อ่านหนังสือ ก็ต้องอ่าน ต้องอ่านก่อนนะ ถึงจะได้ในสิ่งที่เธอหวัง ทั้งยังมีเรื่องความลับของนางเอกอีกด้วย ตอนที่เราอ่านเราก็สงสัยนะว่า การเปิดเผยความลับที่ว่าตัวเองอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้มันเลวร้ายกว่าการถูกจับและขังคุกทหารอีกเหรอ เลวร้ายกว่าการสูญเสียอิสรภาพหรือไงกัน แต่เราไม่ใช่ฮันนา แล้วเราก็ไม่ใช่คนอ่านหนังสือไม่ออก เราเลยไม่อาจเข้าใจฮันนา ไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดของความบกพร่องนั้น เราได้แต่เจ็บปวดร่วมไปกับฮันนา เจ็บปวดเหมือนที่หนุ่มน้อยต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นคนที่เรารู้สึกรักต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนั้น

ดีที่ในตอนท้าย ยังมีความคลี่คลาย มีความอิ่มเอมหัวใจปรากฏอยู่บ้างหลังจากผ่านความบีบคั้นในช่วงพีคมาแล้ว แต่ก็นะ จะจบสวยๆ หน่อยก็ไม่ได้ แฮปปี้เอ็นดิ้งหน่อยก็ไม่ได้ เฮ้อ

หลวงพี่แตงโม
4
เป็นหนังสือที่ทำให้อารมณ์ดี อบอุ่นหัวใจ สบายอารมณ์ที่สุด
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 05 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เล่มนี้เราอ่านนานแล้ว ใช้เวลาอ่านไม่นานเลย เพราะเป็นการ์ตูน การ์ตูนที่น่ารัก แต่เนื้อหาโดนใจสุดๆ เป็นหนึ่งในเซ็ทหนังสือมีรูของสำนักพิมพ์จ้ำอ้าว (Jump out) ในเครือบีซี่เดย์ (Busy-day) อ่ะแหละ สำนักพิมพ์นี้เขามีหนังสือแบ่งเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ 3 สไตล์ คือ บีซี่เดย์ (Busy-day) เป็นหมวดเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ เรื่องหนักๆ เช่นการค้า เรื่องประวัติซีอีโอ แนวคิดเพื่อการพัฒนาตนเอง เป็นต้น แล้วก็มีเลซี่เดย์ (Lazy-day) อันนั้นจะเป็นแนวธรรมะ แนวที่หยิบเอาเรื่องราวของคนดังหรือคนที่เป็นกระแสในขณะนั้น ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ เอามาถ่ายทอดลงเป็นหนังสือ และแนวสุดท้ายคือจ้ำอ้าว หรือ Jump out นี่แหละ เป็นแนวการ์ตูน ลายเส้นน่ารักแตกต่างไปตามเอกลักษณ์ของนักเขียนนักวาด แต่จะมีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งคือ ลายเส้นสวย การ์ตูนมีสาระ แต่อารมณ์ของเรื่อง ของแต่ละเล่ม ก็ของใครของมันเนอะ

หลวงพี่แตงโม ลายเส้นน่ารักน่าชัง ลงสีสันสวยงาม อ่านง่ายสบายตา และสบายใจ ตอบคำถามธรรมะที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันได้อย่างเรียบง่าย แต่ก็ไม่ผิดเพี้ยน สามารถเก็บเอาไปคิดและนำไปใช้ได้จริง เช่น พ่อตายต้องใส่ชุดดำไว้ทุกข์ไหม? ถือศีลห้าแล้วกลัวเผลอทำผิดศีล จะทำไงดี? นั่งสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่ มันดีไหม อยากเห็นอีกจะทำไง? และหลากหลายคำถามที่คำตอบของหลวงพี่จะทำให้เราอมยิ้ม และพยักหน้าเห็นด้วย

