
เพลิงมายา (เพ็ญศิริ) (EBOOK)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
เพลิงมายา
เพ็ญศิริ
๑
บนเวทีอันทรงเกียรติ ร่างนางงามจากอำเภอต่าง ๆ ในชุดสาวล้านนาถือร่มกระดาษสีสันสดใส ใบหน้าของเหล่านางงามทั้งหลายล้วนแล้วแต่สดสวยงดงาม เนื่องจากอยู่ในวัยสะพรั่งกำลังเบ่งบานด้วยกันทุกนาง
เหล่านางงามทั้งหมด ไม่ต่ำกว่าสามสิบชีวิต ต่างก็มีจุดมุ่งหมายที่จะพิชิตตำแหน่งเทพีครั้งนี้กันให้ได้ รวมทั้งไปรยา สาวงามจากอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ผู้ใหญ่แห่งอำเภอส่งเข้าประกวด นัยว่านางงามสาวผู้นี้มีภาษีเหนือกว่าเหล่านางงามคนอื่น ๆ ตรงที่หญิงสาวมีใบหน้าอันหวานฉ่ำ และขยันยิ้มอย่างจริงใจ ใบหน้าหวานของนางงามสาวผู้นี้จึงนับว่ามีเสน่ห์จับตาแก่ผู้พบเห็นทั้งหลายเป็นอันมาก ตลอดทั้งเรือนร่างอันแช่มช้อยที่ซ่อนอยู่ในชุดผ้าซิ่นประจำท้องถิ่นล้านนา กับเสื้อแขนกระบอกสีบานเย็น มีผ้าสไบเฉียงพาดไหล่ปล่อยชายย้อยลงมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผมดำขลับจนเป็นเงาเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่บนศีรษะมีดอกเอื้องประดับประดาอยู่รอบ ๆ
การตัดสินในรอบคัดเลือกแรก ๆ ผ่านพ้นไปเป็นขั้นตอน จนกระทั่งเหลือนางงามรอบสุดท้ายเพียงห้าคน หนึ่งในห้านางงามที่เข้ารอบสุดท้าย มีไปรยาหลุดติดเข้าไปด้วยตามความคาดหมายของใครต่อใครหลายคน
เสียงเชียร์นางงามในดวงใจของตัวเองดังกระหึ่มจากกองเชียร์ทั้งหลายที่พร้อมใจกันมาแน่นหน้าเวที ลูกโป่งหลากสีสันลอยสลอนอยู่กลางอากาศ เพื่อเตรียมมอบให้กับนางงามที่ตนรักและปรารถนาจะให้ครองตำแหน่งเทพีบ่อสร้างครั้งนี้
ไปรยาใจเต้นระทึก เมื่อเสียงพิธีกรประกาศว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะถึงรอบตัดสินครั้งสำคัญ นั่นคือการตัดสินครั้งสุดท้ายว่าใครจะได้ครองตำแหน่งสำคัญที่สุด
“ขอเชิญนางงามทั้งห้าท่านเดินออกมาด้านหน้าเวทีอีกครั้งครับ”
พิธีกรกล่าวประกาศผ่านไมโครโฟนขึ้น นางงามเบอร์ต้น ๆ เดินถือร่มแยกแถวจากเพื่อนผู้เข้ารอบอีสี่คนเดินกลับไปกลับมาด้านหน้าเวที รับเสียงปรบมือกระหึ่มกึกก้องจากคนดูไม่น้อยกว่าสี่ห้าพันคนขึ้นไป
บรรดานักข่าวประจำท้องถิ่น รวมทั้งนักข่าวระดับประเทศพากันดาหน้าเข้ามายืนซูมกล้องคอยถ่ายภาพนางงามที่ส่งยิ้มหวานระรื่นออกไป จนกระทั่งถึงคราวของไปรยา นางงามเบอร์ที่ ๑๙ เมื่อหญิงสาวขยับพาร่างโปร่งระหงในชุดสาวล้านนา ผ้าสไบเฉียงพาดไหล่กลมกลึงของเธอพลิ้วตามจังหวะการเดินของนางงามสาวยามเมื่อหล่อนย่างก้าวออกมาเดินด้านหน้าเวทีบ้าง เสียงปรบมือก็กึกก้องกระหึ่มขึ้นจนหญิงสาวหูอื้ออึง เฉกเช่นนัยน์ตาตาที่พร่าพรายไปกับแสงแฟลชจากกล้องทั้งหลายของนักข่าวที่พุ่งเป้ามายังร่างของหล่อนอย่างต่อเนื่อง
