
แรมพร่างดาว (พินธุนาถ) (EBOOK)
ประหยัด: 77.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ความรักหมายเลข 3
โลกเปลี่ยนไปเสมอ ไม่มีอะไรคงอยู่ที่เดิม มีเพียงความรักเท่านั้นที่ยังยืนหยัดเพื่อทดสอบกาลเวลา
แรมพร่างดาว
เริ่มต้นรัก k
- 1 -
ร่างสูงโปร่งในชุดกระโปรงตัวหรูนั้น ออกจะดูผิดที่ผิดทางอยู่สักหน่อยเมื่อมายืนอยู่ในแถวอันยาวเหยียดของคนที่กำลังเข้าคิวซื้อข้าวเหนียวหมูทอดเจ้าอร่อย
ลูกค้าในแถวส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศในละแวกนั้น แต่เรือนร่างสูงสง่าบนรองเท้าส้นสูงคู่หรูนั้นสะดุดตามาก กระเป๋าถือแบรนด์เนมที่สะพายอยู่แนบตัวก็พอดูออกว่าไม่ใช่ของเลียนแบบ ท่าทางและการแต่งกายของเธอทำให้หลายคนในแถวอดมองไม่ได้
หลายคนอาจจะแอบสงสัยว่าไฮโซขนาดนี้ ใยต้องลงมาทนยืนตากควันจากกระทะหมูทอดให้ติดกลิ่น หญิงสาวน่าจะนั่งรออยู่ในรถที่เย็นฉ่ำแล้วให้คนขับรถมายืนต่อแถวซื้อแทน นั่นยังไม่นับเรื่องที่น่าสงสัยว่าคนอย่างเธอกล้ารับประทานของกินข้างถนนอย่างนี้ด้วยหรือ
หญิงสาวยืนรอด้วยมาดนิ่ง สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด จนกระทั่งถึงคิวของเธอ หญิงสาวสั่งชุดข้าวเหนียวหมูทอดสำหรับกินคนเดียว จากนั้นก็ออกมาจากร้านแล้วเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยซึ่งเป็นทางลัดไปที่บริษัท
เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า หญิงสาวเดินทอดน่องอย่างสบาย ๆ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตเป็นจังหวะ มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต หลายวันก่อนเธอเห็นเขามาเข้าคิวซื้อหมูทอดร้านนี้เป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แถวยาวกว่าเช้าวันนี้เป็นสองสามเท่า แต่เขาก็รออย่างอดทน
แค่ภาพรอยยิ้มขี้เล่นของชายหนุ่มผุดเข้ามาในความคิดคำนึง ดวงตาอันแห้งผากก็เปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เดินมาอีกไม่ไกลก็ถึงบริษัทแทงโนน่า คอมมิวนิเคชั่น ซึ่งเป็นอาคารแบบโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น อยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการสัญจรไปมา ผู้ที่มาเช่าส่วนใหญ่จึงใช้เปิดเป็นบริษัทขนาดเล็กมากกว่าจะใช้เป็นที่พักอาศัย
รมณีทำงานที่นี่มาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทเมื่อราว 6 เดือนก่อน ในตำแหน่งอาร์ต ไดเรคเตอร์ เธอเจอกับธรณิศที่งานมหกรรมลดราคาสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง วันนั้นพนักงานขายไม่สามารถอธิบายคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นหนึ่งได้เท่าที่เขาต้องการ รมณีซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงอธิบายให้เขาฟังแทน
หลังจากคุยกันเกี่ยวกับงานกราฟิกซึ่งเป็นสายที่เธอเรียนมา ธรณิศทึ่งมาก จนถึงกับเอ่ยปากชวนเธอมาทำงานที่บริษัทเปิดใหม่ของเขา รมณีคิดใคร่ครวญอยู่หลายวันก็ตัดสินใจตอบตกลง ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งแม้แต่แม่ของเธอก็ยังไม่อยากเชื่อ เพราะก่อนหน้านั้นแค่จะออกจากบ้านไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านก็ยังเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเธอกับแม่
