ไฟลวง เล่ม 02 (โสภี พรรณราย)
ประหยัด: 131.25 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๓๖
วันนี้นพรุจเข้าประชุมกับบริษัทคุณเดช...ร่วมกับผู้บริหารและหัวหน้าแผนกทุกแผนกในบริษัท
และเป็นวันที่คุณเดชแนะนำนพรุจอย่างเป็นทางการ
หยดเทียนก็อยู่ในห้องประชุมด้วย ในฐานะเลขาของคุณเดชและจดรายงานการประชุม
ในห้องนั้น...ท่าทางนพรุจดูสง่างาม และมีความมั่นใจในตัวเอง ขณะเดียวกันเขาก็ยิ้มแย้มเป็นกันเองจึงทำให้ผู้ร่วมประชุมชื่นชอบในตัวเขา
ยกเว้นก็เพียงหยดเทียน...ที่รู้จักนพรุจดี
ความแค้นของชายคนนี้รุนแรงเกินไป ไม่มีความพอดีจึงเป็นคนที่น่ากลัวมาก...
หลายครั้งที่เขาสบตากับหล่อนเขาสามารถยิ้มได้ ทั้งที่แววตาฉายความเกลียดชัง!
หล่อนถอนใจยาว...
ถ้าเจ้านายหล่อนวางมือจริง ๆ ...เจ้านายคนใหม่...นพรุจ...หล่อนจะทนทำงานได้เพียงไหน
หรือหล่อนต้องตกงาน!
หลังจากประชุม คุณเดชชวนนพรุจไปทานอาหารเย็น และท่านหันมาชวนหยดเทียนด้วย
“คุณเทียนไปด้วยกันนะ...”
หล่อนรีบปฏิเสธ
“เชิญตามสบายนะคะ...ดิฉันขอตัว...”
“ขอตัวอะไร...ไปรู้จักเจ้านายใหม่หน่อยสิ”
“ดิฉันรู้จักท่านแล้วค่ะ!”
ประชดเรียกนพรุจเป็น ‘ท่าน’ ต่อหน้าที่เขายืนอยู่ เขายิ้มน้อย ๆ สบายอกสบายใจ
“ก็รู้จักให้มากขึ้นอีก...” คุณเดชว่า
“ดิฉัน...”
ยังไม่ทันแก้ตัว ชายหนุ่มก็กล่าวดัก
“เรายังรู้จักกันไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่เลย ผมต้องขอคำแนะนำจากคุณมาก ๆ หน่อย...ไปด้วยกันสิครับ...”
“ดิฉันมีนัด!” ซึ่งไม่เป็นความจริง!
“อ๋อ...นัดคุณเทพหรือเปล่า...พนักงานบัญชี...ชวนไปด้วยกันเลยสิครับ” นพรุจยิ้ม ๆ...
หยดเทียนหน้าร้อนผ่าว
เขาสืบมาหมดแล้ว...หล่อนสนิทสนมกับเทพ จึงกล่าว ‘เทพ’ อย่างชัดเจนและมั่นใจ
“ไม่ใช่ค่ะ!”
“ไม่ใช่ก็ยิ่งไม่สำคัญใหญ่...บอกเลิกนัดสิครับ...”
หยดเทียนเม้มริมฝีปาก
แปลก...ตั้งใจจะให้หล่อนไปให้ได้...
“แต่ดิฉัน...”
“หรือว่ารังเกียจผม?”
“เอ้อ...” หล่อนหันไปทางคุณเดช...ท่านพยักหน้า
“คุณนพรุจตั้งใจชวนขนาดนี้แล้ว...ไปเถอะจ้ะ...” น้ำเสียงท่านนุ่มนวล...ในฐานะเจ้านายและผู้มีพระคุณแล้ว หล่อนจึงตอบรับ...ทั้งที่ไม่ปรารถนาจะไปร่วมโต๊ะกับนพรุจ
“ค่ะ...”
“ไปเจอกันที่ภัตตาคารเลย...หนูเทียนไปกับคุณนพรุจ...เผื่อจะคุยเรื่องงานกันได้...ผมไปอีกคันกับคนขับรถ...”
คุณเดชไม่เปิดโอกาสให้หล่อนเลือก...ว่าแล้วก็ผละไปก่อน...
นพรุจพยักหน้ากับหล่อน
“เชิญครับ...”
หยดเทียนสะพายกระเป๋าแล้วเดินตามนพรุจ...ผ่านโต๊ะเทพ...นพรุจจงใจเดินช้าลง แล้วเขาหันมาสังเกตหล่อน...
หล่อนยิ้มให้เทพ...แล้วผ่านเลย...
จนมาถึงรถ...นพรุจจึงกล่าวว่า
“ท่าทางแฟนคุณจะไม่ค่อยชอบใจนัก ที่คุณออกมากับผม”
หยดเทียนเปิดประตูเอง แล้วเข้าไปนั่งก่อน...
