มุกมนตรา

มุกมนตรา

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786115010097
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

 

 

“แล้วเจ้าหญิงเงือกก็กลายเป็นฟองคลื่นไปในที่สุด”

นภาปิดหนังสือเมื่อลูกชายกล่าวประโยคสุดท้ายในนิทานเรื่องเจ้าหญิงเงือก

น้อยของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน จบ เธอรับหนังสือมาจากมือลูกชายก่อนจะ

วางมันไว้ช้างหัว เตี ยง และหันมา

“เอาละ อ่านนิทานจบแล้ว ฉะนั้นเรานอนกันดีกว่านะจ๊ะน้องณพ” เธอลูบ

ศีรษะอรรณพ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวที่เกิดจากอรรถพล

สามีชองเธอ

พวกเขาทั้งสามกำลังอยู่ระหว่างการพักผ่อนประจำปีที่บ้านพักตากอากาศ

ของครอบครัว ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันนี้เป็นวันแรกชองการ

พักผ่อน คืนแรกชองการนอนพักนอกเคหสถานอันคุ้นเคย และเนื่องจากไม่มี

โทรทัศน์ในท้องนอนเล็ก เธอและลูกชายจึงผลัดกันอ่านนิยายแทนความบันเทิง

ก่อนนอน

“แม่ฮะ แม่เคยสงสัยไหมฮะว่า ทำไมคนแต่งจะต้องให้เจ้าหญิงเงือกน้อยกลาย

เป็นฟองคลื่นแทนที่จะเป็นอย่างอื่น อย่างเช่นกลับเป็นนางเงือกเหมือนเดิม หรือไม่ก็

เป็นคุ้งเป็นปลา” เด็กชายอรรณพวัยสิบเอ็ดขวบถามด้วยความสงสัย

“เพราะอะไรเหรอ” นภาคิด “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ อาจเป็นเพราะว่าสำหรับ

คนแต่งแล้ว ฟองคลื่นนั้นเป็นสัญลักษณ์ของทะเลกระมังจ๊ะ...แล้วถ้าไม่ให้เจ้าหญิง

เงือกน้อยกลายเป็นฟองคลื่น น้องณพคิดว่าเจ้าหญิงควรจะกลายเป็นอะไรดีล่ะ”

“อืม” เด็กชายนิ่วหน้าจนหัวคิ้วมีรอยย่นปรากฏขึ้น “ไม่รู้สิฮะ” ก่อนจะเปลี่ยน

เรื่องง่ายๆ

“แต่คนแต่งใจร้ายนะฮะ ไม่ยอมให้เจ้าหญิงเงือกน้อยมีความสุขเหมือน

เจ้าหญิงแอเรียลในเรื่องเดอะลิตเติลเมอร์เมด” อรรณพอ้างไปถึงนิทานเรื่องเจ้าหญิง

เงือกของวอลต์ ดีสนิย์ ซึ่งสุดท้ายได้อยู่กับเจ้าชายที่รักอย่างมีความสุข

นภายิ้มอ่อนๆ “คนแต่งไม่ได้ใจร้ายหรอกจ้ะ เขาคงอยากจะเให้เห็นว่า

ความรักทำให้เรายอมเสียสละให้คนที่เรารักมากมายแค่ไหน ดูอย่างเจ้าหญิงเงือก

น้อยลิจ๊ะ เธอยอมเสียสละตัวเองแทนที่จะฆ่าเจ้าชาย และกลับไปเป็นนางเงือกเหมือน

เดิม เธอยอมให้เจ้าชายอยู่กับหญิงสาวอีกคนที่เขารัก ส่วนตัวเองก็ต้องสลายกลาย

เป็นฟองคลื่น มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากนะจ๊ะ”

อรรณพคิดตาม เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะถาม “ถ้าแม่เป็นเจ้าหญิง

เงือกน้อย แม่จะทำยังไงฮะ”

คราวนั้นภาถึงกับส่ายหน้า ค่าถามของลูกชายชักจะยากขึ้นทุกที ๆ “ถ้าเป็นแม่

เหรอจ๊ะ แม่ก็คงจะทำเหมือนเจ้าหญิงเงือกน้อยมั้ง”

