Customer Reviews

วิทยาศาสตร์ฉลาดรู้ เล่ม 41 เรื่อง เมนูพิสดาร
5
เป็นหนังสือการ์ตูนที่เหมาะกับเด็กๆ ค่ะ เหมาะสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นอ่านหนังสือ เป็นอีกขั้นของการอ่านถัดจากอ่านนิทานภาพค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 05 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เป็นหนังสือการ์ตูนให้ความรู้ แปลมาจากภาษาเกาหลีค่ะ เนื้อหาเป็นการนำความรู้รอบตัวทางวิทยาศาสตร์และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอาหารมาบอกเล่าได้อย่างสนุกสนานทีเดียวค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นการ์ตูนดูต๊องๆ เบาสมองแต่ก็ได้ความรู้ชนิดที่จำแม่นทุกตอนเลยค่ะ คิดว่าเด็กๆ ต้องชอบแน่ๆ เลยค่ะ ผู้ใหญ่ยังชอบเลย ^0^

ส่วนตัวคิดว่าเป็นหนังสือการ์ตูนที่เหมาะกับเด็กๆ ค่ะ เหมาะสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นอ่านหนังสือ เป็นอีกขั้นของการอ่านถัดจากอ่านนิทานภาพค่ะ ภาพประกอบน่ารักและเนื้อเรื่องชวนติดตามน่าจะดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้ไม่น้อย ทั้งยังเป็นการฝึกฝนการอ่านและปลูกฝังนิสัยการอ่านให้กับเด็กๆ ด้วยค่ะ เคยเห็นเพื่อนๆ หลายคนแล้วค่ะที่เรียนเก่งประสบความสำเร็จจากการ์ตูนให้ความรู้ มีเพื่อนที่เก่งคณิตศาสตร์มากคนหนึ่งเขาบอกว่าเป็นเพราะคุณพ่อชอบซื้อหนังสือการ์ตูนโดเรมอนสอนเลขมาให้อ่าน เลยชอบและสนใจติดตามอ่านมาตลอด กลายเป็นคนชอบคำนวณ คิดเลขเร็วมาก ทำให้ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีมากด้วย มีเพื่อนๆ อีกหลายคนค่ะที่ตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่หาหนังสือการ์ตูนภาษาอังกฤษ ประวิติศาสตร์ ชีววิทยา การทดลองวิทยาศาสตร์มาให้อ่าน และพวกเขาก็รู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้และค้นคว้าข้อมูลในระดับสูงต่อไปด้วยตนเอง

หนังสือการ์ตูนความรู้นับว่าช่วยพัฒนาสมองของเด็กๆ ได้จริงๆ นะคะ สำหรับตัวเองคุณพ่อ คุณแม่ก็ชอบหาหนังสือนิทาน งานประดิษฐ์ วรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับรางวัลต่างๆ มาให้อ่าน และยังมีหนังสือการทดลองวิทยาศาสตร์ที่คุณพ่อลงมืออ่านเตรียมอุปกรณ์และนำมาทดลองเล่นกับลูกๆ ด้วย คิดว่านิสัยรักการอ่าน การเขียน และการค้นคว้าข้อมูล อาจมาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่คุณพ่อ คุณแม่ปลูกฝังมาค่ะ

เนื้อหาภายในหนังสือแบ่งเป็นการ์ตูนเป็นตอนๆ ค่ะ เป็นเรื่องสั้นๆ ที่มีมุขหักมุมตลก สอดแทรกความรู้ที่น่าสนใจ ด้วยการตั้งคำถามให้ชวนสงสัยหาคำตอบ เช่น รังนกช่วยบำรุงกำลังจริงหรือ? ทำไมถึงกินอุ้งตีนหมีเฉพาะขาหน้าขวา? ซุปตายุงมีจริงหรือ? มีเครื่องดื่มที่ทำจากฉี่วัวจริงรึเปล่า? ทำไมลูกอมที่ทำจากแมงป่องพิษถึงกินได้? ทำไมกุ้งที่สุกเปลี่ยนเป็นสีแดง? ทำไมเห็นของเปรี้ยวแล้วน้ำลายไหล? ทำไมน้ำกับน้ำมันแยกชั้นกัน? ฯลฯ

แถมมีการทดลองสนุกๆให้เด็กได้ลองทำด้วย เช่น การทดลองแยกไข่สุกกับไข่ดิบ การใส่เกลือในน้ำอัดลม การทำขนมปังให้ขึ้นฟู เหล่านี้ล้วนมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์แฝงอยู่ค่ะ

รู้สึกว่าการ์ตูนเล่มนี้เป็นหนึ่งในการ์ตูนชุดที่มีอีกหลายเล่มค่ะ ลองเลือกสักเล่มที่สนใจแล้วให้เด็กๆ ได้อ่านเพิ่มพูนความรู้กันค่ะ
ลดน้ำหนักตามรูปร่าง (ฉบับปรับปรุง)
4
เนื้อหาโดยรวมอ่านง่าย และให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักตามรูปร่างของแต่ละบุคคลได้ดีทีเดียวค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 04 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สะดุดตาหนังสือเล่มนี้เพราะจั่วหัวเรื่องไว้อย่างน่าสนใจ โดยไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักโดยทั่วไป แต่เป็นการลดน้ำหนักที่จำเพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคลมากขึ้นโดยลดน้ำหนักตามรูปร่างค่ะ

ผู้เขียนพยายามอธิบายว่ารูปร่างหรือโครงร่างของร่างกายที่แตกต่างจะมีความสามารถในการเผาผลาญสารอาหารและใช้พลังงานแตกต่างกัน การลดน้ำหนักแบบสะเปะสะปะ หรือเลือกวิธีที่ขัดแย้งกับรูปร่างตามธรรมชาติอาจทำให้ลดน้ำหนักได้ช้า และไม่ประสบผลสำเร็จ

แต่โดยส่วนตัวคิดว่าผู้เขียนน่าจะอธิบายเนื้อหาในส่วนของการเผาผลาญพลังงาน หรือการดึงสารอาหารต่างๆ มาใช้ภายในร่างกายเพิ่มเติมอีกสักหน่อย เปรียบเทียบสำหรับแต่ละรูปร่างที่ต่างกัน รับรองว่าเนื้อหาและข้อมูลในส่วนนี้จะช่วยให้คนอ่านเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ

เนื้อหาโดยรวมอ่านง่าย และให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักที่ดีทีเดียวค่ะ เริ่มต้นอธิบายความสำคัญของอาหารหลัก ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน อธิบายให้เข้าใจว่าอาหารประเภทไหนทำให้อ้วน ชนิดและปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ควรกินที่เมื่อกินแล้วจะทำให้ไม่อ้วน รวมไปจนถึงอธิบายขั้นตอนการทำงานของระบบย่อยและการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ด้วยค่ะ

ในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เรารู้จักวิเคราะห์รูปร่างของเราเองว่า มีรูปร่างแบบไหน เช่น รูปร่างแบบแอปเปิ้ล ลูกแพร์ ทรงกระบอก หรือหุ่นนางแบบ โดยแต่ละรูปร่างจะมีปัญหาของความอ้วนที่แตกต่างกัน และมีโปรแกรมการกินและการออกกำลังกายที่แตกต่างกันค่ะ

ตัวอย่างทั้ง 4 รูปร่างและปัญหา เช่น
- รูปร่างแบบแอปเปิ้ล : มีส่วนมัดกล้ามเนื้อ ไหล่ แขน ลำตัว มากกว่ารูปร่างแบบอื่นๆ จึงมักพบว่ามีไขมันพอกที่คอ ไหล่ แขน
ลำตัว และหน้าท้อง ดูโดยรวมจะอ้วนแบบดูตัวใหญ่ล่ำบึ้ก (T^T)
- รูปร่างแบบลูกแพร์ : ส่วนบนเล็ก ส่วนล่างใหญ่คล้ายลูกชมพู ไหล่ช่วงบนเล็กพอถึงเอวเริ่มขยาย มีปัญหาสะโพก ต้นขาใหญ่
มาก ลดยาก
- รูปร่างแบบทรงกระบอก : เวลาผอมก็ผอมทั้งตัว เวลาอ้วนก็อ้วนทั้งตัว ส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นไม่เด่นชัด
- รูปร่างแบบหุ่นนางแบบ : เอวบางร่างน้อย มักมีปัญหาอ้วนเฉพาะส่วน เช่น หน้าท้องสะโพก ต้นขา