เป็นหนังสือที่ทำให้อารมณ์ดี อบอุ่นหัวใจ สบายอารมณ์ที่สุด

ป.ล. เหตุที่หนังสือในเครือจ้ำอ้าวต้องมีรู ก็เพราะว่า เขาอยากให้หนังสือเซ็ตนี้ แขวนได้ เก๋เนอะ
ประมวลความรัก
5
เหมาะกับการใช้เวลาเรื่อยเปื่อย พักผ่อนหย่อนความคิด ปล่อยให้หัวใจได้ออกเดินทางอย่างเบาสบาย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

“ประมวลความรัก” เล่มนี้เราซื้อมาพร้อมกับ "เดินสู่อิสรภาพ” จากงานสัปดาห์หนังสือ จัดโปรโมชั่นคู่กันพอดี เป็นหนังสือที่เข้าคู่กันได้ดีมาก ไม่ได้หมายถึงเนื้อหาหรอกนะ หมายถึงอารมณ์ความอบอุ่นที่ต่อเนื่องกันมา เหมาะกับการใช้เวลาเรื่อยเปื่อย พักผ่อนหย่อนความคิด ปล่อยให้หัวใจได้ออกเดินทางอย่างเบาสบาย มองโลกในแง่งามบ้าง หากว่าชีวิตในทุกวันนี้มันเหนื่อยยากและดูเหมือนว่าโลกจะโหดร้ายเกินไป

หนังสือของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ คือตัวตนของอาจารย์อย่างแท้จริง อย่างเล่ม "เดินสู่อิสรภาพ” ก็เป็นความคิด เป็นความรู้สึกและมุมมองของอาจารย์ต่อการเดินทางเพื่อแสวงหาคำตอบของบางสิ่ง เล่มนี้ก็เป็นแนวคิดเป็นตัวตนของอาจารย์อีกเช่นกัน แต่บรรยากาศของเล่มจะอบอุ่นมากกว่า คงอบอุ่นตั้งแต่ที่มาที่ไปของหนังสือแล้วล่ะ เพราะเป็นการพูดคุยกันระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ การตั้งโจทย์ชีวิต คำถามที่ใครๆ ก็อยากได้คำตอบ แน่นอนว่า คำตอบของคำถามเหล่านั้นมีได้มากมาย และบางคนก็อาจจะได้คำตอบของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย แต่จะเป็นไรไป ถ้าเราได้เปิดหูเปิดตาเปิดใจรับฟังคำตอบอื่นๆ ที่ก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดดูบ้าง บางทีคำตอบที่เรามีอยู่แล้วอาจเปลี่ยนไป อาจอ่อนโยนมากขึ้น หรือทำให้หัวใจของเราเปลี่ยนรูปร่างรูปทรงหรือสีสันไป ไม่มากก็น้อย

หนุ่มสาวทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัยรุ่นพันธุ์ใหม่ เจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังจะเติบโตและค้นหาความหมายของคำถามเหล่านี้ ควรจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะสังคมทุกวันนี้มันแข็งกระด้าง ผู้คนรีบร้อนและดูเหมือนจะคิดถึงคนอื่นน้อยลง คิดถึงตัวเองมากขึ้น หัวใจคนอื่นมองไม่ค่อยเห็น สัมผัสไม่ค่อยได้ สนใจฟังและตั้งใจตอบสนองแค่หัวใจของตัวเอง ถ้าคนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ความอ่อนโยนในหัวใจอาจงอกเงยขึ้นบ้าง โลกอาจหมุนช้าลง ผู้คนอาจมีรอยยิ้มมากขึ้นก็ได้ใครจะไปรู้ นี่ไม่ได้อวยหนังสือเล่มนี้จนออกนอกหน้าเท่าไหร่เลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ

