
เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน (อักษรา) (EBOOK)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังอยู่หน้าห้องฉุกเฉินทำให้หญิงสาวกำลังยืนขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนชาร์ตคนไข้หันไปมองทางเข้า ก่อนวางสิ่งของในมือลงแล้วก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากห้องเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อของเธอ
“ณภัสชลรีบตามอาจารย์ไปที่ห้องผ่าตัดเร็วเข้า”
“ค่ะอาจารย์” เธอขานรับพร้อมกับซอยเท้าตามหลังผู้เป็นอาจารย์ไปอย่างเร่งรีบ หญิงสาววิ่งขนานไปกับเตียงคนไข้ซึ่งถูกเข็นไปตามทางเดิน แล้วเลี้ยวตรงไปยังห้องผ่าตัด ดวงตาคู่สวยหากมีประกายมุ่งมั่นเหลือบมองคนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง พอเห็นชุดพรางทหารเปรอะเปื้อนดินโคลนอีกทั้งมีเลือดแห้งเกรอะกรังอยู่เต็มไปหมดเธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกเท่าตัว
เตียงคนไข้ถูกเข็นเข้าไปยังห้องผ่าตัดในเวลาเพียงชั่วอึดใจ หลังทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่ร้อยโทภูริชค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะหรี่ลงเมื่อเห็น แสงไฟสว่างวาบเข้ามา ชายหนุ่มเอียงใบหน้าไปด้านข้างแม้สติสัมปชัญญะใกล้หลุดลอยแต่ใบหน้าเลือนราง ของหญิงสาวในชุดสีเขียวยืนหน้าตาตื่นอยู่ข้างเตียงกลับทำให้เขาจดจำเธอได้แม่นยำ
เขาได้ยินเสียงลมหายใจผะแผ่วของตัวเอง เสียงโกลาหลของหมอและผู้ช่วย แม้บรรยากาศภายในห้องจะเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด กลับเป็นเสียงนุ่มหูและความอบอุ่นก็ยิ่งแผ่ซ่านเมื่อมี มือนุ่มนิ่มวางลงบนบ่าแล้วปลอบประโลมให้เขาคลายความกังวล
ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงอีกครั้ง ด้วยสติสัมปชัญญะใกล้เลือนราง ระหว่างนิ่งฟังเสียงรอบข้าง เขาได้ยินเสียงแหบห้าวเรียกชื่อใครคนหนึ่ง พอมีคนขานรับทุกอย่างก็พลันดับวูบ หากสรรพเสียงและชื่อของเธอกลับตรึงอยู่ในสามัญสำนึก...นภัสชล...
ร้อยโทภูริชเปิดเปลือกตาขึ้นในตอนเช้าหลังต้องนอนแบบอยู่บนเตียงมาร่วมสองอาทิตย์เศษ ชายหนุ่มกะพริบตาไล่ความง่วงกวาดมองไปรอบๆ แล้วถอนใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนหยุดสายตาอยู่ตรงร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังจิบกาแฟอยู่ข้างหน้าต่าง
“อ้าวพี่ริชตื่นแล้วเหรอ” พอได้ยินเสียงเตียงขยับดังเอียดอาดเจ้าของร่างสูงโปร่งจึงหันไปทักทายคนบนเตียงน้ำเสียงยินดี
“มาได้ยังไง...แล้วคนเฝ้าฉันไปไหน...เออขอน้ำกินหน่อยสิหิวชะมัด” เขาถามเป็นชุดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนขอน้ำดื่มแก้กระหาย
“ติดรถเพื่อนมา...ส่วนหมู่บอกว่าจะไปหาอะไรกิน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับหยิบน้ำเทลงในแก้วแล้วนำไปจ่อตรงริมฝีปากแห้งผากของเพื่อนรุ่นพี่
“ขอบใจ...คนอื่นเป็นยังไงบ้างตั้งแต่นอนเดี้ยงอยู่นี่ยังไม่เห็นทีมของเราโผล่มาสักคน” ร้อยโทหน้าเข้มเอ่ยขอบคุณแล้วถามถึงลูกทีมคนอื่นๆ น้ำเสียงห่วงใย
“ก็ยุ่งๆ อยู่ทางโน้นพอปลีกตัวได้ผมเลยรีบนำหน้ามาก่อนอีกสองสามวันคนอื่นคงตามมา ตอนถูกพวกนั้นถล่มเล่นเอาพวกเราแตกกระเจิงไปกันคนละทิศละทาง ส่วนใหญ่ไม่เป็นไรมากที่โดนกระสุนถากมีไม่กี่คนโรงพยาบาลที่โน่นพอรับได้ แต่พี่หนักหน่อยหัวหน้าเลยให้ส่งมานี่”
“ความจริงถูกยิงแค่นี้โรงพยาบาลไหนๆ ก็ทำแผลได้ทั้งนั้นจะส่งมาที่นี่ทำไมให้ยุ่งยาก...”
