นักเลงเพลงลูกทุ่ง (พันธุ์ ชุมพร)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: นักเลงเพลงลูกทุ่ง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 390.00 บาท 97.50 บาท
ประหยัด: 292.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

นักเลงเพลงลูกทุ่ง

.

พันธุ์ ชุมพร

 

          รถเมล์คันนั้น แล่นระหว่างนครศรีธรรมราช-ภูเก็ต  ทว่ามันหาใช่รถโดยสารแบบรถบัสคันใหญ่ ๆ อย่างในปัจจุบัน  แต่เป็นรถที่ดัดแปลงมาจากรถบรรทุก ๖ ล้อ  โดยอู่ต่อรถในท้องถิ่นนำมาต่อตัวถังขึ้นเอง  คนตัวสูง ๆ เช่น ฝรั่งถ้าไม่มีที่นั่งจะต้องยืนก้มเหนี่ยวราวเหนือหัว  และยืนตัวงอไปตลอดทาง  ขณะที่คนไทยอาจจะยืนได้พอดี

            ส่วนเบาะนั่งแทนที่จะให้ผู้โดยสารได้นั่งแบบสบายๆ  กลับทำเป็นเก้าอี้นั่งไว้ด้านซีกซ้าย ๓ แถวและซีกขวา ๒ แถว ให้คนโดยสารนั่งแถวละ ๕ คน นั่งหันหน้าไปทางคนขับ  ตรงกลางเว้นที่ไว้พอให้กระเป๋ารถ   เดินตะแคงข้างไปเก็บเงินค่าโดยสารจากผู้โดยสารได้เท่านั้น  

ที่แย่กว่านั้น  ถ้าคนโดยสารขึ้นมามากแล้วที่นั่งไม่พอ  กระเป๋ารถก็จะดึงเบาะจากด้านซ้ายและขวาให้มาชนกัน  แล้วให้คนโดยสารนั่งตรงช่องที่เว้นไว้เดินได้อีก ๑ คน  กลายเป็นแถวละ ๖ คน และพอกระเป๋าจะเดินผ่าน  คนโดยสารก็ต้องลุกยืนแล้วค่อยนั่งลงต่อ  เป็นไปแบบนั้นตลอดทาง

            ที่นั่งในรถ  ถ้านับจากแถวหน้าสุดถึงแถวหลังสุด มีประมาณ ๑๐ แถว  ดังนั้นรถเมล์สายนี้  จึงสามารถเยียดยัด  อัดผู้โดยสารเข้าไปได้เที่ยวละ  ๔๐ ถึง ๕๐ คน  ไม่นับคนยืนอีกเป็นสิบ ส่วนบนหลังคาก็บรรทุกสารพัดข้าวของ  ตั้งแต่กระสอบข้าวสารไปจนถึงรถมอเตอร์ไซค์ทั้งคัน

            ประตูขึ้นลงรถทำไว้ถูกต้องตามกฎของความปลอดภัย  คือ อยู่ด้านซ้ายของตัวรถ  ๒ ช่องหน้า – หลัง  เป็นบานไม้สูงแค่สะเอว ปิด-เปิดเข้าออกเหมือนประตูรั้ว คือกั้นแต่ส่วนล่างส่วนบนเปิดโล่ง  ด้านข้างของรถไม่มีบานหน้าต่าง  มีแต่ช่วงเสาที่ใช้ค้ำยันหลังคาไว้เป็นช่วง ๆ  ยามฝนตกจึงต้องคลี่ม้วน ผ้า พลาสติกที่ม้วนติดไว้กับส่วนที่เป็นหลังคารถให้คลี่คลุมลงมา  เวลาที่ฝนไม่ตกลมจึงพัดโกรกเข้ามาในรถพร้อมกับฝุ่น  และยามที่รถแล่นไปข้างหน้า ฝุ่นสีน้ำตาลแดงบนถนนก็จะไล่ตามหลัง  มองดูเหมือนรถ ใช้พลังงานของจรวดขับดัน

