เงากรรม (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ 1

 

            บรรดาภูตผีปิศาจ  ค้างคาวดูดเลือด ต่างออกเพ่นพ่านและเคาะตามประตูบ้านหลังต่างๆตามเส้นทางที่ผ่านไป

            คฤหาสน์หลังใหญ่ในเคมบริดจ์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น..

                วิลลี่เดินมาเปิดประตูบ้านชะโงกหน้ามองออกไป  สายลมเย็นเยือกแห่งราตรีในฤดูใบไม้ร่วง พัดกรูเกรียวเข้ามาจนสะท้านไปทั่วทุกขุมขน

                ขณะนั้นแม้จะเพิ่ง 6 โมงครึ่ง  แต่อากาศภายนอกก็มืดสนิทแล้ว และเนื่องจากคฤหาสน์ของเพื่อนสาวหลังนี้อยู่ลึกเข้าไปในถนนสายใน  ดังนั้น แสงไฟจากถนนจึงสาดส่องเข้ามาไม่ถึง  การจะมาถึงที่นี่ได้  พวกเด็กๆจะต้องเดินเข้ามาตามซอยแคบๆระหว่างรั้วกั้นอาณาเขตของคฤหาสน์หลังเก่าแก่ 2 หลัง ซึ่งมีเถาไอวี่ขึ้นพาดพันอยู่กับต้นไม้ใหญ่มืดครึ้ม

                ในท่ามกลางสายลมเย็นเยือกกับเถาไอวี่ที่ส่ายไหวอยู่ในแรงลมเช่นนี้  วิลลี่อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกเด็กๆช่างมีความกล้าหาญกันเหลือเกิน  กล้าเดินเข้ามาถึงก้นซอยที่ลึก มืดและคอนข้างเปลี่ยวเช่นนี้

                แอนน์กับมาร์กได้ปิดไฟตรงลานเฉลียงด้านหน้าแล้ว  เนื่องจากแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงมากันครบแล้วทุกคน  และขณะนี้กำลังรวมกลุ่มอยู่ตรงโต๊ะบุฟเฟ่ต์  บ้างก็ยังสนใจอยู่กับการดื่มและการสนทนาปราศรัยกันอย่างสนุกสนาน  ไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเด็กๆที่ออกมาฉลองเทศกาลฮัลโลวีนส์เลย  ตอนที่มีเสียงเคาะดังขึ้นตรงหน้าประตูนั้น  วิลลี่ได้รับอาสาเพื่อนสาวเจ้าของบ้านที่จะออกมาเปิดประตูเอง

                เธอหยิบกล่องขนมที่แอนน์จัดเตรียมไว้แจกจ่ายให้กับพวกเด็กๆใส่ลงในถุงพลาสติกที่เด็กในชุดปิศาจคนหนึ่งยื่นมาให้  สังเกตเห็นอยู่ว่าผีบางตนนั้นสวมเสื้อแจ๊คเก็ตไว้ภายใต้ผ้าคลุมสีขาว และบางคนก็ยืนตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเย็นของอากาศ

                แต่เมื่อมองเลยไปในท่ามกลางความมืด  เธอก็ได้เห็นร่างสูงๆของใครคนหนึ่งที่ยืนสงบอยู่ด้านหลังเด็กๆเหล่านั้น  เธอเข้าใจเอาเองว่าจะต้องเป็นผู้ปกครองคนใดคนหนึ่ง ที่ตามมาให้ความอารักขาลูกหลานของตน  วิลลี่ยิ้มเมื่อกล่าวกับพวกเด็กๆว่า

                “สุขสันต์วันฮัลโลวีนนะคะ” ก่อนจะปิดประตูลง

                “ขอบคุณครับ”  พวกเด็กๆตอบรับอย่างสุภาพแต่ทุกสีหน้าบอกความผิดหวัง  วิลลี่อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ว่า  พวกเด็กๆยังต้องการอะไรจากคฤหาสน์ทึบทึมที่ซ่อนตัวอยู่บนถนนสายนี้อีก  อะไรก็ได้ที่มากกว่าการจะได้พบกับสุภาพสตรีสักคน  ที่พูดกับพวกเขาอย่างไพเราะอ่อนหวานเช่นนั้น

            แต่ทันทีที่ประตูปิดลง วิลลี่ก็เดินอย่างรีบเร่งกลับเข้าไปรับความอบอุ่นภายในห้องนั่งเล่น  ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องข้างเตาผิงตรงข้ามกับแอนน์ที่นั่งอยู่ข้างอีเลน  ฟลินน์  พนักงานต้อนรับของแบล๊คสโตน กรุ๊ป

                อีเลนกำลังเล่าเรื่องตลก เกี่ยวกับแม่สาวผมบลอนด์แสนสวยแต่ค่อนข้างโง่ ที่เคยมาเป็นนางแบบโฆษณาเครื่องครัวให้กับบริษัทครั้งหนึ่ง  ซึ่งวิลลี่เคยฟังเรื่องนี้มาแล้ว  เธอจึงไม่สนใจฟังเท่าไรนัก  ปล่อยให้เสียงพูดแจ้วๆลอยล่องอยู่ในบรรยากาศอันแสนสบาย ขณะที่เธอปล่อยจิตใจให้ลอยเลื่อน

                ค่ำคืนนี้ คฤหาสน์หลังเก่าแก่อันเป็นสมบัติของแอนน์กับมาร์ก  ดูสวยสดงดงามกว่าที่เคยเห็นมา  มันเป็นบ้านทรงวิคตอเรียนเพดานสูง  เหมาะแก่การจัดงานปาร์ตี้ในเทศกาลฮัลโลวีนส์อย่างที่สุด  นอกจากนั้น  แอนน์ก็ยังตกแต่งด้วยพวงเบอรี่สีดำกับอินเดียน คอร์น เทียนสีส้มวาบไหวก่อให้เกิดรูปเงาแปลกๆ

                ในห้วงแห่งความคิดนั้น วิลลี่ไม่แน่ใจเลย ว่าจะอีกนานสักเพียงไรกว่าที่เธอจะได้สัมผัสบรรยากาศอันแสนสุขเช่นนี้อีก  วันที่เธอกับแอนน์พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน  ช่วยกันเตรียมอาหารไว้เลี้ยงแขก หรือบางครั้งก็ช่วยกันทำอาหารค่ำเพื่อรับประทานกันแค่ 4 คน

                วิลลี่กับจอห์นกำลังจะย้ายไปจากที่นี่  ไปอยู่แนนทัคเคท  ซึ่งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งที่โดดเดี่ยวห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่มาก อย่างน้อยก็ 30 ไมล์ทีเดียว

                ซึ่งบนเกาะนั้นเธอไม่รู้จักใครเลยสักคน ไม่มีญาติสนิทมิตรสหาย  ที่เป็นเช่นนี้เพราะจอห์นได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะทุ่มเทเวลาให้กับงานที่เขารักให้มากที่สุด

                วิลลี่สัมผัสความรู้สึกได้ว่าแอนน์กำลังมองเธออยู่ จึงหันไปมองและพบกับรอยยิ้มที่บ่งบอกความเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนสาว  แอนน์รู้ดีว่าวิลลี่กำลังรู้สึกอย่างไร  มันเป็นความจริงที่ว่า เธอกับวิลลี่จะต้องมีความสุขเช่นนี้อีก  เพราะแนนทัคเคทไม่ได้อยู่ไกลถึงดวงจันทร์  แต่ความสนิทชิดเชื้อต่อกันมันจะต้องสูญหายไป

                แต่มันก็ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์จางลง  เนื่องจากแอนน์กำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด  อีกไม่นานชีวิตครอบครัวของเธอก็จะพรั่งพร้อมบริบูรณ์  ส่วนวิลลี่ก็จะต้องติดตามจอห์นไปแม้ไม่รู้เลยว่า วันเวลาในอนาคตจะเป็นอย่างไร

                แม้วิลลี่จะไม่เสียใจกับการที่ต้องจากไปเช่นนี้  แต่มันก็คล้ายกับมีอารมณ์เศร้าหมองผ่านเข้ามาในจิตใจ  ซึ่งก็เป็นธรรมดาสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอิสระ  มีความมั่นใจในตนเองสูง  เมื่อใดก็ตามที่ผูกพันจิตใจเข้าไว้กับใครแล้ว ก็มักจะเกาะเกี่ยวอยู่แต่บุคคลผู้นั้นด้วยความจงรักภักดี  เธอรู้ว่าจะไม่มีวันได้พบเพื่อนที่แสนดีเช่นแอนน์อีกแล้วและจะไม่มีใครเข้ามาแทนที่เพื่อนผู้นี้ได้ด้วย