"หากค้นพบความงดงามแห่งรัก ก็เท่ากับค้นพบความงดงามแห่งชีวิต" เราว่าใครๆ ก็ชอบประโยคนี้นะ ความรักมันงดงามจริงๆ หรืออย่างน้อย มันก็งดงามมากในขณะที่เรากำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เรายังมีแรงที่จะรัก มีกำลังที่จะลุกขึ้นเพื่อมอบความรักให้ใครสักคน แม้ว่าเราจะเคยเจ็บปวดเพราะความรักมามากมายสักเท่าใดก็ตาม และมันก็จริงที่หากเราค้นพบความงดงามแห่งรัก อย่างอื่นในสายตาเราก็จะพลอยงดงามไปด้วยเสมอ หัวใจของเราไม่อาจขาดความรัก มันจะห่อเหี่ยวหรือกระชุ่มกระชวยก็อยู่ที่ว่าความรักในหัวใจเรา ณ ตอนนั้น มันกำลังงดงามหรือมืดหม่น หากว่ารักกำลังงดงาม หัวใจของเรางดงาม ชีวิตเราก็จะงดงาม เพราะสายตาที่เรามองโลก มองคนบนโลก จะเห็นแต่ความงดงาม

ไปหาต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ให้เงาร่มๆ มีลมเย็นๆ พัดผ่านพอสบาย ผูกเปลญวนนอนใต้ต้นไม้นั้น แล้วอ่านหนังสือเล่มนี้ชิลๆ รับรองว่า...ฟิน

4
ค่อยๆ ละเลียดอ่าน ค่อยๆ คิดตาม ตัวหนังสือในแต่ละบทมีไม่เยอะ แต่มันคือเนื้อ เนื้อเน้นๆ เลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 28 มกราคม พ.ศ. 2558

หนังสืออีกเล่มจากสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา ช่วงนี้เราอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์นี้หลายเล่ม อ่านย้อนหลังน่ะนะ เพราะเขาตีพิมพ์ออกมากันนานแล้ว เล่มนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหนังสือคับคุณภาพอีกเช่นเดิม ปกแข็งและกระดาษหนาทำให้หนักเวลาถือ แต่นั่นยังไม่หนักเท่าอาหารสมองที่ได้รับ

ข้อความในบางบทเราจะรู้สึกได้เลยว่า เหมือนโดนสตั๊นท์ หรือโดนด่าอยู่กลายๆ เออ เราเองก็เป็นไอ้คนแย่ๆ ในแบบหนึ่งเหมือนกันนี่หว่า แล้วที่สำคัญ ไม่เพียงแค่สะกิดให้เราได้มองตัวเอง หนังสือเล่มนี้ยังบอกเราด้วยว่า เราจะแก้ตรงนั้นได้อย่างไรบ้าง เอานิสัยแย่ๆ ที่ติดตัวมานานนม เอาความคิดโบร่ำโบราณแบบไม่รู้ตัวเหล่านั้นออกไปจากหัวได้ยังไง แล้วจะเอาความคิดใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ บ่มเพาะให้ความคิดเหล่านั้นเติบโตเข้าที่เข้าทางโดยไม่ตายจากไปเสียก่อนเพราะอะไรหลายๆ อย่างได้ยังไง นี่คือสิ่งที่เราชอบและได้รับจากหนังสือเล่มนี้

โอเค เราอาจจะเข้าข้างตัวเองว่า ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น คนรอบตัวฉัน เจ้านายฉัน เพื่อนร่วมงานของฉันต่างหากที่ต้องแก้ไข แต่ก็อย่างว่าล่ะ ถ้าเราเปิดใจให้หนังสือเล่มนี้มากพอ เหมือนกับที่อาจจะเปิดใจให้ใครสักคนที่เรานับถือ เขาพูดอะไรมาเราก็หยุด ฟัง และเก็บเอาคำพูดของเขามาคิด วิเคราะห์ ว่ามันจริงไหม เราก็คงค้นพบแสงสว่างและทางออกจากโคลนตมอันมืดมนได้ไม่ยากนักหรอก