            ทว่าความเร็วของรถ ก็ถูกหลุมบ่อบนผิวถนนจำกัดความเร็วไว้แค่ ๖๐ – ๗๐ กม.ต่อชั่วโมง  และแม้จะใช้ความเร็วแค่ ๗๐ ส่วนประกอบของรถก็แทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ  เพราะมีเสียงตัวถังไม้ดัง

อ๊อด ๆ แอ๊ด ๆ ไปตลอดทาง

            และสิ่งที่ผู้โดยสารรถยนต์ประจำทางสายนี้  จะต้องคำนึงก่อนขึ้นรถ คือ ห้ามแต่งกายหรูหราเป็นอันขาด  แต่ควรจะแต่งกายแบบปอน ๆ หรือแบบลูกทุ่ง ๆ เข้าไว้  และควรจะสวมหมวกหรือไม่ก็มีผ้าโพกศีรษะไว้ด้วย  เพราะพอรถแล่นออกจากอำเภอทุ่งสงมาได้หน่อยเดียว  สีผมของคนโดยสารจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีผมของฝรั่งแถมยังเหนียวหนึบ  ใช้หวีสางกันจนผมขาดติดหวีก็ไม่ยอมออก  นอกจากจะต้องไปสระผมใหม่หลาย ๆ ครั้ง

อีกสิ่งสุดท้ายสำหรับ ผู้จำเป็นที่จะต้องโดยสารด้วยรถเมล์สายนครศรีธรรมราช-ภูเก็ต  ในปีนั้น จะต้องทำใจ คือ มารยาทของทั้งคนขับและกระเป๋ารถ  ที่ให้บริการประทับใจจนผู้โดยสารนั่งครั้งเดียวจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต  คือ อย่าไปหวังความสะดวกสบายใด ๆ จากทั้งคนขับและกระเป๋ารถ   เพราะเป็นรถที่ให้บริการแบบอาศัยอิทธิพลทางนักเลง ข่มขู่คู่แข่งสัมปทาน  ทำให้สามารถผูกขาดการรับส่งผู้โดยสารและรับขนส่งถุงเมล์ ของที่ทำการไปรษณีย์ อยู่ได้เพียงบริษัทเดียวซึ่งเป็นบริษัทของนักเลงเมืองนครในชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ไอ้หมานุ้ย"   

           

วันนั้นอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน…

            ที่เบาะยาวด้านหลังรถ  ซึ่งปรกติไม่ค่อยมีใครนั่ง  นอกจากว่าที่นั่งตอนหน้า ๆ เต็มหมดแล้ว  มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อ  จมูกโด่ง ผิวขาว รูปร่างบอบบางสะโอดสะอง  เหมือนพระเอกลิเก  นุ่งกางเกง บลูยีนส์  สวมเสื้อยืดสีขาว  มีแจ๊กเก๊ตสีเดียวกันสวมทับ  บนศีรษะสวมหมวกจ๊อกกี๊ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดีนั่งมาด้วยคนหนึ่ง

            ที่ว่าอารมณ์ดี  เพราะขณะที่รถเร่งเครื่องแล่นตะบึง  หนีฝุ่นที่ไล่ตามมาเป็นสาย  ผู้โดยสารอื่นต่างใช้ผ้าคลุมหัว ปิดตา ปิดจมูก  ชายหนุ่มกลับนั่งฮัมเพลงลูกทุ่งเบา ๆ ในลำคอ  อย่างมีความสุขและไม่อนาทรต่อฝุ่น 

            ส่วนเพลงที่ชายหนุ่มร้องล้วนเป็นเพลงของนักร้องดัง ๆ ในสมัยนั้น  เช่น ทูล ทองใจ,  ชัยชนะ  บุญนะโชติ,  ก้าน แก้วสุพรรณ, ปอง  ปรีดา,  ชาย  เมืองสิงห์  และไพรวัลย์ ลูกเพชร  ซึ่งซุ่มเสียงของเขาหาใช่ธรรมดา  แต่มีความไพเราะเพราะพริ้งดุจนักร้องอาชีพ  ทำให้ไม่มีผู้โดยสารคนใดรู้สึกว่ารำคาญ  นอกจากจะพากันชื่นชอบและฟังอย่างตั้งใจ

