เล่ห์ (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 500.00 บาท 125.00 บาท
ประหยัด: 375.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ชายหนุ่มก้าวเข้าสู่อ้อมแขนมารดา สองมือประนมกราบที่อกก่อนจะขยับกอดร่างอวบท้วมของผู้ให้กำเนิด

“ผอมลงหรือเปล่าจ๊ะนี่ ลูก สงสัยเบื่ออาหารฝรั่ง แม่สั่งเขาทำอาหารไทยที่ไม่เผ็ดมากนักไว้หลายอย่างทีเดียว กลัวลิ้นไม่ชินรส” สองมือประคองใบหน้าลูกชายพลางเพ่งพิศ

บุรุษวัยห้าสิบเศษซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสะกิดผู้เป็นมารดา

“คุณสองคนแม่ลูกน่ะลืมผมไปเลยหรือไงจ๊ะ พ่อยืนอยู่นี่ทั้งคน ไม่ทักเลยนะ”

“แหม ก็ฉันมัวแต่ดีใจที่ลูกกลับมา คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะคะไปอยู่อังกฤษตั้งห้าปีหกปีแบบนี่น่ะ” หันมาค้อนแล้วขยับ ดันลูกชายวัยเกินยี่สิบห้าไปให้บิดากอดบ้าง แต่ชายหนุ่มเพียงแต่กราบบิดาที่อกแล้วขยับห่าง ผู้สูงวัยกว่ายกมือตบหลังตบไหล่และว่า

“รู้สึกจะสูงขึ้นอีกนะ กลับบ้านคราวก่อนพอดีพ่อก็ไม่อยู่ แม่

เขาน่ะพบลูกทุกหกเดือนยังจะบ่นว่าไปอยู่อังกฤษห้าปีหกปี คิดถึงใจจะขาด สั่งอาหารไทยซะยกใหญ่ โธ่ ที่ไหนๆ ก็มีอาหารไทยกิน แม่เขากลัวลูกอด พ่อว่าลูกอาจจะชอบอาหารฝรั่งซะมากกว่าละมั้ง เมื่อก่อนขยันวิ่งเสาะหา สเต๊กอร่อยๆ กิน”

“อาหารไทยเมืองนอกน่ะไทยแต่ชื่อน่ะซี รสชาติไม่เอาอ่าวเล้ย น้อยร้านนักที่จะอร่อย อาหารจีนก็เหมือนกัน เลี่ยนสุดขีด บ้านเราน่ะถูกปากสุด” ยังไม่วายเถียง

ลูกชายหัวเราะน้อยๆ

“ผมน่ะจระเข้ครับ อะไรก็กินได้ อาหารไทย จีน ฝรั่ง แขก ซัดได้หมด อ้อ แม่ลืมเรื่องสำคัญที่ผมขอมาหรือเปล่าครับ ห้องพักแขกนะครับ”

“ไม่ลืม ไม่ลืม จะลืมได้ยังไง เพื่อนลูกกลับมาด้วยกัน ขอค้างคืน     นึงก่อนกลับเมืองเหนือ กลับถึงกรุงเทพฯ ดึกป่านนี้ เครื่องขึ้นเหนือไม่มีแล้วพรุ่งนี้บ่ายค่อยไป นอนพักบ้านเราคืนนึงก่อน พรุ่งนี้ด้วย ปรับตัวสักนิดให้คุ้นกับเวลา เวลานี้ที่โน่นเพิ่งจะเย็นสินะ เมืองไทยดึกแล้ว”

“ครับ เวลาผิดกันเกือบเจ็ดชั่วโมง”

“แล้วไหนล่ะเพื่อนลูก” ผู้เป็นบิดามองไปรอบๆ

“เขารอเอาใบรับฝากกระเป๋า เอาติดตัวไปบ้านเราแค่ใบเล็กใบ เดียวครับ อีกสองใบใหญ่ไว้นี่ พรุ่งนี้ค่อยมารับแล้วโหลดขึ้นเครื่อง ไปเลย ไม่ต้องขนหลายรอบ พอดีผมเห็นแม่เลยปรู๊ดมานี่ ไม่รู้ป่านนี้จะงอนหรือเปล่า แต่ก็ไม่กี่นาทีเองนะครับ”

คำว่างอนทำให้นางอรกานต์หันไปสบตากับสามีนายนรินทร์ ด้วยรู้สึกสะดุดหู

“ผมจะไปดูก๊อหน่อยนะครับ พ่อกะแม่รอเดี๋ยวนะ”

 

 

พอลูกชายห่างไปแค่ไม่กี่เมตร นางอรกานต์ก็เอ่ยขึ้น

“หรือว่าเพื่อนผู้หญิง มีแฟนโดยไม่บอกเล่าเก้าสิบพ่อแม่ละมัง”

นายนรินทร์หัวเราะหึๆ

“เพื่อนผู้หญิงน่ะไม่เป็นไร อย่าให้เป็นเพื่อนผู้ชายแสนงอนแล้วกัน คุณจะยิ่งหัวใจวาย”

“คุณละก้อ พูดอะไร ลูกเราเป็นผู้ชายเต็มตัวหรอกน่ะ ว่าแต่ถ้าจะพาแฟนมาให้รู้จักทำไมไม่บอกกล่าวกันมั่ง ลูกคนนี้”

