ถ้าเรารักกัน เล่ม 1 (กรุง ญ ฉัตร)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา  จะขอเฝ้าตราบจน

ชีวิตเราสิ้น  ยามคลื่นซัดกระเซ็นเช้าเย็นสำเนียงเคยยิน

เลือดไหลรินเพื่อคงเกียรติของนาวี

            เสียงเพลงนั้นดังข้ามกำแพงรั้วจากบ้านข้างๆ  ด้วย

ผู้ร้องมิได้มีเจตนาร้องเพลงวอลซ์นาวี         เพราะเป็นเพลง

โปรดอย่างเดียว  หากเมื่อมีเสียงเพลงนี้ขึ้นในบ้านคราใด

ก็เหมือนจะประกาศให้ทุกคนในบ้าน  และเพื่อนบ้านที่มี

อาณาจักรกำแพงกั้นทราบว่า  วายุได้กลับมาบ้านแล้วทุกครั้ง

และยามที่เขาร้องเพลงนี้ครั้งใด  ก็มักจะถูกนิดาหญิงสาว

ที่เขาปองรักมาตั้งแต่เธอยังรุ่นสาว  พูดล้อเสมอว่า

                เพลงโปรดของท่านผู้การเรือรั่ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วายุชอบร้องเพลงนี้ประจำ  และพยายามโมเมให้เพลงนี้

เป็นเพลงโปรดของนิดาไปด้วย  หากเจ้าตัวไม่ยอมรับ  และยัง

บอกว่า

                “ชอบเพลงเย้ยฟ้าท้าดิน  ฟังแล้วรู้สึกชีวิตเข้มข้นดี”

            “พวกชนชั้นศักดินา…”

            วายุชอบค่อนขอดหญิงสาวอยู่บ่อยๆ  แต่เมื่อคนทั้งคู่

อยู่ด้วยกันบ่อยๆ  ไปๆ  มาๆ  ก็จำเป็นต้องฟังเพลงทั้งสองเพลงนี้

และจำเนื้อเพลงได้โดยปริยายนั่นเอง

            “ยู้ฮู...ยู้ฮู...สุดหล่อแห่งกองทัพเรือมาแล้วจ้า”

            เสียงห้าวๆ  ดังโหวกเหวก  พร้อมกับที่ใบหน้าคล้ำๆ  นั้น

โผล่มาทางแนวกำแพงที่ก่อด้วยอิฐจากบ้านข้างๆ  เขาใช้มือ

เหนี่ยวกำแพงและยิ้มยิงฟันขาว     ให้เห็นการทักทายกับร่างที่

กำลังนอนเอกเขนก  ใส่กางเกงขาสั้นสีแดงกับเสื้อเชิ้ตตัวหลวม

โคร่งสีขาวอยู่บนเตียงผ้าใบใต้ต้นมะม่วงใหญ่  กำลังอ่านหนังสือ

สุขารมณ์ข้างๆ  มีจานใส่ระกำที่ปอกแล้ว  พร้อมกับพริกกะเกลือ

ใส่ถ้วยเล็กๆ  มือของนิดาที่กำลังหยิบระกำกิน  พร้อมกับอ่าน

หนังสือเพลินๆ  อยู่  หล่อนสะดุ้งเฮือกกับการทักทายนั้น  ทำให้

ระกำที่อยู่ในมือหลุดผัวะตกพื้น

                “สบายดีหรือยายกระปุกตั้งฉ่ายเฮ้อ!  เจอกันทีใดเห็นภาพ

คุณเธอกำลังกินทีนั้น  แล้วก็ชอบบ่นว่าอยากลดความอ้วน”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                คำทักทายประโยคต่อมาของวายุ  ทำเอาริมฝีปากที่เตรียม

แย้มยิ้มให้กับเขาหุบลงทันที  นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกาย

เขียวๆ  ใส่พร้อมกับยกมะเหงกและยิ้มแสยะใส่

                “คนผี  มาถึงก็ทำให้ฉันเสียของ  เสียดายจะตาย  ระกำ

หล่นเลย  ของแค่นี้กินแล้วไม่อ้วนหรอกย่ะ  ไม่ต้องมาถากถาง

กันหรอก”

            วายุหัวเราะหึๆ  รู้สึกเมื่อยแขนที่เหนี่ยวกำแพงรั้ว  แม้จะ

ไม่ใช่รั้วสูงนักก็ตามที

                “ผมเข้าไปคุยด้วยคนได้ไหม”