            และการที่เขาเลือกนั่งเบาะแถวหลังสุด  ไม่ไปแย่งนั่งที่สบาย ๆ เช่น แถวหน้า ๆ ซึ่งไม่ต้องรับแรงกระดกกระดอนเหมือนด้านหลังรถ  อันภาษาใต้เรียกว่า “รถฝัด” อย่างใครอื่น  นั่นคงจะเป็นเพราะ เขาจะได้นั่งร้องเพลงอย่างอิสระ ไม่ต้องเกรงใจหรือรบกวนใคร  ส่วนกระเป๋ารถและคนขับก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือไปตอแย  คงคิดว่าชายคนนี้คงไม่ค่อยเต็มบาท  เพราะตั้งแต่รถแล่นออกจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช  ที่สองฟากถนนเป็นสวนและทุ่งนา  เขาจะร้องเพลงลูกทุ่งตลอด…

“ใจนางเหมือนดั่งทางรถ  ช่างคดเหลือจะคะเน  เจ็บปวดใจจังแทบคลั่งใจจริง  รักผู้หญืงรวนเร ใจนางคล้ายทางรถเมล์  รักง่ายถ่ายเทไม่ตรงได้  รถพี่คงพลิกหงายท้องคว่ำไปด้วยใจผู้หญิงเรรวน….”

หรือไม่ก็…

“โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังเพลงนี้ก่อน  อย่าด่วนหลับนอนอย่าด่วนทอดถอนฤทัย  จำเสียงของพี่ได้หรือเปล่า จำเพลงรักเก่าเราได้ไหม เคยฝากฝังไว้แนบในกลางใจนาง…ฮื้อ ฮือ…ฮื้อ ฮือ”

            และความหรรษาในโลกส่วนตัวของเขา  ก็ยังเป็นของเขามาโดยตลอดทาง 

            กระทั่งรถเมล์แล่นเข้าเขตจังหวัดพังงา  มีคนโดยสารระหว่างทางโบกมือขึ้นรถ จนเต็มล้นมาถึงที่นั่งด้านหลังสุด  เขาจึงกระเถิบไปนั่งด้านซ้ายสุดติดราวเหล็กกั้นช่องประตู  เขาหยุดร้องแต่ก็ยังฮัมเพลงอยู่ในลำคอ  พร้อมกับที่สายตามองออกไปนอกตัวรถ   ชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจใคร

            ตอนรถแล่นลงจากเขานางหงส์  รถเมล์จอดรับชายชราอายุราว ๖๐ ปี  คนหนึ่ง ซึ่งท่าทางและสำเนียงพูดบ่งบอกว่าเป็นคนพังงา  แกนุ่งผ้าโสร่งลายสก็อตสีขาวสลับน้ำตาล  สวมเสื้อฮาวายมีลายขาว น้ำ เงิน  คุณลุงขึ้นรถทางประตูหน้า แล้วก็หาที่ยืนเพราะไม่มีที่นั่งว่าง  และแกเลือกยืนใกล้ประตูหน้า เพื่อจะได้สะดวกในตอนจะลง

            กระเป๋ารถเป็นชายผิวคล้ำ อายุประมาณ  ๓๐ ปี  รูปร่างสันทัด สวมชุดสีกรมท่า  หน้าตาแบบลูกทุ่งถิ่นแดนใต้ หน้าผากกว้าง  คางแหลม ไม่สวมหมวก  ผมเผ้ายุ่งเหยิงปล่อยให้ฝุ่นเกาะ  ไว้หนวดแหยมเหนือริมฝีปาก  เดินเบียดแทรกคนโดยสาร  เพื่อเก็บค่าโดยสารจากคนที่ขึ้นในระหว่างทาง