“อาจจะแค่เพื่อนจริงๆ ก็ได้ สมัยนี้ชายหญิงคบหากัน ไม่จำ เป็นต้องเป็นแฟนกันหรอก แล้วค่อยๆ ดูไป คุณอย่าทำให้เขากระดาก กระเดื่องด้วยการเหมาเอาว่าเขาต้องเป็นแฟนนายริน ทำเหมือนปรกติแหละ เราก็ปฏิบัติกับเขาอย่างเพื่อนลูกธรรมดา”

อรินเดินนำหน้าหญิงสาวร่างสันทัด ผิวค่อนข้างขาว สวมแว่นตาสายตาสั้นทรงกลม ผมตัดสั้นซอยด้านข้าง ด้านหน้าเสยขึ้นหมด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากเครื่องสำอาง นอกจากรอยลิปสติกสีอ่อน ที่ริมฝีปากอิ่ม

เป็นหญิงสาวที่ดูเรียบ ไม่สะดุดตาเอาเลย ออกจะเชยๆ ด้วยซ้ำ เจ้าหล่อนสวมเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับกางเกงยีนส์แบบสาวสมัยใหม่ทั่วๆ ไป กางเกงไม่รัดรูป หลวมนิดๆ นั่งเดินสบายเหมาะกับการเดินทางไกล

“แก้วก๊อครับ พ่อแม่ เราเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกันแต่คนละแผนก จบพร้อมกันเลยกลับมาด้วยกันเสียเลย”

แก้วก๊อประนมมือไหว้ผู้ใหญ่นอบน้อม ไม่เก้งก้าง ไม่ผลุบผลับ แบบสาวสมัยใหม่บางคน

“ไหว้พระเถอะ หนู” นายนรินทร์รับไหว้ นางอรกานต์นอกจาก รับไหว้แล้วยังสังเกตสังกาหญิงสาวอย่างละเอียด รู้สึกโล่งใจที่ เจ้าหล่อนไม่สวยสะดุดตา คงไม่ใช่คู่รักของลูกชาย น่าจะเป็นเพื่อน

กันเท่านั้นจริงๆ

ผู้หญิงที่เคยเห็นอรินคบแต่ละคนล้วนสวยจัด ดาวมหาวิทยาลัยบ้าง สาวสำนักงานแต่งตัวโก้หรูบ้าง ไม่ใช่ผู้หญิงท่าทางคงแก่เรียน ใส่แว่นตาสั้นแบบนี้ ถึงจะหน้าตาดีก็เถอะ หากก็สวยแบบสาวเหนือทั่วไป

“ดึกมากแล้ว กลับกันเถอะ เดี๋ยวพ่อจะโทรฯ ให้คนรถเอารถมารับด้านหน้า เราจะได้ไม่ต้องลงไปที่จอดรถให้ลำบาก กระเป๋าของรินมันหนัก สองใบสามใบ ว่าแต่กระเป๋าของหนูแก้วอะไรนะ เรียกแก้วแล้วกันนะ แก้วเฉยๆ ชื่อฟังดูแปลกๆ เข็นรถกระเป๋าตามมานะ” นายนรินทร์ใช้โทรศัพท์มือถือสั่งคนขับรถพลางเดินพลางไปทางประตู อาคารของสนามบิน อรินเข็นรถ แก้วก๊อสะพายกระเป๋าใบย่อมเดินไปข้างๆ นางอรกานต์รั้งท้าย ทั้งหมดยืนอยู่หน้าอาคารไม่กี่นาที รถคันโตโก้หรูของนายนรินทร์ก็เข้ามาเทียบ คนรถลงมาเปิดกระโปรงหลัง อรินยกกระเป๋าลงจากรถเข็นและช่วยกันกับคนขับยกขึ้นใส่รถ กระเป๋าของเขาหนักมาก

“ผมกลับมาน้ำหนักเกิน ขนาดส่งทางเรือมาก่อนหน้าตั้งเดือนแล้วนะครับ หนังสือทั้งนั้น ของก๊อก็เกิน สมบัติตั้งหลายปีนะครับ จะทิ้งจะขายต่อก็เสียดายทั้งนั้นเก็บกลับบ้านหมดไม่รู้คุ้มค่าส่งหรือเปล่า”

“ถ้าคิดเป็นราคามันคงไม่คุ้มหรอกแต่ถ้าคิดทางใจมันก็คุ้ม ไม่ใช่หรือ ริน” เสียงแก้วก๊อพูดช้าๆ หางเสียงนุ่มนวลแม้จะไม่ลงท้ายด้วยคำว่าคะขา

เสียงต่ำลึก แหบไปนิด นางอรกานต์นึกติหญิงสาว อายุเท่าไหร่กันนะ เรียกอรินด้วยชื่อคำเดียวเหมือนจะสนิทสนมกันมาก หรือถือ     ธรรมเนียมฝรั่งกระทั่งพ่อแม่ก็เรียกชื่อกันเฉยๆ ได้ อรินอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว  อีกไม่กี่เดือนก็จะยี่สิบแปด แม่สาวนี่ไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ตัวเล็กบาง

 

 