            “ได้  เดี๋ยวจะไปเปิดประตูให้”

            หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน  แม้จะทำท่า

เนือยๆ  ไม่ยินดียินร้าย  ภายนอกหากหัวใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่

จู่ๆ  ชายหนุ่มเพื่อนข้างบ้านอันเป็นคู่ปรับตัวเอ้  ก็โผล่มาในช่วง

ที่หล่อนกำลังรู้สึกเหงาๆ  ทีเดียว  เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถ

บอกใครได้  เพราะมันค่อนข้างน่าละอาย  การมีวายุมาคุยด้วย

อาจทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นก็ได้  เสียงของวายุร้องห้ามว่า

            “เฮ้ย!  ไม่ต้องสบายมากไป  เปิดประตูทำไมยุ่งยาก

ปีนรั้วกำแพงนี่แหละง่ายดี”

            “เดี๋ยวเถอะได้ตกลงมาแข้งขาหัก”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            นิดาเอ็ดเสียงขรมเหมือนสมัยเป็นเด็ก  ที่เพื่อนบ้านจอม

ทโมนคนนี้  มักปีนรั้วเข้ามาแกล้งหาเรื่องกับเธอได้เป็นประจำ

            “หมูหยอง...หมูแผ่น  หมูกระป๋อง  เนื้อหวานๆ  ทำมา

จากเนื้อยายกระปุกตั้งฉ่าย...”

            หรือถ้าอีกฝ่ายยังมีอารมณ์เย็นที่จะฟัง  เขาก็จะล้อต่อ

ไปว่า

                “อะไรเอ่ยรูปร่างเหมือนกระปุกตั้งฉ่ายแต่ขาเหมือนไห

กระเทียมต่อขา”

            “เราน่ะรักตะหาก..........อ้วนๆ  คุณพ่อคุณแม่คุณลุงคุณป้า

บอกว่าน่ารัก  ไม่ได้ผอมเป็นตะเกียบเดินได้นี่ ตัวน่ะตะเกียบ

เดินได้”

            เด็กหญิงนิดามักจะโต้เหย็งๆ พร้อมกับกำหมัดแน่นๆ

เพราะเด็กชายแลบลิ้นทำตาเหลือกไปมาล้อเลียน

                “เฮ้อ!  น่ารักแบบกระปุกออมสินน่ะสิ...”

            “เป็นยังไงน่ารักแบบกระปุกออมสิน”

            คนถามหลวมตัวตกหลุมพราง  ขณะที่ฝ่ายอธิบายทำเสียง

อรรถธิบายด้วยความรู้สึกสาแก่ใจว่า

                “เก๊าะต้องหยอดกระปุกนานๆ  แล้วค่อยแคะออกมาจน

หมดแรงถึงเห็นความน่ารัก”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนถูกชมว่าน่ารักแบบกระปุกออมสิน

จะโกรธนานแค่ไหน?

                “บ้า!  โกรธแล้ว     ต่อไปนี้ตัวไม่ต้องมากินขนมบ้าน

เรานะ’

            ในตอนนั้นไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะกลัวโกรธหรือว่ากลัวอด

รับประทานขนมก็ไม่ทราบ  รีบตะกายลงมาจากกำแพง  หาก

ความที่รีบและตัวเล็กจึงทำให้พลาดตกลงมาจุกแอ๊ก  เดือดร้อน

ถึงกับต้องสงบศึกชั่วคราว  วิ่งเรียกให้ผู้ใหญ่ให้มาปฐมพยาบาล

พอหายดีเด็กชายยังคุยเขื่อง

                “ไม่เจ็บ...เรื่องแค่นี้เองไกลหัวใจแยะจิ๊บจ๊อย”  

            “แล้วตัวร้องไห้ทำไม”

            หายตกใจแล้ว  เด็กหญิงก็พร้อมจะจับผิดได้ทันทีเช่นกัน

อีกฝ่ายก็เฉไฉว่า

                “แกล้งร้องตะหาก    ฮื่อรั้วของชาติหยั่งเราไม่มีวันยั่น

กับเรื่องแค่นี้”

            “ตัวน่ะหรือรั้วของชาติ”

            เด็กหญิงทำปากยื่นอย่างไม่เคยยอมเชื่อยี่ห้ออีกฝ่าย

                “รั้วพู่ระหงมากกว่ามั้ง”

            “โตขึ้นเราจะเป็นทหารเป็นรั้วของชาติ”

            “เราก็จะเป็น”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “ผู้หญิงเป็นไม่ได้อ่อนแอแหย ยกปืนไม่ไหว...”