เมื่อเข้าไปในบริษัท ชายหนุ่มมาถึงก่อนแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าเคร่งเครียดนั้นทำให้หญิงสาวหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ธรณิศเป็นกังวลมาสองสามวันแล้วกับนัดสำคัญของลูกค้ารายใหญ่ที่นัดไว้ช่วงสายของวันนี้
ตั้งแต่เปิดบริษัทมา งานส่วนใหญ่ที่ได้มักจะเป็นงานของคนกันเองในหมู่เพื่อนฝูงของเขาบ้าง ของพ่อแม่เขาบ้าง เป็นต้นว่างานโปรโมทร้านอาหารของป้าเขาที่เพิ่งเปิดสาขาใหม่ หรือโครงการรณรงค์ในหน่วยงานรัฐที่พ่อของเขาหาให้ และงานคลิปปิ้งข่าวทั่วไป
แต่ลูกค้าที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมหรู ในเครือบริษัทผาสุขกรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ธรณิศอยากได้งานนี้เพราะนอกจากรายได้ก้อนใหญ่แล้ว ยังมีเรื่องชื่อเสียงของบริษัทระดับบิ๊กที่จะเก็บไว้อ้างอิงกับลูกค้ารายอื่นได้อีกด้วย
หญิงสาวไม่พูดอะไรแต่เดินเข้าไปหาแล้ววางถุงข้าวเหนียวหมูทอดไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองนิดหนึ่ง พอเห็นเขาทำหน้างง ๆ รมณีก็บอกเสียงเบา
“ข้าวเหนียวหมูทอดเจ้าที่ธูปชอบไง วันนี้พอดีลงรถแถวนั้น เห็นแถวไม่ยาวนักเลยไปต่อคิวซื้อมาให้ ไม่รู้ว่าวันนี้อยากทานหรือเปล่า”
สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่จางหายไป ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นแก้มบุ๋มสองข้างและเขี้ยวเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มนักศึกษามากกว่าจะเป็นเจ้าของบริษัท
“วันนี้หรือวันไหนก็ชอบทั้งนั้นล่ะ แต่ไม่ใช่ผมนะ เป็นคุณนายตั้งโอ๋ต่างหาก ผมไม่ชอบทานพวกของทอดหรอก เดี๋ยวคอยดูนะ...เห็นเข้าต้องกระโดดใส่แน่” ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้เธออีกครั้ง
คำตอบนั้นทำให้รมณีได้แต่ยิ้มตอบเขาแล้วรีบหันหลังเดินออกจากห้องทันที เพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดเขาถึงได้ยอมทนรอคิวนานเป็นชั่วโมงอย่างนั้นได้
ประกายตาที่เต้นยิบ ๆ อยู่ในดวงตากลมโตใสเหมือนเด็กของเขาทำให้จิตใจที่ว่างเปล่าอยู่แล้วของเธอยิ่งโหวงเหวงราวกับเหวลึกอันดำมืดที่ลึกลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ใกล้ถึงเวลานัดอนงค์ณัฐ เออีของบริษัทก็ยังมาไม่ถึง เธอเห็นธรณิศกดโทรศัพท์หาฝ่ายนั้นแทบไม่ได้หยุด แรก ๆ ก็แค่โทรเช็คว่าทำไมหญิงสาวยังไม่มา แต่เมื่อปลายสายไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มก็เริ่มเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
จวบจนใบหน้าสดใสของหญิงสาวโผล่เข้ามาให้เห็นนั่นล่ะ ธรณิศถึงได้ดูสงบลง รมณีอดคิดไม่ได้ว่าความกังวลในสวัสดิภาพของหญิงสาวอาจมีมากกว่าเรื่องที่เขาจะต้องพบกับลูกค้าสำคัญเสียอีก
ถุงข้าวเหนียวหมูทอดเจ้าอร่อย ป่านนี้คงเย็นชืดไม่น่ารับประทานเสียแล้ว มันคงถูกทิ้งและถูกลืมอยู่ในห้องกาแฟ เหมือนชีวิตอันมืดมนของหล่อน ไร้ค่า ไร้ความหมาย
