บัวแล้งน้ำ (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

              ซอยเล็กแห่งนั้นรถวิ่งได้ก็จริงแต่เล็กจนไม่อาจ

สวนกันได้ ดีที่มีซอยแยกอีกหลายซอยพอให้หลบกันได้

เมื่อคันหนึ่งวิ่งตรงมา หากไม่อะลุ้มอล่วยกันอาจจะเกิด

เรื่องถึงขั้นลงจากรถมายิงกันได้ แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุเช่น

นั้นในซอยนี้ อาจจะเพราะผู้คนส่วนหน้าเก่า อยู่กันมา

ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย ไม่มีคนนอกมาอาศัยอยู่ และคน

ที่ใช้รถก็มีอยู่ไม่กี่บ้าน ส่วนมากใช้สองเท้าของตนเดิน

ไปขึ้นรถเมล์ปากซอย

 

              สุดซอยคือแม่น้ำเจ้าพระยาสายยาวเหยียด บ้านหลังใหญ่ทรวดทรงบอกชัดว่าเป็นบ้านผู้ดีจีนสมัยก่อน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีเก๋ง

จีนอยู่มุมหนึ่ง มีซอยเล็กๆริมรั้วหลังบ้านไปลงนํ้าได้ เมื่อคนในซอย

อยากจะไปที่ริมแม่น้ำด้วยเหตุใดก็ตามสามารถเดินเข้าออกทาง

ซอกนั้น เดิมตรงนั้นเป็นท่าเรือสำหรับข้ามฟากส่วนตัวของท่าน

เจ้าของบ้านแต่ก็มิได้ห้ามหวงชาวบ้านใช้ด้วย ปัจจุบันพวกเด็กๆ

ชาวซอยบ้านเจ้าสัวใช้ท่าน้ำเก่าแก่แห่งนั้นเป็นที่สนุกสนานเล่นน้ำ

เล่นเรือโฟมเรือยางกัน

              ตึกแถวสองข้างซอยเจ้าสัวและซอยแยกเป็นตึกแถวเก่า

สร้างตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง หากได้รับการบูรณะทาสี

ซ่อมแซมอย่างดีจนพออยู่ได้ การก่อสร้างแข็งแรงไม่มีแตกร้าวหรือ

ทรุดทั้งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ดินค่อนข้างอ่อน แต่ผู้สร้างควบคุมให้ช่าง

ลงเสาเข็มเต็มตามจำนวนที่วิศวกรสมัยนั้นคำนวณมาให้ ไม่มีขาด

มีแต่จะเกิน มีตึกแถวบางช่วงสร้างใหม่ แต่ก็คงลักษณะความสูง

เพียงสองชั้นไว้

              เมื่อมองเข้าไปในห้องจะเห็นศาลเจ้าเล็กๆทาสีแดงตั้งกับ

พื้น มีกระถางธูปและเชิงเทียนไฟฟ้าประดับ เครื่องกระดาษไหว้เจ้า

สีทองของจีน บอกให้รู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานชาวจีนที่