“ถูกยิงแค่นี้อะไร ไอ้กระสุนที่มันฝังในอยู่ห่างหัวใจพี่ไม่ถึงสองเซ็น หัวหน้าร้อนใจมากเลยให้ฮอฯ ส่งพี่มานี่ ขนาดหมอยังพูดเลยว่าโชคดีที่มาทันเวลา”
“ขนาดนั้นเชียว แล้วพวกมันล่ะ” คนเจ็บเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนพูด
“ไปทัวร์นรกห้าไอซียูสอง นอกนั้นเผ่นเข้าป่าเท่าที่ได้ข้อมูลไอ้ที่หนีตายระดับตัวเอ้ทั้งนั้น พวกเราที่เหลือเลยต้องออกล่า ส่วนของกลางได้มาทั้งหมด...มียาบ้ายาอีพร้อมอุปกรณ์ใช้ผลิตอีกครบครันแถมด้วยอาวุธเถื่อนงานนี้พวกมันเสียรายได้เป็นพันล้าน และดูเหมือนพวกเราจะไปกระตุกหนวดผู้มีอิทธิพลเข้าเต็มๆ เห็นมีข่าวแว่วๆ ว่าไม่ใครก็ใครอาจมีเด้งกันบ้างละ”
“ย้ายออกเดี๋ยวทางการก็ส่งคนเข้ามาใหม่ยังไงพวกมันก็ไม่มีทางลอยนวลหรอกน่า”
“แล้วคนที่มาใหม่เขาจะสู้ยิบตาอย่างพวกเราไหมล่ะ...ถ้านายใหม่เอาจริงเอาจังมันก็ได้กวาดได้เช็ดพวกหนักแผ่นดินนั่น แต่ถ้าเกิดเห็นแก่ผลประโยชน์ก้อนโตขึ้นมาไอ้ที่กวาดที่เช็ดมันจะกลายเป็นพวกเราเอานะสิ” คำตอบที่สวนกลับมาของนายทหารรุ่นน้องทำให้ดวงตาคมกล้าทอประกายเหนื่อยล้าออกมา แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทำให้บทสนทนาของทั้งคู่ยุติอยู่แค่นั้น พอบานประตูเปิดออกนางพยาบาลจึงเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะหมวดวันนี้ยังรู้สึกปวดแผลอยู่ไหมคะ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ให้คนถามก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับยื่นแขนให้ เมื่อเธอนำเครื่องมือออกมาวัดความดัน และอ้าแขนหนีบปรอทแล้วตอบคำถามเดิมๆ อีกสองสามหัวข้อ พอเรียบร้อยนางพยาบาลจึงตรวจแผลและพูดกับเขาอีกเล็กน้อย ก่อนแจ้งว่าอีกสิบนาทีแพทย์เจ้าของไข้จะเข้ามาตรวจแล้วจึงกลับออกไป
“ได้ของแต่ไม่ได้คนแบบนี้คงขยายผลลำบากเพราะไอ้ที่พะงาบๆ อยู่นั่นคงถูกสั่งเก็บอีกตามเคย” พอลับร่างนางฟ้าสีขาวคนที่เหนื่อยหน่ายกับวัฏจักรเดิมๆ ก็อดเปรยขึ้นไม่ได้
“เราก็ดูแลให้ดี หรือไม่ก็ย้ายพวกนั้นไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย” ภูริชแนะนำ
“พูดน่ะง่ายแต่สุดท้ายพวกมันก็ตามไปเก็บอยู่ดี...ยิ่งพี่มาเจ็บแบบนี้ไอ้พวกนั้นคงรีบจัดการ”
“แกก็พูดเกินไปในทีมคนฝีมือดีๆ ก็มี แต่ที่เราพลาดสงสัยว่าเกลือน่าจะเป็นหนอน” ชายหนุ่มนิ่งคิดแล้วลำดับเหตุการณ์
“หัวหน้าก็ว่างั้นเพราะดูเหมือนพวกมันจะรู้ตัว ดีนะที่มีคำสั่งให้พวกเราส่วนหนึ่งดักเส้นทางล่วงหน้าถึงสองวัน ถ้ารอถล่มตามวันเวลาของสายมีหวังได้กินแห้วกันจนเปรม”
“แล้วหัวหน้ามีผู้ต้องสงสัยหรือยัง”
“ผมว่าคงมีอยู่ในใจนั่นแหละ แต่คงรอให้ชัวร์ก่อนไม่อย่างนั้นถ้าไก่ตื่นขึ้นมาคงคว้าน้ำเหลวเหมือนทุกครั้ง จะว่าไปก็น่าแค้นใจไอ้พวกเห็นแก่ผลประโยชน์พวกนั้น มันเอาชีวิตพวกพ้องพี่น้องไปแลกกับเศษเงินที่นายทุนหว่านโปรยโดยไม่คิดว่าหากสิ้นหัวหน้าครอบครัว คนอยู่เบื้องหลังของพวกเขาต้องพบกับความลำบากขนาดไหน”