หนังสืออธิบายโปรแกรมลดน้ำหนักไว้ค่อยข้างละเอียดค่ะ ทั้งอาหารที่กินได้ อาหารที่ควรงด โปรแกรมการออกกำลังกายตามรูปร่าง เคล็ดลับช่วยจำ การแบ่งสัดส่วนอาหารในแต่ละวัน แต่ละมื้อ ตัวอย่างรายการอาหารลดน้ำหนักใน 2 สัปดาห์ สูตรอาหารลดน้ำหนัก และข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจค่ะ

จริงๆ ถ้าปรับเปลี่ยนการกินและเพิ่มการออกกำลังกายได้ตามในหนังสือรับรองว่าน้ำหนักลดลงได้ไม่ยากค่ะ เพราะอาหารที่แนะนำล้วนเป็นอาหารที่มีประโยชน์ ไขมันต่ำ และรายการอาหารก็ไม่ยากจนเกินไปที่จะหาซื้อหรือทำกินเองค่ะ

ก่อนจะเข้าคอร์สลดน้ำหนักราคาแพง ลองอ่านดูค่ะแล้วเลือกวิธีลดน้ำหนักให้เหมาะกับรูปร่าง ลองเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองก่อน เชื่อว่าถ้าลองพยายามด้วยตนเอง น้ำหนักน่าจะลดลงได้อย่างยั่งยืนกว่านะคะ
พ่อรวยสอนลูก # 2 : เงินสี่ด้าน
5
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 04 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการลงทุนที่ผู้เขียนรู้แล้วนำเอามาแชร์มีเพียงการซื้อบ้านด้วยเงินกู้แล้วให้เช่าเท่านั้น นอกนั้นเค้าก็ไม่ได้บอกเทคนิคอะไรมากมาย แต่ว่าการอธิบายเรื่องของ ความรวย ความจน นักลงทุนประเภทต่างๆ การเริ่มทำธุรกิจ เรื่องพวกนี้เขาอธิบายใว้ได้อย่างละเอียด และค่อนข้างที่จะถูกต้องมาก และที่สำคัญโดนใจพนักงานเงินเดือนหรือพวกที่ต้องใช้เวลาแลกเงินสุดๆ นอกจากนี้ยังอ่านง่ายแม้ว่าจะเป็นหนังสือแปล และสามารถทำให้คนอ่านเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ง่ายๆ ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักเขียนที่เก่งจริงๆ (ผู้แปลก็เก่งเช่นกัน) นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวต่างๆของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนในเล่มให้เราได้ศึกษากันอีกด้วย หนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็น 1 ในหลายๆเล่มของซีรี่ส์นี้ ซึ่งหลายๆคนอาจจะเลือกไม่ถูกด้วยซ้ำว่าจะเลือกซื้อเล่มไหนก่อน น่าจะมีเกิน 20 เล่มแล้วมั้งที่ออกมาส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาที่คล้ายๆกันคือเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนจากลูกจ้างไปสู่เจ้าของกิจการหรือนักลงทุนนั้น เล่มนี้ถือว่าเป็นเล่มที่เขียนได้ดีที่สุดในความคิดของผม เพราะเป็นเล่มแรกๆที่นำเอาหลักการเงินสี่ด้านที่มีภาพทำให้เข้าใจได้ง่ายมาสอนเรากันครับ
คัมภีร์เลี้ยงลูกให้เก่งและดีดีกรีฮาร์วาร์ด ตอน Lovely DNA สายพันธุ์แห่งรัก
5
การแต่งงานไม่ใช่ตอนจบแต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องใหม่ คือการใช้ชีวิตคู่ การเข้าใจ ห่วงใยกันและกัน และที่สำคัญคือร่วมกันเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 04 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่านทีแรกนึกว่าเป็นเรื่องจริงซะอีกค่ะ ตอนดูแว๊บๆ ที่หน้าปกเห็นว่าผู้แต่งเป็นคุณหมอเลยพานคิดว่าคุณหมอเขียนเรื่องชีวิตคู่และการเลี้ยงดูลูกของตัวเองซะอีก

ศาสตราจารย์นายแพทย์ พิภพ จิรภิญโญ จากภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลได้นำความรู้ในเรื่องของการเลือกคู่ครองและการเลี้ยงลูกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาบอกเล่าให้เข้าใจง่าย ด้วยการเขียนเป็นนิยายที่อ่านสนุกและน่าติดตามมากค่ะ

คุณหมอผู้เขียนเปิดเรื่องด้วยตัวเอกอย่างคุณหมอหนุ่มซึ่งชื่อว่า “ธรณิน” เป็นชายหนุ่มที่แสนอบอุ่น เป็นสุภาพบุรุษ และใจดี คุณหมอผู้เขียนบอกเล่าถึงความคิดอ่าน การใช้ชีวิต และการทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็ก บรรยายเสียคนอ่านประทับใจ หลงรักคุณหมอธรณิน และรู้สึกอยากติดตามเอาใจช่วยตลอดเรื่องทีเดียวค่ะ และแล้วเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่คุณหมอธรณินปิ๊งคุณหมอลินลา พร้อมกับความรักที่ก่อตัวมากขึ้นทุกวัน ไม่ต้องลุ้นนานเหมือนพระเอกกับนางเอกในละคร เพราะในที่สุดเมื่อพร้อม เขาทั้งสองคนก็แต่งงานกัน

การแต่งงานไม่ใช่บทสรุปหรือตอนจบของเรื่อง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องใหม่ นั่นก็คือการใช้ชีวิตคู่ การทำความเข้าใจ ห่วงใยกันและกัน และที่สำคัญคือการร่วมกันเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีค่ะ

คุณหมอผู้เขียนสอดแทรกความรู้ที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่วางแผนจะใช้ชีวิตคู่ คู่แต่งงานใหม่ ผู้ที่เตรียมตัวกำลังจะมีบุตร หรือ ครอบครัวที่มีลูกๆแล้วก็อ่านได้ค่ะ

ความรู้ที่อ่านเพลินๆ ตลอดเรื่องมีตั้งแต่การให้ข้อคิดเรื่องของการแต่งงานเมื่อพร้อม การมีลูกเมื่อพร้อม การคุมกำเนิด การเตรียมตัวระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกายและการเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ คุณหมอผู้เขียน เขียนบรรยายถึงความรัก ความห่วงใย ตลอดจนการดูแลที่คุณหมอธรณินดูแลคุณหมอลินลา (><) อ่านแล้วรู้สึกว่าคุณหมอลินลาเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆๆ ที่มีคุณหมอธรณินอยู่เคียงข้าง คอยห่วงใยและมีส่วนร่วมตลอดเวลาในการดูแลลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดทำได้แบบนี้เชื่อว่าลูกที่เกิดมาต้องพร้อมทั้งสติปัญญา ความสุข และมีจิตใจที่ดีงามแน่ๆ เพราะเชื่อว่าเขาสามารถรับรู้ถึงความรักของคุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ค่ะ

เมื่อครบกำหนดคลอด คุณหมอผู้เขียนอธิบายประสบการณ์ระหว่างการคลอดได้อย่างละเอียดทีเดียวค่ะ อ่านแล้วถึงได้เข้าใจว่าทำไมหลายคนจึงบอกว่า ตอนคลอดน้องได้เข้าใจถึงความเจ็บปวดของคุณแม่ อาการเบ่งจนแทบหมดแรง ร้องจนไม่มีเสียง กว่าที่คุณแม่จะคลอดเราออกมาได้อย่างปลอดภัย

คุณหมอผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวคุณหมอธรณินอย่างต่อเนื่อง สอดแทรกเรื่องราวธรรมชาติของทารก คำแนะนำในการสังเกตอาการผิดปกติ การวางแผนเลี้ยงลูก สอนถึงการใช้หลักจิตวิทยาในการเลี้ยงลูก ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมและเลี้ยงลูกในช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม การเลี้ยงลูกวัยรุ่น การให้คำปรึกษาที่ดี

นอกจากนี้ยังแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลสุขภาพของตนเองด้วย เพราะ เมื่อทำให้เขาเกิดมาก็ต้องเลี้ยงดูเขาให้เติบโตจนสามารถดูแลตนเองได้ เหมือนลูกนกที่สามารถกางปีกบินออกไปยังท้องฟ้ากว้างได้ หากคุณพ่อคุณแม่สุขภาพไม่แข็งแรง และจากไปก่อนที่จะเห็นความสำเร็จของพวกเขา รับรองว่าความสุขของชีวิตครอบครัวอาจต้องสะดุด คนที่เหลือต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักอึ้งนี้ไว้เพียงลำพังเมื่อใครคนหนึ่งต้องจากไปก่อนยังที่ที่ไกลแสนไกล

อาจเพราะชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เมื่อพร้อมเป็นคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ต้องเป็นหลักให้กับลูกๆและพร้อมรับมือสิ่งต่างๆเช่นกันค่ะ

อยากฝากหนังสือเล่มนี้ไว้ให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เชื่อว่าความรู้ที่ผู้เขียนถ่ายทอดไว้จะให้ข้อคิดดีๆและมีประโยชน์กับผู้อ่านที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงค่ะ
วิชาสุดท้าย ล 2 ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน (ใหม่)
5
สุนทรพจน์ของบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในงานรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยชั้นนำ รวบรวมไว้ได้น่าสนใจ ได้ข้อคิดดีๆ และอ่านสนุกมากค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 24 กันยายน พ.ศ. 2556

อยากแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับทุกคนได้อ่านกันค่ะ และคิดว่าเหมาะมากหากใครจะมอบหนังสือเล่มนี้ให้เป็นของขวัญแก่บัณฑิตจบใหม่ในวันรับปริญญาบัตรค่ะ

เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รวบรวมสุนทรพจน์ของบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในงานรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบุคคลสำคัญต่างๆ ล้วนเล่าถึงประสบการณ์และการเดินทางภายหลังก้าวพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย และได้ผจญภัยในโลกของการทำงาน และพบกับโลกของความเป็นจริง พวกเขาต่างรวบรวมสิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุดที่อยากบอกเล่าหากย้อนเวลากลับมาเตือนตนเองได้ พวกเขาต่างนำประสบการณ์ในชีวิตที่คิดว่ามีค่าที่สุดมามอบให้กับเหล่าบัณฑิตจบใหม่ได้ฟัง

หากเราลองแบ่งประเภทของคนในภาพกว้างเราจะพบว่าบนโลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือคนที่รอให้โอกาสเข้ามาหาและยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างอดทน ส่วนคนประเภทที่ 2 คือคนที่วิ่งออกไปไขว่คว้าหาโอกาสด้วยตนเอง และไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่รีรอที่จะสร้างโอกาสด้วยตัวเอง

เชื่อว่าบุคคลในหนังสือเล่มนี้เป็นคนประเภทที่ 2 ค่ะ พวกเขามองเห็นศักยภาพในตัวเอง และตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองอย่างมุ่งมั่น โดยไม่สนใจต้นทุนทางสังคมของตนเอง ไม่กล่าวโทษผู้อื่น แต่ดำเนินชีวิตโดยมีความศรัทธาในตัวเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ รู้จักรับฟังและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา หากได้อ่านแล้วเชื่อว่าหลายคนจะได้แง่คิดในการดำเนินชีวิตและเข้าใจว่าความสำเร็จต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทนไม่ได้สำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน

บุคคลสำคัญในหนังสือเล่มนี้มี 10 คนด้วยกันค่ะ มีทั้งนักเขียน นักธุรกิจ ประธานาธิบดี ผู้สื่อข่าว นักวาดการ์ตูน นักแสดง นักเขียนบทภาพยนตร์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะ

หลังอ่านจบคิดว่าบุคคลในเล่มที่เขียนไว้ได้น่าสนใจและสนุกที่สุดคือ เจ.เค. โรวลิ่งค่ะ ผู้แต่งหนังสือ Harry Potter กล่าวสุนทรพจน์ได้น่าฟังและสนุกมากจริงๆ หัวข้อของสุนทรพจน์คือ ประโยชน์ทางอ้อมของความล้มเหลวและความสำคัญของจินตนาการค่ะ อ่านแล้วไม่อยากให้เธอจบสุนทรพจน์เลยทีเดียวค่ะ

ส่วนตัวชอบหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติบุคคลค่ะ ชอบอ่านเพราะอยากเรียนรู้แนวคิดในการใช้ชีวิตของบุคคลจากหลากหลายอาชีพที่ดำเนินชีวิตมาจนประสบความสำเร็จค่ะ หากใครได้อ่านแล้วก็เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ของพวกเขา และได้รับแนวคิดดีๆมาปรับใช้กับชีวิตของตนเองได้จริงๆค่ะ
สอนลูกกินผัก
5
การฝึกให้เด็กๆ กินผักได้หลายๆ ชนิดเป็นการเตรียมสุขภาพของพวกเขาให้แข็งแรงตั้งแต่ยังเล็กค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ชอบหนังสือเล่มนี้จังค่ะ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองอ่านดู ยิ่งใครมีลูกเล็กยิ่งต้องอ่านใหญ่แล้วจะรู้ว่าพฤติกรรมการกินของเด็กๆรวมถึงพฤติกรรมชอบหรือเกลียดผักนั้นเริ่มต้นมาจากคุณพ่อและคุณแม่นี่เองค่ะเพราะเด็กๆจะมีคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นต้นแบบถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่กินผักเป็นแบบอย่างเด็กๆก็จะไม่กินเหมือนกัน

นอกจากนี้ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนชอบกินรสหวานรสเค็มจัดลูกๆ ก็มีแนวโน้มชอบเหมือนกันค่ะ อย่างในคุณแม่บางรายที่เวลาต้มโจ๊กให้ลูกกินทีไรก็จะเหยาะซีอิ้วน้ำปลาเติมลงไปให้เหมือนกับรสชาติที่ตัวเองชอบกิน พอเด็กๆ กิน ลิ้นเล็กๆ ของพวกเขาก็จะปรับให้คุ้นกับรสเค็มเหล่านั้นทำให้พอโตขึ้นก็จะติดรสเค็มและมีแนวโน้มจะกินเค็มเพิ่มขึ้นอีกเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ สรุปแล้วถ้าเด็กไม่ชอบกินผัก หรือมีสุขภาพไม่แข็งแรงเพราะการกินผิดๆ ก็ต้องโทษคุณพ่อคุณแม่สถานเดียวเลยค่ะ

การฝึกให้เด็กๆ กินผักได้หลายๆ ชนิดเป็นจุดเริ่มต้นในการปลูกฝังให้เด็กๆ เห็นคุณค่าของอาหารจากธรรมชาติ และเป็นการเตรียมสุขภาพของพวกเขาให้แข็งแรงตั้งแต่ยังเล็กค่ะ

เนื้อหาในตอนหนึ่งของหนังสือยกตัวอย่างงานวิจัยในต่างประเทศที่น่าสนใจมากค่ะ พูดถึงการทดลองในหนูทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารจำพวกข้าวขัดขาว อาหารโปรตีนสูง และอาหารดัดแปลงที่ขาดวิตามิน (เป็นตัวแทนคนที่กินแต่อาหารพวกข้าวแป้งขัดขาว เนื้อสัตว์ และไม่กินผัก) อีกกลุ่มให้กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง (เป็นตัวแทนคนที่กินอาหารครบหมู่หลากหลาย และได้รับวิตามินจากผักผลไม้ด้วย)