อพยพมาอยู่เมืองสยาม บ้างก็มานานหลายชั่วอายุคนแล้ว บ้างมา

ในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่นี้เอง เด็กๆใน

บ้านจึงเป็นลูกจีน ชั่วอายุคนรุ่นที่สองเท่านั้น เกือบทุกคนพูดภาษา

จีนแต้จิ๋วได้ บางคนเรียนภาษาจีนกลาง อ่านเขียนหนังสือจีนได้

ที่ประตูห้องทุกห้องปะกระดาษตุ้ยเลี้ยงอวยพรปีใหม่ซึ่งจะเปลี่ยน

กันปีละครั้งเมื่อถึงปีใหม่หรือตรุษจีนของชาวจีน แต่ไม่ต้องมองหา

ชาวจีนในชุดจีน มีแต่กางเกงแบบสากลหรือกางเกงฝรั่ง เสื้อเชิ้ต

เสื้อยืด เด็กๆก็นุ่งกางเกงหรือกระโปรงธรรมดาเหมือนเด็กไทย

ทั่วไป นานๆจะเห็นหญิงจีนแก่ๆในชุดกางเกงแพรจีนเสื้อป้ายสัก

คน ส่วนพวกผู้ชายสูงอายุก็นุ่งกางเกงสากลกันเกือบหมดแล้ว หลง

เหลือบางคนที่ยังนุ่งกางเกงป้ายแบบจีนคล้ายๆกางเกงชาวประมง

หรือกางเกงขาก๊วยกันอยู่

              พวกเด็กๆเรียนหนังสือไทย เข้าเรียนในโรงเรียนไทยซึ่งตั้ง

อยู่ในบริเวณวัดปากซอย พ่อแม่ของบางคนก็เรียนมาจากที่นั่น

ปู่ย่าตายายของบางคนก็เรียน เพราะกฎหมายบังคับเรื่องเรียน

หนังสือในโรงเรียนของไทยนั้นมีมานานตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว ถ้าเกิดเมือง

ไทยก็เรียนหนังสือไทยส่วนจะเรียนหนังสือจีนกันก็ไม่มีใครห้าม แต่

ทุกคนต้องเรียนหนังสือไทยด้วย

              ลูกหลานของคนในซอยเจ้าสัวย้ายไปอยู่ที่อื่นกันก็มาก แต่

มักจะมีสักคนในแต่ละครอบครัวที่ยังอยู่ที่นี่ ที่ย้ายกันไปบ้างได้ดีมี

สุข เป็นใหญ่เป็นโต เป็นพ่อค้านายธนาคารหรือเป็นข้าราชการ

เป็นแพทย์ วิศวกรนานาอาชีพ และที่ตกตํ่าจนคนในครอบครัวไม่

เอ่ยถึง เป็นนักเลง เป็นกุลีขนข้าวสารที่ท่าน้ำฝั่งตรงข้ามก็มีอยู่ไม่

น้อย

              ทำไมถึงไม่มีคนไทยแท้ๆมาอยู่ในซอยเจ้าสัว

              เพราะที่ดินแถบนั้นทั้งหมดเป็นของบ้านเจ้าสัว ท่านเจ้าสัว

มีลูกหลานสืบทอดมาสี่ชั่วอายุคนแล้ว คนในซอยเล่ากันว่าท่านทำ

มาค้าขายร่ำรวย ค้าสินค้าใส่สำเภา ขนจากเมืองไทยไปขายเมือง

จีนแล้วขนผ้าไหมจีนพวกผ้าแพรผ้าปังลิ้น อาหารจีนนานาชนิด

จากเมืองจีนมาขายเมืองไทย กำไรมากมายมหาศาลจนสามารถซื้อ

ที่ดินแถบนั้นได้ทั้งหมด แต่จะเป็นบุญหรือกรรมไม่มีใครรู้ได้ ท่าน

ไม่มีลูกชายสืบสกุลเลยสักคน ท่านมีลูกสาวสามคน คนหนึ่งได้

ถวายตัวเป็นเจ้าจอม อีกสองคนก็แต่งงานกับขุนนางไทยร่ำรวย

และแยกครอบครัวออกไป ลูกสาวของท่านผู้ได้เป็นเจ้าจอมมารดา

มีพระธิดาเป็นพระองค์เจ้าพระองค์หนึ่ง และพระองค์หญิงได้เสก

สมรสไปกับหม่อมเจ้าองค์หนึ่ง มีธิดาคนเดียวที่เป็นผู้รับมรดกบ้าน เจ้าสัวนี้ตามที่ท่านเจ้าสัวสั่งไว้ คุณหญิงแต่งงานกับขุนนางไทยคน