            ค่าโดยสารตลอดสายคือ ๕๐ บาท ส่วนคนที่ขึ้นลงระหว่างทางมีตั้งแต่ ๕ บาท ๑๐ บาท และ ๒๐ บาท ขึ้นอยู่กับว่าระยะทางใกล้หรือไกล  บางคนที่ขึ้นรถในระหว่างทาง  ให้ธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท เพื่อให้กระเป๋ารถทอน  แต่กระเป๋ารับเงินแล้วพูดว่า

            “เดี๋ยวจะทอนให้  ขอไปเก็บด้านหลังก่อน ตอนนี้เงินทอนไม่พอ”

            แล้วก็เดินยื่นมือขอเก็บค่าโดยสาร  จากส่วนหน้ารถไปจนถึงที่นั่งด้านหลังสุด  พอเก็บเงินจากผู้โดยสารได้ครบคน  ก็เดินกลับมาทางด้านหน้าอีกครั้ง  ผู้โดยสารที่ให้ธนบัตรราคาเกินจากค่าโดยสารก็ทวงเงินทอน  เจ้ากระเป๋ารถทำปากจิ๊กจั๊ก  ไม่พอใจที่ถูกทวงพูดเป็นสำเนียงใต้ว่า

            “เดี้ยวทอนให้ ไม่โกงร็อก”   พลางนับเงินในมือและเดินถามผู้โดยสารไปทีละคน

            “ไหนใคให้ใบไหรมามั่งเมื่อกะเดี๊ยว?"   หมายความว่าใครให้ธนบัตรชนิดใดมาบ้างเมื่อสักครู่

            ผู้โดยสารแต่ละคนก็บอกว่า ให้ใบละยี่สิบ ห้าสิบและร้อยบาทก็มี  กระเป๋ารถจึงทอนไปตามคำบอกของคนโดยสาร  แต่พอทอนไปครบหมดทุกคน  นับเงินใหม่ปรากฎว่าเงินค่าโดยสารขาดหายไป ๘๐ บาท  แสดงว่าทอนให้ใครผิดเกินไป ๘๐ บาท  กระเป๋ารถก็อยากจะเอาคืนโดยถามผู้โดยสารที่เพิ่งขึ้นในระหว่างทางทุกคนว่า

            “เมื่อเดี้ยว ใคให้ใบยี่สิบแต่รับเงินทอนฉานไปแปดสิบมั่ง?”

            หมายความว่าใครได้รับเงินทอนเกินไปบ้าง? แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าได้รับเงินทอนเกิน นายกระเป๋ารถจึงอารมณ์เสีย และแสดงสันดานโจรด่ากราดทันที

            “เย็- แม่ ขี้โกง อยากได้ของ ๆ คนอื่นฟรี ๆ ใคที่รู้ตัวว่ารับเงินของกูไปรีบคืนมานะ ไม่งั้นมีเรื่องแน่”  แล้วกระเป๋าขี้โมโหก็เที่ยวเดินจ้องหน้าคนโน้นคนนี้  พลางใช้วาจาข่มขู่เพื่อจะให้คนที่รับเงินเกินไปแสดงความพิรุธออกมา จนไปถึงชายชราอายุ ๖๐ ที่นุ่งผ้าโสร่ง  นายกระเป๋ารถยืนจ้องหน้าแกแล้วตะคอก  “เติ่นใช่มั้ย ที่รับเงินจากฉานไปแปดสิบบาท?"  เติ่นภาษาใต้หมายถึง ตนหรือคุณ ส่วนฉานคือฉัน

            “เปล่า ลุงเปล่า ลุงไม่ได้รับเงินทอนเลยสาบานได้?”  ชายชราพูดแบบสำเนียงพังงา และมีท่าทางตกใจ  ขณะที่คนโดยสารต่างหันมองดูแกกับกระเป๋ารถเป็นตาเดียว