ไปรยาเดินถือร่มส่งยิ้มจริงใจให้กับกรรมการและผู้ชมทั้งหลายหนึ่งเที่ยว ก็เดินกลับไปรวมกลุ่มกับนางงามอีกสี่คนอยู่ที่เดิม
“และแล้ว นาทีสำคัญที่ทุกท่านกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็มาถึงเสียทีเราจะได้ยลโฉมหน้านางงามผู้โชคดีและแสนงามที่จะได้ครอบครองตำแหน่งเทพีบ่อสร้างของปีพ.ศ.นี้กันแล้วนะครับ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายพากันเงียบกริบลง เมื่อนาทีระทึกใจกำลังจะมาถึง การประกาศเริ่มจากนางงามขวัญใจช่างภาพก่อนเป็นอันดับแรก ไปรยาแทบจะลืมหายใจขณะที่คอยฟังเสียงพิธีกรประกาศเบอร์นางงามผู้ครองตำแหน่งผู้นั้น
“นางงามผู้ได้ครองตำแหน่งขวัญใจช่างภาพประจำปีนี้ คือ นางสาวศรีรัตน์ เลอสรวง จากอำเภอน้ำแตง เบอร์ที่ ๗ ครับ”
หญิงสาวค่อย ๆ ระบายลมหายใจอัดอั้นมา เมื่อหันไปมองหน้านางงามแห่งอำเภอน้ำแตงที่ยกมือรับไหว้ตำแหน่งนั้น ก่อนจะเดินถือร่มเยื้องกรายออกไปรับรางวัลต่าง ๆ จากกรรมการผู้มีเกียรติที่ขึ้นมามอบให้บนเวที
“และนับจากนี้ไป เราจะได้ทราบกันว่า ใครคือนางงามขวัญใจประชาชน ได้แก่ นางงามเบอร์ยี่สิบสอง นางสาวขวัญลออ จากอำเภอแม่ริม ส่งเข้าประกวดครับ”
เสียงปรบมือขานรับตำแหน่งนั้นของนางงามคนงามแห่งอำเภอแม่ริมดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ไปรยาหันไปส่งยิ้มให้กับนางงามคนสวยดั่งจะปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอก เธอได้ตำแหน่งนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากนั้น ตำแหน่งอื่น ๆ ของนางงามอีกสองนางก็เปิดเผยที่ละคน จนกระทั่งเหลือเพียงไปรยาเพียงผู้เดียวที่ถูกทิ้งให้ยืนเดี่ยวโดยที่นางงามสาวยังไม่ได้รับตำแหน่งอะไร ซึ่งนั่นหมายความว่า
“และแล้ว นาทีที่ทุกคนเฝ้าตั้งตารอคอยกันมานานหลายชั่วโมงก็มาถึงแล้ว เทพีบ่อสร้างประจำปีพ.ศ.๒๕๔๖ ก็คือ…นางสาวไปรยา เจ้าของเบอร์ ๑๙ อำเภอสันกำแพงส่งเข้าประกวดครับ”
เสียงปรบมืออื้ออึ้งดังสนั่นลั่นหน้าเวทีขึ้นทันที ไปรยาใจเสียววาบดุจไม่อยากจะเชื่อว่าคำประกาศนี้จะเป็นความจริงขึ้นมาได้
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน หล่อนน่ะหรือคือเทพีบ่อสร้างประจำปี ผู้ได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญของปีนี้..
เมื่อรู้สึกตัว ไปรยาก็พนมมือขึ้นแล้วย่อเข่าลงไหว้รับเสียงปรบมือและแสงแฟลชจากเหล่านักข่าวที่พากันฮือฮาเข้ามาแย่งกันถ่ายภาพหล่อนกันเนืองแน่นมงกุฎเทพีและสายสะพายถูกสวมให้แก่หล่อน ไปรยายังงุนงงว่าหล่อนฝันหรือมันเป็นความจริงกันแน่
…………………………………………………………………………………………………………….