หนึ่ง แต่ไม่มีบุตร บัดนี้สามีของท่านเสียชีวิตแล้ว คุณหญิงจึงครอบ

ครองสมบัติพัสถานอันมีบ้านเจ้าสัวกับที่ดินแถบนี้ตามลำพัง

              มีคนเก่าแก่บางคนบอกว่าคุณหญิงมีพี่น้องผู้ชายอีกสองคน

แต่ทั้งสองคนไม่เคยแวะเวียนมาที่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ มรดกก็ได้ไป

ตามสมควรแต่คุณชายทั้งสองไม่รับบ้านและที่ดินริมแม่น้ำแห่งนั้น

คนนอกมักจะสงสัยเสมอว่าบ้านเจ้าสัวทำไมมีเจ้าของเป็นหม่อม

ราชวงศ์หญิง แล้วเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ผู้นี้ทนสภาพบ้านช่องแบบ

จีนแท้และบริเวณรอบๆที่มีแต่คนจีนได้อย่างไร

              ท่านเจ้าสัวได้ขอร้องลูกหลานว่าผู้ใดรับมรดกบ้านเจ้าสัว

และที่ดินแถบนี้ให้ช่วยดูแลลูกหลานจีนซึ่งอาศัยใบบุญของท่านอยู่

มาแต่ก่อน อย่าได้ขับไล่พวกเขาไปให้ส่าบากเลย ใครมีทางไปก็ไป

ใครยังไม่มีหนทางก็ทำสัญญาเช่าตึกแถวสองชั้นเป็นบ้านอยู่อาศัย

หรือทำการค้าเล็กๆน้อยๆไป วัดปากซอยก็เป็นวัดที่ท่านเจ้าสัวสร้าง

โรงเรียนในบริเวณวัดเดิมที่ท่านชายพระสวามีพระองค์หญิงทรง

สร้าง ต่อมาทางราชการรับช่วงไปเป็นของรัฐ บัดนี้เป็นโรงเรียน

ในสังกัดกรุงเทพมหานคร แล้วยังมีโรงเรียนมัธยมสังกัดกรม

สามัญศึกษาสร้างใหม่ในบริเวณวัดนั้นด้วย นับเป็นชุมชนใหญ่พอ

สมควร มีทั้งตลาดย่อมๆ โรงเรียน ร้านค้าปลีกค้าส่งสินค้าทุก

ประเภท

              มีข้อแม้ประการเดียวสำหรับผู้เช่าตึกแถวแถบนั้นนั้นคือ

ห้ามขายสิทธิต่อให้คนภายนอกมาอยู่ อนุญาตเพียงแค่ต่อสัญญา

ให้ลูกหลานอยู่ และสัญญาทำกันเองในสำนักทนายความผู้ดูแลผล

ประโยชน์ของบ้านเจ้าสัวซึ่งมีผลตามกฎหมายเพียงสามปี ใครไม่

ทำตามสัญญาก็จะถูกให้ออกไป ไม่มีการผ่อนผัน

              ไม่มีใครทราบว่าทำไมคุณหญิงท่านจึงตั้งกฎเช่นนั้น

              ที่ดินบริเวณนั้นเป็นที่ทำการค้าได้ดี ตึกแถวเก่าๆทั้งหมด

เป็นสิ่งกีดขวางความเจริญ คุณหญิงทราบดีว่าสิ้นท่านแล้วผู้รับ

มรดกคงขายสิทธิให้พวกนักลงทุนมาลงทุนสร้างโรงแรมริมแม่น้ำ

ศูนย์การค้ามหึมา หรือคอนโดมิเนียมไม่ก็บ้านจัดสรรชั้นดี มีแม่น้ำ

ให้เล่นเรือแสนสบายด้วย

              แล้วคนพวกนี้จะไปอยู่ที่ไหน พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหา

เศรษฐีที่จะไปซื้อบ้านจัดสรรชานเมืองอยู่กันได้อย่างสบายๆ เพราะ

ฉะนั้นท่านจึงยืดเวลาให้พวกเขาไปเรื่อยๆ แต่ท่านไม่ต้องการ

สงเคราะห์คนนอก

 