                แต่จอห์นคือสามีของเธอ  เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอทุ่มเทให้ทั้งชีวิต และเธอก็พร้อมแล้วที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา

                “วิลลี่..”แอนน์เรียขึ้นเบาๆ ทำสีหน้าแปลกๆขณะบุ้ยใบ้ให้เธอดูอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพอใจ

                และวิลลี่ก็มองตามสายตาเพื่อน  จอห์นยืนพิงประตูห้องรับประทานอาหารพร้อมกับแก้วเหล้าในมือ  ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่กับสาวน้อยนางหนึ่งที่อิงร่างอยู่กับผนังใกล้เขา  เจ้าหล่อนอยู่ในชุดเจอร์ซี่สีดำแนบเนื้อ  ซึ่งวิลลี่รู้ว่าหล่อนคือ

เอริก้า ฮาร์ท  เป็นอาร์ติสต์อยู่กับบริษัทที่จอห์นทำงานอยู่  รูปร่างหน้าตาของหล่อนยั่วยวนกวนสวาทไม่น้อย

                “อ๋อ  เอริก้านั่นเอง”  วิลลี่ปนหัวเราะ  “เขาน่ารักดีนะแอนน์ แต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่หรอก”

                “แต่ฉันว่ามันไม่ใช่แค่นั้นนะวิลลี่” แอนน์พูดเหมือนจะเตือน  แต่วิลลี่ไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงจังหรือน่ากลัวอะไรเลยสำหรับแม่สาวที่ชื่อเอริก้าคนนี้

                แม้ว่าจอห์นจะเป็นผู้ชายที่จัดว่าหล่อมากซึ่งแทบจะตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง  แต่วิลลี่ก็มีความสุขความสงบในใจ  อาจจะเป็นเพราะเธอเกิดมาเป็นลูกคนเดียวที่พ่อแม่รักอย่างสุดสวาทขาดใจก็ได้

                ตอนที่เครื่องบินตกและพ่อกับแม่ตายลงพร้อมกันนั้น  วิลลี่เพิ่งจะรุ่นสาว  แต่เธอก็อยู่ในความปกครองของพ่อทูนหัวที่ดูแลเธออย่างเอาใจใส่  พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ชีวิตเธอจึงสมบูรณ์ด้วยความสุขทุกประการ

                และบัดนี้เมื่อเธอย่างเข้าสู่วัย 30 วิลลี่ก็ไม่สนใจกับรูปร่างหน้าตาของตนเองอีกต่อไป เพราะนับแต่เริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัย  เธอก็ได้เรียนรู้ว่า แม้รูปร่างหน้าตาเธอจะไม่สะสวยเท่าไรนัก  แต่ความมีสติปัญญา  ความอ่อนหวานและความมีสายเลือดผู้ดีอยู่ในตัวจะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างเสน่ห์ให้กับเธอได้  ดังนั้น  วิลลี่จึงไม่แปลกใจเลยเมื่อมีผู้ชายมาตกหลุมรัก

                แต่เธอกลับแปลกใจที่ผู้ชายคนหนึ่งในจำนวนนั้นคือจอห์น  แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเองก็หลงรักเขาด้วยเช่นกัน  ต่างฝ่ายต่างมหัศจรรย์ใจที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะราบรื่นเหมาะสมซึ่งกันและกันไปเสียหมด  ราวกับเป็นรูปแบบที่ถูกเขียนขึ้นไว้แต่ชาติปางก่อน

                ขณะนี้เขากับเธอแต่งงานกันมาได้ 8 ปีแล้ว  เป็นชีวิตสมรสที่มีความสุขมากและบัดนี้  เธอก็กำลังจะโยกย้ายติดตามเขาไป  ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างเขากับเธอนั้นเปรียบเสมือนมีลมหายใจเดียวกัน

                ดังนั้น เธอจึงไม่เคยเดือดร้อนหรือกังวลใจ  กับการที่เอริก้าจะทำท่าทางยั่วยวนจอห์นอยู่เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย  วิลลี่มั่นใจในความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตสมรสของตัวเองแล้ว

 

                “คุณนี่กล้าดีจังเลยนะ”  เอริก้ายิ้มระรื่นอยู่กับจอห์น  “เก่งแล้วก็กล้ามากอย่างที่ฉันไม่อยากเชื่อเลย”

                จอห์นยิ้ม  รู้สึกภูมิใจอยู่บ้างที่ได้รับคำชมกึ่งยกยอ  แต่ไม่ใช่เพราะท่าทางยั่วยวนกวนเสน่ห์ของเอริก้าแน่  แม้ว่าหล่อนจะนอนร่วมเตียงอยู่เสมอมาจนเกิดความเบื่อหน่าย  แต่น่าจะเป็นเพราะการที่หล่อนเข้าใจที่เขากล้าจะพูดคุยกับหล่อนอย่างเปิดเผยต่อสายตาคนอื่นเช่นนี้ เอริก้าไม่ใช่คนโง่  แม้ว่าบางครั้งหล่อนจะทำให้ใครๆคิดว่าหล่อนเป็นอย่างนั้นก็ตาม

                เอริก้าเพิ่งเข้ามาทำงานกับเอเยนซี่แห่งเดียวกับจอห์นได้ประมาณเดือนกว่า  เป็นคนมีฝีมือที่เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรได้อย่างรวดเร็ว  หล่อนมีความปรารถนาอันสูงส่งเช่นเดียวกับจอห์น  คืออยากเป็นศิลปินเต็มขั้น  สามารถทำมาหากินจากฝีมือของตนเองและเฝ้าแต่ตั้งความหวังไว้ว่า สักวันหนึ่งความฝันจะเป็นจริง

                ตอนที่จอห์นขอแต่งงานกับวิลลี่นั้น  เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า  เธอเป็นผู้หญิงที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร  ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่ที่ว่า  เขากลับมีความรู้สึกว่า เงินทองเหล่านั้น  มันเป็นภาระอันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน  ถ้าเธอยากจนกว่านี้เขาจะไม่ลังเลใจเลยที่จะขอให้เธอกัดก้อนเกลือกินกับเขา  หางานอะไรก็ได้ทำ เพียงเพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด

                แต่เมื่อวิลลี่มีเงินมากมายออกอย่างนี้  เขามีความรู้สึกว่า  มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ว่า  เขาไม่ต้องการเป็นผู้ชายที่เกาะเมียกิน  มันเป็นอะไรบางอย่างที่เขาทนไม่ได้

                เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงเข้าทำงานกับบริษัทโฆษณา  แม้ว่าเงินเดือนที่ได้รับจะไม่มากนัก  แต่จอห์นก็มีความรู้สึกอยู่ว่า  นี่คือสิ่งที่เขาแสดงให้วิลลี่เห็นว่าเขารักเธอจริง

                แต่ชีวิตสมรสระหว่างเธอกับเขามันได้ผ่านเลยมาจนถึงจุดที่ต่างรู้ว่า ต่างผูกพันในกันและกันจนไม่อาจพรากจากกันได้อีก  และมันถึงเวลาแล้วที่เขาจะตัดสินใจว่า ควรจะเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจังเสียที

                และค่ำวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ  เมื่อกลับมาถึงบ้าน  จอห์นก็พูดกับวิลลี่อย่างจริงจังว่า

                “ผมจะลาออกจากงาน  อยากลงมือทำงานที่ใจรักให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีนะวิลลี่”

                “จริงหรือคะจอห์น?” วิลลี่ยอมรับว่าเธอพลอยตื่นเต้นยินดีไปกับเขาด้วย  “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เริ่มลงมือวางแผนได้แล้วละค่ะว่าจะทำอะไร”

                วิลลี่สนับสนุนให้กำลังใจเขาอย่างเต็มที่ ลงนั่งปรึกษาหารือและวางแผนสำหรับงานที่จะทำอยู่จนดึกดื่น  พร้อมที่จะช่วยแต่งเติมความฝันของสามีให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา  วิลลี่รู้ว่าเธอจะต้องมีความสุขมากกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

                “นั่นหมายความว่าผมจะไม่มีรายได้ส่วนตัวอย่างน้อยก็ 5 ปีทีเดียวนะวิลลี่”  จอห์นพูดด้วยน้ำเสียงบอกความกังวล

