Customer Reviews

คุณจะกินแมวของตัวเองไหม Would you eat your cat
4
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 07 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง ถ้าลองดูชื่อเรื่องแล้วก็อาจจะงงๆว่าเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ซึ่งความหมายของชื่อหนังสือเล่มนี้ (คุณจะกินแมวของตัวเองไหม?) ก็ต้องการจะสื่อถึงปัญหาเชิงจริยธรรมที่ชวนขบคิดและท้าทายมุมมอง ว่าถ้าคุณสัตว์เลี้ยงของคุณตายแล้วคุณกินสัตว์เลี้ยงของตัวเองจะถือว่าผิดไหม?

โดยรูปแบบเนื้อหาภายในเล่มจะเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงหัวข้อปัญหาทั้ง 25 ข้อก่อนแล้วค่อยกล่าวถึงคำตอบด้านท้ายเล่ม ซึ่งหากท่านอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ก็อาจจะยังไม่สามารถรู้คำตอบที่แน่ชัดก็เป็นได้เพราะแต่ละคำถามล้วนแล้วแต่เป็นคำถามเชิงจริยธรรมที่ เมื่อให้แต่ละคนลองตอบดูก็อาจจะเลือกตอบไม่เหมือนกันเลยก็เป็นได้ หมายความว่าอาจจะไม่มีคำตอบไหนถูกหรือผิด ทำให้เป็นเรื่องที่น่าขบคิดเป็นอย่างยิ่ง (ชอบของยากๆ 555)

สำหรับปัญหาที่ผมคิดว่าน่าสนใจบางเรื่องจะนำมาบอกท่านในรีวิวนี้ ก็คือ
- เราควรมีเซ็กส์ตอนเมาหรือไม่?
- การฆ่าตัวตายผิดหรือไม่?
- เราควรเลือกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือคนขี้เหร่หรือไม่?
- รักร่วมเพศเป็นเรื่องผิด เพราะมันผิดธรรมชาติอย่างนั้นหรือ?
- สื่อลามกสมควรถูกห้ามหรือไม่?

โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่ค่อนข้างมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งโดยที่นำเอาเรื่องราวที่ดูเหมือนไม่น่าจะสามารถหาคำตอบที่แน่นอนมาลองพูดคุยกัน และจะบอกด้วยว่าความคิดเห็นของคุณต่อคำถามที่ว่าถ้าคุณคิดอย่างไรจะแสดงว่าคุณเป็นคนอย่างไร แต่่ข้อเสียอย่างเดียวสำหรับผมก็คือเนื่องจากว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแปลและแปลจากหนังสือที่อ่านเป็นภาษาอังกฤษก็น่าจะอ่านยากอยู่แล้ว เลยทำให้อ่านค่อนข้างยากนิดหนึ่งครับ แต่ก็ไม่เกินความสามารถถ้าตั้งใจอ่านครับ
ถอดรหัสพฤกษา มหาเศรษฐีทองมา PRUKSA:Fantastic Model
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 07 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือธุรกิจเล่มนี้ต้องบอกได้ว่าเป็นหนังสือธุรกิจที่ละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเล่มหนึ่งโดยทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แล้วโดยเฉพาะถ้าต้องการที่จะศึกษาเกี่ยวกับบริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ (ตอนนี้เป็นอันดับ 1 แล้ว) หนังสือเล่มนี้จะเล่าตั้งแต่บริษัทเริ่มก่อตั้งใหม่ๆไปจนถึงตอนที่สามารถล้มแชมป์แลนด์แอนด์เฮ้าส์ได้เลยทีเดียว

ด้วยเนื้อหาที่ละเอียดยิบ ความยาวกว่า 240 หน้า และการที่ไม่ค่อยมีรูปภาพมาคั่นกลาง ตัวหนังสือที่ค่อนข้างเล็ก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้สามารถเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพฤกษาและผู้ก่อตั้งคือคุณทองมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว เริ่มตั้งแต่ประวัติส่วนตัวของคุณทองมาว่ามีพื้นเพมาจากที่ไหน ครอบครัวเป็นอย่างไร ได้เคยศึกษาอยู่ทีไ่หน เรียนจบแล้วออกมาทำงานอะไรบ้าง และเริ่มต้นก่อตั้งพฤกษาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำอย่างไรถึงได้นำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ในระยะเวลาที่เรียกได้ว่าค่อนข้างสั้นเลยทีเดียว

พฤกษานั้นเป็นบริษัทบ้านจัดสรรที่ช่วงเริ่มต้นจะเน้นกลยุทธ์ในการขายบ้านราคาต่ำเป็นหลักโดยจับกลุ่มคนที่มีตังค์น้อยแต่ต้องการของดีพอควร ซึ่งกลยุทธ์นี้บวกกับการได้รับการสนับสนุกจาก BOI ก็ได้ทำให้พฤกษาสามารถสร้างบ้านได้ด้วยต้นทุนที่ตำ่กว่าบริษัทอื่นๆเป็นอย่างมาก และสามารถขายได้ด้วยราคาที่ตำกว่าเช่นกัน จึงสามารถแ่ย่งส่วนแบ่งการตลาดมาได้เยอะกว่าเจ้าอื่นๆมาก ทำให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงปีละ 25% ซึ่งถือว่าสูงมากในธุรกิจทั่วๆไป

หลังจากประมาณปี 2547 ก็ได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีพรีคาสหรือการหล่อคอนกรีตสำเร็จมาใช้เพื่อเพิ่มความเร็วในการก่อสร้างบ้าน โดยค่อยพัฒนาระยะเวลาได้เร็วมากขึ้นเป็นลำดับ จาก 3 เดือน จนมาเหลือเพียง 1 เดือนกว่า ก็ได้ทำให้สามารถสร้างและโอนบ้านได้เร็วมากกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆอย่างมาก ข้อดีของการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้นั้น นอกจากจะทำให้สร้างบ้านได้เร็วแล้ว ยังได้แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานอีกด้วย นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดบริษัทหนึ่งในประเทศไทยเลยทีเดียว (และหลังจากนั้นก็มีบริษัทอื่นๆพยายามจะทำตาม)

การที่พฤกษาสามารถสร้างบ้านได้เร็วและโอนได้เร็วนั้นก็ได้ทำให้บริษัทสามารถนำเงินกลับมาหมุนได้หลายรอบมากขึ้น ในขณะที่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ให้กับซัพพลายเออร์เลยด้วยซ้ำ นี่ก็เหมือนกับได้เงินมาใช้ฟรีๆก่อนต้องจ่ายตังค์ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พฤกษามีตัวเลขทางการเงินที่โดดเด่นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ เช่นมี ROE ที่สูงมาก ในขณะที่มีหนี้ธนาคารน้อยมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในธุรกิจนี้เนื่องจากในปัจจุบันนั้นมีคู่แข่ีงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แถมผู้บริโภคก็เรื่องมากกว่าเก่าอย่างมาก ต้นทุนค่าก่อสร้างก็เพิ่มขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน แต่พฤกษาก็สามารถรักษาการเติบโตได้มากกว่า 25% ทุกปี ต้องว่าน่าสนใจที่จะศึกษา model ธุรกิจของเขายิ่งนัก

นอกจากเรื่ืองเกี่ยวกับบริษัทพฤกษาแล้วการทำงานของคุณทองมานั้นก็น่านำมาศึกษาเช่นกันว่ามีแนวทางหรือหลักการในการทำธุรกิจอย่างไรถึงได้สามารถสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จเรียกได้ว่าจาก 0 จนมาถึงระดับหลายหมื่นล้านได้ภายในเวลาเพียงไม่นานนัก โดยถ้ามองจากการลงทุนแล้วต้องบอกว่าเขากล้าลงทุนมากเนื่องจากโรงงานพรีคาสต์นั้นได้ลงทุนไปรวมแล้ว 5 โรงงานเป็นเงินมากกว่า 2000 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นเงินมากโข เพราะถ้าลงทุนไปมากขนาดนี้แล้วต้องขายบ้านกี่หลังถึงจะคุ้มทุน แต่สุดท้ายก็สามารถสร้างตลาดขึ้นมาเพื่อรองรับกับกำลังการผลิตได้ และได้สร้างผลตอบแทนคืนกลับมาเีรียกได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก

ภายในหนังสือเล่มนี้จริงๆแล้วยังมีเนื้อหาอีกมากมายเลยทีเดียว (เหมือนที่ผมกล่าวใว้ข้างต้นว่าเล่มนี้ซื้อแล้วคุ้มสุดขีด) ที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงในรีวิวอันนี้ เช่นเรื่องการขยายไปทำคอนโดริมแม่น้ำ การนำเอาระบบบัญชี SAP มาใช้ การนำเอา IBM เข้ามาวางระบบ การวางให้บริษัทมีการจัดการแบบ SBU (Strategic Business Unit) การเริ่มไปทำบ้านจัดสรรในต่างประเทศเช่น อินเดีย มัลดีฟ หลักการบริหาร cash flow ของพฤกษา เรื่องเกี่ยวกับการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกๆ รายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบพรีคาสต์(ละเอียดสุดๆ) ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้นั้นเขียนแบบโคตรรรรละเอียด ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร บอกได้อย่างเดียวว่าหนังสือเล่มนี้คุ้มมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เรื่องราวท้ายเล่มยังได้เล่าถึงการใช้เวลาส่วนตัวของคุณทองมาว่าแม้จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศไทยแล้วแต่ก็ยังค่อนข้างเรียกได้ว่าสมถะเลยทีเดียว อ้ันนี้ก็ต้องลองอ่านดูในเล่มกันเองนะครับ (แถมข้างหลังด้วยบทสัมภาษณ์ของแม่ทัพคุณ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต)

สูตรเศรษฐี คิดอย่างนี้มีแต่รวย
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 04 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ทำการรวบรวมนำเอาหลักการในการทำธุรกิจและประวัติคร่าวๆของนักธุรกิจ 9 คน มากล่าวให้เราได้อ่านกันแบบย่อๆ อ่านไม่นานก็จบ แต่จะมีคำคมอยู่มากมายภายในเล่ม ด้วยราคาเพียงเล่ม ละ 99 บาท เท่านั้น ถือว่าคุ้มมากทีเดียว โดยนักธุรกิจแต่ละคนจะมาจากธุรกิจที่ต่างกันมาก และยังสร้างความมั่งคั่งในระดับที่ต่างๆกัน บางคนเป็นนักธุรกิจที่สร้างตัวจาก 0 บางคนสานต่อธุรกิจครอบครัว บางคนทำธุรกิจในกรุงเทพ บางคนทำที่ต่างจังหวัด บางคนก็เป็นผู้บริหารมืออาชีพให้บริษัทข้ามชาติ แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง พวกเขามีหลักการในการดำเนินธุรกิจให้สำเร็จได้อย่างไรนั้นต้องลองอ่านรายละเอียดภายในเล่มกันเองน้าคร้าบ

นี่คือรายชื่อของนักธุรกิจทั้ง 9 คน
- คุณโชค บูลกุล จาก ฟาร์มโชคชัย
- คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ จาก พฤกษาเรียลเอสเตท
- คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา จาก เจมาร์ท
- คุณประวิทย์ จิตนราพงศ์ จาก แบล็คแคนยอน
- คุณปิยะ ธนากิจอำนวน จาก AIIZ
- คุณวริสร รักษ์พันธุ์ จาก ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต
- คุณลักขณา ลีละยุทธโยธิน จาก เซเรบอส
- คุณวาสนา รุ่งแสนทอง ลาทูรัส จาก นารายา
- คุณสุกัญญา สุวรรณนภาศรี จาก นัมเบอร์วันกรุ๊ป

สำหรับผู้อ่านอาจจะรู้จักกับบางคนอยู่บ้างแล้ว แต่ผมเชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักพวกเขาเหล่านี้ ลองศึกษาแนวความคิดของแต่ละคน ก็จะมีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน และมีเทคนิคและหลักการในการทำธุรกิจที่ต่างกัน บางคนต้องการทำกำไรสูงสุด บางคนเดินตามทางหลักพอเพียง เมื่ออ่านแล้วก็ต้องกลับมาดูตัวเองว่าจริงๆแล้วเราต้องการอย่างไร เพราะทางเลือกหรือเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจนั้นมีมากมายเหลือเกิน

คำคมที่เจ๋งๆภายในเล่มนี้ก็เช่น เรื่องการลดต้นทุนของระบบก่อสร้างของพฤกษาที่ตอนเริ่มต้นก็ทำได้ถูกกว่าึคู่แข่ง 10% แต่พอผ่านไปซักพัก ต้นทุนของคู่แข่งยิ่งเพิ่ม แต่ของพฤกษากลับไม่เพิ่มเลยหลายปี ทำให้ขายบ้านราคาถูกได้ และมีเรื่องการต่อยอดธุรกิจของคุณ อดิศักดิ์แห่งเจมาร์ท ที่มีหลักการว่าถ้าแข่งขันไม่ได้ให้ขอเป็นพวกด้วยซะเลย และการต่อยอดไปทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่นการรับจ้างเก็บหนี้ ซึ่งทำรายได้ให้เยอะเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเรื่องธุรกิจนั้นต้องเข้าไปทำก่อนคู่แข่ง คืออย่าไปกินฝุ่น แต่ต้องทำให้คู่แข่งกินฝุ่นเรานั่นเอง

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มเล็ก ราคาไม่แพง เนื้อหาก็ปานกลางสามารถอ่านจบได้ในเวลาไม่นาน (สำหรับคนอ่านเร็ว ><) คุ้มมากสำหรับคนที่ต้องการหลักการเจ๋งๆแบบช่วยสรุปมาให้สั้นกระชับ อ่านเข้าใจง่ายสุดๆครับ
ขายของทางอินเทอร์เน็ตอย่างไรให้รวย
3
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 03 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้จะสอนการขายของทางอินเตอร์เน็ตหรือที่เรียกกันว่า อีคอมเมิร์ซ ขั้นเบื้องต้น โดยข้อมูลนั้นจะคล้ายๆกับหนังสือเล่มอื่นๆในหมวดเดียวกัน เช่นจะให้ข้อมูลว่าของที่สามารถขายออนไลน์ได้มีอะไรบ้าง จะบอกสถานที่ไปซื้อของมาขายหลายๆที่ และจะบอกถึงเว็บไซต์ที่ให้เราสามารถเข้าไปเปิดร้านได้

โดยภายในหนังสือเล่มนี้จะมีภาพการ์ตูนสอดแทรดเป็นระยะๆทำให้ไ่ม่มีตัวหนังสือมากจนเกินไป (ดีสำหรับคนไม่ชอบอ่านหนังสือ หรืออ่านหนังสือนานๆไม่ค่อยได้ แต่ไม่ดีสำหรับคนที่ชอบเนื้อหาเยอะๆๆๆละเอียดๆๆๆ) และจะมีภาพแสดงการสมัครสมาชิกเว็บไซต์เปิดร้านออนไลน์ต่างๆที่ดังๆ เช่น weloveshopping หรือ lnwshop

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลองหาของไปขายออนไลน์แบบเบื้องต้นมากๆ โดยผมคิดว่าเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่ผมรู้อยู่แล้ว และค่อนข้างสามารถศึกษาได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็เป็นหนังสือที่สามารถทำให้คุณสามารถเริ่มต้นได้ในขั้นแรกสุด
คำคม CEO
3
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 03 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือรวบรวมคำคมเล่มนี้นั้นมีทั้งข้อดีและข้อโดยผมจะทำการสรุปออกมาเป็นข้อๆให้อ่านผู้อ่านได้ลองดูกันเอาเอง
ข้อดี
- คำคมแต่ละอันนั้นอาจจะสามารถปลุกกำลังใจของท่านที่กำลังท้อแท้อยู่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามให้ท่านสามารถสู้ต่อไปได้ เพราะว่าคำคมแต่ละอันนั้นมีเนื้อหาที่ออกแนวให้กำลังใจและคำคมส่วนใหญ่จะพูดว่าท่านคิดอย่างไร ท่านก็จะเป็นอย่างนั้น ซึ่งเขียนเพิ่มพลังใจได้ค่อยข้างดีทีเดียว
- มีคำคมเพียง 100 ข้อและแต่ละข้อไม่ค่อยยาวมากเท่าไหร่ (แต่ถือว่ายาวสำหรับเนื้อประเภทคำคม) เหมาะสำหรับท่านที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือที่มีัตัวหนังสือเยอะๆๆๆ

ข้อเสีย
- คำคมนั้นไม่มีบอกว่าใครหรือ ceo คนไหนเป็นคนพูด
- คำคมแต่ละอันมีเนื้อหาที่ยาวและค่อนข้างไม่คมเท่าที่ควร
- เมื่ออ่านไปเรื่อยแล้วมีความรู้สึกว่าค่อนข้างซ้ำไปซ้ำมาและพูดตรงๆคือรู้สึกเหมือนไม่ค่อยได้ข้อคิดมากเท่าที่ควร
ใครๆ ก็เป็นสุดยอดนักขายได้ใน 1 วัน
4
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 03 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ปัญหาก็คือมีน้ำค่อนข้างเยอะแต่มีเนื้อค่อนข้างน้อย (อย่างน้อยก็ในความคิดของผม) คือจริงๆแล้วมีหลักการและแนวคิด รวมไปถึงทฤษฎีที่น่าสนใจค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นเหมือนสิ่งที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้ว (แค่น่าจะนะครับอันนี้ต้องแล้วแต่ผู้อ่านแต่ละคน) โดยหลักการที่ใช้มาเป็นเนื้อหาอ้างอิงเช่น เรื่อง 4Ps 4Cs และ AIDAS ซึ่งเป็นตัวย่อของหลักการต่างๆ ที่ผู้อ่านหลายๆท่านคงเคยเรียนในชั้นเรียนเกี่ยวกับวิชาธุรกิจต่างๆมาแล้ว โดยการนำเอาหลักการเหล่านี้มามองในมุมของ การขาย หรือ มุมมองนักขายที่สามารถประสบความสำเร็จได้

เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือการจัดประเภทของ "นักขาย" ซึ่งน่าสนใจตรงที่ผมไม่เคยคิดว่านักขายนั้นจะมีได้หลากหลายรูปแบบถึงเพียงนี้ โดยถ้าให้พูดกันตรงๆ ถ้ามีคนมาบอกว่าเขาเป็นนักขาย ผมก็คงจะคิดว่าเขา ทำ "ขายตรง" อย่างเช่น amway หรือ aimstar หรือไม่ว่าจะขายตรงเจ้าไหนก็ตาม ก็คือ MLM นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นเพียงการขายชนิดหนึ่งในบรรดาอาชีพการขายเท่านั้น

โดยเรื่องการขายนั้นจริงๆแล้วเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในระบบทุนนิยมของโลกเราเลยทีเดียวเพราะสินค้าถ้าไม่มีการขาย ก็อาจจะไม่มีคนที่อยู่ๆเดินเข้ามาซื้ัอก็ได้ (สำหรับสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าที่ขายได้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งก็มีไม่มากนัก) ตัวอย่างก็เช่น ประกันชีวิต ซึ่งเคยมีคนกล่าวใว้ว่า สินค้าประเภทประกันชีวิตนั้น ไม่ใช่สินค้าที่ถูกซื้อ แต่เป็นสินค้าที่ถูกขาย ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าไม่มีการขายนั้น ก็จะไม่มีคนซื้อประกันชีวิต หรือถ้ามีก็คงน้อยมากๆ

กลับมาที่เนื้อหากันต่อ เนื่องจากว่าหนังสือเล่มนี้มีสิ่งที่ดีๆเยอะก็จริง แต่กลับขาดสิ่งที่สำคัญในความคิดผมไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ insight หรือก็คือ เคล็ดลับที่เมื่ออ่านเจอแล้วต้องร้องโอ้โห มีวิธีแบบนี้ในการขายด้วยหรือนี่!!! ทำให้เป็นหนังสือที่โอเคในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเป็นสุดยอดตำรานักขายแต่อย่างใด

ข้อติอีกอย่างหนึ่งที่ผมอ่านแล้วก็หงุดหงิดเล็กน้อยคือ เรื่องข้อมูลเกี่ยวกับวอเร็นบัฟเฟตตอนต้นเรื่องที่ได้กล่าวว่าเขาเคยซื้อหุ้น amazon ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริงเลย และยังได้กล่าวว่าเขาซื้อหุ้นแล้วรอขายตอนหุ้นราคาขึ้นไป ซึ่งก็ไม่จริงอีกเพราะวอเร็นจะถือหุ้นไปเรื่อยๆตราบเท่าที่ยังเป็นหุ้นที่มีธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอยู่ตะหาก

ส่วนข้อดีของหนังสือเล่มนี้ที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือการสอดแทรกประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง (ส่วนใหญ่เป็นมหาเศรษฐี) เช่น ลีกาชิง เป็นต้นซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็ไม่รู้่ว่าเกี่ยวข้องกับการขายตรงไหน แต่ก็าสามารถปลุกกำลังใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวเชียว
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ผมคือเจมาร์ท
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 02 กันยายน พ.ศ. 2556

หนังสือปกแข็งเล่มนี้เป็นหนังสือชีวประวัติของคุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา แบบคร่าวๆที่เขียนได้ดีเล่มหนึ่ง โดยเนื้อหาภายในเล่มจะเกี่ยวกับการทำธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ และมีการบอกเล่าประวัติของผู้เขียนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และทำอย่างไรถึงได้สามารถสร้างอาณาจักรค้าปลีกและส่งโทรศัพท์มือถือได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีสาขากว่า 200 สาขาทั่วประเทศ และยังได้ต่อยอดธุรกิจไปทำเกี่ยวกับการบริหารหนี้ และติดตามหนี้อีกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่หลายๆคนอาจจะไม่ทราบว่าเจมาร์ทได้เข้าไปทำ เช่นธุรกิจให้เช่าพื้นที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็น J-venue หรือ ศูนย์มือถือ เจจังก์ชั่น ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่ามากมาย

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาว่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นมีวิธีคิด และหลักการในการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง โดยเราสามารถนำหลักการหลายๆอย่างมาปรับใช้กับธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวของเราได้ โดยหลักการที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้ก็เช่น

- ทำธุรกิจต้องอย่ากินฝุ่นแต่ต้องให้คนอื่นกินฝุ่น หมายความว่า ต้องทำธุรกิจที่เราสามารถเริ่มได้ก่อนคนอื่น ไม่งั้นจะแข่งขันลำบากมาก
- ธุรกิจเงินเชื่อนั้นมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจเงินสดมาก (ผู้เขียนถึงได้เข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับการผ่อนทั้งหลายแหล่)
- ทำธุรกิจต้องกล้าได้กล้าเสียและต้องทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ (โดยผู้เขียนได้ตัดสินใจเข้าไปติดต่อกับคู่แข่งรายใหญ่กว่ามากหลายเท่าเพื่อเจรจาเป็นพันธมิตรซึ่งก็สำเร็จด้วยดี)
- ทำธุรกิจต้องใช้ความอดทน (ผู้เขียนใช้เวลาสร้างธุรกิจเป็นเวลาหลาย 10 ปีจึงตัดสินใจนำเข้าตลาดหลักทรัพย์) โดยผู้เขียนยังทำงานที่บริษัทข้ามชาตินานอยู่ถึง 7 ปี จึงค่อยออกมาทำธุรกิจส่วนตัวตอนอายุ 33
- การลงทุนสร้างแบรนด์ในสิ่งที่คู่แข่งไม่เห็นความสำคัญ สามารถทำให้ในระยะยาวแล้วอาจจะคุ้มมากๆก็เป็นได้ (เจมาร์ทได้ลงทุนไปกว่า 100 ล้านในการโฆษณาทางโทรทัศน์และสื่ออื่นๆเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับธุรกิจที่มียอดขาย เพียง 5000 ล้านเพราะมาร์จินค่อนข้างต่ำ)

โดยรวมแล้วเป็นหนังสือธุรกิจอีกเล่มที่ดีมากเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการศึกษาประวัติบริษัทและผู้บริหารของหุ้นเจมาร์ท JMART หรือ JMT ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาก็ได้สร้างผลตอบแทนสูงมากๆให้แก่นักลงทุน (ตอนเข้าตลาดมี market cap เพียง 500 ล้านบาท ขณะที่ผมเขียนรีวิวนี้อยู่มี market cap 6000 กว่าล้านบาท)
โชคช่วยด้วยประสบการณ์
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ได้ทำการรวบรวมนำเอาบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆระหว่างคุณจิระซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการทางวิทยุกับคุณโชค บูลกุล ceo แห่งฟา์ร์มโชคชัย มาให้เราได้อ่านแบบรวดเดียวจบ ซึ่งก็มีเนื้อหาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว และเป็นเนื้อหาที่ดี มีข้อมูลเยอะ มีเรื่องราวของฟาร์มโชคชัยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน(ปี 2551) โดยได้ถูกเรียบเรียงให้ออกมาให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่มีเรื่องที่เข้าใจยากเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีหลักการต่างๆที่คุณโชคได้ใช้ในการบริหารฟาร์มโชคชัยอีกมากมายอธิบายใว้ทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้