              รอให้ท่านหาชีวิตไม่แล้วเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป

อย่างไร ท่านเจ้าสัวคุณทวดของท่านหากลุกขึ้นมาจากสุสานได้คง

เป็นลมแล้วกลับเข้าไปนอนสุสานตามเดิมอย่างแน่นอน

              แต่คุณหญิงผ่านโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วหลัง

สงครามโลกครั้งที่สองและยุคนิวเคลียร์มาแล้ว จึงปลงได้ คุณหญิง

ผ่านการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั้งในและนอกประเทศ เห็น

อะไรๆมามากจนสามารถสะกดอารมณ์อาลัยอาวรณ์สมบัติ

บรรพบุรุษไว้ได้แล้ว

              ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรอยู่ได้นิจนิรันดร์ แต่คุณ

หญิงมีความสัมพันธ์ทางใจอันลึกลํ้ากับคนเหล่านี้

              คนในบ้านหลังใหญ่ซึ่งอาศัยใบบุญของท่านอยู่มีแต่ผู้หญิง

จัดอันดับตามฐานะเดิม บ้างเป็นญาติอาศัยอยู่ชั้นบน บริวารอยู่

ชั้นล่าง ท่านให้ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่เท่าเทียมกันไม่ว่า

ญาติหรือบริวาร แต่งงานแล้วก็ย้ายออกไปอยู่กับสามีหรือครอบครัว

สามี ไม่มีการเอาผู้ชายเข้าบ้าน ดังนั้นคนในบ้านจึงมีสองวัย คือ

สาวแก่อายุเกินสามสิบแล้ว ไม่คิดจะแต่งงาน กับเด็กสาวๆที่มีผู้นำ

มาฝากให้เลี้ยงทั้งในฐานะญาติและบริวาร

              อันว่าเครือญาติของท่านมีทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายไทย ส่วน

ใหญ่ฐานะมั่นคงทั้งทางการเงินและทางสังคม น้องชายท่านเจ้าสัว

เป็นเจ้าของโรงสีข้าว ลูกหลานของท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ แต่ก็มีญาติ

รุ่นหลานเป็นเด็กผู้หญิงมาอยู่กับท่านสองคน คนหนึ่งมาขออยู่กับ

ท่านเอง อีกคนแม่นำมามอบให้ท่านเป็นสิทธิ์ขาด

 

              ทุกคนมาพร้อมกับนํ้าตา น้ำตาของความน้อยเนื้อตํ่าใจที่

พระเจ้าหรือเทวดาหรือพรหมลิขิตกำหนดมาให้เกิดเป็นเพศหญิง

เพศที่สองที่สังคมจีนไม่ค่อยจะปรารถนา

              “ให้แล้วต้องให้เลย ไม่มีการดึงไปดึงมา หรือว่าฝาก

ชั่วคราว ตัดสินใจให้ดี เพราะการอบรมจะลักลั่น ฉันสอนอย่าง

ทางบ้านสอนอย่าง”

              จึงมีญาติบางคนนำลูกสาวกลับไปเลี้ยงเอง เพราะพวกเขา

เพียงต้องการฝากลูกมาพึ่งใบบุญไม่ได้ต้องการยกให้ แต่คุณหญิง

ท่านไม่อะลุ้มอล่วยกับใคร

              “ให้มาอยู่นี่ก็ต้องอยู่ตลอด ปิดเทอมก็ไม่ให้กลับบ้าน

นอกจากมาเยี่ยมเยียนกันตามโอกาสหรือว่ามีเหตุอะไรให้ต้องกลับ

เช่น ไปงานศพ งานแต่งงาน ไม่ให้ค้างนาน เมื่ออายุสมควรจะ

ออกเรือนก็ออกไป ไปแล้วก็ไม่มีการรับเข้ามาอีก ยกเว้นส่งลูกสาว

มาให้เลี้ยง”