                “เงินน่ะเขามีไว้ให้ใช้นะคะจอห์น  ถ้ามีแล้วไม่ใช้จะมีทำไม?” วิลลี่กลับย้อนถาม

                จอห์นรักวิลลี่ที่เธอเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะเข้าใจในทุกสิ่ง  ไม่เคยสร้างเงื่อนไขให้เขาต้องหนักใจเลย และวิลลี่เองก็รักจอห์น  ที่เขาไม่รังเกียจกับการใช้เงินของเธอเมื่อถึงคราวจำเป็น  ไม่ดื้อรั้นที่จะพิสูจน์ความรักที่เขามีต่อเธอด้วยการทำงานกับบริษัทโฆษณาได้เงินเดือนไม่พอยาไส้นั่นอีกต่อไป

            ในระยะหลังๆ จอห์นเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เขาอยากจะไปให้พ้นเสียจากเมืองนี้  พ้นจากสังคมอันหรูหราที่ผู้คนในแวดวงคอยแต่จะใช้สายตาตัดสินในการกระทำของกันและกัน  ไม่อยากเห็นหน้าค่าตาแม้แต่คนรู้จักที่เดินผ่านกันบนท้องถนนเสียด้วยซ้ำ

                สิ่งที่เขาต้องการคือการใช้ชีวิตอิสระ  ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ใดอีกต่อไป  ไม่ต้องต่อสู้กับบรรยากาศกดดัน  ไมต้องอยู่ในโลกธุรกิจที่มีแต่สวมหน้ากากเสแสร้งแกล้งทำดีต่อกัน  เขาต้องการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของชีวิต  ต้องการแสดงออกทางพลังความคิด  สติปัญญา  อันจะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ในการตัดสินใจครั้งนี้

                ดังนั้น  ตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนนั้น เขากับวิลลี่จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ  โดยเฉพาะตามเมืองในชนบท  เพื่อจะหาสถานที่เหมาะสมที่จอห์นจะปักหลักทำงานที่ตั้งใจไว้ต่อไปได้

                ในที่สุด  สองสามีภรรยาก็เห็นพ้องต้องกันว่าแนนทัคเคท เป็นที่ๆเหมาะที่สุด  เพราะมันแทบจะถูกตัดขาดออกจากแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิงก็ว่าได้  อยู่เลยไกลออกไปในมหาสมุทรประมาณ 30 ไมล์  และที่นั่นจอห์นกับวิลลี่ได้ตัดสินใจซื้อบ้านเก่าแก่หลังหนึ่ง และทั้งสองก็จะย้ายไปอยู่ที่นั่นอาทิตย์นี้แล้ว

                ตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านไป  ชีวิตสมรสที่โรยราลงบ้างกลับเข้มข้นรุนแรงขึ้นอีกครั้ง  ต่างฝ่ายต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด  เป็นคู่ชีวิตที่มีลมหายใจเดียวกันอย่างแท้จริง  จอห์นพาวิลลี่ไปตามสถานที่ต่างๆที่เคยไปมาแล้วเมื่อครั้งที่แรกรักกันใหม่ๆ  เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำแต่หนหลัง  ขณะเดียวกันก็นับเวลาถอยหลังไปด้วย สำหรับการที่จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ซื้อไว้

                เพราะฉะนั้น  ต่อให้มีสาวน้อยอย่างเอริก้าอีกร้อยคน  ก็ไม่มีวันที่จะสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับวิลลี่ได้แม้แต่น้อย

            “ฉันเองก็กำลังคิดอย่างคุณเหมือนกันนะคะจอห์น”  เสียงเอริก้ากำลังพูดกับเขาอยู่  “ฉันกำลังคิดอยากจะลาออกจากงานเหมือนกัน อยากเป็นจิตรกรเต็มขั้นเสียทีและยิ่งมาเห็นคุณตัดสินใจแบบนี้ก็ยิ่งอยากจะลาออกเร็วขึ้น”

                จอห์นมองเลยร่างเอริก้าไปยังวิลลี่ที่นั่งเอนอิงอย่างสบายอยู่กับพื้นห้องหันหลังให้กับเตาผิงและพบว่าเธอกำลังมองมาทางเขาอยู่  จึงส่งยิ้มไปให้และวิลลี่ก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างเข้าใจ  มันทำให้จอห์นต้องขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอที่ประทานความโชคดีให้เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่แสนดีเช่นเธอ

                ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน  จอห์นอาจจะอ่านรอยยิ้มของวิลลี่ว่ากำลังเยาะหยันเขาอยู่ก็ได้  ตอนที่อยู่ร่วมกันใหม่ๆนั้น  เขายอมรับว่ามันมีอะไรหลายอย่างในตัววิลลี่ที่เขาไม่พอใจเลย  โดยเฉพาะกับการที่เธออยู่ในโลกอย่างมีความสุข  ไม่ดิ้นรนไม่อยากต่อสู้กับอะไรทั้งสิ้น

                เขาไม่อยากให้เธอเป็นผู้หญิงที่แสนดีถึงขนาดนั้น  อยากจะเห็นเธอแสดงความคิดเห็นเพื่อดิ้นรนต่อสู้ให้ชีวิตอยู่รอดบ้าง  หรืออย่างน้อยก็ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมา  แต่เธอช่างมีชีวิตที่สงบสุขเสียเหลือเกิน  อยู่กับเงินและงานเย็บปักถักร้อยที่เธอรัก

                วิลลี่มีหัวศิลป์ในเรื่องนี้อย่างมากมาย  เธอสามารถเขียนลายออกแบบปักลวดลายได้สวยสดงดงามลงบนผ้าที่จัดเตรียมไว้เป็นชุดอย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย  ตั้งแต่ผ้าปูโต๊ะ  ผ้าเช็ดปาก  ผ้าคลุมเตียง  ผ้าม่านและอื่นๆ นับแต่ลายดอกไม้ใบหญ้าไปจนขั้นที่ต้องใช้ศิลปะเพื่อการออกแบบ

                แม้จะมีห้างร้านติดต่อเข้ามาเพื่อซื้องานฝีมือดังกล่าว  แต่วิลลี่ก็ทำงานอย่างประณีตบรรจงใช้เวลานานมาก จนเกินกว่าที่จะยึดเป็นอาชีพได้  ยิ่งกว่านั้นเธอก็จะทำแต่เฉพาะงานที่อยากทำเท่านั้น  จอห์นเคยแปลกใจเสมอเมื่อได้เห็นว่าวิลลี่ไม่ได้แคร์เลย  ว่างานที่เธอทำขึ้นนั้นจะขายได้หรือไม่และไม่เคยสนใจกับการแสดงออกถึงความชื่นชมที่ผู้อื่นมีผลงานของเธอเลย

                พ่อแม่ของวิลลี่เสียชีวิตไปก่อนหน้าที่จอห์นจะได้พบและรู้จักเธอ  แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้ทั้งจากที่เธอเล่าและเท่าที่ประมวลได้จากเพื่อนฝูงของครอบครัวเธอนั้นก็คือ  พ่อแม่ของวิลลี่เป็นผู้ดีมีตระกูลสูงผู้มั่งคั่งด้วยธนสารสมบัติ  ดังนั้นทัศนคติที่มองดูบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน จึงเป็นไปในลักษณะที่ขาดความสนใจ  จะผูกพันอยู่ก็แต่เฉพาะบุคคลที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น  ซึ่งวิลลี่ได้รับสายเลือดนี้มาโดยตรง  เธอจึงเป็นกุลสตรีที่มีความพอใจมีความสุขอยู่กับตนเองและจอห์นก็ไม่เคยสงสัยในความรักที่เธอมอบให้เขาแม้แต่น้อย

                “จะยังไงก็ตามทีเถอะนะ”  เขากล่าวกับเอริก้า  “ผมอยากแนะนำคุณไว้สักหน่อยว่า  ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากงาน คุณควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำ  มันเหมือนกับเราก้าวออกจากดาวเทียมออกไปสู่อวกาศนั่นแหละ  ไม่มีอะไรที่เราจะยึดถือเป็นหลักได้”  เขามองหน้าหญิงสาวอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดต่อว่า “และคุณก็ยังสาวหรือที่ถูกคุณก็ยังเด็กอยู่มาก  ผมน่ะต้องใช้เวลาหลายปีทีเดียวตอนที่ฝึกเขียนรูป  แต่ถึงแม้ว่าผมจะอยากเขียนรูปมากสักแค่ไหน  ผมก็ยังมีงานอื่นที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลา  มันไม่ได้ดังใจสักที แต่ตอนนี้ผมกำลังเคาะสนิมพวกนั้นออกหมดแล้ว  ผมยอมรับนะว่าการไปครั้งนี้  ผมจะต้องคิดถึงบอสตันมาก  คิดถึงงานที่เคยทำ  คิดถึงบริษัท..”