เหมือนหินบนหลุมฝังศพในสุสานร้างที่ถูกปกคลุมด้วยวัชพืชอันรกรุงรัง ไม่มีวันจะได้พบกับแสงสว่างอันสดใสของโลกนี้อีกแล้ว
การประชุมสำคัญที่ทุกคนต่างเป็นกังวล ใช้เวลาไม่นานเท่าที่คิด ลูกค้าหนุ่มหล่อแวะเข้ามานั่งเก้าอี้ยังไม่ทันร้อนฝ่ายนั้นก็ขอตัวกลับไป ไม่ได้ให้ทั้งความหวัง แต่ก็ไม่ถึงกับตัดรอนเสียทีเดียว ท่าทีคลุมเคลือของอธิปก บรรณุรักษ์ทำให้ทั้งเจ้าของบริษัทและเออีสาวพากันหงุดหงิด
โดยเฉพาะก่อนจะเข้ามาที่บริษัท เออีสาวเดินหน้ามุ่ยเข้ามาแล้วเล่าเรื่องที่เพิ่งทะเลาะกับชายหนุ่มท่าทียะโส ซึ่งทั้งขับรถปาดหน้าเธอ แย่งที่จอดรถแล้วยังพูดจาไม่ดีใส่ทั้งที่อนงค์ณัฐเก็บกระเป๋าสตางค์ของฝ่ายนั้นได้และนำไปคืนให้
พอเห็นว่าคนที่ตัวเองเพิ่งปะทะคารมมาสดๆ ร้อนๆ คือคุณลูกค้าที่รออยู่อนงค์ณัฐก็ถึงกับทำหน้าเหวอ แต่คู่กรณีของเธอดูจะไม่ได้จริงจังกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก เขาออกจะเห็นเป็นเรื่องขำเสียด้วยซ้ำ
มันเป็นแบบนั้นเสมอ คนอย่างอนงค์ณัฐมักทำให้พวกหนุ่มๆ รู้สึกแบบนั้นกันทุกคน ในวัยใกล้ขึ้นเลขสาม ลักษณะท่าทางหน้าตาของฝ่ายนั้นก็ยังคงเหมือนเด็กนักศึกษา ดูช่างสดใสน่าเอ็นดู มีอารมณ์ขัน จนใครอยู่ใกล้ก็พลอยมีความสุขไปด้วย โดยเฉพาะกับธรณิศ
แม้ไม่เคยมีใครเอ่ยปากออกมาตรงๆ ว่าทั้งสองคบกันในฐานะอะไร แต่ก็มีบางอย่างที่แสดงออกว่าธรณิศกับอนงค์ณัฐนั้นเป็นมากกว่าเพื่อน
หลังประชุมช่วงเช้า ธรณิศหายเงียบอยู่ในห้องทำงานของเขา จนใกล้เที่ยง ฝ่ายนั้นก็เดินออกมาชวนไปรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารแถว ๆ นั้น
เนื่องจากแถวนี้เป็นย่านธุรกิจแถวนี้อาคารพาณิชย์ในละแวกใกล้เคียงจึงเปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายขนมและร้านกาแฟหลายร้าน และมีตลาดนัดเล็กๆ ให้พนักงานบริษัทแถวนี้ได้ ช้อปปิ้งกันแก้เบื่อ
“กินส้มตำร้านป้ากันไหม ไม่ได้ไปกินตั้งนานแล้ว” อนงค์ณัฐเอ่ยชวนขึ้น ขณะเดินเข้ามาในซอยด้วยกัน และยังตกลงใจไม่ได้ว่าจะรับประทานอะไรกันดี
ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องจะไม่รู้ว่ามีข้าวเหนียวหมูทอดเจ้าโปรดรออยู่ เพราะธรณิศคงลืมมันไปแล้ว รมณีพยายามจะไม่สนใจ เธอเห็นธรณิศพยักหน้ารับคำ เช่นทุกครั้งที่อนงค์ณัฐเสนออะไรขึ้นมา แต่แล้วเหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้
“แต่เก๋ไม่ทานเผ็ดนี่” ธรณิศท้วงขึ้น หันมามองหน้าเธอ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่รมณีก็อดปลื้มใจไม่ได้ที่เขาอุตส่าห์จำได้ ความขุ่นมัวที่อยู่ในใจคลายลงทันที
“ไม่เป็นไร ถ้าอยากทานก็ไปเถอะ...เก๋สั่งอย่างอื่นทานได้”
“หรือพี่เก๋อยากทานร้านอื่น เดี๋ยววันหลังโอ๋ค่อยมาทานเองก็ได้ เอาร้านก๋วยเตี๋ยวหมูข้างเซเว่นที่พี่เก๋ชอบก็ได้ เอาไหม...” อนงค์ณัฐหันมาถามอย่างจริงใจ
“ไปร้านส้มตำเถอะ...พี่ทานไก่ย่างก็ได้”
“งั้นก็โอเค...” เออีสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางร้านโปรดของตัวเอง