หน้าอ่อน ถ้าถอดแว่นตา ตัดผมทรงนักเรียนมัธยมก็คงนึกว่าอายุสักสิบแปด แต่นี่ฟังๆ ดูก็น่าจะจบมหาวิทยาลัยแล้ว ว่าแต่ปริญญาระดับไหนล่ะ

“หนูแก้วนั่งข้างหลังกับแม่กับนายรินแล้วกัน พ่อนั่งกับเจ้าชิตมันเอง” นายนรินทร์บอก ไม่มีใครโต้แย้ง พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อย นางอรกานต์ก็เริ่มถามเพื่อจับสังเกตลูกชายกับเพื่อนหญิง

“หนูแก้วชื่ออะไรนะคะ เมื่อครู่แม่ฟังไม่ถนัด แก้วเก้าหรือคะ”

“ไม่ใช่ค่ะ แก้วก๊อค่ะ เป็นภาษาพายัพแปลว่าทับทิม ก๊อเป็นคนเหนือแท้ๆ ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบา หล่อนพูดจาเนิบๆ

แบบสาวเหนือแท้ๆ อย่างที่หล่อนบอกนั่นแหละ นางอรกานต์คิด ก็น่ารักดีหรอก แต่ถ้าจะมาเป็นคู่ของลูกชายนี่คงต้องคิดหนัก เจ้าหล่อนเป็นใครมาจากไหน ฐานะทางบ้าน อาชีพของครอบครัว อยากรู้จริงแต่จะซักตอนนี้ก็ไม่เหมาะนัก หล่อนแค่ขอพักค้างคืนเดียว แล้วก็จะกลับบ้านเมืองเหนือ ทุกอย่างอาจจะเป็นเพียงการรู้จักกันวันเดียวในชีวิตของนางก็ได้

“คนเชียงใหม่หรือคะ”

“ก๊อเป็นคนน่านค่ะ แต่อพยพมาอยู่เชียงใหม่นานแล้วเพราะคุณยายแต่งงานกับคนเชียงใหม่ ตอนหลังเลยขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ ก๊อเกิดที่ลำปางแล้วถึงย้ายมาอยู่เชียงใหม่ คือบังเอิญพ่อต้องไปทำงานที่ ลำปาง” หญิงสาวช่างพูดไม่น้อย

“ก๊อเลยไม่รู้ว่าเป็นคนจังหวัดไหนกันแน่ ถึงได้ชอบบอกว่าเป็น สาวเหนือเจ๊า แต่ไม่รู้เมืองไหน” หนุ่มอรินเย้า นางอรกานต์มองความสนิทสนมของหนุ่มสาวอย่างระแวงระวัง

“พ่อเกิดนครศรีฯ อพยพไปอยู่หาดใหญ่ แล้วมาตั้งรกรากอยู่ กรุงเทพฯ แต่ไม่ยักกะใช่คนใต้แท้ๆ เพราะจริงๆ ต้นตระกูลอพยพมา

 

 

จากมณฑลฟูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน” นายนรินทร์ผสมโรงคุยด้วย “ส่วน แม่เขาเป็นชาวเมืองหลวงแท้ๆ จ้ะ”

“เมืองหลวงเก่าจ้ะ คนธนบุรี แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นกรุงเทพฯ ไป แล้ว เวลาดูในใบเกิดแล้วรู้สึกประหลาด เกิดที่ธนบุรี สำมะโนครัวก็ เป็นธนบุรี แล้วอยู่ๆ กลายเป็นกรุงเทพฯ แม่น่ะเสียดายจะตายอยาก เป็นคนธนบุรีเหมือนเดิม ถึงจะต้องทนๆ สักหน่อยก็เถอะ”

แก้วก๊อหัวเราะกับการเล่นคำของนางอรกานต์

 บ้านของนายนรินทร์ไกลไม่น้อยเพราะอยู่ถึงถนนพุทธมณฑล แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแต่ก็เสียเวลาเดินทางจากดอนเมืองกว่าชั่วโมง

“เราอยู่พุทธมณฑล สำนักงานอยู่แถวปิ่นเกล้า พอเดินทางไหว แต่ถ้าต้องไปทำงานแถวบางนาคงสนุกพิลึกละ หรือว่าแถวบางเขน ลาดพร้าว คนละมุมเมือง นั่งรถทีสามชั่วโมง วันๆ อยู่บนถนนเกือบ หกชั่วโมง”

“แบบนั้นหาคอนโดอยู่เถอะครับ เอาที่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ส่วนบ้าน ไว้อยู่วันหยุด ผมว่าไม่ไหวแน่ อยู่อังกฤษผมถีบจักรยานไปเรียน” อริน บอก

“ก๊อก็ขึ้นรถเมล์ ก๊อไม่ชินกับการเดินทางไปทำงานเสียเวลาที สองสามชั่วโมงแบบนั้น ตอนเด็กๆ ก็เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ขนาด เดินไปไหว เรียนมหา’ลัยก็อยู่หอใน ทำงานกับพ่อยิ่งสบายอยู่ใน บริเวณเดียวกับบ้านเลย งานของแม่ก็ใกล้เดินไปได้”