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2554 ผ่านมาแล้วหลายปี แต่เนื้อหามันเหมือนกับว่า เขาจับเอาเรื่องราวปัญหา ณ ตอนนี้มาตีแผ่อย่างไรอย่างนั้น หรือแท้จริงแล้ว มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานในบ้านคนอื่น ในหัวคนอื่น ในชีวิตคนอื่น แต่เพิ่งมาเกิดในบ้านเรา เกิดกับเราในช่วงปีที่แล้วหรือปีนี้เอง เช่น ภาวะข้อมูลล้น ชีวิตเต็มไปด้วยข้อมูลจากขยะเทคโนโลยี เสพย์ข้อมูลข่าวสารมากมายทั้งจากโทรทัศน์ เฟสบุ๊ค เว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับกลายเป็นว่า ข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดภาวะโง่งมยิ่งกว่าเดิมและหลงว่าตัวเองเป็นคนฉลาดไปซะอย่างนั้น เรานี่แอบสยิบเล็กๆ เลย

โดยรวมแล้วเราชอบนะหนังสือเล่มนี้ ค่อยๆ ละเลียดอ่าน ค่อยๆ คิดตาม ตัวหนังสือในแต่ละบทมีไม่เยอะ มีทั้งหมด 20 บท บทละ 4 หน้า หน้าละ 2-3 ย่อหน้าเท่านั้น แต่มันคือเนื้อ เนื้อเน้นๆ เลย ต้องอ่านอย่างตั้งใจและคิดตาม จึงจะเกิดผลสูงสุด จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงจัง (เราก็พูดไปงั้นแหละ จะเปลี่ยนจริงรึเปล่าสำหรับตัวเราเอง คงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อยู่ดี ฮ่าๆๆ)

ป.ล. เออ แต่เราไม่ชอบอย่างนึงนะ ไม่ชอบที่หนังสือเล่มนี้มันหนักเกินไป ถือแล้วเมื่อยมือชะมัด เหอๆ
นำอาหารกลับบ้าน
5
มีทั้งถ้อยคำที่ต้องนำมาขบคิดต่อยอด ทั้งวิธีการที่สามารถพาเราออกจากวังวนวิปริตในปัจจุบันได้ และทั้งตัวอย่างของประเทศที่หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้บ้างแล้ว
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 19 มกราคม พ.ศ. 2558

“นำอาหารกลับบ้าน” หนังสือเล่มนี้ทำให้เรารู้สึกสะพรึงมาก เป็นข้อมูลที่เราไม่เคยนึกฝันว่ามันมีอยู่จริงบนโลกอันโหดร้าย เออ โลกมันก็มีทั้งความสวยงามและโหดร้ายในตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อว่า ด้านร้าย จะร้ายได้ถึงเพียงนี้

เราสะดุดตั้งแต่คำนำของเล่มที่เขียนโดยอาจารย์เดชา ศิริภัทร แห่งมูลนิธิข้าวขวัญเลย บุคคลซึ่งได้รับการยอมรับนับถือในเรื่องข้าว เรื่องพันธุกรรมข้าว เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ ตอนท้ายของคำนำมีว่า

“แม้จะเป็นหนังสือที่สำคัญและมีคุณค่ายิ่งอีกเล่มหนึ่งสำหรับสังคมไทย แต่คาดว่าหนังสือเล่มนี้คงขายได้ไม่มาก เพราะมายาคติในสังคมไทยปัจจุบันนั้นห่อหุ้มผู้คนเอาไว้หนาแน่นยิ่งนัก ยากที่แสงแห่งปัญญาจากหนังสือเล่มนี้จะส่องผ่านเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนไทยที่มีปัญญาอยู่ในระดับ "บัวที่กำลังจะพ้นน้ำ” คงมีโอกาสได้พบและอ่านหนังสือเล่มนี้บ้างตามสมควร”