เจ้าของรถยักไหล่...
“ไม่ได้ยินที่ผมพูดเรอะ?”
“ได้ยินค่ะ...แต่มันไร้สาระ!”
“เรื่องแฟนคุณ...ไร้สาระ?”
“ใครคะ?”
“คุณเทพ!”
“เราเป็นเพื่อนกัน...”
“อ๋อ...เพื่อน...แฟน...สามี...จะเรียกแบบไหนก็ได้นะ แล้วแต่จะเปิดเผยหรือไม่...”
หยดเทียนกำมือแน่น...
รถกำลังแล่นลงจากลานจอดรถชั้นบน...
“ถ้าไม่เต็มใจให้ฉันนั่งรถคุณดิฉันไปรถแท็กซี่ได้นะคะ...”
เขาหัวเราะในลำคอ
“ผมไม่อยากให้คุณเดชสงสัย...”
“ท่านไม่สนใจหรอก เพราะดิฉันไม่มีความหมายสำคัญมากมายอะไร”
“อย่างน้อยคุณก็เป็นเด็กเส้น!”
“ค่ะ...คุณประกอบเป็นคนมาฝากงานให้...คุณต้องการอะไรกันแน่...ทั้ง ๆ ที่คุณรังเกียจฉัน แต่กลับคะยั้นคะยอให้ดิฉันมาทานอาหารเย็นด้วย”
เขาแค่นเสียงดุดัน
“มีแน่...ผมมีเหตุผลถึงทำ แล้วไม่ดีหรือยังไงคุณ ได้ทานอาหารฟรีในบรรยากาศหรูหรา คนที่เคยจนมาก่อนอย่างคุณอาจจะไม่เคยสัมผัสก็ได้...”
ดูถูก...หล่อนอยากกระโดดลงจากรถด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ากำลังแล่นอยู่บนถนน
“ดิฉันไม่ติดกับความหรูหราหรอกค่ะ!”
“เป็นไปได้อย่างไง...แม่สาวน้อย...และเพราะเงินไม่ใช่หรือที่ทำให้คุณกับพี่สาวร่วมมือกันหลอกพ่อผม!”
หยดเทียนผงะ...หน้าเผือด
หล่อนจะทุกข์ใจทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึง ‘คุณประกอบ’
ทุกข์ใจ...เพราะที่เขาพูดมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง...
พี่สาวหลอกท่าน...
หล่อนมิได้ให้ความร่วมมือ!
แต่หล่อนก็ถูกมองไปในแง่นั้น...หล่อนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร...
หล่อนกลืนน้ำลายยากเย็น เชิดหน้า...
“คุณ...ฟังนะคะ...” หล่อนกำมือแน่น ระงับเสียงสั่น “ดิฉันไม่ได้ร่วมมือกับพี่พร จริงอยู่...ดิฉันทราบ...แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาว...ดิฉันพยายามจะ...”
เขาขับรถมือเดียว อีกมือโบกห้าม
“คุณไม่ต้องพูด!”
“ดิฉันต้องพูด...”
“ผมไม่ฟัง...”
“คุณไม่มีเหตุผลเสียเลย ดิฉันพยายามจะให้พวกคุณเข้าใจ...ดิฉันและพี่สาวเป็นหนี้พวกคุณ...การกระทำของพี่พร ดิฉันต้องรับผิดชอบด้วย...”
เขาหันขวับ
“ชีวิต...คุณจะรับผิดชอบอย่างไร?”
“เอ้อ...”
หน้าตาเขาแดงก่ำ...อย่างโกรธจัด
“ชีวิตนะ...ชีวิตคุณเรอะ...พี่สาวคุณเรอะ มันเศษขยะแท้ ๆ เทียบได้อย่างไรกับพ่อผม!”
หยดเทียนเหมือนถูกทุบศีรษะอย่างรุนแรง
“ค่ะ...ดิฉันทราบว่าคุณเสียใจมาก...แล้วคุณทราบมั้ยว่าดิฉันก็ทุกข์ใจแค่ไหน...”
“มารยา!”
หล่อนไม่สนใจคำต่อว่าของเขา
“ดิฉันเพียรพยายามจะขอโทษคุณทั้งสาม...คุณงามพิศ...คุณ...และคุณญาดา...ยอมทนถูกตำหนิ...ถูกต่อว่า...ถูกไล่...หมั่นไปเยี่ยมเยียนคุณงามพิศในยามที่ท่านป่วย จนท่านเข้าใจดิฉัน...ก็เหลือแต่คุณที่ไม่ยอมเข้าใจ...”