“ก็ผลประโยชน์มันล่อตาล่อใจอย่างไรล่ะ ว่าแต่แกเถอะไม่คิดอยากมั่งมีอย่างคนอื่นเขาบ้างเลยหรือ”
“ไม่ล่ะ...ถ้ารวยแต่มีชีวิตอยู่กับความทุกข์ใจแบบนั้น ผมขออยู่แบบ ติดดินแล้วกินอุดมการณ์ดีกว่าเป็นไหนๆ แล้วพี่ล่ะไม่คิดอยากรวยบ้างเหรอ คนมีฝีมือย่างพี่รับรองไปไหนก็มีแต่คนต้องการ” ชายหนุ่มโยนคำถามเดียวกันกลับไปบ้าง
“แค่กินอุดมการณ์มันก็ทำให้ฉันอิ่มท้องแล้วล่ะ...” ภูริชตอบแล้วหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของรุ่นน้อง
“แผลพี่เป็นไงบ้าง...เดี๋ยวนี้มันเล่นของหนักขึ้นทุกทีต่อไปไม่รู้มันจะส่องเราด้วยอาวุธอะไรอีก ว่าแต่ใจคอจะไม่แจ้งให้คนในครอบครัวรู้เลยเหรอ ความจริงน่าจะให้น้องภีมาเฝ้า กำลังเรียนหมอด้วยไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถามแล้วพยักพเยิดไปที่บาดแผล ก่อนหรี่ตาอย่างมีความหมายเมื่อเอ่ยถึงภีรชา
“ก็มีปวดหนึบๆ บ้างแต่ไม่มากคงใกล้หายแล้ว ส่วนเรื่องทางบ้านฉัน ไม่อยากให้แม่เป็นกังวล ส่วนไอ้ภีขืนรู้มันได้บ่นจนขี้หูกระเด็น อ้อ...ขอให้รู้ไว้ว่าฉันยังไม่อยากได้แกเป็นน้องเขยและอย่าคิดแอ้มน้องสาวฉันเด็ดขาด” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับพูดดักคออีกฝ่ายอย่างรู้เท่าทัน
“แหม...หวงแบบนี้ระวังน้องภีขึ้นคานนะพี่...ว่าแต่แผลใกล้หัวใจมันจะหายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ...เอ๊ะ...หรือที่นี่มียาดี” คำถามที่มาพร้อมกับท่าทางคลางแคลงของเพื่อนร่วมอาชีพ ทำให้ใบหน้าของอีกคนแช่มชื่นขึ้นทันตา แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะอ้าปากถามในหัวข้อถัดไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ดวงตาสองคู่เบนไปยังต้นเสียงแล้วยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น ก่อนสายตาอีกคู่จะถอนกลับมา จ้องใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยหนวดเคราแล้วขมวดคิ้ว เพราะประกายตาคมกล้าที่คุ้นเคยเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำจนน่าฉงน แต่พอเห็นคนที่ก้าวเข้ามา เขาจึงทำเสียงอืมในลำคอเพราะเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
ภูริชผุดรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปากก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูอิดโรยเมื่อ ร่างบอบบางเดินเข้ามาใกล้ ส่วนคนเยี่ยมไข้ขยับไปยืนชิดกับหัวเตียงเพื่อเปิดทางให้หญิงสาวแล้วจับตามองคนบนเตียงตาเขม็ง
และคำตอบที่ต้องการก็เผยออกมาเมื่อภูริชแบมือแล้วพยักหน้าไปที่โทรศัพท์ของเขา ระหว่างหญิงสาวก้มเขียนรายงานลงบนชาร์ต
นภัสชลไม่ได้สนใจกับท่าทางของคนในความดูแลสักเท่าไร หญิงสาวถามไถ่ถึงอาการทั่วไป รวมถึงตรวจเช็กร่างกายของคนไข้ในความรับผิดชอบตามหน้าที่ เธอก้มจดรายงานด้วยความมุ่งมั่นแล้วกลับออกไปเมื่อหน้าที่สิ้นสุด พอร่างบอบบางเดินออกจากห้องไป คนที่ยืนมองปฏิกิริยาของนายทหารขี้เก๊กอยู่ครู่ใหญ่ก็รีบหันไปเค้นคำตอบทันที