“แต่ถ้าเป็นผมนะ ผมจะไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ๆ ผมจะไม่ยอมให้คนรักเป็น

อะไรไป แล้วผมก็จะไม่ยอมเสียสละตัวเองกลายเป็นฟองคลื่นด้วย” เขาตอบอย่าง

ฉาดฉานเกินเด็กวัยสิบเอ็ดขวบ ซึ่งค่าตอบของเขาก็เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากมารดา

ได้เป็นอย่างดี

“แม่เชื่อว่าน้องณพจะทำได้จ้ะ” เธอลูบศีรษะของบุตรชายก่อนจะตัดบทว่า

“แต่ตอนนี้น้องณพต้องนอนแล้วนะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเข้าๆ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและ

ว่ายน้ำเล่นกัน”

“ฮะแม่ ผมรู้แล้ว” อรรณพตอบเหมือนรำคาญที่ถูกเตือนราวกับเด็กเล็กๆ โดย

ลืมไปเลยว่าเขาเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดขวบ...ยังเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาของทุกคน

“ฝันดีฮะแม่” เขาค่อย ๆ หลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง “ว่าแต่...แม่

คิดว่านางเงือกมีจริงไหมฮะ” ด้วยความที่เป็นคนช่างชักถาม เด็กชายจึงอดที่จะถาม

คำถามอีกครั้งไม่ได้

“ไม่รู้สี'จ๊ะ อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีก็ได้ แม่ยังไม่เคยเห็นนางเงือก แม่ตอบ

ไม่ได้หรอก แต่แม่เคยได้ยินคนเขาเล่ากันว่าพะยูนที่พวกเราเห็นกันก็คือนางเงือก

ดีๆ นั่นเอง” นภาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมจนถึงล่าคอเล็ก ๆ ของผู้เป็นลูก

“พอคนเห็นพะยูนขึ้นมานั่งพักบนโขดหิน เห็นมันชอบโผล่ขึ้นมาหายใจที่

ผิวนํ้า เขาก็พากันคิดว่าพะยูนคือนางเงือก”

“แต่ผมว่านางเงือกไม่มีจริงหรอก” อรรณพหลับตาลง เริ่มปิดกั้นมโนภาพ

ออกไปจากใจ แต่ก็ยังไม่เลิกปิดกั้นคำพูดที่ออกมาจากปากช่างจำนรรจา

“มันคงจะเป็นปลาพะยูนเหมือนอย่างที่แม่บอกมั้งฮะ” เขาคล้อยตามความคิด

ของมารดา

นภาลุกขึ้นยินและกล่าว “ใช่แล้วจ้ะ แม่ก็ว่าอย่างนั้น นางเงือกมีแต่ในนิทาน

เท่านั้นแหละ”

แต่นภาและอรรณพไม่รู้หรอกว่าบางทีนิทานก็ไม่ได้เป็นเพียงนิทานเสมอไป!

 

กล่าวกันว่าในดวงดาวสีนํ้าเงินที่เรียกว่าโลก ยังมีสิงเร้นลับอีกมากมายที่

มนุษย์ไม่รู้จักแอบแฝงอยู่...

ลึกลงไปใต้ทะเล นอกจากจะเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลน้อยใหญ่ หน้าตาคุ้นเคย

หรือหน้าตาแปลกประหลาดตามแต่ความลึกของระดับน้ำแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอีก

ชนิดหนึ่งซึ่งใครๆ ก็พากันคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์ในตำนานอาศัยอยู่

สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์เรียกว่าเงือก!