ฟาร์มโชคชัยนั้นต้องถือว่าเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่และมีประวัติความเป็นมาหลายสิบปีเลยทีเดียว โดยที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เนื่องจากเคยมีหนี้สินถึง 500 กว่าล้าน และทำให้ต้องตัดสินใจขายธุรกิจบางส่วนออกไปคือธุรกิจ นมตราฟาร์มโชคชัย และเก็บธุรกิจฟาร์มเอาใว้ เพื่อลดหนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หมด ทำให้ต้องหาทางต่างๆนาๆเพื่อพัฒนาให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะนั้นคุณโชคซึ่งมีอายุเพียง 25 ก็ได้เริ่มเข้ามาบริหารงานในบริษัทและได้นำพาฟาร์มโชคชัยเข้าสู่ยุคที่ต้องเรียกได้ว่ารุ่งเรืองในระดับนึงเลยทีเดียว เป็นเหมือนการ re-engineer ทั้งองค์กร สร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ สร้าง model ธุรกิจและช่องทางการหารายได้ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้อย่างมากมาย อาทิเช่น การเปิดให้ฟาร์มกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับรองรับผู้คนที่ต้องการเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการรีดนมวัว ขั้นตอนการผลิตนมหรือสินค้าต่างๆของทางฟาร์มโชคชัย และมีทั้งการสาทิตย์การแสดงต่างๆมากมาย กลายเป็นสถานที่ๆคนหลายล้านคนได้รู้จักกับ แบรนด์ ฟาร์มโชคชัยมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เขายังได้เล่าอีกว่าตั้งแต่ทำฟาร์มมายังจ่ายค่าโฆษณาไปน้อยมากๆ ปีละแค่ล้านบาทเองมั้งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆที่ใช้สื่อต่างๆมากมาย แต่คุณโชคมีวิธีการทำการตลาดที่ไม่เหมือนใครโดยการสร้างให้คนที่มาเที่ยวที่ฟาร์มได้รู้จักกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มาได้เรียนรู้ทุกอย่างที่เป็นฟาร์มโชคชัยและสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ได้มาเห็นและเกิดการประทับใจ ก็จะเกิดการบอกต่อกันขึ้นมา ซึ่งจากข้อมูลลูกค้ากว่าล้านคนของฟาร์มโชคชัย ก็ได้มีข้อมูลว่ากว่า 40% เกิดจากการบอกต่อซึ่งถือว่าเยอะมากๆ

ส่วนเรื่องหลักการดำเนินธุรกิจนั้น เขาได้พูดถึงหลักการเยอะมากๆซึ่งได้ใช้ในการบริหารฟาร์มโชคชัย โดยได้เน้นไปที่เรื่องคน การพัฒนาบุคลากร การสร้างผู้นำ การสร้างผู้จัดการระดับกลาง การบริหารพนักงานให้รักองค์กร โดยที่ไม่เอาเรื่องค่าจ้างมาเป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนงานไปมา ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณโชค ได้กล่าวหลายรอบว่า บางทีเราอาจจะไม่ต้องวางเป้าความมั่งคั่งของบริษัทเป็นหลัก แต่เราต้องมีศรัทธาในสิ่งที่เราทำ มีความรักและมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ซึ่งก็เหมือนกับหลักการพอเพียงนั่นเอง อาจจะไม่ต้องนำเอาสิ่งที่เราทำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นที่เค้ามีเป้าหมายไม่เหมือนเรา(เอากำไรเป็นที่ตั้ง)

หลักการต่างๆนั้นล้วนแล้วแต่มาจากประสบการณ์การบริหารธุรกิจของคุณโชคทั้งสิ้น ทำให้เราแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เราจะได้รับจากนหนังสือเล่มนี้ ล้วนแล้วแต่ผ่านการทดลองทดสอบมาแล้วทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อเรานำหลักการมาใช้จริงมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้องค์กรของเราพัฒนาไปได้ไม่แพ้ฟาร์มโชคชัยเลยทีเดียว ยิ่งสิ่งที่เขาเล่ามาในหนังสือเป็นเรื่องสำหรับการบริหารทั้งองค์กรใหญ่และโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ด้วยแล้ว ทำให้เราควรเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่ผมเขียนในรีวิวชิ้นนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆทีน่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ ผมแนะนำให้ท่านซื้อมาอ่านดูเพื่อที่จะได้เก็บข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้พูดถึงในการเขียนรีวิวครั้งนี้ครับ

คัมภีร์สู่ความสำเร็จ จากเด็กสลัมสู่ซีอีโอพันล้าน
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือชีวิประวัติของนักธุรกิจเล่มนี้ต้องนับว่าเป็นสุดยอดแห่งหนังสือชีวประวัติอีกเล่ม ที่ผมยกให้อยู่ในระดับเดียวกับหนังสือของคุณตันเลยทีเดียว เพราะเขียนด้วยภาษาที่อ่านง่าย เป็นกันเองกับนักอ่าน แทรกมุขตลก(ซึ่งเป็นเรื่องทีผู้เขียนได้ทำผิดพลาด แต่ผู้เขียนได้เล่าแบบเหมือนกับเป็นเรื่องตลกไปซะงั้น ซึ่งอ่านไปอ่านมาทำให้อมยิ้มได้ตลอด ซึ่งบางเรื่องผมจะนำมากล่าวในภายหลัง) และมีเนื้อหาที่ละเอียดสุดๆ (ผู้เขียนได้เล่าอย่างละเอียดมากๆ รูปในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ค่อยมี ตัวหนังสือก็ขนาดไม่ใหญ่จนน่าเกลียด และมีเนื้อหาค่อนข้างเต็มพื้นที่หนังสือ ไม่เหมือนหนังสือบางเล่มที่ราคาก็แพงและเนื้อหาน้อยจนรู้สึกว่าซื้อมาเปลืองตังค์สุดๆ)

โดยชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้คือ จากเด็กสลัม สู่ ซีอีโอพันล้าน นั้น ก็ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงเลย เพราะผู้เขียนนั้นได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กในสลัมมาก่อนจริงๆและมีฐานะที่ยากจนมากๆ จนเขาได้เรียนจนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และก็ได้เริ่มจากการเป็นลูกจ้างสักพักหนึ่งเพื่อที่จะศึกษาว่าเจ้าของธุรกิจนั้นต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะสามารถทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ และเนื่องจากว่าผู้เขียนนั้นได้มีความฝันในวัยเด็กว่าต้องเป็นเจ้าของธุรกิจให้ได้ และมีเงินมีทอง มีบ้านหลังใหญ่มีสวนกว้างขวางและมีรถยุโรป จึงกลายมาเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องการทำธุรกิจในเวลาต่อมา

ธุรกิจแรกๆของเขาก็คือสิ่งที่เกี่ยวกับวิชาที่เขาได้เรียนมาคือ การนำเข้าเครื่องมือทางวิศวกรรมต่างๆ โดยธุรกิจนี้ช่วงแรกๆทำให้เขาได้รับบทเรียนไปเยอะมากๆๆๆๆ เช่น ช่วงหนึ่งเขาได้ประมูลงานจากบริษัทหนึ่ง แล้วก็ได้ไปสั่งสร้างเครื่องจักรกับเถ้าแก่คนหนึ่งโดยที่การประมูลงานนั้นมีกำหนดเวลาที่แน่นอน และมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เขาไม่ได้ทำสัญญากับเถ้าแก่ แล้วทำให้ตามงานกับเถ้าแก่ลำบากมากๆ สุดท้ายก็ทำไม่ทันแถมยังไม่ได้ตามสเป๊กอีก ทำให้ก็ต้องเสียค่าปรับจนขาดทุนไปเลยในครั้งนั้น

บทเรียนที่ได้จากงานครั้งนั้นก็คือการประมูลงานราชการนั้นถ้ามีเส้นสายน้อยต้องคิดให้มากๆ และถ้าสายป่านสั้นก็ต้องมองให้ยาวๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เวลาผมอ่านไปถึงแล้วขำดังสุดๆ(เหมือนคนบ้าเลยนั่งอ่านหนังสือแล้วขำคนเดียว)คือตอนที่เขาได้นำเอาเครื่องตัดไฟเวลาไฟฟ้าลัดวงจรไปสาทิสให้ลูกค้าดู ตอนกำลังแสดงเครื่องตัดไฟไม่ทำงาน ผู้เขียนเลยโดนไฟดูดซะงั้น ฟังผมเล่าอาจไม่ขำ แต่ถ้าไปอ่านวิธีการเขียนของผู้เขียนแล้วเนี่ยอย่างฮาครับ ต้องลองไปอ่านดูเอง

แล้วก็มีตอนที่ผู้เขียนได้ขอแฟนแต่งงาน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีตังค์ก็ได้ขอว่าที่ภรรยาว่า จะให้แหวนเก๊ก่อน ถ้ามีตังค์ค่อยเปลี่ยนมาเป็นแหวนจริง ซึ่งก็น่ารักมากๆ และถ้าคุณผู้อ่าน อ่านไปถึงแบบผมละก็อาจจะต้องมีได้ขำกันอีกแน่ๆด้วยสำนวนการเล่าเรื่องที่สนุกในแบบผู้เขียน

มีเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารเงินในช่วงธุรกิจแรกๆของผู้เขียนคือ ช่วงแรกเขาจะต้องขายเชื่อแต่เวลาซื้อสินค้ามาขายต้องซื้อเงินสดทำให้บางทีมีปัญหาเรื่องขาดเงินมาก และเวลาจะไปกู้เงินก็ดอกแพง (ผู้เขียนเล่าว่าโดนดอกเดือนละ 3%) และเวลาไปขอเขากู้ก็โดนเล่นตัวทำเป็นไม่สนใจอีกต่างหาก เวลาหมุนเงินเนี่ยก็ต้องยอมเสียดอกเยอะๆ เพราะอย่างไรก็ตามเงินก็ต้องมีใว้ใช้จ่าย บางทีก็ต้องเอาเช็คไปขายลด จาก 100,000 บาทเอาไปขาย 90,000 บาท จากตรงนี้ผู้เขียนได้ให้บทเรียนว่า ต้องไม่สร้างหนี้เพื่อบริโภค แต่จะสร้างเพื่อทำธุรกิจเท่านั้น และยังบอกอีกว่า ถึงแม้เขาจะมีหนี้ แต่เขาจะไม่แตะต้องเงินกู้นอกระบบเลย (อยากรู้ว่าทำไมต้องลองซื้อมาอ่านดูครับอิอิ)