              มีญาติคิดจะส่งลูกชายมาฝากเรียนหนังสือแต่ท่านปฏิเสธ

              “ฉันเลี้ยงเด็กผู้ชายไม่เป็น เดี๋ยวเสียคน แล้วจะมีปัญหา

เอาไปฝากวัดไป” ท่านให้เหตุผล

              ญาติสายอื่นก็มีมาอยู่กับท่าน เป็นญาติห่างๆ ลูกหลานคน

แถวนั้นก็มี แซ่เดียวกับท่านเจ้าสัว นับไปก็อาจจะเป็นญาติ แต่สืบ

สาวยืดยาวหลายชั่วอายุคนนักคุณหญิงท่านเลยไม่สืบ ถือว่าเป็น

ญาติชั้นผู้น้อยเลี้ยงเสมอกับหลานๆ แต่เด็กสาวจากแซ่อื่นที่อยู่กับ

ท่านก็มี

 

              สาวๆที่ท่านเลี้ยงมาใช่จะประสบความสำเร็จเสียทุกคน

หลายคนที่ตกต่ำและมีหลายคนที่ได้ดีแม้จะมิได้ดีเลิศ

              “ฉันทำได้แค่นี้” ท่านเคยบอกกับแม่ฟองหรือป้าฟองญาติ

ห่างๆ สาวแก่ผู้เป็นเสมือนต้นห้องหรือคนสนิท “เด็กมันมีปมด้อย

ถ้าไม่เข้มแข็ง ขจัดปมด้อยได้ไม่หมด ไม่รู้จักแสวงโอกาส ฉันก็ช่วย

ได้เท่านี้”

              “มันล้วนแต่ไม่มีคนต้องการเหมือนอิฉันค่ะ คุณท่าน มัน

ขจัดความรู้สึกพวกนี้ออกได้ยาก ท่านเก็บเขามาเลี้ยง รับเขาไว้

แต่เขาก็ยังขาดรัก”

              “มีคนอื่นลำบากกว่านี้อีกมากมาย บอกพวกเขาให้ลืมเรื่อง

เก่าๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียน”

              “เขาก็ยังมีปมแหละเจ้าค่ะเพราะต้องเรียนโรงเรียนวัด ใน

ขณะที่พี่น้องผู้ชายเรียนโรงเรียนฝรั่งเสียค่าเล่าเรียนแพงๆ เสีย

เงินบริจาคกันหลายๆหมื่น”

              “ฉันส่งเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ฉันไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงเขา

อย่างพ่อแม่ของเขา ก็ดูแต่พ่อแม่เขายังไม่ต้องการเขา แล้วฉันช่วย

แค่นี้ก็ควรจะรีบตักตวงไว้แทนที่จะมัวเสียเวลาน้อยอกน้อยใจ”

              ท่านหมายถึงสาวน้อยเพชรดา เด็กหญิงคนนี้มารดานำมา

ให้ท่านเลี้ยง แม่ของหล่อนเสียน้ำตาไปมากมายเพราะความรักลูก

แต่ก็จำเป็นจำใจนำมาให้ท่าน

              “พ่อเขา อากง อาม่า ต้องการหลานผู้ชาย เขาโกรธกัน

ใหญ่เพราะเมียแรกก็มีแต่ลูกสาวจนเลิกกันไปแล้ว เขาเอาลูกสาว

ไปเลี้ยงเองหมด มาถึงดิฉันเขาขอมาเป็นเมียเพราะอยากได้ลูกชาย

ค่ะ คุณท่าน แต่ก็ได้ลูกสาวอีก เขาไม่ต้องการกันทั้งบ้าน ดิฉันไม่

ทราบจะไปกราบขอพึ่งใครได้เพราะดิฉันเองยากจน เอาไปให้ตา

ยายเลี้ยงที่บ้านนอกก็ไม่ได้ อดตาย ไม่ก็โง่ตายค่ะ มีคนแนะนำให้

นำมาให้ท่านเลี้ยง อย่างไรๆก็เป็นหลานของเถ้าแก่ น้องของคุณ

ทวดของท่าน หลานห่างกว่านี้ท่านยังเลี้ยงอย่างดีจนได้เรียนหมอ

ดิฉันก็ได้แต่หวังว่าเขาอยู่นี่จะมีความสุขกว่าอยู่ที่บ้านที่ปู่ย่าเขาไม่

ต้องการ”