มีหลายตำนานที่กล่าวถึงอมนุษย์ชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำนานจากประเทศใน

แถบสแกนดิเนเวีย ตำนานจากชนชาติจีน ตำนานของชาวกริก หรือกระทั่งตำนาน

นางเงือกในประเทศไทยก็ยังมี แต่คงจะไม่มีใครคิดว่าลึกลงไปอีกนิด ใต้ท้องทะเล

แห่งอ่าวไทยจะมีชุมชนมนุษย์เงือกอาศัยอยู่จริง ๆ ดังเช่นที่ตำนานหรือนิทานได้กล่าว

อ้างไว้

จันทร์รัตน์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ขึ้นไปเหนือผิวน้ำ

ปีนี้เธออายุครบลิบปีพอดี และถ้านางเงือกตนใดอายุครบลิบปี นางเงือกตนนั้นจะได้

รับโอกาสให้ขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อเยี่ยมชมโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกในห้วงสมุทรอย่างที่เหล่า

นางเงือกอาศัยอยู่มาตลอดชีวิต และนั่นก็เป็นเพียงก้าวแรกสู่โลกกว้างสำหรับ

นางเงือกเช่นเธอ

มนุษย์เดินดินสงสัยมาตลอดว่านางเงือกมีหน้าตาเช่นไร จันทร์รัตน์บอกได้แต่

 

 

เพียงว่าเงือกในยุคปัจจุบันดูต่างจากเงือกในยุคบรรพกาลค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผล

มาจากวิวัฒนาการตามกาลเวลานั่นเอง

ในยุคเริ่มต้น นางเงือกมีหน้าตาคล้ายสัตว์มากกว่ามนุษย์ พวกมันมีท่อนล่าง

เป็นปลา มีครีบ หาง และเกล็ดเหมือนปลา ทว่าท่อนบนกลับดูคล้ายมนุษย์ มีใบหน้า

ผมยาว มีหน้าอกและทรวดทรงองค์เอว แต่ว่าใบหน้าดังกล่าวกลับไม่คล้ายมนุษย์เอาเสีย

เลย

ใบหน้าประหลาดนั้นประกอบไปด้วยดวงตากลมโต มีแก้วตาใหญ่กว่ามนุษย์

ซึ่งท่าให้ดวงตานางเงือกโดยรวมแลดูกลมโต จมูกรึก็เล็กแบนจนดูเหมือนราบเรียบ

ติดไปกับผิวหน้า ละม้ายว่าจะไม่มีจมูก ส่วนรีมฝีปากก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับจมูก คือ

แบนราบติดไปกับใบหน้า ขณะเดียวกัน ใบหูกลับใหญ่ เรียว และมีปลายใบหูแหลม

ส่วนด้านข้างของใบหูก็เชื่อมติดกับผิวหนังส่วนใกล้เคียงจนดูเหมือนว่าใบหูจะกลาย

เป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าไป ซึ่งดูรวมๆ แล้ว ยังไงนางเงือกก็เหมือนเป็นสัตว์ประหลาด

น่ากลัวมากกว่าสัตว์ที่สวยงามน่าพิสมัย

จันทร์รัตน์โชคดีที่ไม่ได้เกิดในยุคนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงจะมีหน้าตาอัปลักษณ์

แบบนั้นแน่ ๆ

กาลเวลาท่าให้พวกเธอเปลี่ยนไป กระนั้นพวกเธอก็ยังมีร่างกายท่อนล่าง

เป็นปลาอยู่ดี แต่นางเงือกในปัจจุบันมีใบหน้าคล้ายมนุษย์มากขึ้น ยกเว้นกรรมพันธุ์

ของเงือกบางอย่างที่ท่าให้เธอดูพิเศษกว่ามนุษย์เดินดินทั่วไป

เนื่องจากเป็นนางเงือกในอ่าวไทย จันทร์รัตน์จึงมีบางสิ่งบางอย่างในร่างกายที่

ดูไม่เหมือนนางเงือกซึ่งอยู่ต่างทะเล นอกจากสีของดวงตา สีของผม และสีของลำตัว

ที่จะแตกต่างกันตามเชื้อพันธุนางเงือกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนนางเงือกตนอื่น

จันทร์รัตน์ลูบไล้ร่างกายท่อนล่างของตนซึ่งมีสีฟ้าเข้มจนเกือบเป็นสีนํ้าเงิน

บางส่วนของมันเจือไปด้วยสีเงินแวววาว ผิวของเธอขาวเผือดและเหลือบแสงเป็น

สีฟ้าพราวในน้ำทะเล ผมของเธอเป็นสีดำอมน้ำเงินและสีเขียวฟ้าดูแปลกตา เธอมี

ใบหน้ารูปหัวใจ ดวงตากลมของเธอเป็นสีดำ ตาดำของเธอกินพื้นที่ตาขาวมาก จน

ทำให้ดวงตาของเธอดูโตกว่ามนุษย์ทั่วไป หูของเธอเล็ก ปลายใบหูแหลมเล็ก ส่วน

ด้านข้างของใบหูเชื่อมติดกับผิวหนังส่วนใกล้เคียงจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จมูกของ