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อยๆก็พบว่าผู้เขียนเป็นคนทำงานถึงลูกถึงคนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ศึกษาตำราคู่มือเครื่องจักรจนเข้าใจอย่างกระจ่างทั้งหมด และลงมือติดตั้งเอง ทำงานแบบเหนื่อยสุดยอดเลยทีเดียว

ก่อนหน้าปี 40 นั้นสุดท้ายแล้วผู้เขียนได้จับธุรกิจตัวหนึ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาก็คือการขายเครื่องฟอกอากาศ ธุรกิจตัวนี้ได้ทำให้เขามีบ้านติดสนามกอล์ฟราคา 17 ล้านบาท และรถยุโรป(บีเอ็มซีรี่ส์7) และในตอนที่เขามีเงินก็ได้ใช้เงินไปซื้อที่ 500 ไร่ มาเพื่อสร้างเป็นรีสอร์ทขาย แต่พอถึงปี 40 ฟองสบู่ก็แตกและทำให้ธุรกิจเครื่องฟอกมีปัญหา ก็ต้องเอาไปขายเลหลัง และได้ผันไปทำธุรกิจการเกษตรอยู่พักใหญ่ๆ (ใช้พื้นที่ในไร่ 500 ไร่) โดยในช่วงนั้นก็ได้พยายามนำเอาที่ที่เขาได้พัฒนามาตัดแบ่งเป็นส่วนๆแล้วเอาไปขาย แต่ก็ขายแทบไม่ได้ ขายได้แค่ 2 แปลงเท่านั้นเอง ช่วงนั้นดูเหมือนอะไรก็แย่ไปหมด

ธุรกิจที่เขาทำหลังปี 40 นั้นเปลี่ยนประเภทจากหน้าเป็นหลังมืออ่านแล้วก็ตลกดี คือก่อนฟองสบู่เขาทำงานทางด้านวิศกรรม เช่นนำเข้าเครื่องจักร หรือผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ แต่พอหลังปี 40 กลับกลายเป็นธุรกิจการทำสวนหรือการเกษตร เช่น ขายแก้วมังกร ขายลำใย ทำปุ๋ยขาย ผลิตอาหารเสริมกุ้งขาย ซึ่งแต่ละธุรกิจนั้นก็มีข้อจำกัดต่างๆนาๆรวมทั้งปัญหาอีกมากมาย สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จซักอย่าง ช่วงนี้นั้นผู้เขียนถังแตกต้องยืมเงินจากครอบครัวมาเพื่อทำธุรกิจแต่ละอย่างค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ซึ่งภายหลังผู้เขียนก็ได้คืนเงินแก่พี่น้องไปทั้งหมด บางคนยืมมาถึง 6 ล้านเลยทีเดียวทำให้ภายหลังผู้เขียนกล่าวว่างงมากว่าไปเอาเงินมาให้ยืมจากที่ไหนหว่า - -"

หลังจากนั้นก็ได้มาทำเป็นธุรกิจขายตรงผลิตภัณฑ์ต่างๆ(หนึ่งในนั้นมีกาแฟ) ซึ่งธุรกิจนี้ก็มีเรื่องฮาอีกแล้ว (แต่น่าสงสาร) คือธุรกิจขายตรงปรกติแล้วต้องมีการจัดสัมมนาเพื่อรับคน ผู้เขียนก็ได้จองโรงแรมใว้ทั่วกรุงเทพ และลงโฆษณาว่ามีสัมมนาขายตรง วันแรกที่โรงแรมแรกก็จองห้องใว้ 30 คนแต่มีคนมา แค่3 คน ก็จบไป พอมาวันที่ 2 ที่โรงแรมอีกที่ ก็มีคนมา 2 คนซึ่งผู้เขียนได้ถามว่ามาจากไหนกัน 2 คนนั้นบอกว่ามาจากบริษัทขายตรงอื่นจะมาสำรวจคู่แข่ง (เวรกรรม -*-) ซึ่งธุรกิจนี้ก็เริ่มซาลงไป

ต่อมาเขาได้เริ่มทำตลาดกาแฟลดน้ำหนักโดยการนำไปเปิดบูธขายที่งานเกษตรแฟร์ซึ่งก็ต้องเช่าบูธหลายหมื่นอยู่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก อาจจะเพราะราคาแพงหรือเพราะอะไรก็ไม่ทราบ (ขาย 25 บาท ลูกค้าก็เดินไปซื้อน้ำอัดลมที่ร้านต่อไป ราคา 10 บาท)ก็ขาดทุนอีก (จะเจ๊งซักกี่รอบเนีั่ยๆๆๆๆๆ)

และแล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงโดยอยู่ที่มีคนหนึ่งมานำสินค้าไปวางจำหน่ายใว้ที่จังหวัดๆหนึ่งในประเทศไทย แล้วปรากฎว่าขายดีมากๆ แล้วที่สำคัญกว่านั้นมีการบอกปากต่อปาก ทำให้สินค้ากาแฟลดน้ำหนักติดตลาดในต่างจังหวัดบางจังหวัดก่อน โดยที่ผู้เขียนแทบไม่ได้ใช้งบโฆษณาเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นก็ทำให้เหมือนเกิดโรคติดต่อ แต่เป็นโรคติดกาแฟลดความอ้วนนั่นเอง ยอดขายก็พุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียนและครอบครัวทำงานกันแทบไม่ทัีนจนต้องซื้อเครื่อจักรมาให้อีกหลายเครื่อง และก็ต้องสร้างโรงงานที่ 2 ที่ 3 เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน และเมื่อมีกำไรก็นำไปโฆษณาทางโทรทัศน์ได้อีก ก็ยิ่งทำให้ยอดขายยิ่งโต และนี่ก็คือเรื่องราวของความสำเร็จของ ดร กฤษฎา จ่างใจมนต์ และครอบครัวที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่้างโชคโชนครับ

ผมยกให้หนังสือเล่มนี้มีครบทุกรสชาติเลยทีเดียว คือชีวประวัติของเขาผู้นี้ไม่ได้มีแต่เรื่องราวของความสำเร็จเต็มไปหมด แต่กลับเต็มไปด้วยความผิดพลาดอย่างมากมาย (ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในภายหลัง) อย่างไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะมีความอดทนกับความผิดพลาดได้เยอะถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะพลาดกี่ครั้งเขาก็สามารถลุกกลับขึ้นมาสร้างตัวใหม่จนกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ทุำกครั้ง จน รวย จน รวย และครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการกลับมายิ่งใหญ่อย่างมั่นคงกว่าเดิมอย่างมาก เนื่องจากประสบการณ์ความผิดพลาดทุกอย่างได้ถูกเรียนรู้และสร้างให้ผู้เขียนกลายเป็นนักธุรกิจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทยครับ
ขายของออนไลน์ เริ่มต้นวันนี้ยังรวยทัน
3
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ไม่รู้ว่าจะบอกว่าเนื้อหามันง่ายหรือมันตื้นหรืออาจจะมองในแง่ดีว่าเนื้อหาเหมายสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น(มากๆ)ดีน้า เพราะมันไม่ค่อยจะมีอะไรใหม่เท่าไหร่ โดยเนื้อหาตอนเริ่มนั้นตลกมากเพราะมีการบอกให้เอาของที่อยู่ที่บ้านมาขายซะงั้น แล้วถ้าขายหมดแล้วจะทำอย่างไร อันนี้ไม่น่าจะเรียกว่าการทำธุรกิจด้วยซ้ำ ข้อมูลที่ดีๆก็พอจะมีบ้างเช่นแหล่งในการซื้อของมาขาย ซึ่งจะมีบางที่ๆเด่นคนรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีบางที่ๆท่านผู้อ่านอาจจะยังไม่เคยรู้ก็เป็นได้ นอกจากนั้นที่พอจะน่าสนใจก็จะมีเรื่องวิธีการส่ง ซึ่งส่วนใหญ่พวกเราก็อาจจะรู้จักแต่การส่งผ่าน ไปรษณีย์ไทย แต่ภายในหนังสือเล่มนี้จะบอกวิธีการส่งแบบอื่นๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย เช่น การส่งด้วยบริษัทขนส่งเอกชน การส่งสินค้าจำนวนมากหรือชิ้นใหญ่ด้วยรถบรรทุก และการส่งทางรถไฟ ซึ่งพวกเราพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆอาจจะไม่เคยได้ใช้บริการหรือแม้แต่จะทราบว่ามีวิธีการส่งแบบนี้อยู่ (ภายในเล่มจะมีตารางบอกค่าขนส่งของวิธีการส่งทุกประเภทเลยครับ ค่อนข้างละเอียดอยู่พอสมควร แต่ก็อาจจะมีการปรับขึ้นลงหรือแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัท) เราก็ควรศึกษาหรือเรียนรู้ให้ทราบใว้บ้างครับ