            เด็กคนนั้นเชิดหน้าขึ้นราวกับผู้ใหญ่  กอดอกพลางปราย-

ตามองเธออย่างดูถูก

                “พ่อบอกรั้วของชาติเอาผู้หญิงไปยุ่งเหยาะแหยะ  มีหวัง

ยุ่งต่ายห่ะ”

            “ผู้ชายสิยุ่ง…”

            “ผู้หญิงเรื่องมากน่าเบื่อ!  หยุมหยิม”

            “ผู้ชายก็ชอบหาเรื่องเป็นอันธพาล”

            เถียงกันหน้าดำหน้าแดงพอชักสู้ไม่ได้     นิดาก็พาลเอา

เสียงดังเข้าข่มและกระทืบเท้าเร่าๆ  อย่างขัดใจ

                “ไปนะ!  ไปให้พ้นบ้านของเค้า”

            แทนที่จะไปโดยดี  วายุก็ยังไม่วายพูดต่อปากต่อคำ

                “เราจะไปอยู่แล้วไม่ต้องมาไล่     ฮีโธ่  มาไล่ทหราเรือ

อีกหน่อยทหารเรือก็จะจับเอาตัวโยนกลางทะเล     ให้ไอ้หลาม

เคี้ยวเล่นเนื้อแยะๆ  แบบนี้ไอ้หลามยิ้มหวาน”

            “จ้างให้!    เด็กหญิงทำหน้าเถียงโกรธๆ     “เราจะเป็น

ผู้พิพากษาตัดสินคนทำผิดกฎหมาย  เราจะให้ตัวถูกประหารชีวิต”

            “ผู้พิพากษาหรือน้ำหน้าอย่างนี้จะเป็นได้รื้อ”

            นิดาอดยิ้มขันตัวเองไม่ได้  ที่นึกถึงถ้อยวิวาทกันระหว่าง

เขากับเธอ  ชนิดที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมักปรารภเป็นประจำว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                “ไอ้คู่นี้มันยังไงของมันน่ะ    คุยกันได้ไม่ถึงสามประโยค

ก็เป็นคู่กัดงั่มๆ  ใส่กัน”

            จนกระทั่งโต    ต่างแยกย้ายไปเรียนคนละอย่าง    จึงค่อย

ห่างเหินกันไป    วายุไปสอบเข้านักเรียนนายเรือได     และก็

ประจำอยู่สัตหีบ    ส่วนนิดาหญิงสาวเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย

หล่อนสอบเจ้าคณะครุศาสตร์ได้    ท่ามกลางความดีใจของบิดา

มารดา    แต่หญิงสาวกลับรู้สึกผิดหวัง  เพราะอยากเรียนกฎหมาย

และสอบเป็นผู้พิพากษาตามแบบอย่างของบิดา    หล่อนรู้สึกว่า

อิจฉาที่วายุสามารถเจริญรอยตามบิดาของเขา  จะเรียกว่าครอบ-

ครัวของเขาทั้งตระกูลเป็นเลือดทหารเรือก็ไม่ผิดนัก    ตั้งแต่เขา

เป็นทหารเรือและนิดาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย  ถึงจะไม่เจอกันบ่อย

ต่างฝ่ายก็ได้ข่าวคราวกันอยู่ประจำ  เพราะบิดามารดาของทั้งสอง

ฝ่ายยังคบหากันอย่างสนิทสนมและแน่นแฟ้น

                “คุณสมชัยกับคุณยุวันดาเค้าโชคดีนะ     ลูกชายเป็นถึง

ผู้การเรือเห็นกันอยู่แหม็บๆ  ตัวกระเปี๊ยก     ทะเลาะกับยายหนู

ของเรา    แต่ตอนนี้ไปไกลแล้ว”

            คุณนารีมารดาของหล่อน    มักจะเอ่ยถึงครอบครัวเขา

สม่ำเสมอ    ความเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน   ทำให้สนิทสนมดุจ

เครือญาติ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “เวลาออกเรือที่แสนลำบากอดๆ  อยากๆ     โถ!  ผอม

ไปเยอะเชียวพ่อคุณ     นี่แม่ก็ทำน้ำพริกเผา     น้ำพริกหนุ่ม

น้ำพริกตาแดง   หมูหยองใส่ขวดไปเป็นเสบียง     เวลาไม่มีอะไร

ก็เอาออกมาคลุกๆ  กับข้าวคร้านจะกินข้าวได้มาก”