ภาพแห่งความสำเร็จในการประกวดครั้งนั้นถูกบันทึกลงในภาพถ่าย รวบรวมเป็นอัลบั้มขนาดใหญ่ให้ไปรยาเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อหญิงสาวมีจังหวะและเวลาว่าง ไปรยาก็มักจะหยิบเอาภาพเหล่านี้ขึ้นมาพลิกดูอย่างชื่นชมและอาลัยในตำแหน่งสำคัญที่ผ่านมานั้น เพราะมันคงจะไม่ย้อนกลับมาให้หล่อนภาคภูมิใจได้อีกต่อไปแล้ว เพราะหลังจากที่ไปรยาได้ตำแหน่งเทพีบ่อสร้างเพียงปีเดียว หญิงสาวก็ตัดสินใจแต่งงานกับสุเทพ หนุ่มชาวไร่ผู้ลุ่มหลงรักใคร่เธอมาตั้งแต่ไปรยายังเพิ่งเป็นสาวรุ่นอายุสิบหกปีเท่านั้นเอง
การแต่งงานซึ่งเกิดจากความตัดสินใจของหญิงสาว นำความเจ็บปวดรวดร้าวมาสู่หญิงสาวเพียงหนึ่งปีให้หลังผ่านไป นั่นเพราะความหึงหวงของสามีชาวไร่ ที่เฝ้าปักใจว่า สักวันหนึ่ง ไปรยาจะหวนกลับไปสู่ชื่อเสียงเกียรติยศที่หล่อนเคยได้รับมาก่อน และทอดทิ้งเขาไปโดยไม่ย้อนกลับมาหาเขาอีกเลย
สุเทพแทบจะกักขังเมียสาวเอาไว้แต่ในเรือนไม้สักขนาดกลางที่เขาสร้างขึ้นมาสำหรับเป็นเรือนหอของหล่อนกับเขา ในยามกลางวันชายหนุ่มก็จะออกไปทำไร่ยาสูบ หรือไม่ก็ไร่ฝ้าย แล้วให้เมียสาวอยู่เฝ้าบ้านคอยหุงหาอาหารไว้คอยท่าเขาในตอนกลางวันและตอนเย็นเท่านั้น
วันใดถ้าสุเทพกลับมาแล้วไม่เห็นเมียสาวอยู่กับเหย้า เขาจะอารมณ์เสียพาลไม่ไปทำงานเพื่ออยู่เฝ้าบ้านคอยดูว่าเมียสาวคนสวยจะกลับมาเมื่อใด และทุกครั้งที่ไปรยากลับมา หญิงสาวก็มักจะเกิดปากเสียงกับสามีชาวไร่อย่างหนักเพราะอารมณ์หึงหวงอย่างไร้เหตุผลของสุเทพอยู่เป็นประจำ
“ทำไมพี่เทพเขาถึงได้กลายเป็นคนขี้หึงขนาดนี้ก็ไม่รู้นะ พี่ยา”
ปองจิตผู้เป็นน้องสาวของอดีตเทพีบ่อสร้างสาวบ่นออกมาอย่างระอาใจเพราะมีบ่อยครั้งเหลือเกินที่สุเทพตามไปหึงหวงใส่เมียสาวถึงหน้าบ้านของนางเปรมใจ แม่ของหญิงสาว และถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีเมื่ออารมณ์หึงหวงนั้นถึงที่สุดก็มักจะเกิดอยู่ไม่วายเว้น สร้างความเบื่อหน่ายระอาใจให้กับนางเปรมใจและปองจิต ผู้เป็นแม่และน้องสาวของไปรยาสุดที่จะกล่าว มิไยที่หญิงสาวจะเพียรอธิบายว่าหล่อนไม่เคยคิดนอกใจเขามาก่อนเลย สุเทพก็ยังไม่เคยนำพาและลดละความหึงหวงลงไปได้
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาก็ยิ่งฝังใจต่อความหวาดระแวงว่าสักวันหนึ่งไปรยาอาจจะทอดทิ้งเขาไปสู่ชีวิตที่หรูหรา เลิศหรูของสังคมเมืองใหญ่ ทอดทิ้งผัวชาวไร่เช่นเขาไปก็เป็นได้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ หล่อนกับเขามีโซ่ทองคล้องใจร่วมกันมาหนึ่งคน นั่นคือแม่หนูปรางค์ฉาย ผู้เป็นลูกสาวสุดที่รักวัยขวบเศษ ๆ ของไปรยากับสุเทพกำเนิดขึ้นมา แต่สุเทพก็ยังไม่ยอมไว้วางใจในตัวเมียสาวว่าจะซื่อสัตย์และใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปจนเฒ่าจนแก่เสียที