ส่วนเนื้อหากลางเล่มจะอธิบายถึงวิธีการใช้เว็บไซต์ weloveshopping ซึ่งเป็นเว็บเอาใว้ทำหน้าร้านเพื่อขายของ โดยจะมีรูปประกอบเกือบทั้งหมด (ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าจริงๆแล้วน่าจะทำเองได้ไม่จำเป็นต้องอ่านหรอก) และเนื้อหาในส่วนท้ายเป็นการอธิบายวิธีการขายของบน facebook ซึ่งก็เหมือนกับตอน welove ครับ คือไม่ต้องอ่านก็น่าจะทำเองได้

โดยรวมแล้วบอกตามตรงว่าหนังสือเล่มนี้เนื้อหาแทบจะไม่มีอะไรที่ใหม่หรือน่าสนใจซักเท่าไหร่ ส่วนข้อมูลแหล่งซื้อของหรือเว็บทำหน้าร้าน ก็หาเอาจาก google ได้ไม่ยากครับ ส่วนเนื้อหาเกือบครึ่งเล่มมีแต่รูปอธิบายการเปิดร้านบน welove กับ facebook ครับ
สตีฟ จอบส์ คนต้นแบบ
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้เมื่อเทียบกับหนังสือประวัติของสตีฟจ๊อบส์เล่มอื่นๆที่หนาเตอะ ก็ต้องบอกว่าสามารถทำได้ดีในการสรุปข้อมูลสาระสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสตีฟจ๊อบส์และบริษัทแอปเิปิล เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งไปจึงถึงช่วงที่สตีฟจ๊อบส์ป่วยเลยทเดียว การเขียนก็ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ค่อยมีศัพท์ทางด้านเทคนิคซักเท่าไหร่ และเรียบเรียงค่อนข้างเป็นขั้นเป็นตอนไม่มีการนำเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องมาคั่นกลางระหว่างที่ำกำลังเล่าเรื่องหนึ่งๆ

ส่วนที่ผมชอบในเืรื่องราวชีวิตอันสุดแสนจะน่าสนใจของสตีฟจ๊อบส์ก็คือการที่เขามีชีวิตอย่างกับโรลเลอร์โคสเตอร์นั่นเอง หมายความว่าเขาได้ผ่านการขึ้นลงมาอย่างโชกโชนหวาดเสียว เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทที่ระดมเงินได้สูงที่สุดในขณะนั้น และต้องมาโดนไล่ออกจากบริษัทของตัวเองตอนอายุเพียง 30 ปี และในระหว่างนั้นแอปเปิลที่เขาได้ก่อตั้งขั้นมาเองก็ต้องตกอยู่ในภาวะการณ์ที่ลำบากอย่างยิ่งจนเกือบจะเจ๊งเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมายังบริษัทตัวเองได้่และได้นำแอปเปิลเข้าสู่ยุครุ่่งเรืองอีกครั้งในที่สุด

การศึกษาประวัติของสตีฟจ๊อบส์นั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือแนวชีวประวัติเพราะเขาเป็นคนที่น่าศึกษาในแง่ของการทำธุรกิจ การตลาด การทำงาน การโน้มน้าวคนใกล้ตัว การสร้างบริษัท แนวคิดหลักการในการใช้ชีวิต การลงทุน การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค การสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เราสามารถเลียนแบบเขาและนำมาปรับปรุงเรื่องราวในชีวิตของตัวเราเองให้ดีขึ้นอย่างมากได้ อย่างที่มีคำพูดกล่าวกันว่า Good artist copy Great artist steal หรือ จิตรกรที่ดีจะเลียนแบบ แต่จิตรกรขั้นเทพจะขโมยเลย!

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาประวัติสตีฟจีอบส์แบบคร่าวๆและศึกษาเรื่องราวในวงการเทคโนโลยีของ USA ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม จนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการศึกษาบริษัทแอปเปิลและคู่แข่งในยุคต่างๆ การขึ้นลงของแต่ละบริษัท เรื่องราวของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกเริ่มและวิวัฒนาการของมัน เราจะได้พบว่าช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการเดินทางของบุรุษที่ชื่อว่าสตีฟจ๊อบส์ผู้นี้
เส้นทางสู่ความมั่งคั่งด้วยหุ้นสามัญ
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือแปลเกี่ยวกับหุ้นที่ควรขึ้นหิ้งอีกเล่มหนึ่งไปพร้อมกับหนังสือเล่มอื่นๆเช่น Beating the street, common stock uncommon profit, one up on wall street โดยภายในเล่มยังคงหลักการเด่นๆในการลงทุนสไตล์ Phil Fisher อีกเช่นเคยแบ่งออกมาเป็นข้อๆที่ผมชอบเช่น

- ลงทุนในหุ้นเติบโต
- ลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง
- ลงทุนโดยไม่กระจายความเสี่ยงจนมากเกินไป
- หลักการลงทุนแบบคัตเติ้ลบัต(รายละเอียดภายในเล่ม)

เนื้อหาเยอะมากๆจนผมไม่อาจจะเอามาเล่าได้ทั้งหมด ต้องลองอ่านดูกันเอาเองละกันนะครับ

นอกจากนี้ภายในเล่มนี้ซึ่งเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์หลังจากหนังสือเรื่อง common stocks and uncommon profits ได้ทำการขยายความเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มก่อนด้วยการอธิบายถึงการลงทุนทีเ่ปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเขาแล้ว นอกจากนั้นยังได้อธิบายถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ และเหตุปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นนั้นสูงขึ้น

สำหรับผู้ที่เคยอ่านหนังสือเล่มก่อนๆของ Phil Fisher หรือ แม้แต่หนังสือที่มีหลักการคล้ายๆกันอย่างของ Peter Lynch แล้วละก็ เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ควรจะต้องอยู่บนหิ้งหนังสือของท่าน (จริงๆแล้วเมื่อท่านอ่านรีวิวของผมแล้ว ท่านควรจะมีมันอยู่แล้วด้วยซ้ำ!!!) ถ้าจะให้ว่ากันตรงๆแล้วผมกลับมองว่าท่านผู้นี้ดีไม่ดีอาจจะสามารถอธิบายหลักการได้ดีกว่าวอเร็นด้วยซ้ำ(ในความคิดเห็นของผม) คือเขาอาจจะเีขียนหนังสือได้ดีกว่า (แม้ว่าวอเร็นจะรวยกว่า แต่นั่นมันก็คนละเรื่องกันใช่มั๊ย???) และสามารถเล่าเรื่องราวออกมาให้ผู้อ่านเข้าใจได้มากกว่า
สร้าง 500 ล้าน เพียง 2 ปี
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้ผมบอกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในหนังสือแนวนักธุรกิจเล่าประสบการณ์และหลักการในการสร้างธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมากๆเล่มหนึ่ง เทียบได้กับหนังสือของคุณ ตัน ภาสกรนที เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะดูเหมือนกับไม่ค่อยหนาแต่เมื่อเปิดเข้าไปแล้วมีตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษและไม่มีรูปเยอะจนน่าเกลียดเหมือนกับหนังสือบางเล่ม ที่สำคัญเนื้อหาแต่ละบทนั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจของจริง 100% ที่มาจากการทำธุรกิจจริงๆไม่ได้เป็นการเล่าเรื่องของคนอื่นหรือนำเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่าแต่อย่างใด และยังสอดแทรกด้วยหลักการการทำธุรกิจที่ทำให้ผู้เขียนประสบความสำเร็จไปตลอดเรื่อง

ผู้เขียนได้เกิดในตระกูลของนักการเมืองที่ต้องบอกได้ว่า นักการเมืองนั้นถ้าไม่ได้มีการทุจริต จะมีเงินเดือนและรายได้ที่น้อยมากๆ เงินเดือนๆละไ่มกี่หมื่นบาท ทำให้ถึงแม้ว่าเขาจะมีเกียรติแต่ผู้เขียนก็นับได้ว่าไม่ได้เป็นคนมีเงินมีทองมาตั้งแต่เกิดทำให้เขานั้นต้องสร้างตัวขึ้นมาเอง โดยในวัยเด็กก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างไปทางไม่เอาถ่านซักเท่าไหร่ และโดนครูดูถูกอีกต่างหากว่า แบบนี้ในอนาคตคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากได้แต่กินเงินเดือนๆละ 5000-6000 บาทก็ดีมากแล้ว ผู้เขียนบอกว่าำคำพูดนี้ของครูติดตัวเขาไปจนโต เป็นแรงขับให้เขายิ่งต้องทำให้ัตัวเองประสบความสำเร็จขึ้นมาให้ได้