            มารดาของหล่อนขยันตุนเสบียงให้เขา    จนนิดาอดอิจฉา

ไม่ได้    อะไรๆ  ก็เป็นของพ่อวายุแหละ     เพราะเจ้าตัวปากดี

ชมฝีมือของคุณนารีเสมอ

                “คุณอาน่ะ  ฝีมืองี้เป็นที่หนึ่ง    ทำอะไรอร่อยหมด    ซื้อ

ที่ไหนกินก็อร่อยไม่เหมือน”

            ผลก็คือ    นิดาพลอยโดนเกณฑ์ให้ช่วยแกะหอม     แกะ

กระเทียม    ย่างพริกสารพัด    ซึ่งเจ้าตัวก็ค่อนขอดว่า

                “อีตายุ่งนี่ซื้อเอาก็ถมเถ”

            “โอ๊ย!     ซื้อมันไม่อร่อยเหมือนเราทำเองน่ะสิ    เผลอๆ

ขึ้นราใส่ยากันบูด    เราทำเองอร่อยและสะอาด”

            มารดาของนิดามีข้ออ้างร้อยแปด    สรุปคือต้องการทำให้

เขาด้วยฝีมือตัวเอง  โดยทำให้นิดาต้องพลอยเหนื่อยตาม    จะให้

มารดาทำเองก็สงสารท่าน    ทำอาหารแต่ละอย่างก็ต้องบ่นถึงวายุ

และมักจะพูดเสมอว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “เวลาอยู่พร้อมหน้าก็ล้งเล้งกันน่ะ    แต่พอต่างคนต่างโต

มีอาชีพก็แยกย้ายกันไปมันรู้สึกเหงาๆ  น่ะ    ไม่มีเสียงทะเลาะของ

คู่กัด’

            นิดาเข้าใจดีว่ามารดาเหงา    เพราะท่านอยู่กับบ้านทั้งวัน

ขณะที่บิดาและนิดาไม่รู้สึกเหงา  นิดายุ่งอยู่กับงานจนไม่เหงา

จะมีบางครั้งหรอกที่มีเวลาว่าง     หล่อนคิดถึงเขาแวบๆ     และ

ยอมรับว่าน่าเหงาอยู่หรอกที่ปราศจากเสียงคนคอยขัดคอ    วันนี้

ก็เช่นกัน    หล่อนเป็นไข้หวัดนอนซมอยู่กับบ้าน    ก็อดไม่ได้ที่จะ

ลากเตียงผ้าใบออกมาที่ใต้ต้นมะม่วงและนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่น

พ่อเจ้าประคุณก็โผล่พรวดราวกับขอมดำดิน

                “ตายยากชะมัดมาเงียบเชียบไม่กระโตกกระตาก”

            “ผมส่งเสียงเพลงมาก่อนตัว    แล้วจะว่าเงียบเชียบได้ไง”

            ร่างสูงๆ  นั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ    เขายังอยู่ในชุด

สีกากีของทหารเรือ     ร่างที่เคยชะลูดเห็นกระดูกอย่างที่เธอตั้ง

สมญานามว่า

                “ผีก็องก็อย    หรือตะเกียบเดินได้”

            บัดนี้ดูแปลกตาขึ้น     เขาบึกบึนมีเนื้อมีหนังรูปร่างที่สูง

อยู่แล้ว    สูงมากขึ้นจนนิดานึกอิจฉาความสูงนั้นครามครัน

                “สมคงทำบุญด้วยเสาไฟฟ้า”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            ผิวของเขาคล้ำขึ้นจนออกดำเกรียม    เป็นเพราะตากแด

โดนลมทะเลยอยู่บ่อยๆ          หน้ายิ้มเห็นฟันสามสิบสองซี่ของเขา

วาบวับทีเดียว

                “เป็นไง   ตะลึงสุดหล่อเชียวหรือ”

            “กำลังคิดว่าน่าจะมีใครเอาไปโฆษณายาสีฟันดาร์กี้”

            “เปลี่ยนเป็นโฆษณายางมะตอยดีกว่า...”

            เขาเสนอความเห็นหน้าตาเฉย    ตาคมกริบที่มองมาฉาย-

แวบขบขันที่เห็นอีกฝ่ายย่นจมูกใส่

                “ไม่ตื่นเต้นบ้างหรือที่ผมกลับมา    ดีใจไหมจ๊ะคุณครู….