“งั้นก็เป็นชาวกรุงไม่ได้หรอก” อรินว่า “รถติดจะตาย เชียง ใหม่ลำปางอากาศดี อีกหน่อยรินไปอยู่มั่งดีกว่า หากระท่อมสักหลัง เอาไว้นอนเล่นคิดงาน”

“แล้วธุรกิจทางนี้ล่ะจ๊ะ” นางอรกานต์เสียงกระด้างขึ้นนิดหนึ่ง “ถึงจะเรียนศิลปะแต่เอามาประยุกต์ออกแบบกับงานของเราได้ ถ้า

ไปอยู่เชียงใหม่จะทำงานอย่างไร”

“ผมแค่ว่าเอาไว้นอนเล่นคิดงาน ไม่ได้คิดจะอยู่ถาวรสักหน่อย คนเราทำงานก็ต้องมีวันนอนพักบ้างใช่ไหมล่ะครับ” ลูกชายย้อนถาม

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องงาน เรื่องหนักๆ  ลูกเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ควรจะนอนพัก นี่กี่ยามแล้ว คุณ” นายนรินทร์รีบปราม “อยู่บนเครื่อง ได้หลับบ้างไหมล่ะ”

“ที่โน่นเวลานี้ยังหัวค่ำอยู่เลยครับ ผมไม่ง่วงเท่าไหร่ เออ ตอน นี้พี่วินเป็นไงมั่งครับ ไม่ได้เจอนานแล้ว มีแฟนหรือยัง” ถามถึงกวินกานต์พี่สาวคนเดียว มารดาตอบเสียงค่อนข้างห้วน

“สามสิบเข้าไปแล้ว แต่ถามทีไร คนไหน ก็เพื่อนทั้งนั้น พากันมาทีเป็นกลุ่ม ลองงานกันแล้วก็เลิก ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เอา อยากลงทุน ทำอะไรก็ทำกัน คิดแผนกันใหญ่โต เด็กสมัยนี้ แต่ไม่ค่อยจะรอด ก็ถือเสียว่าเรียนรู้โลก เรียนรู้งาน ฝึกธุรกิจ แต่มันไม่รอดสักเรื่อง ทั้งที่แสนจะขยัน ตอนนี้เลยให้มาช่วยพ่อ ก็ดีเหมือนกัน เขาก็เรียนรู้เร็วดี คนปัจจุบันนี่ไม่รู้จะคบกันนานแค่ไหน เขายังไม่รับว่าเป็นแฟน แต่ก็สนิทกว่าทุกคน”

“แต่แม่ไม่ค่อยพอใจใช่ไหมล่ะ” นายนรินทร์ว่า

“เขาก็เป็นคนดี อีกอย่างสมัยนี้จะห้ามเขาได้ยังไงถ้าเขาจะชอบ น่ะ ผู้ชายเขาก็ไม่มีอะไรเสียหาย”

“แต่จนต๊อกต่อยไปหน่อย” ลูกชายเดาความคิดของมารดา

“รู้ได้ไง” นางอรกานต์แหนบลูกชาย “มาทำเป็นรู้ดี แม่ก็แค่ห่วงวิน พี่เราเป็นผู้หญิง แม่ก็อยากให้ได้คนมีหลักมีฐานสักหน่อย แต่ก็นั่นแหละนะ แล้วแต่บุพเพสันนิวาส”

“ผมรู้จักไหมนี้ ชายหนุ่มคนนี้” อรินไม่ถามตรงๆ เลยไม่มีใครตอบ ไม่ว่าบิดาหรือมารดา อาจจะเพราะคนขับรถเป็นเพียงลูกจ้างและ

 

นางอรกานต์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพูดมากไปแล้วเรื่องลูกสาวคนเดียว กลัว คนรถจะนำเรื่องที่ได้ยินได้ฟังในคืนนี้ไปขยายต่อ อรินเองก็รู้ดีว่าพ่อแม่ระมัดระวังเรื่องในครอบครัวเพียงไร แต่คืนนี้คงจะเผลอไป เพราะความที่ไม่ได้พบลูกชายนานจึงบ่นเสียยืดยาว

อาณาจักรของนายนรินทร์ถ้านับรวมทั้งลูกจ้างในบริษัท โรงงาน และเครือข่ายเกือบทั่วประเทศคงมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ชีวิตส่วนตัว และเรื่องในครอบครัวจึงไม่ควรให้ตกเป็นขี้ปากคน

บ้านของเขาก็น่าจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าบ้าน แต่แก้วก๊อ พูดเสียงเบาขณะลงจากรถของอรินว่า

“นึกว่ายกแชงกรีลามาไว้พุทธมณฑล สงสัยเกินห้าร้อยล้าน เอ หรือพันล้าน ถ้าไม่ใช่แชงกรีลาก็เอราวัณหรือฮิลตันดีล่ะ หือ รสนิยม แนวไหนคะ”

อรินยักไหล่

“ผมยังไม่เคยอยู่เลยบ้านหลังนี้เคยอยู่แต่หลังเก่าแถวถนนจรัญฯ สร้างมาเกือบสิบปีแล้วมั้ง โอ๊ยดูแลเข้าไปยังไงไหวนี่”