เมื่อเข้าไปในร้าน ลูกค้ายังไม่มากนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาพักเที่ยงดี ป้าร่างท้วมเจ้าของร้านหันมาเห็นอนงค์ณัฐก็ยิ้มทักอย่างสนิทสนม บางครั้งรมณีก็นึกอิจฉาความเป็นกันเองและเข้ากับคนได้ง่ายของอีกฝ่าย เธอเองมาที่ร้านนี้บ่อยพอๆ กันแต่เจ้าของร้านแทบจะไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ
“ว่าไง...ไม่เห็นหน้านานเลยนะ หนูตั้งโอ๋ งานยุ่งเหรอ แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีสักที มีแล้วอย่าลืมเชิญป้าด้วยล่ะ” คุณป้าซึ่งยืนตำส้มหน้าอยู่หน้าครกไม้ใบใหญ่หันมาหลิ่วตาให้คนที่ถูกถาม พลางโบ้ยคางไปที่ธรณิศซึ่งกำลังหาโต๊ะว่างนั่งอยู่
รมณีไม่รู้ว่าฝ่ายชายได้ยินหรือเปล่า แต่อนงค์ณัฐหัวเราะอย่างร่าเริงขณะเข้าไปกอดเอวฝ่ายนั้นอย่างกันเอง
“ข่าวดีอะไรคะป้า ขึ้นบ้านใหม่เหรอ เสียดายหนูอยู่คอนโดฯ เสียด้วย ขอหนูตำเองได้ไหมวันนี้อยากกินเผ็ด เอาให้ปากระเบิดไปเลย” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องได้อย่างแนบเนียน พลางขยับตัวไปยืนเคียงข้างเจ้าของร้าน ซึ่งขยับตัวหลบให้อย่างเต็มใจ
รมณีเห็นธรณิศหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพอนงค์ณัฐที่กำลังตำส้มตำด้วยท่าทางทะมัดทะแมงอย่างชอบใจ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเธอด้วยสีหน้าซังกะตาย
“ถ้าบริษัทเจ๊ง ผมว่าตั้งโอ๋คงเป็นคนเดียวที่ไม่เดือดร้อน อย่างน้อยก็มีอาชีพเสริมแล้ว”
หญิงสาวฟังแล้วอดขำไม่ได้ เธออมยิ้มก่อนจะแกล้งแหย่เขา
“ไหนธูปบอกว่างานของผาสุขกรุ๊ปได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไง คิดถึงขนาดบริษัทจะเจ๊งเลยเหรอ”
“ก็แค่พูดเผื่อไว้” ชายหนุ่มยังคงทำหน้าเซ็ง ก่อนจะหยิบกระดาษโน้ตมาจดรายการอาหารที่จะสั่ง ปล่อยให้อนงค์ณัฐตำส้มตำสำหรับตัวเองไปพลาง
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแอบมองเสี้ยวหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนรายการอาหารอยู่ เธอมองเขาเพลินจนเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นถามเธอว่าจะสั่งอะไร รมณีรีบหลบตาแทบไม่ทัน
“ของเก๋ ข้าวเหนียวไก่ย่างใช่ไหม แค่นี้อิ่มเหรอ” ธรณิศถามเหมือนปรารภกับตัวเอง พลางมองที่เมนูอาหารเหมือนจะช่วยตัดสินใจ
“เอาคอหมูย่างเพิ่มไหม หรือจะเอาตับหวาน”
“อะไรก็ได้ ธูปอยากทานอะไรก็สั่งเลย แค่ไม่เผ็ดมากเก๋ก็ทานได้ จริงๆ ส้มตำถ้าไม่เผ็ดมากก็ได้นะ”
“งั้นสั่งส้มตำไทยมาทานกับผมแล้วกัน ที่จริงน่าให้ตั้งโอ๋นั่งแยกโต๊ะต่างหากนะ รายนั้นชอบเผ็ดๆ สมเป็นคนใต้เลย” ธรณิศทำเป็นบ่น แต่ก็แฝงวี่แววความเอ็นดูไว้ด้วย
พอคนที่ถูกบ่นถึงเดินถือจานส้มตำอย่างเผ็ดที่เจ้าตัวตำเองมานั่งที่โต๊ะ ธรณิศก็ยื่นรายการอาหารที่สั่งให้ดู อนงค์ณัฐกราดสายตาดูอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้าตกลง ชายหนุ่มจึงส่งกระดาษแผ่นน้อยให้เจ้าของร้าน
“แน่ใจนะว่าทานแล้วจะไม่ท้องเสีย” ชายหนุ่มถาม มองพริกขี้หนูที่ไม่รู้ว่าคนตำโปรยใส่ลงไปกี่เม็ด
“โอ๋ธาตุแข็งอยู่แล้ว นี่เบาะๆ นะ กลัวป้าแกขาดทุนค่าพริกเลยไม่กล้าใส่เยอะ หูย...หายอยากเลย” คนพูดทำปากห่อ ท่าทางจะอร่อยสมใจ จนรมณียังนึกเอ็นดูท่าทางของฝ่ายนั้น
