บัลลังก์รักทะเลทราย ภาคสอง (นางแก้ว)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ตอนที่ 1 ด้วยรักและห่วงใย
“ทูลกระหม่อมคงมีเหตุผลมากพอนะเพคะ ก่อนที่จะตอบคำถามของหม่อมฉัน”
“เรื่องเราไม่ให้ลูกสองคนแต่งงานน่ะหรือฮันนี่” เหนือหัวฮัจจ์ซา อัลไซอิด อับดุลลาทรงย้อนถามพระนางเมเซเนตพระอัครชายา ซึ่งต่อมาทรงแต่งตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสี ซึ่งไม่มีเคยมีตำแหน่งนี้มาก่อนในแผ่นดิน ซึ่งเป็นการบอกให้รู้ว่าทรงโปรดปราณพระนางเมเซเนตมากเพียงใด
พระนางเลิกพระขนงขึ้นสูงด้วยความสงสัย เพราะยังไม่ทันถาม พระสวามีก็รู้ทันเสียแล้ว พระกิริยาของพระมเหสีทำให้กษัตริย์ฮัจจ์ซาสรวลเล็กน้อยก่อนจะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า
“ลูกเรายังเด็กอยู่เลยนะที่รัก ให้พวกนางอยู่กับครอบครัวนานกว่านี้อีกหน่อย”
“ทั้งสองคนต่างมีอายุสิบหกแล้วเพคะ” ทรงแย้งพระสวามี คำแย้งนั้นทำให้พระองค์ท่านไม่ค่อยพอพระทัย จึงตรัสกระทบกระแทกพระมเหสีออกไปว่า
“ทำไมอยากให้ลูกไปไกลๆ นักนะฮันนี่ หรือว่าท่านเห็นแก่ญาติมากกว่าเห็นกว่าความสุขของลูก”
“เพราะเห็นแก่ความสุขของลูกสิเพคะจึงได้กล้าทูลออกมา”
ดำรัสของพระมเหสีทำให้กษัตริย์ฮัจจ์ซาถึงกับพระมัสสุกระตุก ด้วยความไม่พอพระทัย เพราะ ทรงคาดคะเนได้อย่างแม่นยำทีเดียวว่า คำถามของพระมเหสีมาจากความต้องการของพระราชธิดาเป็นแน่แท้ ดังนั้นพระองค์ท่านจึงทรงกริ้วนิด รับสั่งประชดออกมาว่า
“เราจะไม่ให้ลูกเราแต่งงาน เราจะให้ลูกสาวของเราบวชทุกคน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเห็นทีพระองค์คงต้องส่งฮันนี่คนนี้ไปบวชกับลูกด้วยเพคะ”
“ฮันนี่” พระองค์ท่านทรงพึมพำพระนามพระมเหสีอย่างอ่อนพระทัย “ทำไมจึงต้องทำให้เรายุ่งยากใจอย่างนี้นะ”
“หม่อมฉันเพียงแต่ทำตามความเหมาะสม ทูลกระหม่อมต่างหากทำพระองค์ให้ยุ่งยากเอง”
พระนางหวนนึกไปถึงเมื่อวันประสูติของสองพระราชธิดาฝาแฝดแห่งตาบาร่า ซึ่งประสูติจากพระมเหสีเมเซเนต ขององค์เหนือหัวฮัจจ์ซา โดยจากคำทำนายที่เลื่องลือไกลถึงบุญบารมี ที่จะทรงทำให้แคว้นนั้นๆ รุ่งเรือง หากได้ไปเป็นอัครชายา
ดังนั้นเมื่อพระราชธิดาเจริญพระชนม์พรรษา ได้สิบสองพรรษาก็เริ่มมีเหล่าทูตต่างแคว้น ทั้งใกล้และไกลถือพระราชสาสน์ของประมุขแห่งตน เพื่อสู่ขอเจ้าหญิงทั้งสองไปเป็นปิ่นเมือง
แต่ไม่ว่าแคว้นใดล้วนได้รับการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลจากกษัตริย์ฮัจจ์ซาว่าพระธิดายังเยาว์ชันษานัก ยังมิอาจให้ไปนอกแคว้นตาบาร่าได้ การปฏิเสธไม่ยอมยกพระราชธิดาให้กับแคว้นใดเลยนั้นสร้างความเคลือบแคลงพระทัย ให้เกิดกับองค์พระมเหสีมิใช่น้อย เพราะว่าพระนางมีความผูกพันอยู่กับแคว้นเอลัตตา และ ทรงเข้าข้างพระญาติพระวงศ์ของพระนาง
บัดนี้พระราชธิดาเจริญพรรษาได้สิบหกแล้ว!!