ผลปรากฏว่าการเจริญเติบโตของหนูทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างต่างกันเท่าไหร่นัก แต่พบว่าหนูกลุ่มแรกเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ร่างกายก็กลับเสื่อมอย่างรวดเร็ว ทั้งฟันผุง่าย ท้องผูกบ่อย มีแบคทีเรียในลำไส้มาก ไขมันอุดตันในเส้นเลือด (จะว่าไปก็มีอาการเหมือนคนที่ไม่ชอบกินผักเลยค่ะ) นักวิจัยเห็นท่าจะไม่ดีก็เลยรีบจัดวิตามินชุดใหญ่เสริมเข้าไป (อันนี้ก็คล้ายกับคนที่เพิ่งจะมาเริ่มดูแลสุขภาพกันตอนอายุมากขึ้นเริ่มหาสารพัดวิตามินมากินเสริม) แต่ก็พบว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก
นักวิจัยเปลี่ยนวิธีใหม่ ทีนี้หันมาให้กินผักผลไม้มากขึ้นผลปรากฏว่าหนูทดลองมีสุขภาพดีขึ้นแต่ก็ยังแข็งแรงเทียบไม่ได้กับกลุ่มที่ 2 ที่ให้กินผักผลไม้ตั้งแต่ยังเล็ก

นักวิจัยก็ได้สรุปสั้นๆง่ายๆว่า ผักและผลไม้ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้แบบไม่ต้องสงสัย ยิ่งกินเป็นประจำตั้งแต่อายุยังน้อยรับรองว่าจะแข็งแรงและดูอ่อนวัยกว่าใครๆ

คุณหมอ ลลิตา ธีระสิริ ผู้เขียนหนังสือ ได้รวบความรู้ด้านโภชนาการเกี่ยวกับงานวิจัยและคุณประโยชน์จากผักและผลไม้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่เพียงให้ความรู้และเทคนิควิธีที่จะช่วยให้เด็กๆ กินผักได้มากขึ้น ยังให้ความรู้ด้านโภชนาการที่เด็กๆ ควรได้รับในอาหารหมวดอื่นๆด้วย เช่น ข้าว-แป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน แนะนำปริมาณที่ควรกินอย่างเหมาะสม รวมถึงการปลูกฝังค่านิยมในการกินผัก และที่น่าสนใจคือกิจกรรมทัวร์เด็ก ที่เน้นปลูกฝังนิสัยการกินผักและกินอาหารที่มีประโยชน์ให้กับเด็กๆ บอกตารางกิจกรรมอย่างละเอียดทีเดียวค่ะ อ่านแล้วสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้กับเจ้าตัวน้อยได้ทันที

เนื้อหาในหนังสือเรียบเรียงได้ดีค่ะ อ่านเข้าใจง่าย ไหลลื่น มาพร้อมกับข้อมูลและตัวอย่างงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่มาบอกเล่าให้ฟังกันอย่างสนุกค่ะ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองอ่านกันค่ะ เตรียมสุขภาพให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กด้วยการปลูกฝังให้รู้จักกินผักนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากนะคะ ฝากไว้อีกหนึ่งเล่มค่ะ ^^
กินแบบพุทธะ สุขจริง ไม่แก่ ไม่ป่วย
5
หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการรักษาสุขภาพในอีกมิติหนึ่งค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 22 กันยายน พ.ศ. 2556

อ่านหนังสือเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพมาหลายเล่ม แต่เพิ่งเคยเห็นหนังสือสุขภาพที่สอนให้กินตามคำสอนในทางพุทธศาสนาค่ะ ทีแรกคิดว่าต้องเป็นหนังสือที่เน้นหนักให้กินอาหารมังสวิรัติ ละเว้นจากเนื้อสัตว์ เพื่อรักษาสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่พอเปิดอ่านดูก็รู้ว่าเข้าใจผิดถนัดเลยค่ะ

หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการรักษาสุขภาพในอีกมิติหนึ่งค่ะ คือการใช้ใจพิจารณาอาหารก่อนกิน ฟังดูเผินๆ อาจเหมือนทำได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วมีขั้นตอน และเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการควบคุมใจตนเองให้กินอย่างมีสติ และข้อคิดต่างๆ แฝงอยู่ในหนังสือเล่มนี้มากมายทีเดียวค่ะ

กินแบบพุทธะเป็นการกินที่เน้นกินให้ก่อประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งจะนำไปสู่ความสุขใจตามมา โดยเตือนสติให้กินโดยใช้เหตุผลร่วมด้วยไม่ใช้แต่อารมณ์เพียงอย่างเดียว ไม่กินแบบขาดสติอย่างคนสมัยใหม่ที่ผู้เขียนใช้คำว่า “กินแบบลืมตาย” คือติดในคุณค่าเทียมของอาหาร เช่น ติดในรสชาติ สีสัน รูปลักษณ์ ลืมคุณค่าแท้ของอาหาร คิดแต่ว่ากินแล้วอร่อยปากแต่ลืมว่าจะลำบากกายในภายหลัง ลืมคุณค่าแท้ ลืมนึกไปว่าภายหลังอาหารแปรสภาพเข้าสู่ร่างกายจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างเสริมพละกำลัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หรือจะกลายเป็นของเสีย สารพิษที่ไม่เกิดประโยชน์ รอแต่จะสะสมคั่งค้างอยู่ในตัว รอวันออกอาละวาด ดึงดูดสารพัดโรคภัยเข้ารุมเร้า

เนื้อหาในเล่มมีหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางสอนวิธีกินตามหลักธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ได้จริง และไม่ล้าสมัย ตัวอย่างหัวข้อในเล่ม เช่น กินแบบวาไรตี้ ลดอ้วนด้วยการกินแบบพุทธะ ดื่มน้ำอย่างเข้าถึงประโยชน์สูงสุด กินมังสวิรัติ กินแบบหยินหยาง การกินที่โลกนิยม นาฬิกาชีวิต วิถีแห่งแมคโครไบติก วิถีแห่งพุทธสมัยใหม่ กินแบบโยคี-กินแบบพุทธะ

ชอบบท “ลดอ้วนด้วยการกินแบบพุทธะ” ค่ะ อ่านแล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าในสมัยพุทธกาลก็มีปัญหาเรื่องอ้วนด้วย แถมพระพุทธเจ้ายังแนะวิธีปฏิบัติและมอบคาถาลดความอ้วนให้อีกด้วย แน่นอนว่าสุดท้ายลดความอ้วนได้ผล และสามารถลดได้อย่างยั่งยืนด้วยค่ะ บอกใบ้ให้ว่าใช้การฝึกสติก่อนกิน โดยมีคาถาเป็นเครื่องช่วยเรียกสติอีกทาง ผู้เขียนยกตัวอย่างเหตุการณ์และเล่าได้อย่างเข้าใจ เห็นภาพมากค่ะ รับรองว่าทำตามแล้วน่าจะช่วยให้หลายคนที่ลดความอ้วนมาแล้วหลายวิธีไม่ได้ผลสักที อาจได้ผลเพราะวิธีนี้ก็เป็นได้

“กินแบบพุทธะ” ชื่อเรื่องอาจดูอ่านยาก ไกลตัว แต่จริงๆ แล้วอ่านง่ายและเป็นเรื่องใกล้ตัวมากค่ะ อยากให้ลองอ่าน ลองฝึกควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้หลง หรือติดกับคุณค่าเทียมของอาหารมากเกินไปจนทำร้ายสุขภาพในภายหลังค่ะ
น้ำมันมะพร้าวรักษาโรค
4
อ่านดูก็ไม่ผิดหวังค่ะ ชอบที่ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยจากต่างประเทศ และเล่ารายละเอียดการทดลองเรื่องน้ำมันมะพร้าวกับสุขภาพได้น่าสนใจ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 21 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องของน้ำมันมะพร้าวเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานน่าดูค่ะ บ้างก็ว่าช่วยลดน้ำหนัก ฆ่าเชื้อโรค บำรุงผิว บำรุงผม และรักษาสารพันโรคร้าย บ้างก็ว่ามีกรดไขมันอิ่มตัวสูงกินแล้วอันตรายอาจเพิ่มไขมันในเลือดและทำให้เกิดโรคต่างๆได้