จนรับประทานเสร็จ อนงค์ณัฐชวนเธอไปเดินเล่นดูของที่ตลาดนัดในอาคารสำนักงานแถวนั้น รมณีรับคำ ทั้งที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเวลาที่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ขณะที่อนงค์ณัฐเดินซื้อของอย่างเบิกบานใจมีธรณิศคอยเดินตามช่วยถือของให้
ระหว่างเดินกลับบริษัท รมณีมัวแต่ฟังธรณิศคุยเรื่องหลานๆ ของเขาเพลิน รมณีก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็มีคนเดินตรงเข้ามาทัก
“วุ้น...วุ้น...มาทำอะไรแถวนี้ ย้ายมาจากนครปฐมตั้งแต่เมื่อไหร่ แหม...ตั้งแต่แต่งงานก็หายเงียบไปเลยนะ” ฝ่ายนั้นพูดยืดยาว ท่าทางเหมือนสนิทสนมกันมานาน หล่อนท่าทางดีแต่งตัวเหมือนพนักงานบริษัททั่วไป
อนงค์ณัฐมองหน้ารมณีก็เห็นฝ่ายนั้นหน้าซีด หันมาสบตาเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็ทำหน้างงมองคนที่เดินเข้ามาทัก ท่าทีเหมือนไม่รู้จักอีกฝ่าย
“อย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้ ฉัน...ปิ่นไง” อีกฝ่ายพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เหมือนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเป็นเรื่องขำขัน
“เอ่อ...สงสัยจะทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันชื่อเก๋ค่ะ...ชื่อจริงรมณี แล้วก็ไม่เคยอยู่ที่นครปฐมด้วย”
รมณีบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังดูสุภาพแต่ก็ห่างเหินอยู่ในทีจนคนที่มาทักเริ่มทำท่าลังเล แต่หล่อนก็ยังมีท่าแคลงใจกับความจำของตัวเอง
“เหรอคะ แต่...คุณเหมือนวุ้นเพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยของฉันเลยค่ะ” หล่อนเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่ง แต่รมณีส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้จบจากที่นั่น”
“ไม่ใช่จริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าแกล้งอำกันนะ” อีกฝ่ายยังทำท่าไม่ยอมง่าย ๆ หล่อนพยายามจ้องหน้ารมณี เพื่อจะดูว่าอีกฝ่ายมีพิรุธหรือเปล่า
แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังว่าไม่ได้เป็นการล้อเล่น หญิงสาวพนักงานออฟฟิศคนนั้นก็หน้าเจื่อน แต่ยังมีแววข้องใจอยู่ในดวงตาของหล่อน
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วยนะคะ ที่เข้าใจผิด” หล่อนยิ้มแหย ๆ ให้ ท่าทีผิดกับตอนแรกที่เดินเข้ามาทัก
“ไม่เป็นไรค่ะ” รมณียิ้มตอบ ก่อนจะรีบหันหลังให้ฝ่ายนั้น
อนงค์ณัฐแอบมองไปทางธรณิศก็เห็นว่าชายหนุ่มก็มีท่าสงสัยเช่นกัน เพราะเธอจำได้ว่ารมณีเคยหลุดปากบอกออกมาว่าตัวเองจบจากสถาบันที่หญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยถึงเมื่อครู่ เหตุใดเธอถึงได้บอกว่าตัวเองจบที่อื่น ท่าทีปฏิเสธก็ดูมีพิรุธชอบกล
ฝ่ายสาวออฟฟิศคนนั้นก็รีบหันหลังเดินหายไปเช่นกัน อนงค์ณัฐคิดว่าเรื่องหน้าแตกนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่เชื่อว่าตัวเองทักคนผิดมากกว่า
“โอ๋นึกว่าพี่เก๋จบจุฬาฯ ซะอีก เหมือนพี่เก๋เคยบอกว่าจบที่นี่เลยนะคะ” อนงค์ณัฐอดถามไม่ได้
“เปล่า...พี่ว่าไม่เคยบอกเลยนะ สงสัยตั้งโอ๋จะจำผิดแล้วล่ะ” หญิงสาวบอกหน้าตาเฉย