องค์เหนือหัวได้เสด็จมาประทับอยู่ที่ตำหนักของพระมเหสี ซึ่งเป็นตำแหน่งแรกของแผ่นดินนี้เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ตำแหน่งอัครชายาถือว่าสูงสุดแล้ว เวลานี้พระมเหสีรอให้พระสวามีพักผ่อนอิริยาบถดีแล้วจึงได้ทูลถาม ออกมา ซึ่งจากคำตอบ และคำถามที่ตอบโต้กันไปมา เริ่มทำให้องค์เหนือหัวชักสีพระพักตร์ตึง ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดัง ด้วยการประชดว่า
“แล้วลูกคนไหนของเจ้าล่ะที่ต้องการแต่งงาน เราไม่รู้หรอกเพราะมีตั้งหลายคนนี่” ทรงสวนด้วยพระ
พระมเหสีทรงอยากทรงทูลประชดโต้ไปเสียนักว่า ที่ทรงมีพระโอรสพระธิดาหลายคนนั้น เพราะใครเล่าทำให้พระนาภีของพระนางไม่เคยแห้ง อยากตรัสตามพระทัยออกไปอย่างนี้ แต่คำที่หลุดจากพระโอษฐ์กลับอ้อมแอ้มตามความเป็นจริงออกมาว่า
“เมื่อครั้งที่เจ้าชายเสนาบดีแห่งเอลัตตามาเยือนแคว้นตาบาร่า เอ่อลูกหญิง อัลซานีได้พบสองครั้ง”
“ท่านเป็นอัครชายามีอำนาจคุมฝ่ายในทั้งหมด เป็นคนรักษากฎ แต่ทำไมให้ลูกสาวพบผู้ชายได้ง่ายๆ อย่างนี้เมเซเนต” หากเรียกพระนามอย่างนี้ละก็ พระมเหสีทรงรู้ว่าพระองค์ท่านไม่ค่อยพอพระทัยอีกแล้ว
...ช่างน่าแปลกเสียจริงเพราะนับวันที่พระราชธิดาเจริญวัยมากขึ้นเพียงใด พระสวามีมักจะ ‘ทรงยัวะ’ อยู่บ่อยๆ ดังนั้นพระนางจึงทูลเสียงแผ่วลงไปอีก พร้อมถวายรอยแย้มสรวลแสนหวานเอาพระทัยพระสวามีว่า
“เจ้าชายไลโอนัสมีฐานะเป็นพระญาติพระวงศ์ เป็นเจ้าชายเสนาบดีที่สุขุม มีความสุภาพ หน้าตาดี ยังโสด และท่านรับปากกับหม่อมฉันว่าลูกหญิงจะเป็นหนึ่งเดียวของท่านเท่านั้น และจะไม่มีหญิงใดในชีวิตอีกเลย”
“ท่านจึงรีบเปิดทางให้ลูกอย่างนั้นสิเมเซเนต” พระสุรเสียงประชดออกมาจากพระโอษฐ์ เหยียด และพระพักตร์บึ้งตึง
เมื่อพระมเหสีถูกกระแทกบ่อยครั้งเข้า ก็อดที่จะย้อนปนประชดพระสวามีเสียมิได้ว่า
“เพราะหม่อมฉันมีประสบการณ์มาก่อนสิเพคะว่า ถ้าคนเราถูกกักขังให้ไร้อิสระมากๆ เข้า สักวันก็ต้องฉีกกฎได้ทุกข้อ”
“แล้วท่านก็คิดว่าลูกสาวเราจะไปเปลือยกายอวดโฉมกลางโอเอซิสแก้กลุ้มหรือไงฮันนี่” ถ้าเรียกพระนามเล่นแสดงว่าความกริ้วเบาบางลงแล้ว พระมเหสีจึงกล้าย้อนงอนๆ เพราะไม่ค่อยพอพระทัยต่อองค์ฮัจจ์ซาที่มักจะหยิบยกเรื่องที่ทำให้ขายพระพักตร์ขึ้นมาหยอกอยู่เรื่อย
“อาจเป็นได้เพคะเพราะสายเลือดอัลซานีมาจากหม่อมฉันครึ่งหนึ่ง” คำย้อนทำให้พระองค์ท่านกริ้วออกมาอีก ถึงกับรับสั่งเข้ม สีพระพักตร์เครียดเอาจริงทีเดียวว่า