หญิงสาวทอดถอนใจออกมาอย่างเศร้าหมองเมื่อนึกถึงความสุข ความฝัน ที่หล่อนวาดหวังเอาไว้ว่า ถ้าหล่อนแต่งงานกับสุเทพแล้วจะพบกับความสุขสมหวังเนื่องจากสุเทพเป็นผู้ชายขยันขันแข็ง เหล้าไม่แตะ บุหรี่ไม่สูบ เพื่อนฝูงไม่ยุ่งเกี่ยว แต่มันกลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้นเลย
เสียงฝีเท้าก้าวย่ำขั้นบันไดขึ้นมา ไปรยารีบร้อนเก็บอัลบั้มใหญ่ใส่ตู้โชว์ พร้อมกับเลื่อนโล่รางวัลต่าง ๆ ที่การันตีความงามของหล่อนในอดีตให้เรียงเข้าที่กันที่เดิมแต่ก็ไม่ทันเวลาที่สุเทพเดินขึ้นมาเปิดประตูห้องเสียก่อนแล้ว
ใบหน้าเรียบสนิทพลันมีรอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นบนใบหน้าคล้ำซึ่งมีเหงื่อเป็นเม็ดเกาะอยู่บ้างประปราย เขาถอดหมวกออก แล้วยืนท้าวสะเอวมองหน้าไม่สู้จะสบายใจของเมียสาววัยยี่สิบอย่างเยาะหยัน
“ยังอาลัยไอ้รางวัลบ้า ๆ พวกนี้อยู่หรือไง ไปรยา พี่บอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปสนใจมัน มันก็แค่ถ้วยรางวัลที่เขาทำขึ้นมาหลอกล่อยั่วตัณหาผู้หญิงใจแตก หน้าโง่บางคนเท่านั้นแหละ”
ว่าแล้ว ชาวไร่หนุ่มก็ตรงเข้ามาแย่งโล่รางวัลจากมือเมียสาว ทำท่าจะปาออกนอกหน้าต่างไป ไปรยารีบแย่งคว้าเอามาซ่อนไว้ข้างหลังตัวเองอย่างหวงแหน
“อย่านะจ๊ะ พี่เทพ อย่าทิ้งมัน”
“ทำไม เธอจะเก็บมันเอาไว้อีทำไม ถึงยังไงเธอก็ไม่มีวันได้กลับไปเป็นเทพีอะไรอีกแล้ว อ้อ นี้คงจะยังนึกยังฝันอยู่ละซิว่าจะกลับไปเป็นนางงามอีกน่ะ”
ยิ่งพูดสุเทพก็ยิ่งแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวออกมา จุดด้อยประการหนึ่งของเขาคือเขาเป็นคนโกรธง่าย แม้แต่คำพูดของตัวเองแท้ ๆ ก็ยังจุดประกายความโกรธ สร้างอารมณ์ฉุนเฉียวให้กับตัวเองได้เสียแล้ว
ไปรยาหน้าเข้มขึ้น ก่อนจะซีดขาวลงไปกับถ้อยคำเชือดเฉือนจิตใจของผู้เป็นสามี
“ฉันไม่ได้คิดจะกลับไปเป็นเทพีอะไรนั่นอีกหรองนะจ๊ะ พี่สุเทพ แต่ว่าว่าง ๆ ลูกนอนหลับแล้วก็อดจะเข้ามาดูมันอีกไม่ได้”
“ดูทำไม ดูแล้วเกิดความอยาก อย่าลืมซิว่าเธอน่ะมีลูกมีผัวแล้วทั้งคน”
“ฉันไม่เคยลืมหรอก พี่สุเทพ แล้วก็ไม่เคยคิดจะหวนกลับไปเป็นอะไรอีก ทำไมพี่ถึงไม่เคยไว้ใจฉันบ้างเลย”