จากการที่ได้มีโอกาสไปฟังประชุมวิชาการด้านโภชนาการ มักพบข้อสรุปแบบไม่ฟันธงนักถึงสรรพคุณที่กล่าวมาข้างต้น แต่เน้นย้ำว่าถ้าต้องการกินเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพก็ควรควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะสม และลดปริมาณน้ำมัน หรือกรดไขมันอิ่มตัวที่ได้รับจากอาหารอื่นๆ แทน เช่น ถ้ากินน้ำมันมะพร้าววันละ 1 ช้อนโต๊ะ ก็อาจปรับลดอาหารประเภททอด หรือ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงเช่น นมไขมันเต็ม คุกกี้ เบเกอรี่ ที่ทำจากนมเนย

พอมาเห็นหนังสือเล่มนี้ก็เกิดรู้สึกสนใจเพราะผู้เขียนเป็นคุณหมอแถมเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวทั้งเล่มด้วย

พอเปิดอ่านดูก็ไม่ผิดหวังค่ะ ชอบที่ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลจากวารสารงานวิจัยจากต่างประเทศ พร้อมเล่ารายละเอียดการทดลองเรื่องน้ำมันมะพร้าวกับสุขภาพได้น่าสนใจ ผู้เขียนเน้นให้ข้อมูลใน 2 ด้าน ทั้งด้านที่มีงานวิจัยสนับสนุนถึงผลดีของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพและด้านที่เป็นผลเสีย (แต่ส่วนใหญ่ข้อมูลจะเน้นไปทางผลดีต่อสุขภาพมากกว่าค่ะ)

เนื้อหาภายในเล่มไม่เพียงบอกถึงผลของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพที่ทำการวิจัยและทดลองกับคนจริงๆ ยังอธิบายกลไกแสนพิเศษที่น้ำมันมะพร้าวช่วยลดน้ำหนักและรักษาสารพัดโรคด้วย โดยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพตลอดจนวิธีกินก็มีทั้งการช่วยลดน้ำหนัก ป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคตับ ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง การบำรุงผิวและผม เรื่องของกะทิกับสุขภาพ และประสบการณ์ของผู้ใช้น้ำมันมะพร้าวในการดูแลสุขภาพ

ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนจะตั้งใจนำเสนอความรู้หลายๆ ด้านและให้ผู้อ่านได้ลองตัดสินใจค่ะว่าจะเลือกกินเพื่อรักษาโรคต่างๆหรือไม่อย่างไร แต่ท้ายสุดก็เน้นให้กินอย่างเหมาะสมควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำด้วยค่ะ

หนังสือเล่มนี้เหมาะมากสำหรับคนที่สนใจศึกษาในด้านโภชนาการ หรือผู้ที่กำลังตัดสินใจและศึกษาข้อมูลก่อนใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นตัวช่วยในการรักษาสุขภาพค่ะ ผู้เขียนเรียบเรียงเนื้อหาได้เป็นอย่างดีแม้จะหนักแน่นไปด้วยข้อมูลทางวิชาการแต่รับรองว่าอ่านง่าย อ่านได้สบายๆ ไม่น่าเบื่อค่ะ
ทริป 8 วัน ตะลุยคิวชู
4
เล่มนี้ผู้เขียนจะพาเที่ยวเกาะคิวชูรวมถึงบริเวณตอนใต้ของเกาะฮอนชูค่ะ น่าจะถูกใจคนชอบเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์นะคะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 16 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้น่าสนใจทีเดียวค่ะ น่าจะถูกใจคนชอบแบกเป้เที่ยว ตะลุยเดี่ยว ตะลุยคู่ หรือตะลุยเป็นแก็งค์แบบไม่ง้อทัวร์
ผู้เขียนและเพื่อนออกตัวตั้งแต่บทนำว่าไม่สันทัดภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไหร่แต่ก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างไร้ปัญหาเพราะประเทศญี่ปุ่นมีเครือข่ายรถไฟ รถบัส และรถราง ที่เชื่อมต่อกัน และสามารถนำพาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

เล่มนี้ผู้เขียนจะพาเที่ยวเกาะคิวชูรวมถึงบริเวณตอนใต้ของเกาะฮอนชูด้วยค่ะ เกาะคิวชูเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีสถานที่น่าท่องเที่ยวหลายแห่ง ผู้คนเป็นมิตร มีอัธยาศัยดี มีระเบียบวินัย บ้านเมืองสะอาด สงบปลอดภัย และที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายไม่สูงอย่างที่คิดค่ะ

เนื้อหาเขียนในลักษณะโปรแกรมทัวร์ สอดแทรกบันทึกการเดินทางของผู้เขียน ดังนั้นใน 8 วันของการเดินทางแต่ละวันผู้เขียนให้รายละเอียดไว้ค่อนข้างครบถ้วน แบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก คือ
1. กำหนดการและจุดหมายปลายทางที่จะไปในแต่ละวัน (มีรายละเอียดค่าเข้าชม เวลาทำการ รวมถึงเว็บไซต์สำหรับหาข้อมูลเพิ่มเติม)
2. การเดินทาง (ระบุเวลาในการเดินทางด้วย)
3. ข้อมูลอื่นๆ (เช่น ค่ารถไฟฟ้าใต้ดินแบบเหมาจ่าย) นอกจากนี้ยังมีแผนที่ รายละเอียด ข้อมูลของสถานที่ต่างๆที่ไปเยือน รูปภาพสวยๆ และร้านอาหารอร่อย

ตัวอย่างโปรแกรมทัวร์ 8 วัน นะคะ
ชมทิวทัศน์เมืองฟูกุโอกะ กราบขอพร ไดบุตสึ วัดโทโชจิ คาแนลซิตี้ ชิมราเมงท้องถิ่น สักการะเทพเจ้าแห่งความรู้ ย้อนรอยยุคเอโดะ ชินจิไชน่าทาวน์ ย้อนรอยปรมาณู โบสถ์อุราคมิ สวนสันติภาพ อาณาจักรฮอลแลนด์บนแดนซากุระ สะพานไม้ห้าโค้ง คินไตเคียว อนุสาวรีย์ หนูน้อยซาดาโกะและนกกระเรียนพันตัว ฯลฯ

สุดท้ายนี้ผู้เขียนฝากไว้ค่ะว่า ทริปนี้เป็น “ตะลอนเที่ยวแดนใต้แบบซำเหมาไฮโซ” (กินอยู่ไม่ลำบากแต่เดินขาลากทั้งวัน) ดังนั้นแสดงว่าทริปนี้ของผู้เขียนน่าจะเหมาะกับขาลุยที่ไม่กลัวเมื่อย ไม่บ่น ไม่เกี่ยงเรื่องการเดินนะค้า
เรื่องเล่าจากร่างกาย
5
อ่านแล้วรู้สึกถึงความตั้งใจของผู้เขียนในการค้นคว้าหาข้อมูลมาอธิบายเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ อ่านสนุก น่าติดตามค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 14 กันยายน พ.ศ. 2556

“เรื่องเล่าจากร่างกาย” มีความน่าสนใจตรงที่เป็นหนังสือดีเด่น 7 book award และได้รับการยอมรับให้เป็น 1 ใน 100 หนังสือดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนค่ะ