“จ้างทีมงานบริหารโรงแรมสักทีมแล้วกัน” หญิงสาวพูดยิ้มๆ

บริวารตื่นกันหมดบ้านออกมาต้อนรับ แก้วก๊อนับได้สิบสองคน หญิงเก้า ชายสาม ไม่รวมคนขับรถและยามประตู

“ชื่นพาคุณแก้วไปห้องพักที่ให้จัดไว้” นางอรกานต์สั่งสาวใช้นางหนึ่ง “หิ้วกระเป๋าให้คุณแก้วด้วยสิ”

แก้วก๊อส่งกระเป๋าให้สาวชื่นวัยประมาณสามสิบ จริงๆ แล้วกระเป๋าใบนี้เล็กนิดเดียว สะพายเองมาตลอดการเดินทางเพราะไม่มีสมบัติอะไรมาก อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องติดมือมาด้วยคือเสื้อหนาว ตัดจากหนังนิ่มสีสวยแต่พอลงจากเครื่องบินต้องถอดเพราะอากาศร้อน

“แม่นึกว่า เพื่อนรินเป็นผู้ชายเลยให้จัดห้องพักแขกด้านหน้าให้มันออกจะแข็งๆ ไปหน่อยเพราะออกแบบไว้สำหรับแขกผู้ชาย ถ้ารู้ว่าเป็นสาวสวยแม่ก็คงให้จัดห้องกุหลาบไว้ให้ วอลล์เปเปอร์สีชมพูลายกุหลาบ แล้วประตูระเบียงเปิดออกหันไปทางสวนกุหลาบ ห้องนี้สีฟ้าแล้วระเบียงเปิดไป เห็นแต่สระว่ายน้ำ”

นางอรกานต์พูดต่อว่า “รินไม่บอกแม่ว่าเพื่อนผู้หญิง”

“ผมนึกว่ามีห้องพักแขกซักห้องก็บุญแล้ว ไม่รู้ว่าแม่มีบ้านใหม่ ใหญ่เท่าโรงแรม ตอนกลับบ้านหนก่อนผมไม่ได้แวะมาดู แม่ว่ายังทำไม่เสร็จบ้านเก่าเรามีห้องว่างสองห้อง ผมนึกว่าแบบนั้น” อรินตอบ แบบไม่ใส่ใจอะไรนักหนา “อีกอย่างก๊อเขาค้างแค่คืนเดียวเอง”

“คืนเดียวนอนอย่างไรก็ได้ค่ะ ก๊อไม่อยากจะรบกวนให้วุ่นไปกว่านี้ ปรกติก๊อพักที่โรงแรมแอร์พอร์ตด้วยซ้ำไป ห้องเล็กนิดเดียว ไม่ได้พักห้องดีเด่อะไรแต่รินบอกว่าไม่อยากให้เข้าพักกลางดึกที่โรงแรม ให้มาพักบ้านเขาเพราะพอมีห้องว่าง ก๊อขอบพระคุณมากค่ะ” ยกมือไหว้นอบน้อม นางอรกานต์ตอบอย่างมีมารยาท

“แต่ถ้ามีโอกาสมาพักที่นี่อีก แม่จะเปิดห้องกุหลาบให้พักนะคะ ห้ามไปพักโรงแรม หนูคงต้องลงมากรุงเทพฯ บ้างแน่ๆ ไม่ใช่อยู่แต่ที่เชียงใหม่ลำปางอะไรโน่น”

แก้วก๊อไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

“รินว่าก่อนทำงานจริงๆ จังๆ จะขอไปนอนเชียงใหม่ลำปางบ้างนะ ก๊อ หรือทำงานเหนื่อยก็ขึ้นไปพัก” ชายหนุ่มบอก

“อ๋อ ได้เลยจ้ะ แต่ก๊อไม่มีบ้านใหญ่เท่าโรงแรมให้นอนนะ มีแต่กระท่อมกับเรือนกาแลหลังจิ๊ดเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

“นอนให้สบายนะ ซักเก้าโมงจะให้คนไปพามากินข้าวเช้า รินว่าก๊อคงหาทางเดินไปห้องอาหารไม่ถูกแน่ๆ  รินก็เหมือนกัน แม่ต้องให้ใครไปเรียกแล้วเดินนำหน้า”

คนเป็นแม่มองลูกชายแล้วค้อนพลางว่า

“เก้าโมงอาจจะยังไม่ตื่นเพราะคืนนี้นอนดึก จะว่าไปก็เข้าวัน ใหม่แล้ว แม่ว่ารินจะโทรศัพท์ลงมาเรียกให้คนเอาอาหารเข้าขึ้นไปให้ก็ได้นะ ทั้งห้องรินกับห้องพักแขกน่ะมีห้องนั่งเล่น กินอะไรในนั้นได้ หรือจะที่ระเบียงก็ได้ คนของเรามี”

คราวนี้อรินหัวเราะก๊าก

“มีรูมเซอร์วิสด้วย โทรฯ กดเลขอะไรครับแม่ เลขศูนย์ใช่ไหม” “ย่ะ ประชดแม่ดีนักนะ เราต้องมีอะไรๆ แบบนี้เพราะเวลาแขก มาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศไม่อยากให้ไปพักโรงแรม จะว่าเรา ไม่บริการ หรือว่าญาติคุณพ่อขึ้นมาจากทางใต้จะได้มีที่พัก ลูกลุงนัฏ เขาก็เคยมาพักกับเราตอนเรียนปริญญาโท แต่ตอนเรียนตรีเขาเรียนที่มอออ”