“ขืนมีเรื่องอย่างนั้นจริงเราจะโยนลูกหญิงลงบ่อจระเข้เสียให้รู้แล้วไป”
“เพคะ” ทรงเน้นเสียงให้หนักแน่นกว่าเดิม พระพักตร์ง้ำ ซึ่งพระกิริยานี้ที่ทำให้พระสวามีต้องมาหาบ่อยๆ เพราะไม่มีจอมนางองค์ใดทำพระกิริยาแสนธรรมดาอย่างนี้ต่อหน้าพระองค์ท่าน และนั่นทำให้พระองค์สบายพระทัยราวกับว่าพระองค์ท่านมีครอบครัวธรรมดา มิใช่ครอบครัวกษัตริย์ที่ต้องเคร่งครัดกฎตลอดเวลา
ยามเมื่อใกล้ผู้เป็นที่รักและยอดดวงใจทำให้รู้สึกราวกับว่า พระองค์ท่านได้ยกมงกุฎที่หนักอึ้งลงจากพระเศียรได้อย่างประหลาด
“หากลูกหญิงถูกจับลงบ่อจระเข้ หม่อมฉันจะอุ้มลูกอีกห้าคนลงไปด้วยเพคะ”
“ถ้าเราโยนลูกลงบ่อไปเสียคนหนึ่ง จะเหลือแค่สี่ไม่ใช่หรือ” พระองค์ท่านแย้งพร้อมสรวลอย่างเอ็นดู ต่อด้วยว่า
“มีลูกอยู่ห้าคนเท่านั้น จำไม่ได้แล้วหรือฮันนี่”
“คนตั้งย่อมรู้สิเพคะทูลกระหม่อม เพราะหม่อมฉันต้องอุ้มสิ่งที่ทรงประทานมาให้ถึงเก้าเดือนนี่เพคะ” พระมเหสีทรงแย้ง พระปรางค์นวลปรากฏริ้วสีชมพูเข้มด้วยเลือดฝาดฉีดซ่าน
เพราะพระนางเป็นอย่างที่พระพันปีทรงกระเซ้า...เมเซเนตท้องไม่เคยยุบ
องค์ฮัจจ์ซาฉงนพระทัยนิดเดียว แล้วทรงรั้งพระมเหสีเข้าไปสวมกอดโดยแน่น เมื่อทรงเข้าพระทัยแล้วว่าจะได้สายพระโลหิตเพิ่มจากพระมเหสีอีกหนึ่ง ทรงก้มพระพักตร์เข้าไปกระซิบถามใกล้ ริมพระโสตผู้เป็นที่รักแผ่วเบาว่า
“ตั้งครรภ์กี่เดือนแล้วที่รัก”
“สามเพคะทูลกระหม่อม” ทรงทูลบุ้ยพระโอษฐ์บึ้ง แต่พระสวามีกลับประทานจุมพิตด้วยความรักอย่างสุดแสน และทรงตรัสทุ้มนุ่มนวลกับผู้เป็นที่รักว่า
“ขอบใจมากนะฮันนี่ ขอบใจที่มีลูกให้เราหลายๆ คน”
“เป็นเกียรติอย่างสูงเพคะที่ได้รับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”
“ไม่เคยให้รับฝ่าบาทสักที” ทรงหยอก
“ไม่ว่าจะให้รับอะไรก็เป็นที่ครหาว่าหม่อมฉันแล้งน้ำใจต่อเหล่านางสนมกำนัล ว่าไม่ทูลเชิญเสด็จให้ไปประทับที่ตำหนักอื่นบ้าง”
“ใครกล้าว่าท่าน บอกมาซิฮันนี่” ทรงทำเสียงเข้มกริ้วไม่จริงจังนัก พระมเหสีเจือพระพักตร์หวานละมุนด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์สวย แล้วทรงเย้าก่อนแนบพระวรกายชิดอ้อมอุระอบอุ่น ทูลเสียงอ่อน
“จะจับนางสนมตั้งสามร้อยของพระองค์โยนลงบ่อจระเข้หมดเลยหรือเพคะ”