เขาโคลงศีรษะ
“ผมไม่เหมือนคุณแม่...ที่เป็นคนใจอ่อน...ไม่หลงกลแผนของคุณ...ที่ดำเนินไปทีละขั้นอย่างชาญฉลาด...”
หล่อนทำหน้างุนงง
“แผนอะไรคะ?”
เขาหัวเราะ
“ไม่รู้คุณแกล้งโง่หรือโง่จริง...”
“ค่ะ?”
รถถึงที่หมายเสียก่อนแล้ว...ทำให้นพรุจไม่ยอมพูดอะไร
“คุณ...” หยดเทียนเดือดร้อนกระวนกระวาย
เขาโบกมือ...เมื่อเดินเข้ามาในภัตตาคาร
“อยู่ในสังคมต้องรู้จักปั้นหน้า ขืนคุณทำหน้าบึ้ง คุณเดชจะสงสัย”
“ดิฉันเล่นละครไม่เก่งเหมือนคุณหรอกค่ะ!”
เขาเลิกคิ้ว แววตาเยาะ
“ใครว่า...คุณน่ะระดับนางเอกตุ๊กตาทองเชียวนะ”
แล้วการสนทนาโต้เถียงก็ยุติโดยปริยาย เมื่อเดินทางมาถึงโต๊ะที่จองไว้ คุณเดชมาถึงก่อนได้ครู่หนึ่ง
“เชิญ...เชิญ...หลานชาย...”
ออกจากห้องประชุมแล้ว...คุณเดชก็เรียกนพรุจอย่างลูกอย่างหลาน...อย่างสนิทสนม ผิดกับเมื่ออยู่ในห้องประชุม พูดจาอะไรก็เป็นทางการสักหน่อย เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น
นพรุจแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเลื่อนเก้าอี้ให้หยดเทียน
หญิงสาวกลั้นลมหายใจลึก ๆ เกลียดนักพวกหน้าอย่างใจอย่าง เสแสร้งแกล้งทำ!
“คุณจะทานอะไรดี?”
นพรุจถามอย่างสุภาพ และมีบริกรคอยรับคำสั่งอยู่แล้ว
“สลัดกุ้งค่ะ...”
“พอเรอะคุณ?”
“พอค่ะ!”
สำหรับนพรุจกับคุณเดชสั่งอาหารฝรั่งเป็นชุด ระหว่างรับประทานก็สนทนาการค้าสลับกับเรื่องทั่วไป
หยดเทียนแทรกบ้าง แต่ก็บางจังหวะเท่านั้น
“อาดีใจนะที่เห็นหลานชายก้าวหน้าในการงานจนถึงระดับมีชื่อเสียง ต่อไปก็คงมีฝีมือไม่แพ้พ่อ...”
“ยังหรอกครับ คุณพ่อกับคุณอาสร้างชื่อเสียงมานาน ผมมันแค่คนรับช่วงต่อไม่ใช่ผู้บุกเบิก...”
“รับแล้วทำให้มันเจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็ถือว่ามีฝีมือ”
“ผมเพิ่งจะเริ่มต้น”
“แต่อาก็เชื่อ...ถึงมอบบริษัทของอาให้เราไงล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้ม
“ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่รับนะครับ...แต่เห็นว่าคุณอาตั้งใจจะวางมือทางธุรกิจจริง ๆ ผมก็เห็นใจ...เพราะดูอย่างคุณพ่อสิ ทำงานหนักตลอดชีวิต...ถึงคราวจะพัก ก็พักไม่ได้...และในที่สุด...”
เขายังคงยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่หยดเทียนรู้สึกน่ากลัว...
นพรุจถอนใจยาว
“ผมว่าอย่าพูดดีกว่า เดี๋ยวอาหารมื้อนี้จะไม่อร่อยครับ...”
ท่านพยักหน้า
“อาคิดว่าจะเดินทางเดือนหน้า...”
“ทำไมเร็วล่ะครับ?”
“ก็มีคนเก่งอยู่รอบตัว จะต้องรีรออะไรอีกล่ะ หยดเทียนเป็นเลขาของอาที่รู้งานมากพอสมควร และเป็นคนที่อาไว้ใจ...คงจะร่วมงานกันได้เป็นอย่างดี...”
เขากัดฟัน
“ครับ...เป็นอย่างดี!”
หลังอาหารเย็น และคุณเดชชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวกับชายหนุ่ม
“ฝากหนูหยดเทียนกลับบ้านด้วยคนนะ เพราะทางเดียวกันนี่...”
“ครับ...ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะส่งให้ถึงที่...”
หยดเทียนยกมือไหว้ลาคุณเดช...และเดินมาขึ้นรถกับนพรุจ...พอรถแล่นออกถนน หล่อนก็รีบถาม
“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะคะ...”
“เรื่องอะไร?”
“คุณว่าดิฉันมีแผนการ!”
“เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณยอมกลับกับผม?”
หล่อนพยักหน้า
“ค่ะ!”
เขาอมยิ้ม แต่หน้าตาดุดัน
“ที่ผมยอมให้คุณขึ้นรถ ก็นับว่าเป็นบุญของคุณแล้ว...”
หยดเทียนกลืนน้ำลายยากเย็น
“งั้นก็กรุณาคุยให้จบเรื่องโดยเร็ว ดิฉันจะได้ลงจากรถคุณ!”
“สนิทสนมกับคุณกิตติขนาดไหน?”
อยู่ ๆ เขาถามถึงกิตติ...
หล่อนขมวดคิ้ว
“พูดเรื่องของดิฉันสิคะ...”
“นั่นแหละ...เหตุผลที่ผมจะคุยกับคุณ...”
หญิงสาวยิ่งงุนงง
“คุณกิตติ?”
“เขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก ผมไม่อยากให้เขาเป็นเหยื่อของคุณ!”
“คะ?” เสียงแหบแห้ง “ดิฉันไม่รู้เรื่อง...”
“คุณก็มีดีอย่างเดียว คือมีรูปเป็นทรัพย์ มีมารยาเป็นเลิศ แค่นี้ก็สามารถดูดเงินจากกระเป๋าผู้ชายได้แล้ว!”
หล่อนโคลงศีรษะ หน้าซีดเผือด
“ทำไม...ทำไมคะ คุณถึงมองดิฉันในแง่ร้ายอย่างงี้คะ?”
เขาแค่นหัวเราะ
“ทำไมเรอะ...คุณกำลังจะหลอกเพื่อนผม!”
“ดิฉันกล้าสาบาน...”
“เรื่องสาบาน ผมไม่เชื่อ!”
“คุณกิตติเธอมีน้ำใจ และดีต่อดิฉันมาก...ดิฉันไม่อยากให้คุณกิตติร้อนใจกับเรื่องที่ไม่มีมูล...”
“นายกิตติเห็นคุณดีเกินไปมั้ง...โดยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคุณ...พี่สาวคุณโกยได้สิบล้านจากพ่อผม คุณคิดจะโกยสักเท่าไหร่จากเพื่อนผม?”
หล่อนกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ
“สักบาท...ดิฉันก็ไม่ต้องการ!”
“บาทไม่เอา...เอาล้าน...”
“คุณนพรุจ...คุณเข้าใจดิฉันผิดแล้ว...”
ชายหนุ่มขับรถช้าลง...”
“ตอนแรกคุณอาจจะเล็งผมไว้ คิดจะจับผม แต่กับผม เล่นยากสักหน่อย คุณก็เลยเปลี่ยนไปจับนายกิตติ!”
หล่อนรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะและร้าวไปทั่วร่างกาย
ความเข้าใจผิดที่ก่อขึ้น...นับวันจะมากมายจนหล่อนไม่ทราบว่าจะแก้ตัวอย่างไรกับเขา...
คดีของพี่พรวลัย หล่อนยังแก้ต่างไม่หลุด...มาเจอข้อหาคุณกิตติอีก...ซึ่งหล่อนไม่เคยคิดถึงเลย
หล่อนเพียงชื่นชมคุณกิตติว่าเป็นคนกลางที่มีความยุติธรรมและเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของหล่อน...
พบกับคุณกิตติเพียงไม่กี่ครั้งก็เป็นเรื่องเป็นราวจนได้
หล่อนนิ่ง...
“ทำไมเงียบไปล่ะ?”
หยดเทียนโคลงศีรษะช้า ๆ กลายเป็นความเย็นชา
“ไม่ว่าดิฉันพูดอะไรคุณก็คงไม่เชื่อ...จะให้ดิฉันพูดอะไรล่ะคะ?”
เขาหันมาแว่บหนึ่ง...
ความเย็นชาบนใบหน้าหยดเทียน!
เย็นชาจนนพรุจเดือดดาล!
กลายเป็นมองว่าถูกยั่วยุ...เขากระชากเสียง
“ก็ยอมรับสารภาพมาสิ และเลิกล้มความคิดที่จะจับนายกิตติ!”
หล่อนเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง
“ไม่ค่ะ!”
“คุณ!”
“คุณจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของคุณ ในเมื่อดิฉันก็เป็นของดิฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องยอมรับหรือปฏิเสธ!”
“หยดเทียน!
เบรกรถกะทันหันจอดอยู่ข้างทาง...
หล่อนเลิกคิ้ว
“ไล่ดิฉันลงแล้วใช่มั้ยคะ?”
“ยัง!”
“มีอะไรอีกคะ?”
“ตราบใดที่คุยกันไม่รู้เรื่องคุณยังไปไม่ได้!”