“อ้อ แล้วพี่วินไปไหนครับนี้ หรือว่าหลับแล้ว” ถามถึงพี่สาว

“ไม่อยู่ เขาไปดูร้านค้าปลีก มันดึก เลยนอนที่คอนโด เขาไม่ ชอบขับรถดึกๆ มานอนนี้ บอกว่านอนไหนก็เหมือนกัน หลับเท่ากัน ที่คอนโดก็ปลอดภัยดี”

นายนรินทร์ฟังแม่ลูกคุยกันเงียบๆ เขาปิดปากหาว

“พ่อง่วงแล้ว จะนอนเหมือนกัน คุณน่ะอย่าสัมภาษณ์ลูกชาย เลยเวลานัก เขาจะได้พัก แม่หนูก๊อเขาไปห้องเขาแล้ว ป่านนี้อาจจะ หลับไปแล้วก็ได้ ถ้าเหนื่อยนักไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ อยู่ในเครื่องตั้งสิบ กว่าชั่วโมงคงไม่สกปรกอะไร”

นางอรกานต์เดินนำลูกชายไปห้องนอนเอง บรรดาสาวใช้ยกกระเป๋าไปแอบไว้มุมหนึ่ง

“พรุ่งนี้ค่อยให้แม่บ้านเขาจัดของ น้านีเขาไม่ยอมมาอยู่นี่ ยังอยู่ บ้านเดิม” หล่อนหมายถึงญาติสาวแก่ที่เคยเป็นพี่เลี้ยงของลูกชาย นางอรกานต์หันมาโอบไหล่ลูกชายดึงเข้ามากอด

“โตแล้วชักปากร้ายนะ ริน มาว่าแม่ทำบ้านเหมือนโรงแรม”

“ไม่ได้ว่าเหมือน ว่าใหญ่ยังกะโรงแรม โรงแรมน่ะมันแค่ที่นอนค้างอ้างแรม ไม่อบอุ่นเหมือนบ้าน ไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีครอบครัว” ลูกชายรีบแก้ตัว

“มันจำเป็น คนสมัยนี้เขามองกันที่สมบัตินอกกาย บ้านเดิมเรา มันคับแคบ” มารดาว่า “รับแขกไม่สะดวกพอ ญาติคุณพ่อก็แยะ ยังลูกค้าสำคัญๆ อีก ให้ไปพักโรงแรมเหมือนเราไม่ใส่ใจเขา”

“ให้มาพักบ้านเขาก็อาจจะอึดอัดได้” ลูกชายค้าน “อยู่ในสายตา ตลอดเวลา”

“ไม่หรอกลูก เรามีบริการยิ่งกว่าโรงแรมชั้นหนึ่ง”

“ไม่เหมือนร้อก โรงแรมน่ะพอเลิกประชุมเขาก็ไม่นอนได้ ลงไปเต้นระบำ กินเหล้า ไปนวด ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ อยู่บ้านเรา ทำไม่ได้ มีแต่ฝรั่งแหละชอบรับแขกที่บ้าน ถือว่าดีกว่าโรงแรม สนิทสนมกว่า ใกล้ชิด ดูมีบารมีด้วย แต่กับคนไทยนิสัยต่างกัน เขาน่าจะอึดอัดมากกว่า แต่ถ้าแม่จะมีไว้เพื่อสำแดงมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ห้องที่มารดาจัดเตรียมให้ลูกชายหรูหรา สะดวกสบาย เหมือนห้องชุดราคาค่าพักคืนละหลายหมื่นตามโรงแรมใหญ่

“มิน่าน้านีเขาถึงไม่ยอมย้ายมาอยู่นี่ คนติดบ้านอย่างนั้น ชอบ อะไรๆ ที่เหมือนเดิม”

“เขาไม่ยอมปรับตัวอะไรทั้งนั้น แม่ก็ตามใจเขาไง”

“แล้วน้านีอยู่กะใคร” ลูกชายเป็นห่วงน้าสาว

“อยู่กะยายน่วม หลานห่างๆ อีกสองคน แล้วก็ครอบครัวของตาอิน”

 “ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าอยู่กันลำพังคนแก่ มีหนุ่มๆ สาวๆ อยู่

 

ด้วยนะครับ”

“มี แหม แม่ไม่ปล่อยให้ลำบากหรอกน่ะ ถึงไม่ใช่น้องแท้ๆ ก็เถอะ ยายน่วมก็น้าแท้ๆ ของแม่ ตาอินก็ญาติผู้ใหญ่ ลำบากมา ไม่ทอดทิ้งหรอก ลูก งานการมีให้ทำเยอะแยะ ขอให้ขยันเถอะ มีอนาคต นอกจากจะอยากไปทำอะไรของตัวเองหรือเป็นข้าราชการ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่อื่น บางคนเขาก็ไม่อยากทำงานกับญาติที่ฐานะดีกว่ากลัวจะถูกเหยียดหยาม แต่แม่ไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นนะ จ้างคนอื่นจ้างได้ทำไมกับญาติตัวเองจะจ้างไม่ได้ เป็นญาติไม่มีที่พักก็มี บ้านให้อยู่ เรามีตั้งหลายหลัง ที่โรงงานก็มีบ้านพัก ชั้นบนร้านค้า ปลีกก็ต้องมีห้องพัก อยู่ไหนก็ได้แล้วแต่สะดวก เพียงแต่ว่าต้องมีวินัย รู้การควรไม่ควร”