“พี่ปิ๊งหมอเหรอ...มิน่าถึงอาการดีวันดีคืน”
“บ้าเรอะ...ฉันก็แค่ปลื้ม” เขาบอกยิ้มๆ
“ปลื้มกับปิ๊งมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า...แล้วเมื่อกี้พี่ถ่ายรูปเขาได้ไหมล่ะ” ชายหนุ่มถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ฝีมือระดับสไนเปอร์มีเหรอจะพลาด” ภูริชโชว์ของในมือให้อีกฝ่ายดู สีหน้าภูมิใจ
“โอ้โฮ...ถ่ายได้อาร์ตมากเลยพี่...รูปนี้ผมขอแล้วกัน”
“เฮ้ย..ไม่ได้ฉันถ่ายให้ตัวเองแกอย่าแอ้ม”
“อ้าว...แต่รูปมันอยู่ในเครื่องผมนะ....ช่วยไม่ได้รูปอยู่ในเครื่องใคร คนนั้นได้ครอบครอง”
“คนนี้ฉันจองขอร้องอย่าแหยม” นายทหารหน้าเข้มบอกน้ำเสียจริงจัง จนคนฟังอดเลิกคิ้วไม่ได้ เพราะนึกแปลกใจเมื่อเห็นรุ่นพี่เริ่มมีปฏิกิริยาต่อ เพศตรงข้าม ซึ่งปกติภูริชจะไม่ให้ความสนใจกับผู้หญิงสักเท่าไรจนใครๆ มักหยอกล้อว่าเพราะใช้ชีวิตอยู่ในป่าเสียนาน เลยอาจทำให้ชายหนุ่มหันไปนิยม ไม้ป่าเดียวกัน ”
“แล้วไปจองเขาตอนไหน...เท่าที่ประเมินจากสายตาผมเห็นน่าว่าพี่ยังไม่ได้แสดงตัว” แม้อีกฝ่ายจะแสดงเจตจำนงไว้ชัดเจนแต่เจ้าของโทรศัพท์ก็ยังทู่ซี้จะเอาให้ได้
“ก็ฉันยังป่วยอยู่นี่หว่า”
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน...ไม่มีใครเขาห้ามคนป่วยจีบสาวสักหน่อย...”
“จีบตอนนี้ถ้าเธอไม่เอาด้วยฉันก็ซวยน่ะสิ”
“จะซวยยังไงถ้าน้องเขามีคู่อยู่แล้วอย่างมากมันก็แค่อกเดาะ...ทำเป็นใจเสาะไปได้”
“อกเดาะฉันพอรับได้แต่ถ้าเกิดน้องเขาไม่ปลื้มแล้วเอายาพิษมาผสมน้ำเกลือฉันจะเหลือลมหายใจไหม อย่ามายุให้ฉันตายเร็ว ไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วย เอารูปนั่นไปที่ร้านแล้วให้ช่างจัดการทำให้คงทนถาวรที อ้อให้ได้วันนี้ล่ะ” ชายหนุ่มถือโอกาสขอร้องแกมสั่งจนคนฟังนึกหมั่นไส้
“ทำเป็นพระเอกหนังไปได้พี่ริช...ท่าจะเก็บภาพไว้กับตัวแล้วเอาไปเปิดเผยในฉากสุดท้าย ให้นางเอกประทับใจเหมือนหนังไทยล่ะสิ...แต่ น่าเสียดายที่น้องเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็น...เพราะสวยๆ แบบนี้คงไม่โสดแล้วล่ะ”
“เออน่า...จะยังไงก็ช่างแกไปทำตามที่ฉันต้องการมาก็พอ หมดธุระแล้วนี่ไปสิ”
“พี่กำลังไล่ผมเหรอ...เดี๋ยวก็เก็บรูปน้องเขาไว้เองซะหรอก...หรือไม่ถ้าพี่อยากได้เร็วๆ ผมขอแลกกับเบอร์น้องภีได้เปล่า” คนถือไพ่เหนือกว่ายักคิ้ว อย่างทะเล้น
“ถ้ายังไม่ไปทำตามที่สั่งสาบานว่าถ้าหายฉันจะเหนี่ยวแกเป็นคนแรก...และขอเตือนในฐานะรุ่นพี่ว่าอย่าคิดแหยม คนนี้ฉันเฝ้ามาเป็นอาทิตย์ๆ ส่วนเบอร์ไอ้ภีโน่น” ภูริชบอกน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับชี้มือไปที่รองเท้า จนคนฟังอดอมยิ้มให้กับอาการหวงน้องของนายทหารขี้เก๊กไม่ได้