เธอเล็ก ไม่โด่ง แตกไม่แบนราบและน่าเกลียดเหมือนมนุษย์เงือกรุ่นดึกดำบรรพ์

ปากของเธอเล็กบางและเป็นสีชมพูซีด ๆ สรุปแล้ววิวัฒนาการท่าให้เงือกน้อยอย่าง

 

 

จันทร์รัตน์ดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่ามนุษย์เงือกยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมาย

จันทร์รัตน์ไม่ใช่เงือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ เงือกสายพันธุ์บริสุทธิ์สิ้นอายุขัยไป

หมดแล้ว แม้ว่าเผ่าพันธุเงือกจะได้รับพรอายุยืนกว่าสัตว์ทั่วไป แต่โลกหมุนรอบ

ตัวเองมากกว่าสองพันปี ทำให้ไม่มีเงือกสายพันธุบริสุทธิ์ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุขัยถึง

พันปีหลงเหลืออยู่อีก

ดังนั้นจันทร์รัตน์จึงเป็นนางเงือกที่ได้รับการผสมผสานข้ามสายพันธุ์มายาวนาน

เธอมีแม่เป็นนางเงือกและมีพ่อเป็นมนุษย์เหมือนเช่นนางเงือกอีกหลาย ๆ ตนที่อาศัย

อยู่ ณ ที่แห่งนี้

เผ่าพันธุเงือกไม่มีเพศผู้ ฉะนั้นเหล่านางเงือกจึงต้องหาทางดำรงไว้ซึ่ง

เผ่าพันธุด้วยการขึ้นไปหาคู่บนพื้นพิภพ

ในวันที่นางเงือกอายุครบยี่สิบปี เธอจะต้องขึ้นสู่แผ่นดินเหนือน้ำเพื่อเลือก

เฟ้นหามนุษย์ผู้ชายที่เธอพึงใจ และใช้มนต์มายาที่มีมาแต่โบราณทำให้เขาปรารถนา

และหลงใหล ก่อนจะจบลงด้วยการร่วมอภิรมย์กับเขา เพื่อที่เธอจะได้ตั้งครรภ์ และ

นำทายาทเงือกซึ่งปฏิสนธิในครรภ์กลับมาเพิ่มจำนวนประชากรเงือกซึ่งคงเหลืออยู่

ไม่มากนัก

ทายาทที่คลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้หญิงตามเชื้อพันธุของมารดาซึ่งแรงกล้า

กว่า เท่าที่จันทร์รัตน์ทราบ ไม่มีนางเงือกตนใดคลอดเงือกเพศผู้เลย และเธอก็นึก

ไม่ออกเหมือนกันว่าถ้ามีการให้กำเนิดเงือกเพศผู้จริง ๆ เขาจะอยู่ทำมกลางนางเงือก

อย่างพวกเธอเช่นไร

“จันทร์รัตน์...จันทร์รัตน์...” เสียงแหลมเล็กของชลลดา นางเงือกรุ่นเดียวกัน

ดังเตือนขณะที่จันทร์รัตน์กำลังนั่งใจลอยหวีผมอยู่ตรงแนวหินใต้น้ำลึกซึ่งเป็นที่นั่ง

ประจำสำหรับหย่อนใจของเธอ

จันทร์รัตน์หันไปมองตามเสียงเรียก

“เธอลืมไปแล้วหรือไงว่านี่ถึงเวลาที่นายแม่จะเรียกประชุมก่อนที่พวกเราจะขึ้น

สู่ผิวน้ำกันแล้ว” ชลลดารับอาสามาตามจันทร์รัตน์ซึ่งหายไป ไม่ไปตามเวลานัดทั้งที่

เพื่อนนางเงือกตนอื่นที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นสู่ผิวน้ำรออยู่กับนายแม่หมดแล้ว