ลูกชายเดินสำรวจห้องนอน

“ห้องนี้ตกลงเป็นห้องผมนะครับ”

“จ้า ห้องของลูก แต่ห้องที่บ้านเก่าก็ยังอยู่นะ เผื่อจะไปอ้อน น้านีกับตายายบ้านโน้น ที่คอนโดก็มีห้องว่างห้องนึง แม่สั่งวินไว้ว่า ให้เก็บไว้ให้น้อง อย่าให้เพื่อนหรือใครมาพัก คอนโดนั่นมันสามห้องนอน ห้องก็ใหญ่ เก็บไว้ห้องนึง วินเขาก็รับปากดิบดี ถ้าไม่สั่งเดี๋ยวก็เอาเพื่อนกับใครต่อใครมานอน”

“แล้วรินง่วงหรือยัง เวลามันไม่ตรงกันแบบนี้” นางอรกานต์เปลี่ยน เรื่องคุยทันที

“ไม่ง่วงหรอกครับ แค่เมื่อย” ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนจะลงนอนบนเตียงทั้งอย่างนั้น ไม่ดึงผ้าปูที่นอนออก “แม่จะสัมภาษณ์อะไร ละซี”

“อ้าว ไม่ถามได้ไง พาสาวมาบ้าน พามาให้แม่ดูตัวหรือเปล่า” มารดาพูดเสียงสูง “แต่แม่ว่าเขาไม่ตรงกับรสนิยมลูกเลยนี่นา”

 

 

ลูกชายหัวเราะ “ก็สนิทกันดี ไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนเพราะยังไม่เคย พูดกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่จริงๆ รินชอบเขามากนะ นิสัยดี คุยสนุก ไม่เรื่องมาก”

“บ้านเขาทำอะไร หรือว่าตัวเขาน่ะทำอะไร อายุเท่าไหร่ ถึงยี่สิบห้าแล้วยัง ฐานะเป็นยังไง ไปเรียนด้วยทุนอะไร เรียนอะไร”

“แม่ ทีละเรื่อง” ลูกชายลากเสียง “ตอบไม่ถูก”

“เอ้า แม่รู้ละว่าเขาเป็นคนเหนือ ว่าแต่อาชีพการงานอะไร ไม่ใช่ พวกค้ายาบ้าตามชายแดน หรือว่าลูกหลานจีนฮ่อ ไทยใหญ่ ว้าแดง ชาวเขา”

อรินส่ายหน้า “แม่ละไม่วายระแวง นามสกุลเขาบอกชัดว่าเป็น พวกเจ้าทางเหนือ” ชายหนุ่มบอกนามสกุลเก่าแก่มีเชื้อแถวของสาว เจ้า “พ่อเขามีโรงงานเซรามิกส์อยู่ลำปาง แม่มีโรงเรียนอยู่เชียงใหม่ ฐานะคงไม่เลวนักเพราะไปเรียนด้วยทุนส่วนตัว ก่อนกลับยังไปโอน เงินที่ใช้เหลือกลับเมืองไทยตั้งห้าพันกว่าปอนด์ แสดงว่าพ่อแม่ให้เงินไปเหลือใช้ แต่เขาก็เคยไปทำงานขายของไทย รับงานแกะสลัก เขาเคยว่าเสียดายเงิน กว่าจะได้มามันเหนื่อย สงสารคนปั้นชามตราไก่ ของพ่อ ส่วนอายุ เขาเกิดปีเดียวกะรินแต่อ่อนเดือนกว่า”

“อะไร้ หน้าอ่อนออกยังงั้น” ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ในใจโล่งอกไปมากเพราะแม่สาวคนนี้คงไม่ใช่พวกอยากจับลูกชายเศรษฐี “เขา เรียนอะไรล่ะ ริน”

“ก็พวกออกแบบแหละ คงจะมาช่วยพ่อเรื่องเซรามิกส์ แต่แม่อยาก ให้รับช่วงโรงเรียน เขาว่าเล็กๆ มีแค่ประถมหกกับอนุบาล ทีนี้ก๊อว่าพี่ชายพี่สะใภ้เขาทำอยู่ เขาชอบศิลปะมากกว่า แต่บางทีก็บ่นว่าไม่อยากทำเซรามิกส์ อยากนั่งฝันเป็นจิตรกรนอนฝัน วาดรูปเฉยๆ กับพวกงานกระดาษ พวกกระดาษสาอะไรน่ะ”

 

นางอรกานต์นิ่งฟัง

“แม่คงนอนได้แล้วนะครับ สบายใจได้แล้ว เรายังไม่มีอะไรกันหรอก ถึงผมจะชอบเขามากก็เถอะ เขาไม่ตาโตเรื่องเงินทองแน่”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หน้าที่ปราศจากแว่นตาทรงกลมของแก้วก๊อทำให้นาง   อรกานต์ชะงักและต้องมองซ้ำด้วยคาดไม่ถึง