            “แต่ฉานมั่นใจว่าเติ่น ทำไหมเติ่นอยากได้เงินของคนอื่นมากนัก  เย็-แม่แก่จะเข้าโลงแล้วยังโกง” กระเป๋าด่าทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าคุณลุงโกงจริงหรือไม่

            “เปล่า ลุงไม่ได้โกง ไม่ได้โกงจริง ๆ”  ชายชราหน้าซีด  พยายามพูดดีให้กระเป๋ารถเข้าใจ

            “งั้น  เมื่อโคร่เติ่นขึ้นแถวไหน?”  กระเป๋ารถตะคอกถามอีก

            “ลุงขึ้นที่ตีนเขานางหงส์  ลุงให้ใบยี่สิบ”

            “แล้วเติ่นจะไปลงไหน?” กระเป๋ารถถามอีกเพื่อหาหลักฐานมัดตัว

            “จะไปลงกระโสม  เงินที่ลุงให้พอดีค่ารถ” คุณลุงยืนยัน

            “ฉานไม่เชื่อ ไหนเอากระเป๋าตางค์เติ่นมาดูซิ”

            ท่าทางของคุณลุงเป็นคนธรรมะธัมโม  เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ จึงรีบควักห่อถุงลาสติกหนาที่ชายพกผ้าถุงออกมาคลี่ให้ดู  ในนั้นนอกจากมีธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท ๒-๓ ฉบับ  ยังมีธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาทอยู่ ๔ ใบ  ซึ่งเท่ากับเงิน ๘๐ บาทของกระเป๋ารถที่ขาดอยู่พอดี  นายกระเป๋าจึงยิ่งมั่นใจ

            “นั่นหละ เห็นมั๊ย?” ใบยี่สิบสี่ใบ  แปดสิบบาทพอดี  นี่แหละเงินของฉานที่ทอนผิดให้เติ่น  เอาคืนมานะ”  กระเป๋ารถพยายามที่จะแย่งเงินจากคุณลุง  แต่คุณลุงไม่ยอม

            “นี่มันเงินของลุง  ลุงขายโลกตอได้เมื่อเช้า เขาให้มาเป็นใบยี่สิบห้าใบ  ลุงให้ค่ารถไปใบหนึ่งหมันก็เหลืออยู่สี่ใบ”  คุณลุงแจกแจง แล้วรีบยัดห่อเงินกลับเข้าชายพก

            “เติ้นขี้หก  เติ้นพูดพันไหนก็ได้ ไม่มีใครู้ใคเห็น  เติ้นนั่นแหละโกงเงินฉาน รีบเอาคืนมาเสียดีๆ”

            แล้วนายกระเป๋าก็พยายามที่จะแย่งเงินจากชายชรา  แต่ชายชราไม่ยอม  ทำให้เกิดการกอดปล้ำ ยื้อยุดผลักไสจึงเกิดขึ้น และชายชราถอยหนีจากประตูหน้าจนมาถึงประตูท้ายรถ  และตามรูปการณ์ที่ชายหนุ่มรูปหล่อ  ซึ่งหยุดฮัมเพลงลูกทุ่งในลำคอสังเกตเห็น  คือกระเป๋ารถจะผลักให้คุณลุงตกจากรถ ถ้าไม่ยอมเอาเงินให้มัน  และถ้าคุณลุงตกรถแกอาจจะตาย  นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มรูปหล่อคิดอยู่ในใจ..

            แล้วหนุ่มรูปหล่อก็อดทนต่อไปไม่ไหว  รีบเข้าไปขวางกั้น โดยลุกขึ้นดันร่างของคุณลุงให้พ้นจากช่องประตูให้ไปนั่งลงบนเบาะหลังแทนเขา  ส่วนเขาลุกยืนประจันหน้ากับกระเป๋ารถเกเร

            “ทำไมนายทำกับคนแก่ถึงขนาดนี้?” ไอ้หนุ่มรูปหล่อถาม

            “ฉานทำอะไร ฉานแค่จะเอาเงินของฉานคืน”  ไอ้กระเป่ารถเถียง  มองหน้าไอ้หนุ่มรูปหล่ออย่างเอาเรื่อง

            “นายมีหลักฐานอะไร ว่าเงินในห่อของลุงเป็นเงินที่นายทอนผิด?”