ผู้เขียนเป็นคุณหมอที่มีความรู้เกี่ยวกับชีววิทยาเป็นอย่างดี อ่านแล้วรู้สึกถึงความตั้งใจของผู้เขียนในการค้นคว้าหาข้อมูลมาอธิบายเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ คุณหมอผู้เขียนคงมีความตั้งใจที่จะทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัว จึงเขียนผลงานเล่มแรกโดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือวิวัฒนาการของร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรมของเรานั่นเองค่ะ

อ่านแล้วอาจไม่เพียงได้รับความรู้ แต่ยังทำให้เข้าใจผู้คนรอบตัวมากขึ้น อย่างน้อยก็เข้าใจว่าพฤติกรรมของเขาถูกควบคุมมาจากสมองและถูกครอบงำอีกทอดหนึ่งจากพันธุกรรมภายในร่างกายของเขา

แต่มาคิดอีกทีความจริงเรื่องนี้ก็มีเรื่องที่น่าคิดต่อค่ะ เคยอ่านข้อเขียนทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าเซลล์ในร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้ และ วันพรุ่งนี้ย่อมแตกต่าง ดังเห็นได้จากผู้ป่วยเป็นโรคร้ายที่หันมาเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนพฤติกรรมการกินและรักษาสุขภาพของตนเองจนในที่สุดโรคร้ายก็หาย แถมกลับมามีร่างกายแข็งแรงกว่าคนรอบข้างที่มีสุขภาพดีเสียอีก นั่นแสดงให้เห็นว่าเซลล์ที่อ่อนแอใกล้ตายในร่างกายของเขา เปลี่ยนกลับเป็นเซลล์ที่แข็งแรงได้ด้วยการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง ด้วยการเอาชนะความอยาก หรือพฤติกรรมเดิมๆที่ถูกสั่งมาจากสมองของเขานั่นเอง

ในทางพุทธศาสนาก็กล่าวไว้ให้เข้าใจได้ว่า ตัวเราวันนี้ กับ ตัวเราวันพรุ่งนี้เป็นเหมือนคนละคนกัน เพราะทุกสิ่งมีเกิด ตั้งอยู่ และดับไปตลอดเวลา โดยความเข้าใจแล้วจึงคิดว่า แม้พฤติกรรมของเราจะถูกควบคุมโดยสมอง แต่หากสมองของเราไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกตัดจนบางส่วนขาดหายไป เราก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้ไปในแนวทางที่ถูกที่ควรได้ รวมถึงสามารถกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิต และออกแบบร่างกายของตนเองได้ด้วยว่าอยากเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร อ้วน ผอม แข็งแรง หรืออ่อนแอ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรา ความคิด และการกระทำของเราค่ะ

สำหรับเนื้อหาในหนังสือ เริ่มต้นจะเป็นการปูพื้นฐานในเรื่องของวิวัฒนาการในภาพกว้าง เล่าถึงการผจญภัยของชาลส์ ดาร์วิน หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษคนนี้ ที่ได้เสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และเสนอหลักการของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ผู้เขียนเล่าการเดินทางชาลส์ ดาร์วิน ได้อย่างสนุกทีเดียวค่ะ ทั้งการออกเดินทางไปยังท้องทะเล การค้นพบ การเฝ้าสำรวจ การเก็บตัวอย่างสัตว์ต่างๆ ที่หมู่เกาะกาลาปากอส ไปจนถึงการถูกต่อต้านภายหลังนำเสนอการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

ตามด้วยเรื่องราวของวิวัฒนาการรูปร่าง การคัดเลือกตามธรรมชาติ ไปจนถึงรูปแบบหน้าตาของคน ด้วยคำถามที่สะกิดให้ผู้อ่านได้คิด เช่น ทำไมธรรมชาติจึงสร้างให้ผู้หญิงมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ทำไมเราจึงมองเห็นว่าคนๆ นี้หล่อ คนๆ นี้สวย นอกจากนี้ผู้เขียนยังนำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและพฤติกรรม เช่น ทำไมความเครียดที่เกิดขึ้นภายในจิตใจจึงส่งผลถึงร่างกายได้ ทำไมเมื่ออกหักจึงทำให้เจ็บปวดรุนแรงทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำถามที่น่าสนใจ เช่น ทำไมผู้ชายต้องจีบ ทำไมผู้หญิงเป็นฝ่ายอุ้มท้อง ทำไมผู้ชายและหญิงต้องอยู่กันเป็นคู่ ทำไมผู้หญิงชอบผู้ชายใจดี ทำไมคนถึงมีชู้ ฯลฯ

มีความรู้ ข้อมูล รวมถึงการค้นคว้ามากมายอัดแน่นอยู่ในหนังสือเล่มนี้ค่ะ หากบอกเล่าเสียหมด อ่านเองคงไม่สนุกแน่ๆ คำถามบางอย่างที่เราเคยตั้งคำถามคุณครูตอนเด็กๆ หรือคำถามที่เราเคยถามตัวเองแต่หาคำตอบไม่เจอ ไม่แน่ว่าอาจพบในหนังสือเล่มนี้ก็ได้นะคะ
มะมา...มานั่งสมาธิ (ทานศีลภาวนา)
5
ผู้เขียนได้บอกเล่าวิธีนั่งสมาธิอย่างเป็นลำดับขั้น รูปภาพน่ารัก เด็กๆ อ่านเข้าใจง่ายค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 13 กันยายน พ.ศ. 2556

นิทานเรื่องมะมา...มานั่งสมาธิ ของสำนักพิมพ์ก้อนเมฆ เขียนขึ้นหลังจาก นิทานเรื่อง “นิมนต์”ค่ะ เพราะนิทานเรื่องนิมนต์เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาคุณพ่อคุณแม่ จึงเรียกร้องอยากให้คุณพ่อก้อนเมฆเขียนหนังสือนิทานแนวธรรมะอีก คุณพ่อก้อนเมฆจึงนำเรื่องการนั่งสมาธิมาเขียนเป็นนิทานให้เด็กๆ ได้อ่านกันค่ะ

เนื้อเรื่องน่ารักๆ ของนิทานเล่มนี้ เกี่ยวกับเด็กน้อยชายหญิงสองคนที่ชักชวนเพื่อนๆ มานั่งสมาธิด้วยกัน โดยเพื่อนๆ ที่จะมานั่งสมาธิด้วยก็มีคุณยีราฟคอยาวตัวสูงโย่ง คุณอึ่งอ่างพองลมตัวเตี้ย และคุณแพนด้าตัวสีดำ-ขาว

ผู้เขียนได้บอกเล่าวิธีนั่งสมาธิอย่างเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่การเริ่มนั่ง หลับตา ฝึกการหายใจ รวมไปถึงการกำหนดจิต
และเวทนา (ความเจ็บปวด) โดยสมมติสถานการณ์ตลกๆ ให้เด็กๆ จดจำได้ง่าย เช่น คุณอึ่งอ่างพองลมเกิดผายลมปุ๋งๆๆ ตอนนั่งสมาธิ คุณยีราฟตัวสูงกำหนดจิตได้ยินหนอ ส่วนเด็กหญิงกำหนดจิตได้กลิ่นหนอ (555 น่ารักค่ะ)