“ตายจริง ถึงเวลาแล้วหรือ” จันทร์รัตน์อุทาน เธอมัวแต่นั่งเล่นเพลินจนลืม

เวลาไปเสียสนิท

“ใช่ รีบไปได้แล้ว นายแม่โมโหแล้วแน่ะ”

 

“จ้ะ ๆ รู้แล้วจ้ะชลลดา''

แล้วนางเงือกน้อยทั้งสองก็รีบพากันว่ายนํ้าไปยังวิหารใหญ่ของนายแม่รายา

ผู้ปกครองบรรดานางเงือกในอ่าวไทย

 

นายแม่รายานั่งอยู่บนบัลลังก์หินซึ่งประดับประดาไปด้วยปะการังหลากสี

มากมาย เท้าแขนสีขาวซีดเหลือบเทาและเงินกับก้อนหินที่พักแขน ลำคอของเธอ

ตั้งตรง ใบหน้าที่เหมือนมนุษย์เดินดินเชิดขึ้นตามแนวลำคอ บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์

และความหยิ่งยโสอันเป็นนิสัยของเธอ เธอเปรียบเสมือนผู้ปกครองชาวเงือกแถบ

อ่าวไทย แม้ปีนี้เธอจะมีอายุครบห้าร้อยปี แต่เธอก็ยังมีใบหน้างดงามและเปล่งปลั่ง

ไม่ต่างจากบรรดาเงือกสาว มันเป็นพรอีกอย่างของนางเงือก ที่ชีวิตจะถูกหยุดเอาไว้

ในปีที่ยี่สิบ ไร้การโรยรา

เธอปรายตามองจันทร์รัตน์และชลลดาที่ว่ายนํ้าเข้ามาในอาณาบริเวณ แต่ยัง

ไม่ทันที่เธอจะได้กล่าวว่าอะไร จันทนี นางเงือกผู้ให้กำเนิดจันทร์รัตน์ก็พูดขึ้นมา

“มาได้เสียทีนะจันทร์รัตน์ มัวแต่ไปโอ้เอ้เถลไถลที่ไหนกัน เดี๋ยวแม่ก็ขอให้

นายแม่รายาทำโทษไม่ให้เราขึ้นเหนือนํ้าเสียเลยนี่'' นํ้าเสียงที่กล่าวออกมาแฝงไปด้วย

ความตำหนิ

ผู้ถูกดุหน้าจ๋อยลงไปถนัดตา นอกจากจะอับอายขายหน้าเพื่อนๆ เงือกรุ่น

เดียวกันแล้ว เธอยังอับอายที่ทำตัวเหลวไหลต่อหน้ารายาผู้เปรียบเหมือนราชินีของ

พวกเธออีกด้วย

“พอเถอะจันทนี เด็ก ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องบ่นอะไรมากนักหรอก''

รายาโบกมือตัดรำคาญก่อนจะหันมาหาบรรดาสมาชิกตัวน้อยที่จะได้ขึ้นสู่ผิวนํ้าเป็น

ครั้งแรก

“เอาละจ้ะ จ๋าได้ไหมว่ากฎของเรามีอะไรบ้าง'' ก่อนหน้านี้เธอได้รับการอบรม

กฎระเบียบสำหรับนางเงือกที่จะขึ้นสู่ผิวนํ้าเป็นครั้งแรกไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ได้แต่

หวังว่าพวกเด็กๆ จะจ๋าเรื่องที่เธอสอนสั่งได้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่อง

ที่จะมาทำเล่นๆ ได้

“จ๋าได้ค่ะ'' สาวๆ ตัวน้อยขานรับพร้อมเพรียง นํ้าเสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าจ๋าได้ก็ช่วยทวนความจ๋าให้ฉันพังหน่อยชิว่าเมื่อขึ้นสู่ผิวนํ้าแล้วพวกเธอจะ

ต้องทำอย่างไรบ้าง'' รายากล่าว เธอมีหน้าที่ปกครองเหล่านางเงือกทั้งหลายให้อยู่ในที่

 

 

ในทางของตน และอยู่รอดปลอดภัยบนโลกใบนี้ร่วมกับมนุษย์ได้

“หนึ่ง...อย่าให้มนุษย์ผู้ไดเห็น''