เรานี่รีบเปิดอ่านเนื้อหา ตลอดจนข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นทั้งเล่มจนจบโดยเร็วเลย เผื่อจะได้เป็นบัวที่กำลังจะโผล่พ้นน้ำบ้าง และอีกนัยหนึ่ง รู้สึกเหลือเกินว่ากำลังถูกตบหัวอย่างแรง แต่ก็จริงของอาจารย์นะ เป็นความจริง เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัว และเราเกี่ยวพันกันอยู่ทุกวัน แต่น้อยคนนักจะตระหนักเห็นภัยคุกคามและหายนะเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่เคยเปิดหูเปิดตา ส่วนหนึ่งอาจเปิดหูเปิดตา แต่ก็ไม่เปิดใจ เพราะเมื่อเปิดใจและมันอย่างชัดเจน นั่นหมายความ เราอาจอยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่ง คือ ผู้เสียผลประโยชน์มหาศาล หรือ ผู้ต้องพบกับความยุ่งยากอย่างที่สุดเพื่อทวนกระแสสังคม และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

พลิกอ่านไปแต่ละบทก็สะพรึงไปกับความน่ากลัวของคน ผลประโยชน์เงินทองมันมีความหมายมากกว่าจรรยาบรรณ มากกว่าชีวิตของคนอื่นที่เป็นผู้ร่วมโลก มากกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และความสะดวกสบายก็มีความหมายมากกว่าการมีคุณค่า มากกว่าการได้อยู่อย่างปกติสุข มากกว่าความสงบตามวิถีที่ควรจะเป็น

ค่านิยมของการเป็นคนเมืองได้รับการยอมรับว่าดีเลิศ และการเป็นคนชนบทนั้นไม่พึงปรารถนา ทั้งที่การเป็นคนเมืองต้องแลกด้วยอะไรๆ มากมาย แม้กระทั่งความสุขและจิตวิญญาณของตนเองก็ตาม

เราพับไว้หลายหน้า มีทั้งถ้อยคำที่ต้องนำมาขบคิดต่อยอด ทั้งวิธีการที่สามารถพาเราออกจากวังวนวิปริตในปัจจุบันได้ และทั้งตัวอย่างของประเทศที่หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้บ้างแล้ว แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เราไม่อาจเชื่อถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลได้โดยไม่ผ่านการใช้วิจารณญาณ แต่เอาเข้าจริง ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เราจะต้องสวมบทบาทเป็นฝ่ายนายทุน มาโต้แย้งหนังสือเล่มนี้ เราต่างก็เอือมระอากับบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่โลภโมโทสันไม่มีที่สิ้นสุดกันเต็มทน

“ต้องบอกว่า เป็นเรื่องบ้าที่มีการขนอาหารขึ้นเครื่องบินมาไกลถึงครึ่งโลก เช่น ราสเบอรีจากอเมริกามาขายที่อังกฤษ ในช่วงที่ราสเบอรีท้องถิ่นกำลังล้นตลาด ทำให้ผู้ปลูกชาวอังกฤษต้องเลิกอาชีพกันไป” ฮิวจ์ ราเวน, SAFE Alliance

อืม เราควรจะต้องหันกลับมามองตัวเอง ทบทวนลักษณะการใช้ชีวิตของตัวเอง และใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองให้มากกว่านี้เสียทีนะ
ชีวิตมิใช่เพียงอิฐก้อนหนึ่ง
4
หลายอย่างยังสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้ อ่านเพลินๆ เก็บเกี่ยวสิ่งที่เราอาจหลงลืมไปว่าสำคัญให้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ชีวิตมิใช่เพียงอิฐก้อนหนึ่ง เขียนโดยนายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง จิตแพทย์ผู้เป็นทั้งนักเขียน ทั้งพูด นักบำบัด (อันนั้นมันหน้าที่หลักเขาอยู่แล้ว) เป็นวิทยากรในเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการความเครียด การทำงาน อืม...สารพัดแหละ ถ้าจะนึกถึง Motivator ในยุคแรกๆ ที่คนไทยเริ่มสนใจการหันมาจัดการกับอารมณ์ความคิดของตัวเอง (แทนที่จะมุ่งพัฒนาแต่สกิลการทำงานและศักยภาพของสมองเท่านั้น) ก็นายแพทย์เทอดศักดิ์นี่แหละ ที่จะติดโผหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากๆ

เล่มนี้ตีพิมพ์มาสิบกว่าปีแล้ว (พิมพ์เมื่อปี 2547) ถามว่ามีเนื้อหาที่เก่าแก่ล้าสมัยไปไหน ตอบเลยว่าบางส่วน คือเวลาเปลี่ยน วิทยาศาสตร์ก็เปลี่ยนน่ะ ผลการวิจัยชิ้นใหม่ๆ ออกมาตีชิ้นเก่าๆ ให้ตกไปบ้างก็มี แต่เดิมเคยสรุปกันว่าอย่างนั้นดี ไม่กี่ปีต่อมากลายเป็นไม่ดีแล้ว ต้องเป็นอีกอย่างจึงจะดี อันนั้นเป็นของธรรมดา ซึ่งผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณในการติดตามข้อเท็จจริงกันเอาเอง เช่น มีเรื่องหนึ่งที่คุณหมอเขียนถึงการงีบหลับในระหว่างวัน ว่าควรจะต้องงีบสักเท่าไหร่จึงจะดี หลักการแพทย์ตอนนั้นทำให้สรุปออกมาว่า ต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง มันเลยทำได้ยาก มนุษย์เงินเดือน พนักงานออฟฟิศจะไปมีเวลางีบระหว่างวันขนาดนั้นได้ยังไง เจ้านายตะเพิดหนีน่ะสิ แต่ในปัจจุบัน ผลการวิจัยออกมายืนยันมากมายแล้วว่า งีบระหว่างวันน่ะ 15-30 นาทีก็พอ นานกว่านี้ก็จะทำให้เซื่องซึมละ การงีบเล็กๆ น้อยๆ ให้สมองได้พักผ่อนเต็มที่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้การทำงานในครึ่งหลังของวันสามารถมีพลังขึ้นมาได้

แต่ถึงแม้จะมีบางอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่บางอย่างก็ยังคงเป็นความจริง เป็นแนวคิดที่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะเล่มนี้ เป็นช่วงเวลาที่คนเริ่มตระหนักถึง EQ และการตระหนักถึง EQ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ คนที่ IQ สูงแต่เอาตัวไม่รอด ทำงานกับใครเขาไม่ได้ โดดตึกฆ่าตัวตายเพราะจัดการกับความเครียดของตัวเองไม่ได้ มีมากเกินไปแล้ว นี่คือเหตุผลว่า ทำไมหนังสือเล่มนี้จึงถูกตั้งชื่อว่า "เพราะชีวิตมิใช่อิฐเพียงก้อนหนึ่ง” เพราะเราไม่อาจอยู่ได้อย่างมีค่าด้วยการอยู่ตัวคนเดียว เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น เกิดเป็นตึก เป็นอาคารขึ้นมา นั่นเองเราถึงจะกลายเป็นคนที่มีคนอื่นๆ ต้องการ ไม่โดดเดี่ยว และแตกสลายตายไปอย่างไร้ความหมาย

เราชอบที่สุดคือเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของผู้หญิง คุณหมออธิบายได้เห็นภาพชัดเจนมาก เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยของผู้หญิงกับผู้ชายในการทำงาน และเราว่านั่นเป็นความจริงที่คนไม่มากจะยอมรับ และเป็นสิ่งที่อธิบายได้อย่างดีว่า เหตุการณ์หนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของผู้หญิง มันเกิดมาจากฐานความคิดและนิสัยอย่างไร การเข้าใจตัวเองคือสิ่งสำคัญ คุณหมอทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นจากหนังสือเล่มนี้