                “จริงหรือนี่ที่นายกำลังจะบอกว่า คิดถึงพวกเราทุกคน..น่าประทับใจเป็นบ้าเลย..” โดนัลด์ ฮู้ด ที่เดินเข้ามาข้างหลังยกแขนขึ้นพาดไหล่จอห์นไว้อย่างรักใคร่  เขาเป็นอาร์ติสท์ของบริษัทโฆษณาที่มีผลงานมากมาย  ประการสำคัญก็คือเป็นคนนิสัยดี  แม้บ่อยครั้งจะพ่นลมหายใจกรุ่นกลิ่นเหล้าใส่หน้าเพื่อนๆอยู่บ่อยครั้งก็ตาม

                “อา..ผมคิดถึงคุณเป็นพิเศษอยู่แล้วละเพื่อน” จอห์นว่า  สังเกตเห็นอยู่ว่าโดนัลด์ยืนไม่ตรงนักจึงพยุงไปทางห้องรับประทานอาหาร “ผมชักหิวแล้วสิ  เราหาอะไรใส่ท้องกันก่อนดีกว่า”  เขาหันไปยิ้มให้เอริก้าเป็นเชิงขออภัยที่ต้องแยกตัวออกมาเฉยๆอย่างนี้ ซึ่งหล่อนก็ยิ้มตอบอย่างเข้าใจ เพราะทุกคนในบริษัทล้วนรู้จักนิสัยของโดนัลด์ดีและรักเขากันทุกคน

                แขกเหรื่อที่รอเวลาอยู่ต่างเริ่มออกเดินไปที่โต๊ะอาหาร  เพียงครู่เดียวก็เข้าไปอัดกันอยู่ในห้องนั้น

                แอนน์กับมาร์กจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งให้จอห์นกับวิลลี่ไปในตัว  ดังนั้นพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัทโฆษณาที่เขาทำงานอยู่จึงมาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

                ฮาร์ริสัน แอดเดอร์  ประธานบริษัทแบล๊คสโตน กรุ๊ป  เดินไปหาวิลลี่ที่นั่งอยู่บนเท้าแขนเก้าอี้ตัวหนึ่งภายในห้องรับประทานอาหาร  มีจานใส่อาหารวางอยู่บนโต๊ะข้างตัว  เขาโน้มตัวลงจูบเธอเบาๆที่หน้าผากตามมรรยาทที่ได้รับการฝึกฝนจนชำนาญ  วิลลี่รู้จักเขาดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษเช่นที่แสดงออก

                “สวัสดีค่ะคุณฮาร์ริสัน  นั่งด้วยกันไหมคะ?” เธอพยักหน้าไปทางเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่เคียงข้าง “คุณทานอะไรหรือยังคะนี่?”

                “อ๋อ..เรียบร้อยแล้ว”  เขาจับกลีบกางเกงขณะทรุดตัวลงนั่งและวิลลี่ก็เลื่อนตัวจากเท้าแขนลงนั่งในเก้าอี้เคียงข้าง  “อาหารมื้อนี้อร่อยมาก ว่าแต่คุณกับจอห์นจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ล่ะ?”

                “พรุ่งนี้ค่ะ  คืนนี้เราจะค้างกันที่นี่ อยากคุยกับแอนน์กับมาร์กอีกสักคืน”

                “น่าตื่นเต้นดีจริงๆ”  ฮาร์ริสันจับตามองหน้าวิลลี่ราวจะอ่านความรู้สึกอยู่  “นี่คงจะเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตคุณเลยสินะ”

                “มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอกค่ะ” วิลลี่บอก  “ฉันถือว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการผจญภัยในชีวิตทีเดียวนะคะคุณฮาร์ริสัน  ยอมรับค่ะว่าตื่นเต้นมากอยากให้มาถึงเร็วๆเสียด้วยซ้ำ”

                “ผมดีใจกับคุณด้วยจริงๆ” ฮาร์ริสันพูดยิ้มๆ  “เล่าเรื่องบ้านใหม่ให้ผมฟังบ้างสิ  ที่จริงผมก็เคยไปเที่ยวเกาะแนนทัคเคทนั่นมาเหมือนกัน  เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่ามันอยู่ตรงไหนเท่านั้น”

                วิลลี่ระวังตัวอยู่มากที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่ใคร่แน่ใจว่าฮาร์ริสันต้องการรู้อะไรจากเธอ  แต่จอห์นเคยเตือนเสมอให้คอยระวังผู้ชายคนนี้ไว้  เพราะเขาก็เช่นเดียวกับผู้ชายในวงสังคมทั้งหลาย  ที่ย่อมจะต้องมีความเจ้าเล่ห์เพทุบายอยู่ไม่น้อย และยิ่งในฐานะประธานบริษัทแบล๊คสโตน  กรุ๊ป ด้วยแล้ว  ฮาร์ริสันดูจะเป็นบุรุษผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง  เขาเป็นคนปากหวาน  สามารถพิชิตใจลูกค้าได้อย่างง่ายดาย  แต่มันคล้ายกับเขาพยายามจะเล่มเกมอะไรบางอย่าง แม้แต่กับผู้ร่วมงานฝีมือดีที่ทำงานร่วมกันในบริษัท หรือแม้แต่กับจอห์นเองเขาก็ไม่เว้น

                “มันเป็นบ้านเก่าที่สวยมากทีเดียวละค่ะ” วิลลี่เล่าช้าๆ  “รูปทรงแบบบ้านโรมัน  มีบันไดทอดจากทางเดินตรงขึ้นไปถึงประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลย  หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้อะไรทำนองนั้น  ถ้าคุณเคยไปแนนทัคเคทมาแล้ว ก็คงจะเคยเห็นว่ารูปทรงบ้านเรือนที่นั่นมันเป็นยังไง..โอ..ฉันต้องขอตัวนะคะคุณฮาร์ริสัน  แอนน์เก็บโต๊ะพอดีเลย เห็นจะต้องไปช่วยหน่อยจะได้ยกของหวานออกมตั้ง”

                “เชิญครับ..เชิญตามสบาย” ฮาร์ริสันพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน “จะให้ผมช่วยอะไรด้วยไหมนี่?”

                “งั้นก็ช่วยเติมไฟในเตาผิงหน่อยก็แล้วกันค่ะ”  วิลลี่ตอบอย่างเกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธในความมีน้ำใจของผู้อื่น  และมีความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อย่างนิ่มนวลเช่นกัน  “ขอบคุณมากนะคะ  ทุกคนกำลังสนุกก็เลยไม่มีใครคิดเรื่องนี้”

            เธอรีบรุดเดินดิ่งเข้าไปในห้องครัว  เอาจานชามที่ถือติดมือวางลงในอ่างที่แอนน์กำลังล้างอยู่ กระซิบกระซาบบอกแอนน์ว่า

                “แหมนี่..อีตาคนนั้นน่ะเธอเคยคุยกับเขาบ้างหรือเปล่า  เหมือนซาตานไม่ผิดเลยนะแอนน์  ข้างนอกดูสะอาดหมดจดเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว  แต่ข้างในร้ายกาจอย่างกะอะไรดี ฉันไม่เข้าใจเลยนะว่าจอห์นร่วมงานกับเขามาตั้งหลายปีได้ยังไง”

            “อย่างน้อย เขาก็ช่วยให้บริษัทก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้น่าวิลลี่” แอนน์ว่า  “เธอยังไม่เคยพบกับหุ้นส่วนคนหนึ่งของมาร์กนี่ ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยนะว่าอีตาแก่นั่นฉลาดเป็นกรด  หัวสมองปราดเปรื่องไม่มีใครเทียบได้  แต่จริงๆแล้วมันก็กรดเราดีๆอย่างที่เขาว่านั่นแหละ หัวรุนแรงก็เท่านั้น  ไม่ว่าใครพูดอะไรฉันเป็นต้องพร้อมจะต่อต้านเขาไปหมดทุกเรื่อง  การที่เราทำงานหรือสังคมร่วมกับคนอย่างนี้มันก็ดีเหมือนกัน คือต้องคอยแข่งกับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา  ทำให้เราเก่งขึ้นยังไงล่ะ”