อนงค์ณัฐหันไปสบตากับธรณิศเป็นเชิงถาม แต่ชายหนุ่มได้แต่ยักไหล่ เขาเป็นคนไม่สนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้อยู่แล้ว
“แต่ก็แปลกนะ เคยมีคนทักพี่แบบนี้ครั้งหนึ่งด้วย คนชื่อวุ้นนี่แหละ สงสัยจะหน้าตาเหมือนกัน” รมณีบอกยิ้ม ๆ
“ถ้ามีอีกที ผมว่าเก๋ควรถามให้รู้เรื่องแล้วล่ะว่าคนชื่อวุ้นเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง จะได้หายข้องใจไปเลย” ธรณิศแนะนำ
“นั่นสิ...เอาไว้คราวหน้าจะถามให้หายข้องใจกันไปเลย” หญิงสาวเออออตามไปด้วย
เมื่อเดินมาใกล้ถึงบริษัท อนงค์ณัฐก็เอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวโอ๋ว่าจะออกไปเลยนะ จะเอาอาร์ตเวิร์กไปให้พี่จอมดู” เธอหมายถึงลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของร้านเสื้อหรูในห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่สาวธรณิศ
“แล้วก็จะเลยไปหาคุณดาด้วย แกบอกว่าอยากปรับตารางวันแถลงข่าวนิดหน่อย โอ๋ไม่เข้าออฟฟิศแล้วนะ” รายหลังนี้เป็นลูกค้าของหน่วยราชการแห่งหนึ่งที่พ่อของธรณิศเป็นคนแนะนำมา
“ตามใจ...” ธรณิศบอกง่าย ๆ แต่ก็เห็นชัดเจนถึงแววตาอาลัยอาวรณ์
“งั้นโอ๋ไปเลยแล้วกันนะ...” หญิงสาวบอกพลางยื่นมือมารับถุงข้าวของที่ฝ่ายชายช่วยถือมาให้ เมื่อเดินมาถึงรถของตัวเองที่จอดอยู่ริมถนน
ระหว่างเดินกันมาตามลำพัง ธรณิศก็ร้องขึ้นเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมเอาข้าวเหนียวหมูทอดที่รมณีซื้อมาให้อนงค์ณัฐ ชายหนุ่มทำท่าเสียดายโดยไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนสีหน้าของอีกฝ่าย
หญิงสาวเม้มปากนิ่งอั้นราวกับกำลังพยายามข่มอารมณ์อยู่ ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มแล้วพูดเสียงเย็น
“ช่างมันเถอะ...ป่านนี้มันก็คงไม่อร่อยแล้วล่ะ ของพวกนี้ต้องทานตอนร้อน ๆ เอาทิ้งไปเถอะ” ร่างสูงพูดพลางก้าวเท้าเดินไปด้วยอารมณ์อันเริ่มคุกรุ่น
ธรณิศกำลังจะหันไปขอโทษ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างหญิงสาวที่เดินอยู่ข้าง ๆ จู่ ๆ ก็หน้าทิ่มพรวดลงไปกองอยู่กับพื้น
“อ้าว...เป็นอะไรหรือเปล่า...เก๋” ชายหนุ่มร้องอออกมา ก่อนจะรีบเข้าไปประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น
“พื้นตรงนั้นน่ะสิ...มันไม่เรียบ ส้นรองเท้าเลยสะดุดเข้า” รมณีบอกเสียงแข็ง ซึ่งนาน ๆ จะเห็นคนที่เยือกเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างเธอแสดงอารมณ์โกรธสักที
หญิงสาวค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอเขย่งเท้าข้างที่สะดุดพื้น ทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บแล้วร้องออกมาเบา ๆ เมื่อขยับเท้าข้างนั้น
มีรอยถลอกที่หัวเข่าข้างหนึ่ง เลือดไหลซึมออกมาซิบ ๆ รมณีมองฝ่ามือทั้งสองข้างที่มีรอยถลอกปอกเปิกเต็มไปด้วยดินแล้วทำหน้าแหย
“ผมว่าไปล้างแผลที่ออฟฟิศเถอะ เดินไหวหรือเปล่า” ธรณิศมองรองเท้าส้นสูงของหญิงสาวอย่างหวาดเสียว
รมณียังไม่ยอมก้าวเท้า