หลายอย่างยังสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้ อ่านเพลินๆ เก็บเกี่ยวสิ่งที่เราอาจหลงลืมไปว่าสำคัญให้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง เราว่าก็ดีนะ
รวยด้วย eBay ไม่ยาก ฉบับเริ่มรวยทันที
5
มีการเสริมทริคดีๆ ที่มาจากการลงมือทำจริง และเป็นสิ่งที่ผู้เริ่มต้นส่วนใหญ่พลาดไป
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 07 มกราคม พ.ศ. 2558

อ่านสนุก เข้าใจง่าย เทคนิคการเขียนการ์ตูนดึงดูดและสร้างรอยยิ้มให้เราได้มากกว่าเล่มอื่นๆ ในซีรี่ย์ "ไม่ยาก” ของสำนักพิมพ์นี้ มีการเล่นมุขตลกเล็กๆ น้อยๆ ให้พอเพลินๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีมากสำหรับการย่อยเรื่องละเอียดๆ ให้ง่ายลง

สำหรับผู้เริ่มต้นและไม่มีข้อมูลเรื่องebay มาก่อนเลย นอกจากรู้ว่ามันคือเว็บประมูลขายของ พอได้มาอ่านเล่มนี้แล้วก็สามารถเห็นภาพรวม เข้าใจได้เป็นขั้นเป็นตอน เพราะเขาเขียนไว้ค่อยข้างเป็นลำดับที่ดี รู้ว่าควรเอาอะไรมาไว้ก่อนหรือหลัง รู้ว่าสเต็ปเป็นยังไง เหมือนออกมาจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ไม่ใช่การ copy แล้ว paste จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ

ที่สำคัญคือ มีการเสริมทริคดีๆ ที่มาจากการลงมือทำจริง และเป็นสิ่งที่ผู้เริ่มต้นส่วนใหญ่พลาดไป เพราะอะไรขายของชิ้นแรกจึงขายไม่ได้ ขายไม่ออก ขายไม่ดี ทำมาตั้งนานไม่รุ่งสักที นี่คือจุดสำคัญที่เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้มอบให้เรา (เรายังไม่เคยอ่านเล่มอื่นที่เขียนเกี่ยวกับการขายของใน ebay ไม่รู้ว่าเขามีเทคนิคที่เหมือนหรือต่างกันมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวอ่านแล้วจะมาแชร์อีกทีนะคะ)

นอกจากนี้ยังมีการตอบคำถามในสิ่งที่ผู้เริ่มต้นทุกคนต้องสงสัย และตั้งคำถามพร้อมมอบคำตอบให้เราไว้ก่อนสำหรับสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคตหากว่าลงมือทำจริงๆ ถือว่าเขียนหนังสือได้มีประโยชน์มากๆ อันนี้เราชมเลย อ่านเพลิน แถมได้เทคนิค ได้ข้อมูลที่สำคัญ ที่เป็นประโยชน์ต่อการลงมือทำ ไม่งง ไม่สับสน เพราะเขาเรียงลำดับเนื้อหามาดี เข้าใจว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มาจากผู้เปิดคอร์สอบรมการขายของใน ebay ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญมาก เพราะฉะนั้นเรื่องเทคนิคการถ่ายทอดก็เลยออกมาดีอย่างนี้ (มีโฆษณาคอร์สอบรมท้ายเล่มด้วยนะเออ เผื่อใครสนใจเจาะลึกเพิ่มเติม)

โดยรวม ถือว่าดีมากๆ สำหรับ รวยด้วย ebay ไม่ยาก (แต่ก็ไม่ง่าย และไม่เร็วนะ ในหนังสือเขาบอกไว้ ต้องใช้การวางแผน ใช้ความอดทน รอคอยคะแนนความน่าเชื่อถือ สั่งสมประสบการณ์ และกระบวนการเท่าทันโลกเป็นเวลาระยะหนึ่งเลยล่ะ)

ชอบค่ะเล่มนี้
www.batorastore.com © 2024