              “ต้องให้พ่อเขาลงชื่อยกให้ด้วยซี แต่งงานกันถูกต้องไม่ใช่

หรือ”

              “ทำพิธีแต่งเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้จดทะเบียน”

              “งั้นแม่ยกให้คนเดียวพอ เออต้องลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน ฉัน

จะให้ฟองไปตามทนายมาทำหนังสือยกให้ แต่ให้เขาใช้นามสกุล

เธอแหละนะ”

              แต่แม่ของเพชรดาไม่ได้โชคร้ายตลอด หล่อนมีลูกชายให้

ครอบครัวสามีชื่นใจอีกหลายคน เพชรดาคนเดียวที่ถูกอัปเปหิมา

อยู่ที่นี่ มารดาของหล่อนมาเยี่ยมนานปีครั้งหนึ่ง เพชรดารู้ดีว่า

หล่อนเป็นลูกใคร ฐานะเป็นอย่างไร หล่อนจึงเป็นเด็กที่ปมด้อย

มากที่สุดในบ้านนี้

              ดูหรือเพชรดาเป็นลูกสาวของเจ้าของโรงสีโรงเลื่อยใหญ่

โต แต่ต้องมาตกคลั่กอยู่ในบ้านสาวแก่แม่ม่ายอยู่ในระเบียบ

ประเพณีชาววังทั้งที่อยู่บ้านจีน หล่อนถูกควบคุมให้อยู่ในกรอบของ

ลูกผู้หญิงผิดเพื่อน ต้องเรียนหนังสือในโรงเรียนอรรมดาๆรวมกับ

ลูกกุลีขนข้าวสาร ได้เบี้ยเลี้ยงใช้จ่ายพอๆกับลูกกุลี ดีกว่าหน่อย

ตรงที่ขอพิเศษได้เมื่อมีดวามจำเป็น เสื้อผ้าอาหารการกินบริบูรณ์

ดีกว่า ความเป็นอยู่ในบ้านอยู่ในระดับค่อนข้างดี

              แต่ก็สู้น้องชายสามสี่คนนั้นไม่ได้เลย แม่เคยพาน้องๆมา

เยี่ยม นั่งรถยนต์คันใหญ่ ใหญ่กว่าของคุณหญิงท่านอีก และน้อง

บอกว่าเรียนหนังสือในโรงเรียนหรูเลิศ

              ที่เพชรดาเจ็บปวดที่สุดก็คือน้องสาวคนเล็ก แม่มีลูกสาว

อีกคนได้อยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่าไม่คิดรังเกียจ เพราะเป็นสุขพอแล้วกับ

การมีหลานชายสี่คน แม่บำรุงบำเรอน้องสาวคนนี้อย่างกับนางฟ้า

นางสวรรค์ คงชดเชยที่ต้องเสียหล่อนไปและยกมาประเคนแม่น้อง

สาวคนนี้ทั้งหมด ทุกสิ่งที่เพชรดาขาด ความรัก เงินทอง ความสุข

สบาย เพชรรัตน์มีจนล้นปรี่

              และแม่ไม่เคยเอ่ยปากขอเพชรดาคืนจากคุณหญิงท่าน

              “อยู่นี่ก็ดีแล้ว ได้เรียนหนังสือเหมือนกัน ท่านไม่มีทายาท

ประจบท่านให้ดีๆให้ท่านรัก แกอาจจะได้มรดก เพราะแกเป็น

หลานใกล้ชิดที่สุด”

              “หลีก็ใกล้ชิด”

              “ก็ยังไม่ชิดเท่า แกน่ะพ่อเป็นหลานท่านเจ้าสัว ตัวแกนับ

ญาติน่ะเป็นน้องคุณหญิงท่านด้วยซํ้าไป แต่อายุห่างกันมาก เพราะ

ทวดเป็นน้องคนเล็กของท่านเจ้าสัว อายุคราวลูก”