                แอนน์กับวิลลี่ช่วยกันเก็บโต๊ะอาหาร  โดยมีพนักงานต้อนรับกับนักเขียนโฆษณาอีกสองสาวเข้ามาเป็นผู้ช่วย  แต่ดูเหมือนเอริก้าพยายามจะอยู่ห่างทุกคนให้มากที่สุด

                “เอาละ  เมื่อเรียบร้อยแล้วเราก็เอาของหวานกับกาแฟออกไปตั้งให้พวกเขาได้แล้ว”  แอนน์เอ่ยขึ้นในที่สุด

                เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากห้องรับประทานอาหารเมื่อใครคนหนึ่งเล่าเรื่องขำขันขึ้น  ดูเหมือนทุกคนจะอยู่ในอารมณ์เบิกบานแจ่มใสกันทั้งนั้น

                “งานวันนี้สนุกมากจริงๆนะแอนน์”  วิลลี่เอ่ยกับเพื่อนสาว ซึ่งทำให้แอนน์หันมามองหน้า  รอยยิ้มดูจืดลง

                “ฉันอยากจะบอกอะไรให้เธอรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ  คือมันกำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในคืนนี้”  แอนน์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “อะไรหรือ?”  วิลลี่ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

                “ฉันคิดว่า..เอ้อ..มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก”  แอนน์ทำท่าเหมือนจะพูดต่อ  แต่ก็พอดีกับแขกผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาโอบกอดและทักทายด้วยความประทับใจกับงานเลี้ยงและอาหารอันแสนอร่อยในค่ำวันนี้  แอนน์เบือนหน้าไปทางวิลลี่พูดกับเธอเบาๆว่า  “เตรียมตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน  มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก” จากนั้นเธอก็หันกลับไปพูดกับผู้ชายคนนั้น “โอ..สก็อตต์ ฉันดีใจมากเลยนะคะที่คุณสนุกกับงานของเรา”

                วิลลี่เดินออกจากตรงนั้นช้าๆด้วยความพิศวงเต็มหัวใจ จอห์นเข้ามาโอบกอดทางด้านหลังซุกคางลงกับไหล่

                “สนุกไหม?” เขาถามเบาๆ

                “สนุกมากเลยค่ะ  เออ..จอห์นคะ..” วิลลี่ตั้งที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ก็พอดีถูกขัดจังหวะเสียก่อน

                ไฟฟ้าในบ้านหลับพรึ่บลง สร้างความตกใจให้กับทุกคน พนักงานต้อนรับถึงกับร้องออกมาและผู้ชายคนหนึ่งพูดเสียงสั่นว่า

                “เฮ้ย..อะไรกันวะนี่?”

                เป็นครู่กว่าที่ทุกคนจะปรับสายตาให้เข้ากับแสงสลัว ที่สาดส่องออกมาจากเตาผิงและตะเกียงน้ำมันที่จะประดับห้องไว้  เสียงฮาร์ริสัน แอดเดอร์เอ่ยขึ้นว่า

                “สงสัยไฟเกิดช๊อตขึ้นละมังมาร์ก  มีฟิวส์หรือเปล่าล่ะ?”

                “อยู่ในห้องใต้ดินแน่ะ จอห์น..คุณมาช่วยผมก่อนดีกว่า”

                ซึ่งจอห์นก็ปฏิบัติตามคำขอร้องของเพื่อนทันที ผละออกจากอ้อมแขนของวิลลี่ ตั้งใจจะเดินลงไปห้องใต้ดิน

                แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักฝีเท้าไว้ด้วยความตกใจ เพราะทันใดนั้นเอง ก็มีร่างดำสูงใหญ่เดินตรงเข้ามาในห้องโถงและตรงมาทางที่เขายืนอยู่  มันเป็นเรือนร่างที่สูงใหญ่มากประมาณ 10 ฟุต  เกือบจะชนเพดานห้องโถง  ศีรษะที่มีแสงเรืองๆส่ายไหวอยู่ไปมา  มีเสียงร้องด้วยความตกใจของแขกเหรื่อที่ชุมนุมกันอยู่ในความมืด  แต่แล้วเสียงนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะปร่าๆกึ่งกล้ากึ่งกลัว  อย่างไรก็ตาม  ร่างนั้นก็ยังคงเดินตรงเข้ามาหาจอห์น  ดวงตาคู่สีเขียวเรืองมองจ้องเขาอยู่

                “คุณพระช่วย..!” โดนัลด์ ฮู๊ดร้องลั่น  “นี่มันอะไรวะ?”

                “วู๊ซ์..”เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งห้องที่ผู้คนกำลังอยู่ในอาการตระหนก  แม้ทุกคนจะพอรู้อยู่ว่า  มันมีเรื่องตลกเกิดขึ้นแต่ก็ยังหัวเราะไม่ออกอยู่นั่นเอง

                “จอห์น คอนสเตเบิล..” เสียงของซาตานเอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นช้าๆ  เป็นเสียงยานคางโหยหวนยิ่งนัก  “จอห์น..คอน..สเต..เบิล..”

                จอห์นพยายามจับตามองความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น  แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดอยู่ดีว่ามันควรจะเป็นอะไร  รู้แต่ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องล้อกันเล่น  แต่กระนั้นมันก็ยังสร้างความอึดอัดกระวนกระวายให้เกิดขึ้นกับเขาอยู่ดี  เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของร่างนั้นต้องการอะไรจากเขา

                “จอห์น..คอนสเตเบิล..เราต้องการเจ้า..”ร่างนั้นเอ่ยออกมา

                “จอห์น..”  วิลลี่เข้ามายืนอยู่ชิดตัวกอดแขนเขาไว้แน่นและจอห์นก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่าเหมือนเด็กที่กำลังรวบรวมความกล้า ต่อสู้กับสิ่งที่ตนไม่รู้จักอยู่

                “จงตามเรามา”  ร่างที่เหมือนปิศาจซาตานออกคำสั่งก่อนจะหันหลังเดินนำหน้าออกไป

            แม้จอห์นจะไม่มั่นใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง  แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินตามออกไป  รู้สึกใจมาเป็นกองเมื่อวิลลี่เดินตามมาในระยะใกล้ชิด และทางเบื้องหลังของเธอนั้น เขาสัมผัสความรู้สึกอยู่ว่า คนอื่นๆก็กำลังเดินตามมาเป็นพรวนด้วยเช่นกัน  ทุกคนอยู่ในอาการเงียบกริบซึ่งก็สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นได้ไม่น้อยเลย  ไม่มีเสียงหัวเราะ  ไม่มีเสียงตะโกนหยอกล้อ  จะมีก็แต่เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่ติดตามมาในความมืด

                ปิศาจตนนั้น..หรือจะเป็นอะไรก็ตาม ที่เดินเลี้ยวไปตรงมุมห้องโถงและหายตัวเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งจอห์นรู้ว่าเป็นห้องทำงานของมาร์ก

            แต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น โต๊ะทำงานของมาร์กถูกเลื่อนไปตั้งชิดผนัง มีเก้าอี้พับเข้ามาตั้งรายเรียงไว้ มีเทียนคู่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนชั้นเหนือเตาผิง และในตอนนั้นเองที่จอห์นสังเกตเห็นว่า ตรงสุดปลายห้องมีจอขนาดใหญ่ขึงไว้เต็มผนังห้อง

                ปิศาจตนนั้นหายตัวเข้าไปเบื้องหลังฉากพับแบบจีน ศีรษะที่มีแสงเรืองส่ายไหวอยู่เหนือฉาก

                “ทุกคนจงนั่งลง” อีกครั้งหนึ่งที่ปิศาจออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกบ่งบอกถึงความมีอำนาจ “และเจ้า..จอห์น  คอนสเตเบิล จงนั่งลงในเก้าอี้ตัวหน้าสุด”

                แม้ห้องทำงานของมาร์กจะเป็นห้องที่จอห์นคุ้นชินอย่างที่สุด แต่ทว่า ในค่ำคืนวันนี้บรรยากาศมันแปลกเปลี่ยนไป  แต่กระนั้นเขาก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตัวหน้าสุด โดยมีวิลลี่นั่งลงเคียงข้าง ยังคงจับแขนเขาไว้แน่น  ในบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้น  มีเสียงหัวเราะแผ่วๆ  เสียงกระซิบกระซาบพูดจากัน ขณะที่แขกคนอื่นๆต่างทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้พับตัวถัดๆไป

                “จอห์นคะ  คุณพอจะรู้บ้างไหมว่านี่มันอะไรกัน?” วิลลี่กระซิบถาม ซึ่งก็เช่นเดียวกับแขกเหรื่อคนอื่นๆที่กำลังถามซึ่งกันและกันอยู่

                “ไม่รู้เลย” จอห์นพูดเสียงกร้าว “รู้แต่ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างเท่านั้น”

                “ฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลยนะคะ”

                จอห์นโอบไหล่เธอไว้ รั้งร่างวิลลี่เข้ามากอด

                “ไม่ต้องกลัว บอกแล้วไงว่ามันเป็นเรื่องล้อกันเล่น  คุณลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เราจัดปาร์ตี้ขึ้น  เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีเรื่องสนุกๆให้ดูแน่”  เขาพยายามลดความกระด้างในน้ำเสียงลง แต่ก็ออกจะลำบากอยู่ไม่น้อย เมื่อเบื้องหน้านั้นคือศีรษะเรืองแสงที่ส่ายไหวพยักพเยิดอยู่ และขณะนี้แสงเรืองที่ปากและดวงตาก็สว่างวาบขึ้น

                “ทุกคนได้นั่งสบายดีกันแล้วหรือยัง?” ปิศาจเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “แล้วคุณล่ะจอห์น คอนสเตเบิล ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า?”