“ถ้าน้องขึ้นคานอย่ามาวานผมสอยก็แล้วกัน” เพราะคุ้นเคยกันมาหลายปีจึงทำให้อีกฝ่ายกล้าต่อปากต่อคำ ชายหนุ่มยังคงอยู่กวนใจคนไข้อีก พักใหญ่จนกระทั่งคนเฝ้าไข้กลับมาจึงขอตัวกลับ พร้อมรับปากเป็นมั่น เป็นเหมาะว่าจะไปทำตามคำขอร้องแกมข่มขู่โดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
นภัสชลตรวจอาการของคนไข้ในความดูแลอย่างเอาใจใส่ หลังอาจารย์มอบหมายให้เธอคอยติดตามดูอาการคนไข้หนุ่มเป็นกรณีพิเศษ หญิงสาวยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างดี และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คนไข้จะอยู่ในความดูแลของเธอ
“อาการของหมวดดีขึ้นมากจนหายเกือบเป็นปกติ วันนี้ก็กลับบ้าน ได้แล้ว ยินดีด้วยนะคะ”
ภูริชพยักหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่ภายในกลับห่อเหี่ยวอย่างประหลาด ชายหนุ่มนิ่งฟังน้ำเสียงอบอุ่นคุ้นเคยของคนที่กำลังให้คำแนะนำ เมื่อเขาจะต้องปฏิบัติหลังกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ด้วยจิตใจที่ล่องลอยอยู่ในห้วง จิตนาการ
ดวงตาคมกล้าไล่สายตาไปตามวงหน้าเนียนละมุน เลยไปตามจมูกโด่งรับกับใบหน้าหวานละไม หยุดตรงริมฝีปากสีชมพูอ่อนน่ามอง แล้วลอบ ถอนใจ
เมื่อตัดสินใจก้าวเข้าสู่หน้าที่สิ่งที่ยึดมั่นคือการทำหน้าที่รั้วของชาติอันแข็งแกร่ง ชีวิตได้มอบให้แด่แผ่นดิน เขาเต็มใจที่จะเสียสละเลือดทุกหยดและลมหายใจทั้งหมดให้กับการปกป้อง และทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่อยู่แนวหลังมีชีวิตอันสุขสบายโดยไม่นึกเสียดายชีวิตหากจะต้องอุทิศให้กับการทำงาน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวินาทีเป็นตายเข้าจริงๆ เขาก็ไม่ได้หวั่นไหว เลยสักนิด ในขณะพร้อมเดินข้ามสะพานชีวิตไปยังมิติแห่งใหม่ แต่ในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนสติสัมปชัญญะจะหลุดลอย ภาพใบหน้าตื่นๆ และน้ำเสียงอบอุ่นของผู้หญิงคนหนึ่งกลับมีอานุภาพมากถึงขนาดสั่งให้เขารักษาทุก ลมหายใจเอาไว้ให้ได้
ชายหนุ่มไล่สายตาไปยังมือเรียวยาวกำลังจดปลายปากกาลงบนชาร์ต แล้วยิ้มจางๆ ผู้หญิงตรงหน้าเวลานี้อาจเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ แต่เขาเชื่อว่าเมื่อเธอได้เป็นแพทย์เต็มตัว คนไข้ทั้งหลายย่อมฝากชีวิตไว้ในมือของเธอได้โดยไร้ความกังวล
“หมวดมีอะไรในใจหรือเปล่าคะ” เธอถามขึ้นหลังเงยหน้าจากชาร์ตแล้วพบกับดวงตาคมกล้าจับนิ่งมาที่ตน
“ผมอยากขอบคุณที่หมอดูแลผมอย่างดีตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา”
“มันเป็นหน้าที่ค่ะ...อีกอย่างดิฉันเป็นเพียงแพทย์ฝึกหัด ยังเกรงหมวดจะต่อว่าโรงพยาบาลที่ให้คนยังไม่เป็นมืออาชีพมาดูแล” เธอเอ่ยราวกับไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง
“คุณหมอเลิศสินบอกกับผมว่าคุณช่วยผ่าตัดเอากระสุนออกให้ และผลงานของคุณท่านก็ชมว่ายอดเยี่ยมมาก ผมเชื่อว่าเมื่อเป็นหมอเต็มตัวคนไข้จะสามารถฝากชีวิตไว้กับคุณได้”
“ดิฉันตั้งใจไว้ว่าอย่างไรก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะต่อไปในวันหน้าสองมือของดิฉันจะมีความหวังของคนที่กำลังสิ้นหวัง เรียงร้อยอยู่เต็มไปหมด”