หญิงสาวตัดพ้อสามีน้ำเสียงน้อยใจ สุเทพแค่นหัวเราะออกมาดัง ๆ สายตาเยาะหยันคู่นั้นลดศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจทั้งหลายที่ไปรยาเคยมีลงไปจนหมดสิ้น หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่าอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าฉันไว้ใจเธอ สักวันหัวฉันก็คงจะมีเขางอกขึ้นมาอยู่บนหัว”
“พี่สุเทพ”
นับเป็นวาจาที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ฟังจนน้ำตาแทบร่วง แทนที่หนุ่มชาวไร่จะสำนึกตัวว่าเขาพูดจารุนแรงต่อภรรยาเกินไป เขากลับเอาแต่อารมณ์พูดหนักกว่าเก่า
“ฉันเห็นมาหลายรายแล้ว ไอ้ที่ไว้ใจเมีย เชื่อคำพูดเมียทุกคำ ผลสุดท้ายเป็นยังไง เมียหนีไปมีชู้มั่ง กว่าจะรู้ตัวเขาก็งอกบนหัวไปแล้ว ชาวบ้านรู้กันหมดเมือง มีแต่มันเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าเมียมันแอบมีชู้อยู่ตั้งนาน”
“พี่สุเทพ ที่พี่พูดมาน่ะมันไม่ใช่ฉันหรอกนะ ฉันไม่เคยคิดจะทำตัวเสื่อมเสียชั่วช้าอย่างนั้น ฉันมีพ่อแม่คอยสั่งสอนว่าลูกผู้หญิงที่แต่งงานไปแล้วควรจะทำตัวยังไง อีกอย่างหนึ่งฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงร่าน มีผัวเดียวไม่รู้จักพออย่าที่พี่เคยพบเจอมาก่อน ฉันกับมุกดา เมียเก่าของพี่มันนิสัยคนละอย่างกัน”
เท่านั้นเอง สุเทพก็เดินรี่เข้ามาตบหน้าไปรยาดังฉาดเต็มแรง จนใบหน้าของอดีตเทพีสาวหันไปตามแรงตบนั้น ไปรยาเซถลาซวนเซไปล้มข้าเสาห้อง หล่อนร้องกรี๊ดออกมา และเสียงกรีดร้องของหญิงสาวนี่เองที่ปลุกแม่หนูซึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่ในเปลให้ตื่นขึ้นมาส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก
สุเทพชะงักอารมณ์ไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงลูกน้อยร้องจ้าขึ้น เขาจึงผละจากร่างไปรยาไปอุ้มลูกขึ้นมาโอบอุ้มแนบอก แต่ยังไม่วายชี้หน้าไปรยาอย่างกราดเกรี้ยว
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าห้ามพูดถึงชื่ออีมุกดาให้ฉันได้ยินอีก”
“ถ้าพี่ลืมมุกดาแล้ว ทำไมพี่ถึงทนฟังชื่อเมียเก่าของพี่ไม่ได้ แล้วพี่ก็ยังฝังใจว่าฉันจะต้องนิสัยเลวทรามต่ำช้าเหมือนกับผู้หญิงที่พี่เคยพบมา พี่ไม่เคยเชื่อใจฉันเลยว่าฉันรักและพร้อมที่จะซื่อสัตย์กับพี่เพียงคนเดียว ขอเพียงพี่เชื่อใจฉันบ้างเท่านั้น”
ไปรยาเถียงไปก็ร้องไห้ไป ใคร ๆ ในหมู่บ้านนี้ต่างก็รู้ดีว่าสุเทพ สามีของหล่อนนั้นเคยมีเมียมาก่อน ชื่อมุกดา เป็นหญิงสาวชาวบ้านต่างตำบลกัน แต่ต่อมาก็อันตรธานหนีหายไปจากหมู่บ้าน จากชีวิตของสุเทพ และไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