ดวงตาของหญิงสาวสวยเหลือเกิน ขนตายาวเป็นแพดกหนา งอนหยับตามธรรมชาติ มิใช่เพราะดัด หนังตาสีเทาอ่อน มิใช่เพราะ เครื่องสำอางแต่งแต้ม หากคงเป็นเพราะนอนไม่พอ แต่มันกลับทำให้ดวงตาสีดำมีเงาวาวๆ สีเทาดูสวยจับตา คิ้วของหล่อนดกหนาได้รูป เช้านี้หล่อนไม่ได้หวีผมเสยอย่างเมื่อคืนหากลงมาปรกหน้าผากด้าน ซ้ายดูเก๋ไก๋ ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวพรรณดีอย่างสาวเหนือทั่วไป หาก เสริมแต่งเล็กน้อยด้วยแป้งและลิปสติกชั้นดีช่วยให้ดูดียิ่งขึ้น

สวยทีเดียว ผู้สูงวัยกว่าสรุป

“ไม่ใส่แว่นแล้วมองชัดหรือ หนู” ถามออกไปตรงๆ

“ใส่เลนส์อยู่ค่ะ” หญิงสาวตอบหลังจากทำความเคารพอ่อนน้อม เช่นเคย “แต่อยู่บนเครื่องต้องใส่แว่นไม่อย่างนั้นตาจะแห้ง เดี๋ยวมีปัญหา”

อรินเดินเข้ามาในห้องอาหาร

 

 

“ไหนว่าจะทำเลสิก”

“ต้องกลับไปถามพี่สะใภ้ดูก่อนว่าทำเลสิกแล้วมีปัญหาอะไรไหม ก๊อยังกลัวๆ อยู่ แต่ใส่เลนส์หรือแว่นมันก็มีปัญหาน่ารำคาญโขอยู่ อีกอย่างทำให้บุคลิกดูเป็นครูเกินไป จนแม่อยากให้เป็นครูลูกเดียว”

“เขาทำกันถมไป ไม่มีปัญหาอะไร แม่วินก็ทำ” นางอรกานต์บอก หันไปทางสาวใช้ให้บริการน้ำดื่มก่อน “หนูจะดื่มอะไร น้ำส้มคั้น กาแฟ หรือชา ชาสินะ นักเรียนอังกฤษนี่”

“กาแฟ แม่ เรากินกาแฟ ไม่ติดชา” ลูกชายบอก “เราโตเมืองไทยครับ บ้านเราดวดกาแฟกับเบียร์และเหล้า ถ้าชาก็ชาจีน ไปเรียนโน่นก็โตโขแล้ว ผมยังนานกว่าเพราะไปตั้งแต่ยังไม่จบตรี ก๊อน่ะไปจบตรีแล้ว อยู่แค่สองสามปี ยังไม่ติดธรรมเนียมอังกฤษ คนอังกฤษเองตอนนี้ก็ชักอเมริกันจ๋าเหมือนกัน”

“ก๊อกินกาแฟ จริงๆ ก๊อชอบนํ้าผลไม้เพราะอยู่บ้านแม่บังคับให้ดื่มทุกเช้า ทีนี้อยู่โน่นหาผลไม้สดยากมีแต่บรรจุกล่องหรือกระป๋อง เลยไม่ค่อยอยากดื่ม อยู่มหา’ลัยก็หาแท้ๆ ยาก คนขายเขาผสมน้ำเชื่อมเลยรสพิลึก แล้วนอนดึกถึงริดื่มกาแฟเลยติด ถ้ามีน้ำผลไม้ก๊อขอน้ำผลไม้” หล่อนหันไปพูดภาษาเหนือกับสาวใช้ผิวเนียนหน้าตาดี “บ้านคุณป้ามีสาวๆ จากเหนือหลายคนนะคะ ก๊อได้ยินเขาพูดกัน จับสำเนียงได้”

“เอามาจากเพชรบูรณ์ ไม่ถึงกับเหนือมาก แล้วบางคนก็มาจากอีสาน แต่เห็นเขาพูดกันรู้เรื่องดีนี่ ทีแรกยังแปลกใจว่าทำไมสำเนียงใกล้ๆ กัน เพิ่งนึกออกทีหลังว่าเพชรบูรณ์น่ะอยู่ตรงรอยต่อระหว่าง เหนือกับตะวันออกเฉียงเหนือ”

“ค่ะ บางอำเภอที่ติดอีสาน ใกล้จังหวัดเลยน่ะพูดสำเนียงอีสานเลยละค่ะ แต่ก็พูดภาษาเหนือได้ ไม่ใช่คำเมืองแท้ๆ หรอกนะคะ คำ 

 

เมืองน่ะต้องเชียงใหม่ ก๊อเองก็ไม่แท้ เพราะที่บ้านทางพ่อเป็นคนน่าน แต่แม่นะคำเมืองแท้ พี่สะใภ้ก๊อเชียงใหม่แท้ทั้งพ่อและแม่เลย แต่มี เชียงตุงปนบ้างทางคุณทวด”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (76 รายการ)

www.batorastore.com © 2024