“ข้อเท้าแพลงเหรอ...” ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่วหน้า เขาก็คิดว่านั่นคงเป็นคำตอบ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ขอโทษนะ” เขาพูดแค่นั้น ก็ตัดสินใจโน้มตัวลงรวบร่างแบบบางของหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“ว้าย...!” รมณีร้องออกมาด้วยความตกใจ แก้มสองข้างเป็นสีเข้มอย่างห้ามไม่อยู่
“แน่ใจนะว่าอุ้มไหว” หญิงสาวพึมพำถาม แต่ไม่กล้ามองตาคนที่อยู่ใกล้แค่คืบ
“ก็ต้องลองดู” ธรณิศตอบพลางแกล้งทำเป็นสูดลมหายใจเต็มปอด แล้วรีบเดินจ้ำอุ้มหญิงสาวไปที่ออฟฟิศซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
เมื่อชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปข้างใน เด็กสาวพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้ารีบลุกขึ้นมาจับบานประตูให้ หน้าตาตกอกตกใจ
“พี่เก๋...เป็นอะไรหรือคะ”
“หกล้มน่ะ...ข้อเท้าแพลง จอยช่วยไปหยิบชุดปฐมพยาบาลมาให้หน่อยสิ”
เด็กสาวรีบวิ่งไปที่ห้องพักพนักงานทางด้านหลังซึ่งมีตู้ยาติดอยู่ แล้วหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมา เจ้านายของเธอพาหญิงสาวไปที่โซฟาตัวยาวในโถงรับแขก แวบหนึ่งที่พนักงานสาวรู้สึกผิดตากับสีหน้าของฝ่ายหญิง หล่อนจึงแกล้งถามล้อ ๆ
“อุ้มมาจากไหนคะ...พี่ธูป”
“ไกลพอดูก็แล้วกัน” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนพยายามจะไม่หายใจแรงให้สองสาวเห็น
“เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะ”
รมณีได้แต่นั่งทำหน้าไม่ถูก หญิงสาวถอดรองเท้าส้นสูงออก ยังรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าแต่คิดว่าคงไม่ถึงกับแพลง
“เก๋ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวเก๋ไปล้างแผลในห้องน้ำดีกว่า” หญิงสาวบอกพลางลุกขึ้น เมื่อถอดรองเท้าออกก็รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาก เสียงชายหนุ่มร้องให้เธอรอครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของเธอ
ธรณิศกลับออกมาพร้อมกับรองเท้าผ้าสำหรับใส่เดินในออฟฟิศของเธอ รมณีรีบรับมันมาจากเขา พึมพำขอบคุณโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
รมณีใส่รองเท้าผ้าแล้วค่อยๆ เดินไปล้างแผลในห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีก็เห็นชายหนุ่มนั่งรอเตรียมพร้อมทำแผลให้ ข้างตัวมีกระเป๋าปฐมพยาบาลพร้อม จอยยืนรอช่วยอยู่ข้างๆ
“มา...เก๋ เดี๋ยวผมใส่ยาให้ เป็นแผลตรงไหนบ้าง” คุณหมอจำเป็นถามด้วยสีหน้าจริงจังจนคนเจ็บนึกขำ
“ไม่ได้เป็นมากขนาดนั้นหรอก แค่ถลอกนิดหน่อยที่มือกับที่หัวเข่า ข้อเท้าก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” รมณีตอบ ขณะเดินไปนั่งลงข้างชายหนุ่ม
ธรณิศหยิบสำลีชุบน้ำเกลือบรรจงเช็ดลงบนรอยถลอกที่หญิงสาวล้างน้ำมาจนสะอาดแล้ว ก่อนจะใส่ยาให้อย่างเบามือ ทำแผลปิดพลาสเตอร์ยาให้เสร็จ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นอีก
“เดี๋ยวผมไปเอาเจลลี่ในตู้เย็นมาประคบข้อเท้าให้” เขาพูดพลางเดินหายเข้าไปที่ห้องด้านหลัง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับถุงเจลลี่สีฟ้า แล้วคุกเข่าลงเอาถุงเจลลี่ประคบลงบนข้อเท้าข้างที่เจ็บให้อย่างแผ่วเบา