ครั้งนั้น สุเทพเต็มไปด้วยความเดือดดาลคั่งแค้นเหลือหลาย เขาเที่ยวได้ป่าวประกาศว่ามุกดาหนีตามชายชู้ไปอยู่ที่อื่น พลอยทำให้ทุกคนรวมทั้งครอบครัวของไปรยาเข้าใจตามถ้อยคำที่เขาป่าวประกาศเรื่อยมา
“ฉันไม่เชื่อ อีมุกดาก็เคยพูดเหมือนที่เธอพูดนี่แหละ สบถสาบานว่าไม่เคยคิดมีใคร แต่ที่ไหนได้ อยู่กับฉันยังไม่ทันไรมันก็หนีตามผู้ชายอื่นไปจนได้ ต่อไปนี้ฉันไม่มีวันเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนจะซื่อสัตย์กับลูกผัวตัวเองจริง”
“พี่สุเทพ ถ้าอย่างนั้น พี่ขอฉันแต่งงานทำไมกัน”
หญิงสาวร้องถามน้ำเสียงรันทดปนสะอื้น นับตั้งแต่หล่อนแต่งงานกับสุเทพชีวิตของไปรยาก็ไม่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งที่เขาขุนข้าวน้ำ และมีเซ็กส์ด้วยยามที่หิวโหย หลังจากนั้นก็ย่ำยีดูถูกดูหมิ่นสุดแท้แต่อารมณ์ของเขาต้องการ
“ฉันแต่งเพราะฉันรักเธอ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ฉันจะเชื่อคำพูดของเธอทุกอย่างนี่ เมื่อก่อนนี้เพราะฉันเชื่ออีมุกดาฉันจึงต้องอับอายขายหน้าชาวบ้านต่อไปฉันจะไม่หน้ามืดตามัวเชื่อแต่คำพูดของเมียอีกแล้ว ผู้หญิงก็ไม่ต่างจากงูเห่าหรอก เผลอเมื่อไรมันก็แว้งกัดเราตายเมื่อนั้น”
ไปรยาหูชาไปกับคำพูดเหยียบย่ำราวกับหล่อนไม่ใช่คนที่มีชีวิตจิตใจ ใช่ว่าสุเพทะจะใช้คำพูดพวกนี้เชือดเฉือนหล่อนเป็นครั้งแรก แต่นี้ไม่รู้ว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไร ที่เขาใช้คำพูดเป็นน้ำกรดราดรดจิตใจของหล่อนจนสึกกร่อนผุพัง
ชาวไร่หนุ่มจ้องหน้าเมียสาวที่ก้มหน้าลงอย่างเงียบงัน เขาถือว่าการเงียบของหล่อนคือการจนตรอก อับจนคำพูดต่อปากต่อคำด้วย และเขาก็เหมาว่าเรื่องที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอคิดจะมีชู้เหมือนอีมุกดา ไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอให้ตาย”
เขาชี้หน้าหล่อน ก่อนจะวางลูกลงในเปล แล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อหาข้าวปลากิน ไปรยาน้ำตาร่วงพลู หล่อนเข้าไปโอบอุ้มร่างลูกน้อยขึ้นมาสวมกอดสะอื้นฮักดั่งใจจะขาด นับวันชีวิตของหล่อนก็จะห่างไกลจากความสุขออกไปทุกที
หากว่าชีวิตของหล่อนต้องพบกับสิ่งเหล่านี้จากสามีไม่มีจบสิ้น แล้วไปรยาจะมีลมหายใจไปทำไมกัน อยู่เป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาพอใจจะเลี้ยงดูดยังไงก็ได้ สุดแท้แต่ใจและอารมณ์ของเขาบันดาลให้เป็นไปตามนั้น
แล้วคุณค่าของมนุษย์ของไปรยาล่ะ อยู่ที่ไหน…หล่อนยังเหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือเปล่า ไปรยาเฝ้าร้องถามตัวเองอย่างขื่นขม