            “แกมีใบยี่สิบสี่ใบไม่เห็นรื้อ แปดสิบบาทพอดี”  ไอ้กระเป๋ารถยังเถียง

            “เงินแปดสิบบาท ใคร ๆ ก็มีได้  นายทอนเงินผิดแล้วเที่ยวไปกล่าวหาส่ง ๆ “

            “ออ… นายอยากจะเป็นพระเอก พระเอกหมันในหนัง  แต่นี่เรื่องจริง กูจะเหยียบหมึงให้คนดู”

            กระเป๋ารถนักเลงเปลี่ยนสรรพนามของตนเองจากฉานเป็นกู แล้วสืบเท้าเข้าหานายหนุ่มหล่อ โดยง้างหมัดเต็มที่ หมายเผด็จศึกจอมเสือกแบบหมัดเดียวจอด  ทว่าผิดเพราะไอ้หนุ่มหล่อเบี่ยงกายหลบ…          ไอ้หนุ่มหล่อถูกบังคับด้วยพื้นที่อันจำกัดภายในรถ  แถมติดขัดด้วยคนโดยสารรอบข้าง  ซึ่งพากันส่งเสียงหวีดว้าย และพยายามเบียดเสียดกันเข้าไปจุกอยู่ตรงกลาง ๆ  รถ  เพื่อให้พ้นอันตรายที่อาจจะแถม เป็นการตอบแทนที่พวกเขาต่างมาใช้บริการของรถโดยสารโจร

          วืดดด!! ต่อยผิดอีก เพราะไอ้หนุ่มหล่อเอี้ยวตัวหลบ  และถอยลงไปอยู่ตรงช่องประตูหลังแต่ไม่หวังจะกระโดดรถหนีแต่กลายเป็นหมูจนตรอก  ให้ไอ้กระเป๋าสืบเท้าตามไปยืนอุดตรงรูช่องบันได  และต่อยอีกครั้งเต็มเหนี่ยว วืดดด!!

            คราวนี้หมัดของหนุ่มกระเป๋ารถ เฉียดใบหน้าหนุ่มหล่อมาดเท่ไปแบบถาก ๆ ทำให้ไอ้หนุ่มหล่อรู้ตัวว่าควรจะแก้เกมอย่างไร  ขณะที่ไอ้กระเป๋ารถตัวแสบดึงตัวเองกลับไปยืนตั้งท่า เพื่อจะต่อยอีก ไอ้หนุ่มหล่อก็ถอดสลักบานประตู บานไม้สูงแค่สะเอว และพอไอ้กระเป๋าโถมมาอีก ไอ้หนุ่มหล่อเคยเป็นเด็กท้ายรถมาก่อน ใช้สีข้างกระแทกบานประตู เหวี่ยงตัวเองหลบออกไปอยู่นอกรอบประตู แต่จับราวข้างบันไดไว้และเท้าข้างหนึ่งก็ยังเหยียบพื้นบันไดรถอยู่  ทำให้นายกระเป๋ารถเสียหลักหลุดพรวด ตกลงไปจากรถ!!

            เมื่อรถจอดสนิท  ผู้โดยสารหลายคนรวมทั้งไอ้หนุ่มหล่อ และนายหัวคนขับก็เดินลงจากรถมาดู  พบว่านายกระเป๋าจอมซ่า ตกลงไปคางกระแทกพื้นสลบเหมือด  ทำให้ไอ้นายหัวหรือโชเฟอร์หน้าซีด โกรธไอ้หนุ่มหล่อสุดเหวี่ยง  และหันมาทำตาวาวราวเสือแม่ลูกอ่อน เตรียมตะปบกวางหนุ่ม