“น่าเสียดายที่โรงพยาบาลตามชายแดนหาหมอเก่งๆ และมีอุดมการณ์แบบคุณไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะมีก็เพียงหมอที่ถูกคัดสรรลงไป จึงทำให้การรักษาไม่ค่อยได้คุณภาพ เพราะพวกเขาอยู่แค่รอใช้ทุนพอหมดก็ย้ายเข้าเมือง”
“คนเราย่อมมีเหตุผลของตัวเอง...แต่สำหรับคนที่เลือกเรียนแพทย์ดิฉันเชื่อว่าทุกคนต่างก็ทุ่มเทให้กับการรักษาคนไข้ และหวังเห็นรอยยิ้มเมื่อพวกเขาหายป่วย หน้าที่ของแพทย์ทุกคนคือการช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยให้กับคนไข้คงไม่มีใครละเลยกับหน้าที่นี้แน่นอน ส่วนการโยกย้ายบางทีพวกเขาอาจไป เรียนต่อหรือไม่ก็เลือกไปประจำในภูมิลำเนาของตัวเอง”
“แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลความเจริญหรือในอำเภอเล็กๆ ต่างก็มีหมอใหม่ผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อย...ผมไม่ได้ดูถูกว่า หมอใหม่ไร้ฝีมือ...แต่คุณก็น่าจะเข้าใจว่าหากมีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญรักษาให้อย่างต่อเนื่องมันย่อมดีกว่า ดูกรณีผมเป็นตัวอย่างก็ได้...ถ้าทีมแพทย์และเครื่องมือของที่โน่นมีพร้อมผมคงไม่ถูกส่งมาที่นี่...”
“หมอต่อให้เก่งขนาดไหน แต่หากขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ มันก็เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ...”
“หมอเคยไปโรงพยาบาลตามชายแดนหรืออำเภอที่อยู่ห่างไกล ความเจริญไหม” เขาถามแล้วจับตานิ่งอยู่ตรงริมฝีปากสีสวย พอเธอคลี่ยิ้มความรู้สึกห่อเหี่ยวที่กระจายอยู่รอบตัวก็พลันจางหาย
“เคยไปกับอาจารย์ประมาณสองสามแห่งค่ะ...ทำไมหรือคะ”
“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องยืนอยู่บนความหวังของคนไข้ที่มองทุกอย่างแล้วแต่โชคชะตาอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ กับความหวังที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าหมอคือผู้กุมชะตาชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลที่มีทุกอย่างครบครันตาม ตัวเมืองใหญ่ๆ”
นภัสชลจ้องดวงตาคมกล้าสบนิ่งมาที่เธอด้วยความรู้สึกเหมือน ลมหายใจหนักตื้อพิกล หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงแล้วนิ่งคิด ก่อนเงยขึ้นสบตาของเขาอีกครั้งแล้วยิ้มหวานละไมตามแบบฉบับให้กับผู้หมวดเคราดก สำหรับคนรอบกายอาจเห็นว่ามันเป็นเพียงรอยยิ้มธรรมดา แต่กับภูริชมันเป็นยิ่งกว่านั้นเพราะรอยยิ้มนั่นกำลังทำให้หัวใจของเขาใกล้ละลายเต็มที
“ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ...”
น้ำเสียงอบอุ่นกังวานนั้นกำลังหยุดทุกความเคลื่อนไหว แม้เขาไม่อาจล่วงรู้ว่าความเข้าใจของเธอคืออะไร แต่สิ่งที่ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทกลับเป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเธอ...