ประสบการณ์ในวัยรุ่นตอนที่เขาได้เข้ามหาลัยจะมีการทำธุรกิจเล็กๆน้อยเป็นการซื้อมาขายไป โดยเขาได้เริ่มจากการเอาเสื้อผ้าจากโบ๊เบ๊ไปขายตามที่ต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลสรุปว่า เหนืื่อยมาก และกำไรก็น้อยแถมยังไม่แน่นอน บางวันขายไม่ได้ บางวันกำลังขายดีฝนก็ดันตกลงมา จนในที่สุดก็เลิกไป และไปจับธุรกิจการซื้อนาฬิกาไปขายบนเว็บไซต์ขายนาิฬิกามือสอง ส่วนนี้ก็สามารถทำกำไรได้เรือนละหลายพัน และได้เล่าถึงเรื่องการเดินเข้าไปซื้อนาฬิกาในร้านนาฬิกาหรูด้วย (อ่านได้ในเล่ม) ทำให้หลังจากที่เรียนจบมาก็มีเงินเก็บเป็นหลักแสน

ต่อมาก็ได้ลองทำธุรกิจการเลี้ยงสัตว์โดยเริ่มจาก นำเงิน 100000 บาทที่ได้จากการขายเสื้อผ้าและนาฬิกา ไปซื้อหมูมา 10 ตัว เพื่อขุนให้อ้วนแ้ล้วก็ขายไป 5 เดือนถัดมา ซึ่งกำไรน้อยมากๆ แค่ตัวละ 1000 บาทเท่านั้นเองแถมใช้เวลาตั้งนาน เมื่อเทียบกับการขายนาฬิกาแล้วยังคุ้มกว่าเสียอีก (กำไร 5000 ในเวลา ไม่กี่วัน) เลยเลิกและได้ประสบการณ์อีกว่าธุรกิจพวกนี้ำทำแล้วไม่มีวันรวย เพราะนอกจากจะกำไรน้อยแล้วยังเหนื่อยสุดๆๆ!!!

ส่วนธุรกิจต่อมาคือขายน้ำซึ่งตรงนี้เริ่มเป็นธุรกิจจริงจังแล้วเพราะเริ่มมีการสร้างโรงงานผลิตขวดน้ำด้วย และยังเริ่มมีการไปติดต่อกับธนาคารแต่ครั้งแรกนั้นไปได้ไม่ดีเพราะยังไม่ได้มีการจัดตั้งบริษัทหรือเดินบัญชีเลย (ถึงแม้ธุรกิจจะเดินไปได้ด้วยดี) ในบทนี้มีมุขตลกตอนเขาคุยกับธนาคารด้วยฮาดี โดยภายในบทนี้เขาได้เล่าถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยว่า สินเชื่อในระบบจากธนาคารนั้นมีเพื่อธุรกิจที่มั่นคงในระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจที่ต้องการเงินจริงๆนั้นกลับไม่สามารถขอสินเชื่อได้ ไม่เหมือนกับในโฆษณาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนี้ก็ได้ทำธุรกิจอีกหลายประเภทเพราะว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ธุรกิจสถานีวิทยุ

สุดท้ายก็ได้เล่าเืืรืองธุรกิจที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จที่สุดคือธุรกิจเฟรนไชส์รถจักรยานยนต์มือสอง ซึ่งตอนแรกไม่ได้เป็นเฟรนไชส์ แต่ทำเป็นขายมือสองอย่างเดียว แล้วเกิดปัญหาว่า ลูกค้าผ่อนไม่ไหวและมีสต็อกค้างเหลือเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่วงนั้นผู้เขียนเล่าว่าเครียดมากจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว และสุดท้ายก็หาทางออกโดยการทำเป็นเฟรนไชส์ไปเสียเลย และก็ได้เปิดตลาดนี้เป็นเจ้าแรกๆจนประสบความสำเร็จอยา่งสูง

หลักการจากหนังสือเล่มนี้มีเยอะมากๆ จนบอกได้ว่าไ่ม่แพ้หลักการที่ได้จากหนังสือของคุณ ตัน หรือ คุณต๊อบ เลยทีเดียว เรื่องสำคัญก็เช่น ต้องทำ ถ้าลงมือทำ คุณอาจจะแพ้หรือชนะก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ทำ คุณแพ้แน่นอน คุณต้องอดทนในช่วงแรกๆเพื่อความสบายในช่วงหลังเมื่อธุรกิจของคุณอยู่ตัว (ตัวอย่างในธุรกิจน้ำที่ผู้เขียนตอนแรกไม่สามารถคำนวนกำไรว่า สามารถจ้างคนงานได้เท่าไหร่ จึงต้องลงมือทำเองหมด แต่หลังจาก 6 เดือนแล้วธุรกิจเริ่มอยู่ตัวและรู้ว่ามีเงินส่วนเกินใ้วจ้างพนักงาน จึงทำให้สบายขึ้นอย่างมาก)

การทำธุรกิจใหม่นั้นควรทำจนกว่าจะอยู่ตัวไปสักระยะหนึ่งโดยให้มีเงินส่วนเกินจากเงินที่ต้องใช้ในการหมุนเวียน ถึงค่อยนำเงินไปต่อยอดกับธุรกิจอื่น เพราะธุรกิจใหม่ที่เริ่มต้นทุกธุรกิจต้องมีเงินหมุนเวียนเพียงพอไม่งั้นอาจมีปัญหาจนล้มได้ โดยหลังจากนั้นควรนำเงินไปต่อยอดกับธุรกิจอื่นหรือนำมาลงทุนเพิ่มในธุรกิจเดิมเพื่อสร้างให้ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการตื๊อ ผู้เขียนได้เล่าประสบการ์การไม่ยอมแพ้ต่อคำปฏิเสธที่น่าสนใจหลายต่อหลายครั้ง (อ่านได้ภายในเล่ม) การทำธุรกิจแล้วล้มเป็นเพียงการเริ่มต้น ทั้งผู้เขียน คุณตัน และคุณต๊อบไม่ได้ทำธุรกิจแรกแล้วประสบความสำเร็จพันล้านตั้งแต่แรก แต่เป็นธุรกิจแรกที่ำทำแล้วดีในระดับหนึ่งที่ช่วยต่อยอดไปธุรกิจหลักร้อยล้านพันล้านได้ในเวลาต่อมา เมืื่อผิดพลาดแล้วต้องเรียนรู้ำไม่ทำผิดซ้ำสองและต้องพัฒนาธุรกิจตลอดเวลาเพราะการหยุดก็ไม่ต่างกับการเดินถอยหลังในยุคปัจจุบันนี้

โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่กระชับและมีเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมมากเพราะเล่าจากประสบการณ์ตรงไม่ใช่ว่าเอาแต่เรื่องคนอื่นมาเล่า และเป็นเรื่องทำธุรกิจจาก 0 ไป ร้อยล้าน เล่าละเอียดทุกแง่ทุกมุม และให้หลักการในการทำธุรกิจมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่มีมูลค่ามากกว่าราคาเป็นล้านเท่าครับ
คำสอนจากใจ วอร์เร็น บัฟเฟตต์
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับวอเร็นที่ดีมากอีกเล่มหนึ่ง โดยเนื้อหาภายในเล่มจะเป็นการรวบรวมคำพูดของวอเร็นที่เคยพูดใว้ตามที่ต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัย ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นแต่ละปีของเขา ในนิตยสารต่างๆเช่นฟอร์บส์ โดยได้รวบรวมใว้เยอะมากๆ แล้วได้ทำการจัดแบ่งออกเป็นหมวดหลักทั้งหมด 7 หมวดคือ

1. บทเรียนชีวิต
2. การลงทุน
3. ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีฟกับการเก็งกำไร
4. ว่าด้วยธุรกิจ
5. กิจการของ Berkshire Hathaway
6. นโยบายรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกากับการเมือง
7. ความมั่งมีกับภาษีอากร