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานธรรมะอยู่ในชุดเดียวกับ นิทานเรื่องนิมนต์ และ นิทานเรื่อง ศีล ๕ คืออะไร...ใครรู้บ้างค่ะ อยากแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ซื้อไว้อ่านให้ลูกน้อยฟังครบทั้ง 3 เล่มเลยค่ะ เป็นนิทานสอนธรรมที่น่ารักและดีจริงๆค่ะ เป็นการปูพื้นฐานเรื่องธรรมะให้เด็กๆ คุ้นเคย ทำให้รู้สึกเป็นเรื่องใกล้ตัว ส่วนตัวเชื่อว่านิทานคำสอนต่างๆสามารถช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเด็กๆได้ค่ะ เล่าให้เขาฟังวันละเล็กวันละน้อย สอนให้เขารู้จักกับความดี รู้จักทำความดี แล้วสุดท้ายความดีจะกลายเป็นเครื่องคุ้มภัยให้กับพวกเขา เมื่อความดีโอบกอดพวกเขาไว้ ไม่ว่าเด็กๆ จะโตขึ้นสักแค่ไหนคุณพ่อคุณแม่จะได้วางใจและเป็นห่วงพวกเขาได้น้อยลงอย่างไรล่ะคะ ^^
ศีล ๕ คืออะไร... ใครรู้ฯ (ทานศีลภาวนา)
5
เป็นหนังสือนิทานน่ารักๆ ที่สอนธรรมง่ายๆ ให้กับเด็กๆ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 12 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือนิทานอีกเล่มจากสำนักพิมพ์ก้อนเมฆค่ะ เป็นนิทานธรรมะอยู่ในชุดเดียวกับ นิทานเรื่องนิมนต์ และ และ มามะ…มานั่งสมาธิค่ะ

เนื้อเรื่อง เริ่มต้นจากเด็กชายถามเพื่อนว่าศีล 5 คืออะไร แต่เพื่อนไม่ทราบคำตอบ เลยอาสาไปถามบรรดาสัตว์จำศีลที่รู้คำตอบ เช่น หมี หมู กบ ค้างคาว สัตว์แต่ละชนิดตอบเรื่องศีล 5 ทีละ 1 ข้อ บอกเด็กๆ ว่าตอบให้ข้อเดียวนะ เพราะจะรีบเข้านอน ส่วนศีลข้อสุดท้ายได้คำตอบจากพระสงฆ์ค่ะ

วาดภาพประกอบได้น่ารักทีเดียวค่ะ ศีลแต่ละข้อมีเครื่องหมายกากบาทไว้ด้วย ให้รู้ว่าห้ามผิดศีล แถมด้วยคำสวดภาษาบาลีกำกับไว้ที่ศีลแต่ละข้อด้วยค่ะ

เป็นหนังสือนิทานน่ารักๆ ที่สอนธรรมง่ายๆ ให้กับเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่เล่าให้เด็กๆฟังแล้วก็สามารถสอดแทรกคำอธิบายขยายความถึงศีลแต่ละข้อให้เด็กๆ ฟัง อาจยกตัวอย่างสิ่งที่ดีที่จะเกิดขึ้นหากรักษาศีล หรือยกตัวอย่างสิ่งที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นหากทำผิดศีลก็ได้ค่ะ ใช้นิทานเป็นสื่อให้เด็กๆเข้าถึงธรรมะตั้งแต่ยังเล็กนับว่าดีมากเลยค่ะ จะได้เป็นเกราะคุ้มกันให้พวกเค้าเติบโตเป็นคนดีและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขค่ะ
นิมนต์ ชวนเด็กๆ ทำบุญฯ (ทานศีลภาวนา)
5
ผู้เขียนแต่งขึ้นขณะที่บวชพระเพราะอยากสอนวิธีการตักบาตรให้กับเด็กๆ โดยสอนเป็นลำดับขั้นให้เข้าใจง่าย นิทานน่ารักค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 12 กันยายน พ.ศ. 2556

ธนะชัย สุนทรเวช หรือที่รู้จักกันในชื่อคุรพ่อก้อนเมฆ เป็นคุณพ่อลูกหนึ่ง เจ้าของหนังสือนิทานและเจ้าของสำนักพิมพ์ก้อนเมฆค่ะ
เคยอ่านประวัติของคุณพ่อก้อนเมฆแล้วรู้สึกประทับใจที่จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสำนักพิมพ์ และผลิตหนังสือนิทานสำหรับเด็กมาจากความตั้งใจที่อยากจะแต่งนิทานให้กับลูก โดยหยิบยกเรื่องราวรอบตัวที่อยากจะสอน อยากบอกเล่ามาแต่งเป็นนิทานให้ลูกน้อยฟัง ปัจจุบันคุณพ่อก้อนเมฆร่วมกับภรรยาคือคุณแม่เอ๋ย ทำหนังสือนิทานและกลายเป็นนักเล่านิทานด้วยค่ะ

เกริ่นถึงผู้แต่งเสียนาน มาฟังเนื้อหาในหนังสือนิทานเรื่องนิมนต์กันดีกว่าค่ะ เรื่องนี้คุณพ่อก้อนเมฆแต่งขึ้นขณะที่บวชพระเพราะอยากสอนวิธีการตักบาตรให้กับเด็กๆ ให้เข้าใจง่าย โดยสอนเป็นลำดับขั้น เริ่มจากเชิญพระท่านมารับบาตร ถอดรองเท้า การตักข้าว การใส่อาหารคาวหวาน และเครื่องดื่ม การวางดอกไม้ รับพร การกรวดน้ำ จนถึงการตั้งจิตอุทิศส่วนกุศล

คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ฝึกลูกตักบาตรตั้งแต่ยังเล็ก แต่พบว่าเด็กๆซุกซนไม่อยู่นิ่ง วางของลงโครมในบาตรพระ หรือ เล่นเอาทัพพีเคาะบาตรพระ รวมถึงกิริยาไม่สำรวมต่างๆ ก็อย่าเพิ่งไปดุเขาค่ะ พูดกับเขาดีๆ แล้วลองนำหนังสือเล่มนี้มาอ่านให้เค้าฟัง อธิบายถึงความสำคัญของการตักบาตร อธิบายถึงขั้นตอนและเหตุผลต่างๆ ที่ควรทำตามหนังสือนิทานให้เด็กๆฟัง เชื่อว่าเด็กๆจะเข้าใจและทำตามได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

นอกจากหนังสือนิทานเล่มนี้ยังมีหนังสือนิทานที่แนะนำอีก 2 เล่มค่ะ คือ ศีล 5 และ มามะ…มานั่งสมาธิ เป็นของสำนักพิมพ์เดียวกันค่ะ เป็นหนังสือนิทานที่ช่วยสอนธรรมะเบื้องต้นให้กับเด็กๆ รับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ
Genius อัจฉริยะ ฉลาดขึ้นทันที ด้วยวิธีง่ายๆ
5
เป็นหนังสืออีกเล่มที่อาจช่วยให้ใครหลายคนมองโลกได้กว้างขึ้น และไม่แน่ว่าอาจทำเงินได้มหาศาลจากความคิดสร้างสรรค์ที่ลงมือทำด้วยตนเอง
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 06 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มหนา เล่มนี้ใช้เวลานานกว่าจะอ่านจบทีเดียวค่ะ อาจเพราะอ่านไปคิดไป และแอบจดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจลงในสมุดบันทึกส่วนตัวด้วย

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พยายามโน้มน้าวเราผู้อ่านให้รู้จักกล้าฝัน กล้าคิดการใหญ่ กล้าคิดนอกกรอบ แถมยังคะยั้นคะยอให้เรารู้จักคิดบ้าๆบอๆ (ผู้เขียนใช้คำนี้เน้นหลายรอบทีเดียวค่ะ) คิดให้ต่าง และคิดให้ประหลาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลายคนอาจรู้สึกว่าฟังดูออกจะแปลกๆ ไม่น่าไว้วางใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องสอนให้คิดแบบบ้าๆบอๆ นี่แหละ
แต่พออ่านคำอธิบายและเห็นตัวอย่างผลงานสรรค์จากความคิดแปลกแหวกแนว ที่ผู้เขียนนำเสนอ ก็กลับเห็นจริงและคล้อยตามในหลายประเด็นค่ะ ผู้เขียนพยายามแนะให้เรารู้จักคิดแตกต่างเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นซึ่งบางครั้งอาจกลายเป็นนิยายติดอันดับขายดีระดับโลก เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำเงินมหาศาล หรือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายและแก้ปัญหากวนใจให้กับผู้คนทั่วโลก