พระองค์ท่านฮัจจ์ซาทรงเชยพระหนุขององค์พระมเหสีขึ้น พร้อมประทับรอยจุมพิตทั้งซ้ายขวาลงบนพระปรางค์เปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดหลายครั้ง พระมเหสีพริ้มพระเนตรรับรอยจุมพิตที่พระนางรู้สึกได้ว่า ยิ่งนานวันยิ่งเจือหวานสนิท ทรงทูลออกมาทั้งยังพริ้มพระเนตรรับรอยแห่งความสุขที่พระองค์ท่านฮัจจ์ซาประทานให้
“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ว่ามีความสุขมากเพียงใดเวลาที่พระองค์กอดหม่อมฉันไว้อย่างนี้ และถ้าอัลซานีได้แต่งงานกับคนที่นางรัก นางคงมีความสุขไม่ต่างจากหม่อมฉัน” แล้วทรงสานสบพระเนตรคมกริบของพระสวามีด้วยประกายเจือหวานราวน้ำผึ้งใกล้หยดหยาดก็มิปาน ซึ่งพระกิริยาดังนี้จึงทำให้พระทัยแข็งขององค์ฮัจจ์ซาอ่อนลง ทรงตรัสกับพระมเหสีเจือรอยแย้มพระโอษฐ์ต่อรองว่า
“หากองค์นี้เป็นลูกชายอีก เราจะทำตามที่ท่านขอ”
“ขอบพระทัยเพคะทูลกระหม่อม”
“ขอบใจเร็วอย่างนี้ไม่กลัวผิดหวังภายหลังหรือฮันนี่” ทรงเย้า แต่พระมเหสีทรงมั่นพระทัยยิ่งนักว่าต้องทรงทำเพื่อเจ้าหญิงอัลซานีผู้เป็นพระราชธิดาได้ ท่าทีเชื่อมั่นของพระมเหสีทำให้พระองค์ท่านฮัจจ์ซาอดหยอกเสียไม่ได้ว่า
“เอหรือเราเพิ่มข้อตกลงอีกอย่างดีนะ...อืมม์! ให้เจ้ามีโอรสฝาแฝดอีกสักคู่ดีกว่า”
“ไม่ได้เพคะ ทรงเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วห้ามคืนคำเพคะ”
“ทำไมล่ะ คู่แรกท่านยังมีลูกหญิงให้เราได้เลย แล้วไยต้องกลัวว่าจะมีให้เราอีกไม่ได้เล่า”
“หากไม่ทรงประทานมาให้ หม่อมฉันก็ไม่สามารถมีถวายหรอกเพคะ” ทรงงอนอีกแล้ว
“ไม่ทราบล่ะเพคะ ตรัสแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปบวชเสียเลยเพคะ”
“ฮันนี่...อย่าขู่ไปนักเลย เดี๋ยวเราตัดใจให้ไปบวชจริงจะร้องไห้คิดถึงเราล่ะไม่ว่า”
“แหม” พระนางกระเง้ากระงอด แล้วทูลเอาพระทัย
“ไม่คิดถึงพระองค์แล้วจะไปคิดถึงใครได้ล่ะเพคะ” ทูลแล้วเขย่งพระบาทถวายจูบที่ข้างพระหนุของพระสวามีเป็นรางวัล
พระองค์ท่านฮัจจ์ซารัดพระมเหสีแน่นเข้ามาอีก จนพระนางบ่นหายพระทัยไม่ออก พระองค์จึงคลายอ้อมพระกรลง พร้อมแนบพระพักตร์ลงมาคลอเคลียใกล้พระพักตร์งามของพระมเหสี ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งอยู่ในวัยงาม หรือที่เรียกว่าเป็นหนึ่งในเบญจกัลยาณี คืองามได้ห้าประการ และพระนางไม่มีความร่วงโรยดังสตรีธรรมดา พระนางยังคงเค้าความหมดจดงดงามได้ไม่แผกจากเดิมมากนัก พระองค์ท่านทรงตรัสเบาๆ ว่า
“เราเชื่อในความเป็นมารดาที่ท่านมีรักให้ลูกของเรา ไม่ต่างจากเสด็จแม่ที่ทรงมีเมตตากับเราซึ่งเป็นลูก”