โดยคำพูดของวอเร็นแต่ละอันจะสั้นๆกระชับและตรงประเด็น และมาจากแต่ละช่วงตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มต้นตั้งบริษัทใหม่ๆเลยทีเดียว และมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับผมก็เช่น การดูหุ้นให้เป็นธุรกิจเพื่อที่จะลงทุนโดยการตรวจดูความสามารถในการแข่งขันทางด้านธุรกิจเป็นหลัก การดูความสามารถของธุรกิจในการขึ้นราคา ความแข็งแกร่งของแบรนด์ มูลค่าที่มองไม่เห็นของธุรกิจอย่าง วอลท์ดิสนีย์ที่สร้างหนังแล้วยังสามารถนำไปฉายอีกรอบในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งมูลค่าทางบัญชีมีมูลค่าน้อยมากจนบางทีเป็น 0 เสียด้วยซ้ำ แต่มีมูลค่าที่ไม่สามารถนับเป็นตัวเลขบนงบดุลได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว หรือแม้แต่มูลค่าอันไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นจำนวนเงินได้อย่างมูลค่าของตราสินค้าหรือแบรนด์นั่นเองเช่น Cocacola นั้น ถ้ามีคนมาขายเครื่องดื่มยี่ห้อ CocaCoba กับคุณในราคาที่ถูกกว่า 3 บาท คุณจะซื้อหรือไ่ม่ในเมื่อคุณไม่รู้จักมันเลยแล้วจะกล้าเทมันใส่ปากได้อย่างไร การที่มีสินค้าที่เหมือนกันเด๊ะ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะดื่ม Coke อยู่นั่นเอง นั่นหมายความว่า สินค้าชนิดนี้ได้ลงทุนไปอย่างมากมายมหาศาล (หลายหมื่นล้านเหรียญ) ในการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคเป็นเวลายาวนานต่อเนื่องกันหลายสิบหรือแม้แต่หลายร้อยปี จนทำให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่ายๆ (แม้ว่าจะใช้งบการตลาดมหาศาลสักแค่ไหนก็ตาม)

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ see's candy อันนี้น่าสนเพราะเป็นบริษัทที่เล็กเมื่อเทียบกับตัีวอย่างอื่นๆเช่น โค้ก แต่ บริษัทขายลูกกวาดนี้กลับผลิตเงินสดให้กับวอเร็นหลายสิบปีรวมๆแล้วน่าจะเป็นพันล้านเหรียญ ที่สำคัญมันเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่วอเร็นได้เข้าไปซื้อกิจการเข้ามา เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้ see' s candy ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น อยู่ที่แบรนด์และสินค้าที่มีคุณภาพสูงมาก ทำให้มีลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าอย่างที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ จึงส่งผลให้สามารถขึ้นราคาได้ทุกปีโดยที่ลูกค้าก็ยังต้องมาซื้อลูกกวาดของ see's candy ถึงแม้ว่าราคาจะแพงกว่าก็ตาม

และยังไม่กล่าวใว้อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับการเก็งกำไร และนายตลาดว่า ผลสุดท้ายแล้วการถือหุ้นใว้โดยไม่ทำการซื้อขายบ่อยๆ จะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าการซื้อๆขายๆตลอดเวลา โดยวอเร็นได้กล่าวว่าการได้เป็นเจ้าของเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในธุรกิจชั้นยอดอย่างโค้ก หรือยิลเล็ต ย่อมดีกว่าการเป็นเจ้าของบริษัทห่วยๆทั้งบริษัท และยังได้มีการพูดถึงคุณสมบัติของผู้บริหารทั้งทั่วไป และกรรมการในเิบิร์กไชร์ การจ่ายเงินค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล

ท้ายเรื่องยังมีเรื่องต่างๆที่อาจจะไม่น่าสนใจสำหรับผม แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้ว่าบัฟเฟตมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องภาษีของคนรวยกับคนชั้นกลาง โดยเขามองว่า ควรพยายามลดความห่างระหว่างชนชั้นด้วยการทำให้คนรวยนั้นเสียภาษีไม่น้อยไปกว่าคนจนมากเหมือนกับปัจจุบัน โดยเขาได้ให้ตัวอย่างว่าพนักงานระดับปฏิบัติการของเขายังเสียภาษีมากกว่าเขาเีสียอีก!!!

โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่เปรียบได้ดั่งเพชรอยู่เยอะมาก อยู่ที่ว่าคุณผู้อ่านจะสามารถตักตวงไปได้มากขนาดไหนเท่านั้นครับ



1 ล้านบาทแรกในชีวิต คุณก็ทำได้
5
โดย: ลักกี้แมน วันที่เขียนรีวิว: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หน้ังสือเล่มนี้จะเล่าประสบการณ์ของวิศวกรหนุ่มผู้หนึ่งที่ได้ผ่านการล้มเหลวทางด้านการเงินอย่างหนักแต่ก็สามารถกลับมามีเงินเกิน 1 ล้านบาทได้ในเวลาต่อมา โดยผู้เขียนได้เล่าด้วยภาษาของตนเอง เล่าประสบการณ์ชีวิตจริงที่เกิดขึ้น ว่าได้เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ในวัยเด็กต้องนอนอัดกันหลายคนภายในห้องเล็กๆ แม่ต้องขายข้าวแกง ส่วนผู้เขียนก็ต้องพยายามได้ทุนเด็กเีรียนดีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรบกวนทางบ้าน

เมื่อผู้เขียนได้เรียนจบ จึงได้เข้าไปทำงานเป็นวิศกร และได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15000 บาท และก็ได้พบกับวิธีการสร้างกำไรด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์จากธนาคารและนำมาขาย โดยใช้เิงินก้อนแรกไป 240000 ไปประมูลห้องคอนโดมา และขายไปได้กำไรมาประมาณ 50000 บาท หลังจากนั้นก็ได้พบกับเพื่อนที่เล่นหุ้นและเขาก็ได้ชวนผู้เขียนไปทำอาชีพใหม่คือนายหน้าค้าหุ้น หรือที่เราเรียกกันว่า มาร์เก็ตติ้งนั่นเอง

ตอนที่เขาได้ทำหน้าที่เป็นมาร์อยู่นั้นเขาก็ได้พบว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องทำยอดมูลค่าการเทรดของลูกค้าให้ได้อย่างน้อย 12 ล้านบาทต่อเดือน เมื่อทำไม่ได้ เขาก็ต้องใช้เงินของตัวเองเข้าไปซื้อๆขายๆหุ้นเพื่อทำยอด แต่ทำไปทำมา ก็เทรดจนขาดทุนเงินต้นไปเรื่อยๆ จากเงินของตัวเอง 5 แสนบาท รวมกับเงินที่ยืมมากจากพี่ชายอีก 2 แสนบาท ก็หมดเกลี้ยง และต้องทำให้มีเรื่องกับพี่ชายอีกต่างหาก (ไม่คุ้มเลยย)

เมื่อตังหมดแถมยังมีปัญหากับครอบครัวก็เลยทำให้เขาต้องออกจากงานมาร็เก็ตติ้งและวงการหุ้นไปซักพักหนึ่ง ระหว่างนี้เขาก็ได้ออกหางานใหม่และต้องยอมรับกับเงินเดือนที่ต่ำกว่าเก่า เขาได้ใช้เวลาหลายปีเพื่อปลดหนี้ของพี่ชาย และเก็บสะสมเงินใว้เพื่อสนับสนุนการซื้อบ้านใหม่ของครอบครัว และโอกาสของเขาก็มาถึงอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤต subprime ในปี 2551 เขาได้กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยแนวทางการลงทุนระยะยาวแบบ VI โดยการเข้าซื้อหุ้นประกันชีวิตเช่น BLA SCBLIF ตั้งแต่ราคายังต่ำมากๆ ทำให้ในตอนที่เขาเขียนหนังสือนั้นได้ทำให้มูลค่าพอร์ตของเขาโตขึ้นจนทะลุ 1 ล้านบาทจนได้

เนื้อหาครึ่งหลังของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญ 3 ประการในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือ
1. ระยะเวลา
ยิ่งเริ่มลงทุนเร็วยิ่งมีโอกาสทำให้พอร์ตโตขึ้นได้มาก

2. เงินต้น
ยิ่งเริ่มต้นด้วยเงินเยอะเท่าไหร่ท้ายที่สุดก็จะยิ่งเยอะเท่านั้น

3. ผลตอบแทน
ทำให้มากกว่า 15% ต่อปีก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

ถ้ามีครบทั้งสามข้อรับรองว่าต้องกลายเป้นตำนานอย่างวอเร็นบัฟเฟตอย่างแน่แท้ ผู้เขียนบอก

นอกจากนี้เขายังได้อธิบายเรื่อง ผลตอบแทนทบต้น ค่อนข้างเยอะว่ามันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากถ้าเวลานานมากๆจะทำให้เงินกลายเป็นก้อนโตอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเีดียว(ดูตารางภายในหนังสือ)

สรุปว่าถ้าซื้อหนังสือเล่มนี้ท่านจะได้อ่านประสบการณ์สุดหฤโหดของผู้เขียนในวัยเด็กวัยรุ่นปากกัดตีนถีบสุดๆ จนถึงตอนทำงานก็ได้เห็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ต้องผ่านการขาดทุนมาอย่างหนัก ผ่านประสบการณ์มีปัญหากับครอบครัว(พี่ชาย) และต้องดิ้นรนเพื่อกลับมาใหม่ในตลาดทุนที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรด และได้เห็นความฝันของเขาที่ต้องการก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเมื่อเขามีทรัพย์สินหลักร้อยล้านแล้ว (ขอให้ทำได้นะครับ) และได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องผลตอบแทนทบต้นกับหลักการลงทุนอีกนิดหน่อยครับ

www.batorastore.com © 2024