              เพชรดาส่ายหน้า หล่อนทราบดีว่าคุณหญิงท่านมีหลาน

 

ชายอีกสามคน ลูกของพี่ชายและน้องชายท่าน เป็นหม่อมหลวง

ตามชาติกำเนิด แล้วแม่มาสอนให้หล่อนหวังลมๆแล้งๆ มาสอน

ว่าหล่อนมีศักดิ์เป็นน้องทั้งที่นับญาติแล้วห่างกันตั้งโยชน์

              “ท่านไม่รักหลานชายหรอก ท่านรักแต่เด็กผู้หญิง ดูซิว่า

ท่านรับเลี้ยงแต่เด็กผู้หญิง” แม่ยังให้เหตุผล เมื่อเพชรดาเอ่ยถึง

หลานแท้ๆของคุณหญิงท่านทั้งสามคน

              “ท่านรักแต่ท่านไม่เลี้ยงเพราะเห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงน่ะดีแล้ว

หลานของท่านแท้ๆ”

              เพชรดาเข้าใจคุณหญิงท่านดีในข้อนี้ ท่านเลี้ยงเด็กผู้หญิง

ในบ้านมากมายเพราะสมเพชต่างหาก สมเพชที่ถูกรังเกียจรังงอน

จากญาติผู้ใหญ่ของตนเอง หล่อนเองก็เถอะ ถึงเป็นน้อง ท่านก็

เลี้ยงเอาบุญเท่านั้น ท่านไม่ได้รักได้ใคร่อะไรเป็นพิเศษดอก

              หล่อนจึงเป็นเด็กสาวขาดรัก เคร่งขรึม หงุดหงิดง่าย

อารมณ์เสียเก่ง และเก็บตัว ไม่อยากคบหาสมาคมกับใครทั้งนั้น

ไม่อยากพบญาติหรือมารดาแท้ๆของตน เมื่อเด็กยังไม่มีปากเสียง

หล่อนจะไปบ้านบิดามารดาในวันสิ้นปีหรือวันไหว้ก่อนวันตรุษจีน

เพราะคุณหญิงส่งให้ไปไหว้บรรพบุรุษทั้งที่เสียชีวิตแล้วและยังมี

ชีวิตอยู่เป็นไปตามประเพณี แต่เมื่อหล่อนรู้เรื่องของตัวเองมากพอ

เพชรดาก็ปฏิเสธที่จะไป

              “เพชรไม่ไปค่ะ เพชรต้องเรียนหนังสือ ใกล้สอบแล้ว”

              “แค่ครึ่งวันเอง ขาดเรียนกี่ชั่วโมงกัน”

              “ขอความกรุณาเถอะค่ะ เพชรไม่อยากไป” หล่อนยืนยัน

              คุณหญิงถอนใจ พยักหน้าอนุญาตตามที่หล่อนประสงค์

พอเพชรดาพ้นหน้า ท่านก็หันไปพูดกับแม่ฟองว่า

              “มันบัวแล้งนํ้าจริงๆเชียว ฟอง แม่คนนี้ ไม่เหมือนแม่ฬี”

              “นั่นน่ะยิ่งแล้งนํ้า แห้งผากเชียวค่ะ”

              “แต่เขาสู้นี่ ถึงน้ำน้อยยังไงๆเขาก็ชูดอกสวยแอร่มสีสด

สู้แดด สู้ลม แม่คนนี้น่ะเอาตัวรอดได้หรอก ไม่ต้องห่วง มันเก่ง”

              สาวน้อยที่ท่านเอ่ยถึงคือจัตตาฬีส์ หรือแม่หลีผู้เข้ามาใน

บ้านหลังนี้ด้วยการตัดสินใจของตนเองเมื่ออายุเพียงสิบเอ็ด

ขวบเศษ


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024