“เอ่อ!...หม่อมฉันเอ่อ!...ดุหรือเพคะ” ทรงทูลถามตะกุกตะกักเพราะไม่เข้าใจในคำดำรัสนั้น
...อดดำริเสียไม่ได้ว่า...ขืนพระนางเหมือนพระพันปีละก็ ข้าราชบริพารคงได้แต่ก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าทูลแม้จะมีแมลงมาเกาะพระอังสะก็ตามที
ยังทรงจำได้ว่า วันสิ้นพระชนม์ของพระพันปีนั้น มีนางทาสและขันทีหลายคนถูกสังเวยชีวิต ไม่เว้นแม้แต่โฟร่าผู้ภักดี นางให้งูเห่ากัด เพื่อตายตามไปรับใช้พระพันปีในโลกหน้า
...หากพระนางเมเซเนตเคยทูลขอต่อองค์กษัตริย์ฮัจจ์ซาว่า หากวันใดที่พระนางสิ้นพระชนม์ ขอพระสวามียกเลิกกฎมณเฑียรบาลข้อนี้ทิ้งเสีย เพราะพระนางไม่ต้องการให้ใครต้องมารับเคราะห์ไปด้วย ทรงให้เหตุผลกับพระสวามี ราชโอรส พระธิดา หรือแม้แต่ข้าราชบริพารใกล้ชิดอยู่เสมอว่า
...ชีวิตของทุกคนมีค่า ต่างมีคนที่คอยห่วงหา และถ้าตามกฎมนเทียร ข้อที่ ข้ารับใช้ต้องตายตามนาย จึงเป็นการทำร้ายคนอีกหลายคนที่เป็นที่รักกัน..
‘.เราไม่มีทางให้ท่านจากเราไปง่ายๆ ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่’ ...ดำรัสจากพระโอษฐ์ขององค์เหนือหัวยังก้องในพระหฤทัยพระนางเมเซเนต
“ฮันนี่...” กษัตริย์ฮัจจ์ซาทรงแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยน ทรงจำคำขอของพระมเหสีได้ติดพระทัย พระองค์ท่านยังตรัสว่า
“ท่านไม่น่ากลัวเลยสักนิด แต่ท่านน่ารัก รู้มั้ย ว่าน่ารักมาก”
“แหม...” ทรงทุบพระอุระพระสวามีแก้เก้อไปสองครั้ง อย่างนี้ยิ่งทำให้พระสวามีทรงโปรดปรานนัก
“มิสนัดล่ะ คงไม่ได้เป็นไปตามอัลซานีที่คิดจะหอบผ้าตามเจ้าชายเสนาบดีไปอีกคนหรอกนะฮันนี่”
“อัลมิสนัดอยู่ที่วิหารกับท่านอาจารย์” พระนางทูลตอบ
“เอ่อลูกคนนี้ขยันเรียนมาก เอ่อคงจะได้เลือดของพระองค์มากกว่าหม่อมฉันแน่ๆ เพคะ เพราะแตกต่างจากอัลซานีที่คงจะมีเลือดหม่อมฉันผสมมากเกินไปนิด” ทรงยกพระหัตถ์ทำท่าว่านิดเดียวเท่านั้น พระสวามีแย้มสรวลเบิกบานพระทัยมากกว่าเดิม แล้วจึงก้มพระพักตร์ลงมาใกล้ ประทานจุมพิตบนริมพระโอษฐ์หอมหวานของพระมเหสี อย่างนุ่มนวล
“อย่าหวานกับเรานักเลย แค่นี้เจ้าองครักษ์ข้างตัวเราก็เฝ้าแต่ล้อแล้วว่าฮัจจ์ซาหลงเมีย”
“หลงไปทางไหนเพคะ เพราะทรงมีทางไปตั้งหลายแห่ง”
“ทางวังนี้เท่านั้น และเพียงคนนี้ ห้ามท่านนำมารวมกันรู้มั้ย ห้ามหวง ห้ามนำมาใส่ใจว่าเราจะรักท่านน้อยลง เพราะไม่มีวันนั้นแน่นอน”
“ทูลกระหม่อมของหม่อมฉัน...ทรงมีเมตตาต่อหม่อมฉันเหลือเกินเพคะ”