            “มึงทำร้ายคนของกู” แล้วก็กำหมัดเดินเข้าหา

            รูปร่างของไอ้โซเฟอร์ทั้งสูง ทั้งใหญ่ทั้งหนา  ไอ้หนุ่มหล่อเห็นแล้วก็นึกสยองว่า  ศึกกำปั้นที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ดูหนักหนา เขาจึงปฏิเสธเสียงลั่นว่า

            “ผม ๆ  เปล่า ๆ นะลูกพี่  ผมไม่ได้ทำอะไรเขา เขาตกลงมาจากรถเอง  ถามทุกคนในรถเป็นพยานได้” หนุ่มหล่ออ้างคนโดยสารที่เห็นเหตุการณ์

            “ใช่ ๆ พ่อหนุ่มนี่ไม่ได้ทำอะไรนายกระเป๋ารถ  แต่นายกระเป๋ารถต่างหากที่ต่อยพ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มเลยต้องมายืนที่ประตู  พอนายกระเป๋าต่อยผิดร่างของเขาก็เลยตกลงมาจากรถ พ่อหนุ่มนี่ไม่ใช่คนผิด”ชราที่ถูกกระเป๋ารถกล่าวหาว่าโกงเงิน  พูดขึ้นเป็นคนแรก

            “ใช่  ๆ  พวกเราทุกคนเป็นพยาน  พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ได้ทำให้นายกระเป๋าตกรถ  แต่มันตกลงมาเอง  แล้วนายหัวเห็นลูกน้องรังแกผู้โดยสาร ทำไมจึงไม่ห้าม”  ใครๆ หลายคนคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง 

แล้วหลาย ๆ เสียงก็สนับสนุนกันดังระงม ในทำนองว่า ถ้าจะเอาเรื่องนายหนุ่มหล่อ  พวกเขาทุกคนพร้อมที่จะเป็นพยาน ทำให้นายโชเฟอร์รถเมล์ รีบเข้าไปยกร่างคนของตนขึ้นมาและก็ได้อาศัยนายหนุ่มหล่อที่เกือบจะกลายเป็นคนตกจากรถ จากการกระทำของนายกระเป๋ารถจอมโหดนั่นแหละ  ช่วยประคองร่างที่เพิ่งจะได้สติของนายกระเป๋ารถกลับขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อไป…

รายละเอียด

ชื่อหนังสือ นักเลงเพลงลูกทุ่ง
ชื่อผู้แต่ง พันธุ์ ชุมพร
หมวดหนังสือ นวนิยาย
คำโปรย
วันนั้นอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน…
ที่เบาะยาวด้านหลังรถ ซึ่งปรกติไม่ค่อยมีใครนั่ง
มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อ จมูกโด่ง ผิวขาว รูปร่างบอบบางสะโอดสะอง
เหมือนพระเอกลิเก ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดีนั่งมาด้วย ที่ว่าอารมณ์ดี
เพราะขณะที่รถเร่งเครื่องแล่นตะบึง หนีฝุ่นที่ไล่ตามมาเป็นสาย
ผู้โดยสารอื่นต่างใช้ผ้าคลุมหัว ปิดตา ปิดจมูก
ชายหนุ่มกลับนั่งฮัมเพลงลูกทุ่งเบา ๆ ในลำคอ
อย่างมีความสุขและไม่อนาทรต่อฝุ่น
นั่นคงจะเป็นเพราะ เขาจะได้นั่งร้องเพลงอย่างอิสระ
ไม่ต้องเกรงใจหรือรบกวนใคร
จึงตั้งแต่รถแล่นออกจากตัวเมืองที่สองฟากถนนเป็นสวนและทุ่งนา
เขาจะร้องเพลงลูกทุ่งตลอด…
“โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังเพลงนี้ก่อน
อย่าด่วนหลับนอนอย่าด่วนทอดถอนฤทัย จำเสียงของพี่ได้หรือเปล่า
จำเพลงรักเก่าเราได้ไหม เคยฝากฝังไว้แนบในกลางใจนาง…ฮื้อ
ฮือ…ฮื้อ ฮือ”

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024