                “ผมสบายดี” จอห์นตอบไปตามเพลง

                “ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไปเราจะให้ท่านทั้งหลายได้ชมการแสดงชุดพิเศษสุด..จอห์น คอนสเตเบิล จงระวังชีวิตท่านไว้ให้ดี..!”

                มีเสียงฮัมดังขึ้นเบาๆ เมื่อเครื่องกลไกบางอย่างเริ่มเดิม  เมื่อจอห์นหันไปมองทางด้านหลังของห้องก็เป็นฮาร์ริสัน  แอดเดอร์  กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับเครื่องฉาย มีเสียงเพลงชวนสยองดังกระหึ่มขึ้น

                และทันใดก็มีภาพปรากฏขึ้นบนจอเบื้องหน้าเป็นตัวอักษรสีดำที่เขียนเป็นลวดลายยักเยื้องทางอยู่กับแบ๊คกราวนด์สีแดงสด เป็นข้อความว่า

            “จอห์น  คอนสเตเบิล ปิศาจแห่งฮัลโลวีน”

                ภาพเปลี่ยนไปพร้อมกับเสียงเพลงแผ่วหวาน  บรรเลงโดยไวโอลิน ข้อความบนจอภาพอ่านได้ความว่า

                “อดีตแห่งปิศาจฮัลโลวีน..จอห์น  คอนสเตเบิล  เข้าร่วมงานกับแบล๊คสโตน กรุ๊ป”

                ภาพที่ปรากฏบนจอต่อมานั้นสดสวยด้วยสีสันประกอบด้วยเสียงเพลงไพเราะ  สไลด์นั้นแสดงให้เห็นภาพตอนที่จอห์นเข้าทำงานกับแบล๊คสโตน กรุ๊ปใหม่ๆ  เขากำลังนั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวสูง ถือปากกาอยู่ในมือ กำลังออกแบบห้องครัวทันสมัย  อาร์ติสท์สาวสวยผมยาวโน้มตัวอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะเขียนแบบ  ปลายดินสอจิ้มอยู่ด้านบนสุดของภาพที่จอห์นกำลังเขียน  ส่วนฮาร์ริสัน  แอดเลอร์กับโดนัลด์ ฮู้ด ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง  มือของฮาร์ริสันวางอยู่บนบ่าจอห์น  มันเป็นภาพที่บ่งบอกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมของผู้ที่ทำงานรวมกัน

                “ฮ่า..”โดนัลด์ ฮู้ดร้องออกมาพร้อมกับปรบมืด  ในสภาพที่กำลังมึนเมาอยู่นั้น  เขาได้ช่วยทำลายความตึงเครียดในบรรยากาศให้สลายลง และทุกคนก็เริ่มปรบมืดส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างพออกพอใจ  มีเสียงคลิกดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมีตัวอักษรสีดำบนพื้นแดงปรากฏขึ้น

                “ปัจจุบัน ปิศาจฮัลโลวีน  จอห์น คอนสเตเบิล  เมื่อทำงานอยู่กับแบล๊คสโตน กรุ๊ป”

                เสียงเพลงในจังหวะร๊อคดังกระหึ่มขึ้น  ภาพสไลด์เปลี่ยนไป  ดูเหมือนจะเป็นภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อไม่นาน โดยที่เขาไม่รู้ตัว ขณะดูภาพนี้อยู่จอห์นก็นึกออกทันทีว่า  ผู้ที่ถ่ายภาพนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอริก้า  เพราะมีอยู่วันหนึ่งที่หล่อนเดินพล่านไปทั่วทั้งบริษัทพร้อมกับกล้องในมือ  บอกกับใครต่อใครว่ากล้องไม่มีฟิล์ม  หล่อนเพียงแต่อยากจะแสดงท่าช่างภาพสมัครเล่นเท่านั้น

                ในจอภาพดังกล่าว  จอห์นอยู่ในเสื้อเชิ้ตลายทางถลกแขนถึงข้อศอก  กำลังคุยอยู่กับโดนัลด์ ฮู้ดและเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง บางปอยปรกลงบนหน้าผากทำให้ดูอ่อนวัยลงมาก  สีหน้าเขาบ่งบอกความสุขที่ได้ทำงานที่ใจรัก  จอห์นอดยิ้มไม่ได้ บางครั้งการที่เราได้เห็นภาพอันน่าดูของตนเองก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้มาก

                “รูปนี้คุณหล่อจัง” วิลลี่กระตุกแขนเขาเบาๆ ขณะที่มีเสียงปรบมือ เป่าปากดังขึ้น

                สไลด์เปลี่ยนไปอีกครั้ง  คราวนี้มีข้อความว่า

                “อนาคตของปิศาจแห่งฮัลโลวีน  จอห์น  คอนสเตเบิล อำลาจากแบล๊คสโตน กรุ๊ป”

                เสียงเพลงเปลี่ยนเป็นทำนองเศร้าสร้อยเช่นที่ใช้บรรเลงในงานศพ  ประกอบด้วยแสงออร์แกนเศร้าวังเวง  กลองที่ตีในจังหวะช้าๆ การขับร้องประสานเสียง บรรยากาศเหมือนร่วมอยู่ในพิธีศพไม่มีผิด

                มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอ เป็นร่างของชายหนุ่มที่คล้ายจอห์นมาก เพียงแต่จอห์น  คอนสเตเบิลคนนี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนบาทวิถี  แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า หลวมโพรกเนื้อตัวสกปรก เรือนผมเปลี่ยนเป็นสีเทารุ่ยร่าย ใต้ดวงตาเป็นขอบสีเขียวคล้ำ ที่อยู่ใกล้ตัวเขาคือป้ายที่มีข้อความเขียนไว้ว่า

                “ภาพเหมือนและทิวทัศน์ราคา 1 ดอลล่าร์” 

                ตรงปลายเท้าคือกำแพงอิฐที่มีรูปแขวนไว้หลายชิ้นด้วยสีสันแปลกประหลาด  ตรงพื้นข้างศีรษะคือหมวกเก่าๆใบหนึ่ง มีเหรียญหย่อนลงไว้

                ทันทีที่เห็นภาพนี้เข้า จอห์นมีความรู้สึกเหมือนมีใครตวงหมัดเข้าใส่หน้าท้องอย่างรุนแรง วิลลี่กอดแขนเขาไว้แน่น

                “จอห์น..” เธอกระซิบเสียงพร้า ทั้งห้องเงียบกริบ  บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด

                “ไอ้ฉิบหาย..!” มาร์กตะโกนก้องขึ้นในความมืด

                จอห์นแทบจะหมดสิ้นทั้งขวัญและกำลังใจ  มันคล้ายกับมีใครสักคนหนึ่งที่มีอำนาจเหนือชีวิตได้ทำนายวันแห่งอนาคต ที่จะมีแต่ความพินาศขึ้นมาให้เขาได้เห็นอย่างแจ้งชัดถนัดตา  มันทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสาปแช่ง ด้วยภาพดังกล่าวนั้น  เขาอยากระโดดเข้าไปชกจอให้ทะลุ