“เรารักท่าน รักและห่วงลูกของเราทุกคน” ทรงมีสีพระพักตร์ขรึมไปนิด ก่อนตรัส
“แต่เราแปลกใจนัก ไม่รู้ว่าทำไมกษัตริย์ อคาบานาไม่สู่ขอลูกหญิงแฝดของเราเช่นแคว้นอื่นๆ”
“เพราะลูกหญิงมีสายเลือดของเอลัตตาหรือเพคะ”
“แปลกอยู่เทียว...แต่” ทรงหยุดความสงสัยไว้แค่นั้น ก่อนตรัสต่อ
“ถึงขอจริงเราก็ไม่ให้”
“ทำไมเพคะ ทั้งที่การเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยวิธีนี้ทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันได้ เอลัตตาก็อาจจะปลอดการรุกรานโดยเด็ดขาดได้”
องค์เหนือถอนพระทัยเล็กน้อย เมื่อทรงรำลึกเสมอเมื่อมีพระราชธิดาซึ่งเกิดจากพระมเหสีแต่ละองค์ เสียงสาปแช่งของไอริชผู้ที่ถูกฝังทั้งเป็นจะกึกก้องในพระโสตราวกับว่านางนั้นตามมาย้ำเตือนความแค้น
ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่เคยเกรงต่อคำสาปแช่งของคนตาย แต่ว่า พระองค์จำต้องสร้างกำแพงแห่งความปลอดภัยไว้ให้กับพระราชธิดาที่เกิดจากพระมเหสีมิให้ไปเกี่ยวดองกับอคาบานา
“ถ้าในครรภ์ท่านเป็นชายดังที่เราหวัง เราจะจำใจยกอัลซานีให้ญาติของท่าน แต่อัลมิสนัดหรือลูกหญิงคนอื่นๆ เราจะให้บวชหมดทุกคน”
“โธ่ทูลกระหม่อมทำไมต้องกีดกันลูกเพคะ”
“ไม่ได้กีดกัน แต่เป็นห่วงต่างหาก เรารู้อยู่นี่ว่ากษัตริย์ต้องมีนางสนมมากมาย เราไม่อยากให้ลูกต้องไปชิงดีชิงเด่นกับใครทั้งสิ้น จนกว่า”
“จนกว่าอะไรเพคะ” พระมเหสีทูลถาม ครั้นสานสบพระเนตรอ่อนโยนนั้นก็ทรงเข้าพระทัยดี จึงแนบพระพักตร์กับอ้อมอุระอบอุ่นก่อนทูลเบาๆ
“จนกว่าลูกหญิงจะพบชายที่รักนางเช่นที่มารดาของนางได้รับจากพระบิดาของนางใช่มั้ยเพคะ”
“ยอดรัก...ท่านคือสตรีเพียงคนเดียวที่เข้าใจเราที่สุด”
พลางช้อนพระวรกายพระมเหสีอุ้มไว้ในอ้อมพระกร พระมเหสีโอบรอบพระศอพระสวามีพร้อมทูลเตือน
“สามเดือนแล้วนะเพคะ”
“นั่นสิ เราห่างท่านตั้งสามเดือน” พระองค์เขวไปอีกทางพระมเหสีจึงอ่อนพระทัยที่จะทูลเตือน และปล่อยให้พระองค์ท่านอุ้มสู่ที่รโหฐานส่วนพระองค์
ในความเงียบสงบของท้องทะเลมักเกิดพายุร้ายตามมา เฉกเช่นเดียวกับความเงียบของอคาบานาที่มีต่อตาบาร่า
เจ้าชายอัสลานรอวันแก้แค้นให้พระพี่นางไอริชมาเป็นเวลานับสิบกว่าปี
เมื่อทรงครองราชย์แล้วในเวลาหลายปีต่อมาจึงเปลี่ยนพระนามจาก อัสลาน (สิงโต) มาเป็น องค์เหนือหัว ฟาร์ฮาน (ใจดี)
สายเลือดของกษัตริย์ฮัจจ์ซา และพระนางเมเซเนตเท่านั้นที่กษัตริย์ฟาร์ฮานต้องการทำลายพระเกียรติมากที่สุด…