“แหม...ฉากนี้เหมือนในละครเลยนะคะ โรแมนติกชะมัด”
จอยซึ่งยืนรอเป็นลูกมือแต่ธรณิศไม่ยอมให้เธอช่วยปรารภขึ้น น้ำเสียงและรอยยิ้มของฝ่ายนั้นเหมือนจะพูดหยอกเอินธรรมดา แต่รมณีกลับรู้สึกหงุดหงิดพิกล เธอเห็นธรณิศแกล้งหันไปจิกตาใส่ลูกน้อง อีกฝ่ายก็แกล้งทำเป็นคอย่น
เสร็จเรียบร้อย ธรณิศก็ลุกขึ้นยืน เหงื่อแตกซึมเต็มหน้าราวกับศัลยแพทย์ที่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัด
“เรียบร้อย...ถ้าข้อเท้ายังไม่หายก็ต้องไปให้หมอดูอีกทีนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ...ธูป บอกแล้วไงว่าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น เก๋เดินไหว” รมณีบอกเสียงเรียบ เมื่อชายหนุ่มทำท่าจะช่วยประคองเธอกลับไปที่โต๊ะทำงาน
ธรณิศกับจอยก็เลยพากันแยกย้ายไป เมื่ออยู่ตามลำพังรมณีก็อดไม่ได้ที่จะลูบนิ้วลงบน พลาสเตอร์ยาที่ฝ่ามือ รู้สึกราวกับไออุ่นจากมือของเขายังประทับอยู่ไม่จางหายไป
ภาพแวบแรกที่เธอเห็นเขายังคงฝังอยู่ในความทรงจำ แจ่มชัดเหมือนภาพถ่ายที่เก็บไว้ในอัลบั้ม เสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ รอยยิ้มและแววตาอันอบอุ่น ช่วยปลุกให้หัวใจอันอ้างว้างและโดดเดี่ยวมีชีวิตมีชีวา มีความหวังในชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่รมณีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้รู้สึกหวั่นไหวกับเขามากขนาดนี้
มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนตกหลุมรักคนที่ยังไม่ทันได้รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่ก็โชคร้ายเหลือเกิน
เพราะ...เขาคนนั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อเธอ หัวใจของเขามีให้คนอื่นไปเสียแล้ว
รายละเอียด
คำโปรย แรมพร่างดาว
เป็นนิยายรักเรื่องที่ ๓ ในชุดเรื่องรักสามเวลา อันประกอบด้วย
เลศอรุณ คราสตะวัน แรมพร่างดาว
รมณี หญิงสาวผู้มีอดีตลึกลับดำมืด ที่เธอกับแม่ต้องพยายามซ่อนเร้นความลับบางอย่างเอาไว้ เธอพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเจอกับ ธรณิศ ผู้เป็นเจ้านาย แม้หัวใจเขาจะโอนเอียงไปทางอนงค์ณัฐเพื่อนร่วมงานอีกคน แต่การได้อยู่ใกล้เขาก็ทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ยิ่งได้ใกล้ชิดกัน รมณีก็ยิ่งเข้าใจว่าเหตุใด เธอถึงได้รู้สึกรักธรณิศตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นเขา เพราะเธอไม่ได้เพิ่งพบเขาครั้งแรก แต่ครั้งหนึ่งสมัยยังเป็นเด็กน้อย ผู้ชายคนนี้เคยขอเธอแต่งงานด้วยแหวนของเล่นมาแล้ว
แต่แล้วเมื่อชีวิตกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย ปีศาจร้ายที่เฝ้าติดตามชีวิตของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพื่อทำลายชีวิตของเธอให้ภินท์พังไปสมกับความแค้น ทำให้ทั้งเธอและธรณิศแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
หากชีวิตของเธอเป็นเหมือนคืนข้างแรม ธรณิศก็เปรียบเหมือนดวงเดือนอันกระจ่างที่จะแผดแสงนวลเข้ามาในชีวิตอันมืดมนของเธอให้พร่างพราวสดใสขึ้นมาอีกครั้ง