‘เอาวะ...ตายเป็นตาย หายเมื่อไรพ่อจะจีบเอามาเป็นแม่ของลูกให้ได้...’ สไนเปอร์หนุ่มบอกตัวเองหลังจัดการล็อกเป้าหัวใจเอาไว้ให้มั่นคง แล้วรอจนกว่าทุกอย่างจะลงตัว และเมื่อวันนั้นมาถึงเขาจะบรรจุหัวใจลงไปแล้วเหนี่ยวให้สุดไกปืน...
หลังกลับไปรักษาตัวจนร่างกายหายเป็นปกติครบสองอาทิตย์ ช่วงสายร่างสูงใหญ่จึงเดินหน้าตาแช่มชื่นเข้าไปในโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่ที่เขานอนรักษาตัวและทำหัวใจหล่นหายจนต้องกลับมาตามหา
ชายหนุ่มผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อมุ่งหน้าไปยังแผนกที่เขาคิดว่ามีคนเก็บหัวใจของเขาเอาไว้ ระหว่างทางก็ไม่ลืมโปรยรอยยิ้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ไม่เว้นแม้แต่กระถางต้นไม้ ลิฟต์ รวมไปถึงถังขยะ ขอให้วัตถุเหล่านั้นกระทบเข้าดวงตาเป็นใช้ได้ แม้หลายคนจะสงสัยว่าทำไมพ่อหน้าเข้มถึงได้ แช่มชื่นนัก แต่ทุกคนก็อดยิ้มและมีความสุขไปกับความเบิกบานของเขาไม่ได้
เมื่อเดินมาถึงจุดหมายนางพยาบาลทั้งสาวโสดและไม่โสดต่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ไหล่น่าซบในชุดทหารอันทรงเกียรติยืนถือดอกไม้ช่อโตแล้วจ้องนิ่งมา หลายคนหันไปมองหน้ากันและกันด้วยประกายตาอิจฉาโดยไม่รู้สาเหตุ และความริษยาก็เปล่งประกายเมื่ออิสตรีทั้งหลายเริ่มไม่อยากเห็นใครได้ดีไปกว่าตน แต่คนกำลังลุ้นจนหัวใจแทบ หยุดเต้นคงไม่พ้นนางพยาบาลที่ยังไม่มีใครตีตรา
“เอ่อ...ผมมาหาคุณหมอนภัสชล...เอ่อ...ไม่ทราบว่าอยู่ไหมครับ...” พอเห็นท่าทางตื่นๆ ของเหล่านางพยาบาลนายทหารหน้าเข้มจึงบอกความต้องการอย่างประหม่า แม้คำถามนั้นจะทำให้ความหวังของสาวๆ ดับวูบ แต่มันกลับสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่ไม่มีหวัง
“คุณหมอเพิ่งเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปเมื่อวานค่ะ” นางพยาบาล คนหนึ่งช่วยให้คำตอบในขณะลอบมองช่อดอกไม้อย่างเสียดาย และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้หัวใจเรืองโรจน์กระตุกวาบพร้อมกับความสว่างไสวเมื่อครู่ถูกความมืดกลืนหายไปโดยพลัน
ภูริชยืนตัวแข็งทื่อแม้รอบกายจะมีเสียงอึกทึกแต่เวลานี้เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังยืนโดดเดี่ยวอยู่บนต้นไม้สูง ในยามมวลอากาศพัดผ่านร่างกาย ยิ่งให้ความรู้สึกเวิ้งว้างจนน่าใจหาย เธอเพิ่งเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปเมื่อวาน...เขาช้าไปแค่วันเดียวงั้นหรือ...พอปีนลงมาได้เขาจึงถามตัวเองอย่างห่อเหี่ยวหัวใจ
“แล้ว...ผู้หมวดมีธุระอะไรกับหมอหรือคะ” แม้พอเดาได้จากท่าทางและช่อดอกไม้ แต่คนถามยังต้องการความชัดเจนมากกว่านั้น
เจ้าของช่อดอกไม้หันไปยิ้มเซียวๆ ให้คนถาม แต่ยังไม่ทันปริปาก พูดอะไรเสียงทักทายของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อ้าว...หมวดบาดแผลหายดีแล้วเหรอ”
“คะ...ครับ...สวัสดีครับคุณหมอ” ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียงแล้วตอบเสียงอึกอักก่อนทักทายอีกฝ่ายกลับไปบ้าง
“หมวดมาเยี่ยมใครหรือครับ...” นายแพทย์เลิศสินถามพร้อมกับพยักพเยิดไปยังช่อดอกไม้