                “คิดว่าถูกไอ้จอว์คาบเอาไปกินแล้ว  เสียใจด้วยที่คุณยัง

มีชีวิตอยู่”

            “เฮ้อ!   ฟังแล้วชื่นใจพิลึกทูนหัว”

            “อย่ามาทูนหัวกับฉันนะ”

            นิดาทำเสียงเอ็ดแหวๆ   ออกรู้สึกเขินเมื่ออีกฝ่ายทำคล้าย

จะกรุ้มกริ่มเข้าใส่     หล่อนแกล้งเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงผ้าใบ

หยิบระกำจิ้มพริกกะเกลือกินอย่างเอร็ดอร่อย

                ชายหนุ่มทำเสียงกระแอมเบาๆ  ในลำคอ

                “กินคนเดียวติดคอด้วยน่ะเออ”

            “ก็หยิบเองสิยะ    หรือว่าจะให้ป้อนถึงปาก”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            ชายหนุ่มจึงลงมือหยิบกินซีกหนึ่ง    แล้วก็ทำหน้าเบ้อย่าง

เข็ดฟัน

                “เปรี้ยวจะตายกินเข้าไปได้ยายกระปุกตั้งฉ่าย    มีของฝาก

ด้วยนะ

                “ฉันชื่อนิดาค่ะ  ผู้การเรือรั่ว”

            หล่อนแย้ง    แต่ความรู้สึกภายในลึกๆ  ก็อดปลาบปลื้ม

ไม่ได้ที่อีกฝ่ายล้วงของฝากออกมาให้  เป็นสายสร้อยยาวมีนาฬิกา

ห้อยแขวนคล้ายกับจี้อันเล็กๆ  น่ารัก         เปลี่ยนสีเป็นสีแดงบ้าง

เขียวบ้าง  น้ำเงินบ้าง  หรือบางทีก็เป็นสีขาวขุ่น

                “สวยจัง!  ราคาหลายสิคะนี่”

            หล่อนอุทานอย่างตื่นเต้น         นัยน์ตาเป็นประกายพราว

ผู้หญิงให้ยังไงก็อดแสดงธาตุแท้ของความเป็นผู้หญิงไม่ได้

                “ไม่เท่าใดหรอกเห็นสวยดีก็นึกถึงชองไหม”

            “ชอบสิชองมากๆ  เลย”

            หล่อนรับโดยปราศจากจริตกิริยา          ทำเอาคนซื้อมายิ้ม

ภาคภูมิใจ    ที่ไม่เสียแรงที่เลือกซื้อของอยู่นาน    กว่าจะถูกใจ

เจ้าหล่อน    เพราะนิดาไม่ชอบน้ำหอม    จึงยากแก่การเลือกซื้อ

ของฝาก

            “ยังมีอีกตั้งหลายอย่าง   มีของฝากมาฝากคุณอาทั้งสอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “จ่ายเพลินหมดเนื้อหมดตัวเลยสิ”

            “ของมันน่าซื้อทั้งนั้น    ยิ่งตอนแวะญี่ปุ่นด้วย    ผมซื้อ

กล้องถ่ายรูปที่ดาชอบมาฝากด้วย     พอมาถึงบ้านคิดถึงดาเป็น

อันดับแรด  เลยต้องปีนรั้วย่องมาหา”

            “เซี้ยว!    สีหน้าคนถูกเลี้ยวลดแดงระเรื่ออย่างขัดเขิน

“ไม่กินแล้วใช่ไหมระกำน่ะ  จะมาว่าเรางกไม่ได้น่ะ”

            อันความงกของเจ้าตัวนั้นเป็นที่เลื่องลือนักหนา        แต่

อีกฝ่ายเพียงยิ้ม

                “ไม่กินหรอก  กลัวชอกช้ำระกำใจ”

            “งั้นกินกำปั้นแช่อิ่มไหม”

            “คนใจร้าย!    ทำเสียงตัดพ้อทีเล่นทีจริง    “เสียแรง

เราคิดถึงตลอดเวลา  พอได้พักก็รีบบึ่งกลับมาหา...”