                แต่ก่อนที่เขาจะทันทำอะไรลงไปอย่างใจคิด  สไลด์ก็เปลี่ยนไป  มีตัวอักษรปรากฏขึ้นว่า

                “ปิศาจแห่งฮัลโลวีน  หมายเลข 2  เมื่อจอห์น  คอนสเตเบิล  กลับมาร่วมงานกับแบล๊คสโตน กรุ๊ป”

                อีกครั้งหนึ่งที่มีภาพจอห์นยิ้มร่าอย่างมีความสุขขณะนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมเพลงที่บรรเลงประกอบเปลี่ยนเป็นจังหวะร๊อคอีกครั้ง  คราวนี้ผู้ชมต่างปรบมืดเป็นจังหวะตามไปด้วยกึกก้อง  พร้อมกันนั้นสไลด์ตัวอักษรที่ปรากฏตามมามีข้อความว่า

                “เราเสียดายคุณมากจอห์น และยินดีต้อนรับคุณกลับมาทุกเมื่อ ด้วยความปรารถนาดีจากแบล๊คสโตน กรุ๊ป”

                เสียงเป่าปากปรบมือดังกึกก้องขึ้น  บนจอภาพว่างเปล่า พร้อมกันนั้นแสงไฟก็สาดสว่างขึ้นอีกครั้ง  แขกที่มาร่วมงานต่างลุกขึ้นจากที่นั่ง บางคนยังปรบมืออยู่ ความตึงเครียดจางหายไปโดยสิ้นเชิง

                “ฝีมือเจ้าฮาริสันแน่เลย  ไอ้ระยำ” จอห์นพึมพำกรอกหูวิลลี่ด้วยความโมโห  “อยากต่อยหน้าแม่งมันนัก”

                “จอห์นนี่”  วิลลี่บีบแขนเขาแน่น “ไม่มีอะไรหรอก เขาทำไปด้วยความตั้งใจดีแท้ๆนะ ฉันรู้ค่ะว่ามันเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่ามาก  แต่ก็เข้าใจว่าที่เขาทำก็เพราะอยากแสดงให้คุณเห็น  ว่าเขาเสียดายมากที่ต้องเสียคุณไปมันก็เท่านั้น”

                “หมายความว่าคุณเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเรอะ?” จอห์นหันมาตวาดใส่ ดวงตาลุกวาว

                “ไม่รู้เลยนะจอห์น สาบานได้”  วิลลี่รู้สึกแปลกใจที่เห็นเขาโกรธมากขนาดนี้ “จอห์นนี่คะ อย่าโมโหเลยนะ ฉันรู้แต่เพียงว่าที่เขาทำกันขึ้นมานี่ ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายความรู้สึกของคุณหรอก”

                “คุณไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นยิ่งกว่าคำสาปแช่ง  ผมว่าคุณเองก็ย่อมจะต้องรู้อยู่แก่ใจนะวิลลี่  เอาละ  ผมเห็นจะต้องไปพูดกับมันให้รู้เรื่อง..” เขาขยับจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่วิลลี่จับแขนเขาไว้แน่น

                “ไม่ค่ะจอห์น ใจเย็นๆสิคะ ฉันคิดว่าคุณกำลังจะเข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้วนะ”

            “ให้ตายสิวิลลี่ นี่มันอะไรกัน..ทำไมเวลาเกิดเรื่องขึ้นคุณจะต้องพยายามหลบหนีหรือไม่ก็หลีกเลี่ยงเสียทุกครั้ง  ทำไมไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันบ้าง?” เขาว่าใส่หน้าวิลลี่อย่างเดือดดาล

                แต่วิลลี่ไม่มีเวลาทีจะตอบคำถามนั้น เราะขณะนี้ฮาร์ริสัน  แอดเดอร์ กำลังเดินไปหน้าห้อง ขณะเดียวกันหัวของปิศาจก็เคลื่อนออกมาจากเบื้องหลังฉากจีน  เมื่อมีไฟแสงสว่างเช่นนี้ ทุกคนจึงได้เห็นว่า ปิศาจตัวสูงใหญ่นั้น  แท้ที่จริงแล้วก็คือชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนขาไม้ มีผ้าสีดำห่อหุ้มคลุมไว้ทั้งตัว  ตรงส่วนศีรษะทำจากพลาสติกสีขาวโปร่งแสง ดวงตากับปากฉาบไว้ด้วยสีสะท้อนแสง

                ผู้ชายคนนั้นกระโดดลงจากขาไม้ ทุกคนจึงได้เห็นว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในกางเกงยีนส์สวมเสื้อยืด รูปร่างหน้าตาของเขาละม้ายคล้ายคลึงจอห์นมาก  ฮาร์ริสัน  แอดเดอร์ ปรบมือนำขึ้นก่อน และทุกคนก็ร่วมปรบมือด้วย ในฐานะที่เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่ง

            “ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักไมค์ อัพตัน มนุษย์ขี้เล่นคนหนึ่ง” ฮาร์ริสันเอ่ยขึ้นดังๆและชายหนุ่มก็โค้งคำนับรับเสียงปรบมืออีกครั้ง

                “จอห์น..คุณมาตรงนี้หน่อยได้ไหม?” ฮาร์ริสันร้องถามมาด้วยสีหน้ายิ้มย่อง

                วิลลี่สัมผัสอารมณ์โกรธในตัวสามีจึงบีบแขนเขาเบาๆเป็นการเตือนสติและจอห์นก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างหน้าใกล้กับที่อดีตนายจ้างกับนักแสดงคนนั้นยืนอยู่

                “ทุกคนคงเห็นแล้วนะครับ  ว่าคุณสองคนนี่มีเค้าหน้าและสัดส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างน่าแปลกใจทีเดียว” ฮาร์ริสันกล่าว และทุกคนก็เปล่งเสียงอย่างเห็นพ้องกับคำพูดของเขา

                จอห์นสัมผัสมือกับนักแสดงหนุ่มน้อยตามมรรยาท แต่สำหรับฮาร์ริสันแล้วเขาอยากจะชกหน้าให้เสียด้วยซ้ำถ้าไม่คำนึงถึงคำเตือนของวิลลี่  สีหน้าของเขาเฉยเมยไม่บอกความยินดียินร้ายแต่อย่างใดทั้งสิ้น

                ฮาร์ริสันกำลังพูดอะไรบางอย่างอย่างที่แสดงออกถึงความห่วงใยและความเสียดายที่เขาจะต้องจากบริษัทไป แต่อย่างไรก็ตาม  ทางบริษัทก็ยินดีที่จะต้อนรับเขากลับมาเสมอ  พร้อมกันนั้นทุกคนต่างก็หวังว่า  เขาจะประสบความสำเร็จในงาที่ใฝ่ฝัน  ขอจงอย่าได้ถือสากับการแสดงโชว์ในวันนี้และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีของเขาอย่างแท้จริง  ฮาร์ริสันได้มอบของที่ระลึก  ห่อด้วยกระดาษสีเงินผูกโบว์สวยงามให้เขาอีกด้วย

                จอห์นถึงกับสูดลมหายใจลึกด้วยความแปลกใจอันที่จริงเขาเองก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างฮาร์ริสันนั้นเป็นอย่างไร  นิสัยของฮาร์ริสันเป็นคนประเภทตบหัวแล้วลูบหลัง ซึ่งเขาทำอย่างนี้กับทุกคน  เพื่อไม่ให้ผู้ถูกกระทำคิดโกรธเคือง  ใจอ่อนและยอมให้เขาปฏิบัติได้ตามใจชอบเหมือนเด็กๆอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

                “ขอบคุณ” จอห์นเอ่ยออกไป  ก็จะให้เขาพูดอะไรมากกว่านั้นได้เล่า  “ผมเองก็เสียดายที่ต้องจากพวกคุณไปเหมือนกันและคงคิดถึงพวกคุณมากเช่นกัน”  เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ  เพราะรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังจะได้ยินจากเขา

                แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น  เมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ซึ่งขณะนี้ผู้ที่เขาทำงานร่วมด้วยมาตลอดแปดปีรวมตัวกันอยู่  เขามองเห็นโดนัลด์ ฮู้ด ซึ่งขณะนี้กำลังเอนร่างพิงอยู่กับผนังห้องด้วยความมึนเมา  แต่ในความมึนเมานั้นเขารู้ว่าโดนัลด์เป็นเพื่อนที่ดีกว่าใครทุกคน