“เอ่อ...คือ...เปล่าครับ...ผม...เอ่อ...” นายทหารหน้าเข้มถึงกับติดอ่างเพราะไม่รู้จะเริ่มบทสนนาอย่างไร
นายแพทย์เลิศสินมองท่าทางประหม่าปนห่อเหี่ยวของนายทหาร หน้าเข้มแล้วยิ้ม เพราะเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งสองยืนสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ พอทราบจุดประสงค์ของชายหนุ่มนายแพทย์ผู้อารีจึงให้ข้อมูลที่เขาต้องการอย่างละเอียด
ภูริชยืนกอดช่อดอกไม้ด้วยความรู้สึกเริ่มมีความหวัง และเอ่ยขอตัวเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา พอนายแพทย์เลิศสินเดินจากไปเขาจึงก้มมอง ช่อดอกไม้ในมือ ก่อนจะยื่นให้กับนางพยาบาลวัยกลางคนที่เดินสวนมา แล้วหมุนตัวเดินกลับทางเก่าโดยไม่สนใจกับท่าทางงุนงงปนตื่นเต้นดีใจของเธอ
‘ไม่ว่าคุณจะอยู่ไกลแค่ไหนผมก็จะดั้นด้นไปหาให้จงได้’ เขาบอกตัวเองขณะกำกระดาษแผ่นเล็กในมือไว้แน่น
เข้ากรุงเทพฯ เพื่อตามล่าหัวใจพร้อมกลับไปเยี่ยมครอบครัวมันช่างเป็นอะไรที่ลงตัว...ชายหนุ่มผุดรอยยิ้มออกมาเมื่อหาทางออกได้อย่างเหมาะเหม็ง...ดูเหมือนฟ้ากำลังลิขิตเส้นทางชีวิตอันราบรื่น...เพราะถ้าเป็นไปตามที่คาดการณ์เท่ากับว่า...ยิงปืนนัดนี้เขาจะได้นกถึงสองตัว...
ขณะกำลังเดินอยู่บนถนนสายความฝัน อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ ดังขึ้น เมื่อกดรับใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยความหวังก็พลันเปลี่ยนเป็น เคร่งขรึม และบทสนทนาที่กำลังออกรสอยู่นั่นก็ยิ่งทำให้ทุกความฝันพลันดับวูบ...และค่อยๆ สลายตัวไปทีละน้อยๆ
ภูริชยืนกำโทรศัพท์ค้างอยู่เป็นนานแม้ว่าปลายสายจะกดวางไปสักพัก เขาค่อยๆ ลดมือลงแล้วมองทางเดินที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า...ก่อนพ่นลมหายใจออกมาเฮ้อใหญ่
‘หมวดผมเพิ่งได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการให้คุณไปทำภารกิจเร่งด่วนที่แม่ฮ่องสอน’
คำพูดของหัวหน้ายังคงดังอยู่ในโสตประสาท แม้คราแรกเขาจะพยายามต่อรองขอยืดเวลาออกไปอีกสักสองวัน แต่คำพูดต่อมาที่บอกชัดว่าเขาต้องเข้ารายงานตัวภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ทำให้ทุกความตั้งใจถูกเก็บพับไว้ทันที
เมื่อหน้าที่มีความสำคัญยิ่ง เขาจึงมิอาจละเลยเพียงเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว พอสำนึกได้ว่าภารกิจที่ได้รับนอกจากจะมีความมั่นคงของชาติแล้วมันยังมีชีวิตของเพื่อนร่วมอาชีพอยู่ในความรับผิดชอบ เขาจึงยอมวางความสุขที่ยังเอื้อมไม่ถึงเอาไว้ก่อน
หากกามเทพขีดเส้นทางความรักไว้เช่นนี้...เขาก็คงต้องยอมจำนน กับมัน...ตอนนี้แม้หัวใจกล้าแกร่งจะล่องลอยไปกับเธอและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เอ่ยคำว่ารักอย่างที่ตั้งใจหรือไม่...แต่สาบานด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่าหากยังไม่ถึงที่สิ้นสุดเขาก็จะขอฝากหัวใจที่มีความรักอัดแน่นอยู่ในนั้นไว้ที่...เธอไปตราบ ชั่วนิรันดร...ชายหนุ่มบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น แล้วย่างเท้าไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่มั่นคง