ข้อควรระวังแรกถูกเหล่าเงือกสาวน้อยกล่าวขึ้นมา ก่อนจะมีข้อสอง ข้อสาม

และข้อต่อ ๆ ไปตามมาเป็นลำดับ

“สอง...เมื่อถูกพบเห็น จะต้องรีบหนีลงนี้าทันที''

“สาม...อย่าให้ถูกจับได้''

“สี่...จงกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น''

“ห้า...หากถูกมนุษย์จับได้ ห้ามเปิดเผยเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับพวกพ้อง

ของตน''

“และสุดท้าย...ห้ามลืมที่จะระแวดระวังภัยตลอดเวลา''

เมื่อกล่าวข้อพึงระวังในการขึ้นสู่ผิวน้ำจนจบ รายาก็เอ่ย

“ถ้าทำได้ตามทั้งหกข้อที่กล่าวมา พวกเธอจะได้ขึ้นสู่ผิวน้ำทุกๆ คืนเดือนมีด''

หลังจากการขึ้นสู่ผิวน้ำครั้งแรกแล้ว เหล่าเงือกจะมีโอกาสได้ขึ้นสู่ผิวน้ำ

ทุกครั้งที่คืนเดือนมีดเวียนมาบรรจบ ที่ต้องเป็นคืนเดือนมีดเพราะมันจะทำให้ผู้คน

บนชายผิงสังเกตเห็นพวกเธอได้ยาก และหลังจากปล่อยให้เหล่าเงือกสาวเรียนรู้ความ

เป็นไปของมนุษย์อย่างเงียบ ๆ จนครบลืบปี เธอก็ถือว่าเงือกน้อยเหล่านี้เติบโตพอ

ที่จะสร้างทายาทของตัวเองได้แล้ว

“ค่ะนายแม่'' เงือกสาวทั้งหลายขานรับอย่างตั้งมั่น พร้อมจะออกไปเผชิญ

โลกกว้างอย่างที่พวกตนได้ใฝ่ฝันมานาน

“เอาละ รีบขึ้นสู่ผิวน้ำได้แล้ว และอย่าลืมกลับก่อนฟ้าสางด้วย ระวังตัวกันให้

มาก ๆ นะเด็ก ๆ ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่อย่าลืมสัตว์ทะเลอื่นด้วยล่ะ'' รายาตักเตือนด้วย

ความเป็นห่วง นอกจากจะต้องหลีกเสี่ยงมนุษย์ซึ่งเห็นพวกเธอเป็นของแปลกแล้ว

พวกเธอยังต้องระวังบรรดาสัตว์ทะเลที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเธออีกด้วย

รายาจำได้ดีว่าการผจญภัยครั้งแรกของเธอมีเหตุการณ์น่าหวาดเสียวเกิดขึ้น

อย่างไรบ้าง เธอถูกมนุษย์พบเห็นตอนที่เธอเข้าไปใกล้ชายผิง แต่เธอก็กระโจนหนีลง

ใต้น้ำและหลบพวกเขาได้ทัน ในตอนนั้น ถ้าเธอหนีไม่รอด เธอคงจะถูกจับ และอาจ

จะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงห้าร้อยปีเช่นนี้ เพราะมนุษย์คงจะเอาเธอไปจัดแสดงโชว์สัตว์

ประหลาดหายาก หรือแย่กว่านั้นเธออาจจะถูกจับไปทำการทดลองน่ากลัวเพื่อตอบ

สนองความใคร่รู้ของมนุษย์ ใครจะรู้ว่าเธอจะโดนอะไร มนุษย์ยิ่งเป็นสัตว์โลกที่ใจร้าย

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

"มุกมนตรา"

ใครจะไปคิดว่า "นางเงือก" ในนิยายจะมีอยู่จริง "สินธุ" แทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลยว่าได้ช่วยอะไรใครไว้ !? แต่เขาเคยช่วยเหลือนางเงือกตนหนึ่งไว้ แถมยังเป็นนางเงือกจอมยุ่งเสียด้วย !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย "มุกมนตรา" เล่มนี้

เขียนโดย "จูน"

 

500 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024