ผู้เขียนพยายามเน้นย้ำ บอกวิธีการ และยกตัวอย่างถึงวิธีพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และทำให้เรารู้ว่าทุกคนสามารถคิดได้ และเป็นอัจฉริยะได้ ยกตัวอย่างเช่น เพียงลองบังคับความคิดให้ลองจับคู่บางสิ่งเพื่อสร้างสิ่งใหม่ บังคับความคิดให้ลองหาทางออกด้วยวิธีการใหม่ๆ ลองนำความคิดและคำถามของเด็กๆมาสร้างสิ่งใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนเรื่องน่าอับอายให้กลายเป็นสิ่งที่ทำเงินมหาศาล

พูดนำมาถึงขั้นนี้หากไม่ยกตัวอย่างบางบทบางตอนเสียเลย สงสัยจะโดนคนที่กำลังอ่านรีวิวตำหนิแน่ๆ เช่นนั้นขอยกตัวอย่างเลยละกันค่ะ
1. ลองบังคับความคิดให้ลองจับคู่บางสิ่งเพื่อสร้างสิ่งใหม่: ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงก็คือการจินตนาการเพื่อสร้างตัว
ละครต่างๆ โดยการจับคู่สิ่งที่แตกต่างกันมารวมให้เป็นสิ่งเดียวกัน เช่น จับคนมารวมกับแมงมุมกลายเป็น spider man จับคนมารวมกับค้างคาวกลายเป็นแบทแมน จับหญิงสาวมารวมกับปลากลายเป็นนางเงือก หากพิจารณาให้ดีตัวละครเหล่านี้ถูกดัดแปลงเป็นทั้งการ์ตูน ละคร ภาพยนตร์ ของที่ระลึก ของใช้ ไปจนถึงสมุดวาดภาพระบายสีของเด็กน้อย และที่สำคัญคือสร้างเงินให้ผู้สร้างสรรค์เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
2. บังคับความคิดให้ลองหาทางออกด้วยวิธีการใหม่ๆ: เช่น แนวคิดของตำรวจออสเตรเลีย ที่พยายามหาทางสลายกลุ่มแก็งค์
วัยรุ่นเลือดร้อนที่ชอบจับกลุ่มกันในซอย สร้างความรำคาญ และความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับคนในซอย แทนที่ตำรวจจะใช้กำลังเข้าทำร้ายหรือข่มขู่ พวกเขากลับคิดต่างและใช้วิธีเปิดเพลงเชยๆ ของนักร้องรุ่นลายครามในทุกๆวัน สุดท้ายกลุ่มวัยรุ่นทนเสียงเพลงไม่ได้จึงต้องสลายตัวและพ่ายแพ้แก่ตำรวจไปในที่สุด
3. ลองนำความคิดและคำถามของเด็กๆ มาสร้างสิ่งใหม่ๆ: ลูกชายวัย 7 ขวบของ โรเจอร์ อาร์กรีฟส์ ทำให้พ่อกลายเป็นมหา
เศรษฐีด้วยคำถามที่ว่า “พ่อฮะ ตัวจั๊กกะจี้หน้าตาเป็นยังไง” ท้ายสุดคุณพ่อก็เริ่มวาดเจ้าตัวจั๊กจี้ และต่อมากลายเป็นการ์ตูนชุดเรื่อง Mr Man ที่ขายได้ 100 ล้านเล่มทั่วโลก
4. เปลี่ยนเรื่องน่าอับอายให้กลายเป็นสิ่งที่ทำเงินมหาศาล: แฟรงค์ แม็กนามารา เริ่มต้นกิจการไดเนอร์คลับ (บัตรเครดิตเจ้าแรก
ของโลก) หลังจากต้องอับอายที่ตนเองเข้าไปกินอาหารที่ภัตตาคารหรู แล้วตอนที่ต้องจ่ายค่าอาหาร เพิ่งรู้ตัวว่า ไม่มีเงินสดติดตัวมาเลย

เนื้อหาในเล่มนี้ยังมีอีกหลายวิธีรวมถึงอีกหลายตัวอย่างที่หลายคนใช้แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์สิ่งของแปลกใหม่ รวมถึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำเงินมหาศาล หลายตัวอย่างหลายเรื่องราวที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมานับว่าอ่านสนุก ไม่น่าเบื่อค่ะ บางบทบางตนอ่านแล้วอาจต้องหยุดคิดถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อความหมายก็จะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นค่ะ

ถือเป็นหนังสืออีกเล่มที่อาจช่วยให้ใครหลายคนมองโลกได้กว้างขึ้น และไม่แน่ว่าอาจทำเงินได้มหาศาลกับความคิดสร้างสรรค์ที่คุณเองกำลังจะสร้างให้เกิดขึ้นจริงด้วยค่ะ
สาวน้อย 100 Tips
4
รวบรวมวิธีการดูแลตัวเองง่ายๆ จากสิ่งรอบตัวค่ะ นับเป็นคู่มือดูแลตัวเองของสาวๆ ก็ว่าได้ค่ะ
โดย: ธิษณา วันที่เขียนรีวิว: 05 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้นับว่าเหมาะเป็นคู่มือประจำกายสำหรับสาวน้อย ที่อยากจะเริ่มต้นหันมาดูแลใบหน้าและผิวพรรณของตนเองค่ะ

วิธีการดูแลต่างๆ เป็นวิธีง่ายๆที่สามารถหาวัตถุดิบ รวมถึงอุปกรณ์รอบตัว มาใช้ในการดูแลทั้งใบหน้า ผิว และผม เริ่มต้นผู้เขียนสอนให้สาวน้อยรู้จักบำรุงผิวแบบราคาย่อยเยา แต่ได้ผลดีด้วยการพอกหน้า โดยมีสูตรพอกหน้านุ่มจากกล้วยและน้ำผึ้ง สูตรขจัดสิวเสี้ยนด้วยมะเขือเทศ ถัดจากการบำรุงผิวก็แนะนำวิธีแต่งหน้าและเลือกใช้เครื่องสำอางค่อนข้างละเอียดทีเดียวค่ะ ทั้งคอนซิลเลอร์ อายแชโดร์ อายไลน์เนอร์ มาสคารา บลัชออน ลิปสติก ยาทาเล็บ ขนตาปลอม การกันคิ้ว ( 555 เยอะจัง แต่อ่านแล้วให้ข้อมูลน่าสนใจ ทำตามได้ง่ายมากเลยค่ะ)

สอนแต่งหน้าแล้วก็มีวิธีล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า วิธีแก้ปัญหาเครื่องสำอางเลอะระหว่างวัน วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า ไปจนถึงการนวดหน้า บำรุงผิวหน้า การออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้า ฯลฯ (Tip เยอะจริงๆค่ะ)

ถัดจากใบหน้าก็มาถึงการขัดผิวกายเผยผิวสวย กินอาหารให้ผิวผ่อง สารพัดวิธีสวยแบบไทยๆ ทำผมให้สวยด้วยวิธีธรรมชาติ มีวิธีแต่งตัว เลือกเสื้อผ้า สอนโพสต์ท่าถ่ายรูปแบบนางแบบด้วย 555 อ้อๆๆ แนะนำวิธีการป้องกันตัว และการเข้าสังคมอีกด้วยค่ะ

เป็น Tip น่ารักๆ ง่ายๆ ที่น่าจะเพิ่มความสวยและความมั่นใจให้สาวน้อยหลายคนได้ดีทีเดียวค่ะ

อ่านแล้วก็ลองเลือกบางวิธีที่เหมาะกับตัวเองดูค่ะ เปลี่ยนแปลงตัวเองเพียงเล็ก ทำตัวเองให้สวยขึ้นสักนิดหน่อยก็สามารถช่วยให้ตัวเราและคนรอบข้างสดชื่น สดใส และจิตใจเบิกบานได้อย่างน่าประหลาดทีเดียวค่ะ แต่อย่างไรก็ตามสวยภายนอกแล้ว ก็ต้องไม่ลืมแต่งแต้มความสวยให้เกิดขึ้นภายในหัวใจด้วยนะค้า ><
www.batorastore.com © 2024