                เขามองเห็นบ๊อบ เดมอนด์ ที่เล่นเทนนิสด้วยกันทุกวันหยุดสุดสัปดาห์  โรเจอร์ สเตร้าท์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยเวลาทำงานโฆษณาชิ้นใหญ่ๆและมักจะนั่งดื่มด้วยกันหลังจากเสร็จงานแล้ว  นอกจากนั้นเขายังมองเห็นเอริก้าผู้หลงรักเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย  มันเป็นความรู้สึกที่ดีถ้าเราได้รู้ว่า ยังมีใครบางคนที่รักและต้องการเราอยู่  นอกจากฮาร์ริสัน แอดเดอร์แล้ว  จอห์นยอมรับว่าเขารักและผูกพันกับเพื่อนร่วมงานทุกคนและแน่นอนที่เขาจะต้องคิดถึงคนเหล่านี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

                “เอ้อ..” จอห์นเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “ผมไม่ใช่นักพูดที่ดีเท่าไรนัก  เพราะฉะนั้นคงจะเป็นเพราะเหตุผลข้อนี้ที่ทำให้ผมชอบเขียนรูปมากกว่า  เพราะมันเขียนออกมาได้ดีกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด  แต่จะยังไงก็ตาม..ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเขียนถึงความรู้สึกที่ผอมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ได้อยู่นั่นเองและถ้าเขียนมันก็คงจะออกมาเป็นรูปประหลาดๆ  คือมันคงจะเหมือนตัวจิ๊กซอว์ที่แต่ละชิ้นล้วนสวยสดงดงามเหลือเกิน  และเมื่อเอามาประกอบกันเข้ามันก็จะเป็นภาพที่สวยงามมาก..”เขาหยุดเว้นระยะสั้นๆ

                “ผมเองก็เสียใจและเสียดายที่จะต้องจากพวกคุณทุกคนไป  ทั้งนี้เพราะคำว่าความหวังเพียงตัวเดียว  ผมหวังว่างานที่ผมจะสร้างขึ้นในอนาคต จะดีกว่างานที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้  แต่จะอย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผมและผมก็คิดว่าพวกคุณทุกคนจะต้องรู้  ว่าผมผูกพันกับทุกคนที่นี่ เพราะตระหนักอยู่เสมอว่า  ผมเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งในภาพที่สวยสดงดงามนั้น  ผมขอขอบคุณสำหรับของขวัญชิ้นนี้ด้วย” เชาชูห่อของขวัญในมือขึ้น

                เสียงปรบมือดังขึ้นกราวใหญ่  เอริกาหลั่งน้ำตาสะอื้นไห้อย่างไม่อายใคร  สีหน้าของวิลลี่เต็มไปด้วยความปีติอย่างที่สุด  เธอยิ้มให้กับสามี รอยยิ้มนั้นคือความอบอุ่นแห่งแสงตะวัน  เสียงจุกแชมเปญระเบิดขึ้นด้วยฝีมือของโดนัลด์  มาร์กกับแอนน์หอบหิ้วแขมเปญเข้ามาอีกคนจะเต็มอ้อมแขน

                จอห์นจับมือกับนักแสดงหนุ่มอีกครั้งแล้วก็ยังหันไปจับมือกับฮาร์ริสัน  โดนัลด์เดินเข้ามาพร้อมด้วยแก้วแชมเปญ

                “ไชโย..!”  โดนัลด์ตะโกนขึ้นและทุกคนก็เปล่งเสียงไชโยขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับดื่มอวยพรให้จอห์นประสบความสำเร็จกับความหวังในการเป็นจิตรกรของเขา

                จอห์นกอดไหล่ภรรยาไว้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข  การดื่มอวยพรครั้งนี้ เกิดขึ้นจากทุกคนที่มีความรัก ความปรารถนาในตัวเขา  หลังจากนั้นก็มีการจับมือแสดงความยินดีกันอีกรอบ  เอริกา ฮาร์ท ผู้ซึ่งไม่เคยมองข้างผู้ชายหล่อเดินเข้าไปหานักแสดงคนนั้นและขอให้เขาอธิบาย  ว่าทำอย่างไรจึงแต่งตัวได้เหมือนปิศาจมาก ซึ่งเขาก็อธิบายให้หล่อนฟังด้วยความเต็มใจ

                ในที่สุดงานเลี้ยงก็เลิกรา เมื่อแขกทุกคนลากลับไปหมดแล้ว  จอห์น  วิลลี่  มาร์กและแอนน์ก็ยังคงนั่งอยู่กับพื้นห้องเบื้องหน้าเตาผิง  จอห์นกลับไปพูดเรื่องการแสดงและการฉายสไลด์ที่ผ่านมาเมื่อครู่อีกครั้ง

                “ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” แอนน์สารภาพ “คือเมื่อวานฮาร์ริสันเขาโทรศัพท์มาหาฉัน  แล้วก็บอกว่าเขามีอะไรบางอย่างที่อยากจะสร้างความแปลกใจให้คุณแล้วก็มีของขวัญจะมอบให้คุณด้วย  เขาย้ำอยู่หลายครั้งว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่เขาใช้เวลาในการเตรียมการมาอย่างรอบคอบแล้วก็พิเศษมากด้วย  มาร์กกับฉันก็พูดไม่ออกไม่รู้จะปฏิเสธยังไง..เราปฏิเสธเขาไม่ได้จริงๆนะจอห์น”

                “ผมว่าที่เขาทำอะไรพรรค์นี้ก็เพราะเขาเกลียดผมนั่นแหละ”  จอห์นว่า

                “แต่ฉันว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะคะจอห์น” วิลลี่ค้าน ซึ่งมาร์กก็ออกจะเห็นด้วยกับเธอ

                “ผมว่าเขาไม่ได้เกลียดชังอะไรคุณหรอก  อาจจะอิจฉานิดๆนั่นไม่แน่  คุณก็รู้ว่างานทุกชิ้นที่คุณทำออกมา ต่อให้เขาทำทั้งชาติก็ไม่ได้ครึ่งของคุณ”

                “แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่น่าถึงกับสาปแช่งผมแบบนั้นนะ” จอห์นว่า

                “โธ่จอห์น..ทำไมถึงได้ไปถือเป็นเรื่องจริงจังนักล่ะคะ?” วิลลี่ว่า

                “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมคุณถึงไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง”  เขากระแทกเสียงใส่ภรรยา

                “ฉันนึกไม่ถึงเลยนะว่าคุณจะกลายเป็นคนเชื่อถือเรื่องโชคลางบ้าๆบอแบบนั้น” วิลลี่ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ

                “ผมไม่ได้เชื่อถืออะไรอย่างที่คุณว่าหรอกวิลลี่  เพียงแต่ว่า..เอ้อ..ชั่งมันเถอะ”  เขาไม่อาจอธิบายถึงความรู้สึกที่กำลังเกิดอยู่กับตัวเองตอนนี้ได้

วิลลี่ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้ามากอดแขนเขาไว้

                “ฉันรับรองว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะคุณจะต้องพบแต่ความสำเร็จค่ะจอห์นนี่และสักวันหนึ่งคุณก็จะต้องหัวเราะให้กับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในคืนวันนี้”

            “วิลลี่พูดถูกแล้วละเพื่อน”มาร์กสนองรับ “ไอ้เฒ่าหัวงูตัวนั้นมันไม่ได้มีสติปัญญาหรือพลังอำนาจอะไร ที่จะมาสาปแช่งคุณได้หรอก  ผมว่าคุณลืมไอ้เรื่องบ้าๆนี่เสียดีกว่า  ใครๆเขาก็รับรองเป็นเสียงเดียวกันอยู่แล้ว  ว่าคุณเป็นจิตรกรเต็มตัว และต่อไปนี้คุณก็จะได้ทำงานที่คุณรักอยู่แล้ว  คุณกำลังจะทำให้ความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดอะไรมากเลย”

                “นั่นสินะ..”จอห์นเพิ่งยิ้มออก “ผมรู้ว่าผมต้องเป็นได้แน่”

                หลังจากนั้นหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องการเดินทางวันพรุ่งนี้  จอห์นกับวิลลี่ช่วยกันแต่งเติมความฝันจนสวยหรูเลิศเลอ

                ไฟในเตาผิงมอดดับลงห้องตกอยู่ในความมืด ภายนอกกระแสลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดพาใบไม้ปลิวมากระทบหน้าต่าง  มีเสียงแกรกกรากดังอยู่ตลอดเวลา  แต่กระนั้นหนุ่มสาวทั้ง 4 ก็ยังคงนั่งสนทนากันอย่างไม่หวั่นไหวต่อสภาพบรรยากาศภายนอก..

 

------------------------------------------


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (80 รายการ)

www.batorastore.com © 2024