            “เอาน่ารอให้เงินเดือนออกก่อนจะตัดใจเลี้ยง”

            “กว่าจะได้กินมีหวังขาดใจตาย    นี่คุณอาทั้งสองอยู่ไหม

ไปขอของกินจากคุณแม่ยังมีหวังกว่าคุณลูกอีก”

            พอเห็นชายหนุ่มเดินคลอเคลียมากับบุตรสาว  คุณ

นารีร้องกรี๊ดกร๊าดอย่างดีใจ

                “ต๊าย!    นั่นพ่อวายุใช่ไหม”

            “สวัสดีครับคุณอา”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาทำความเคารพมารดาของนิดาอย่างอ่อนน้อม  พร้อม

ถามถึงบิดาของหล่อน

                “คุณอาผู้ชายไม่อยู่หรือครับ”

            “กำลังงีบอยู่จ๊ะ  พ่อวายุมาถึงเมื่อใด”

            “ปีนรั้วแบบนักโทษหนีคุกมาไงคะแม่”

            บุตรสาวบอกเสียงแจ๋วๆ     วายุชายตาค้อนขวัญ  พูด

ขมุบขมิบ

                “ปากหนอปาก  หาแต่เรื่องดีๆ  ทั้งนั้น”

            “ทานอะไรหรือยังจ๊ะ    นั่งรอก่อนนะอาจะไปจัดของว่าง

มาให้  วันนี้มีขนมจีบไส้ปูที่พ่อวายุชองไงจ๊ะ  อุ๊ย!  หยั่งกับรู้ว่า

จะมา”

            มารดาหล่อนเดินเข้าไปยกจานขนมจีบ    ซึ่งเพิ่งออกมา

จากลังถึงร้อนๆ  มีกระเทียมเจียวโรยกรอบท่าทางน่ารับประทาน

                “ทานเยอะๆ  นะจ๊ะ  อาทำไว้เยอะเลย    เดี๋ยวฝากไปให้

คุณพ่อคุณแม่ด้วย...”

            “ครับ”

            เมื่อคุณนารีขอตัวผละจากไปปั้นขนมจีบต่อ    ชายหนุ่ม

ก็จัดการจิ้มขนมจีบเข้าปากอย่างเอร็ดร่อย

                “เห็นไหมคนมีลาภปากเสียอย่าง  มาถึงก็ได้กินรายการนี้

แถมรวมยอดถึงมื้อเย็นแหง    คืนนี้เราไปท่องราตรีกรุงเทพฯ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กันสักวันไหม    ไปเห็นแสง    เสียง    สี    หน่อยหลังจากดูแต่น้ำ

กับฟ้า...”

            “ไม่ไป”

            คำปฏิเสธนั้นทันควัน  ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ

                ”ผมสัญญาจะไม่เผลอชวนคุณเข้าโรงแรมเด็ดขาด  คุณ

ครูจ๋า”

            อีกฝ่ายปฏิญาณแข็งขัน     นัยน์ตาพราวกรุ้มกริ่ม    นิดา

ยกมะเหงกให้

                “รอไปเหอะ    จ้างฉันก็ไม่ใจอ่อนไปกับคำชวนของนาย

หรอกย่ะ”

            “มีนัดหรือ?”

            คราวนี้คำถามนั้นค่อนข้างจริงจัง    นิดาหน้าแดงระเรื่อ

พยักหน้าหงึกๆ     

                “มีนัดกับลูกศิษย์ต้องไปสอนพิเศษ”

            “ยกเลิกก็ได้นี่นากับอีแค่สอนพิเศษ”

 

                เขาทำเสียงอ้อน    หวังให้นิดาใจอ่อน    แต่หญิงสาว

ส่ายหน้าไปมา

                “ไม่ได้หรอก...รับปากกับท่านไว้แล้ว”

            “โอ้โฮแฮะ     คุณครูยกย่องลูกศิษย์ขนาดเรียกว่าท่าน

เชียวหรือ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “คือหมายถึงท่านธนูเทพพี่ชายของลูกศิษย์น่ะค่ะ    ท่าน

เป็นผู้พิพากษาขอร้องให้ฉันไปช่วยติวให้น้องสาวท่าน”

            “คงจะเป็นผู้ชายสินะ...”

            “ใช่!  เป็นผู้ชายที่ดีมากๆ  อายุไม่มากเท่าใด    ท่าทางก็

สง่าราวกับเจ้าชาย  เป็นผู้ชายที่มีบุคลิกภาพที่ดีน่าทึ่งน่าศรัทธา

                นิดาพูดถึงอย่างชื่นชมและศรัทธา    ทำให้คนฟังมีสีหน้า

ค่อนข้างเคร่งขรึม

                “สรุปว่าไม่ไปใช่ไหม”

            “ก็ตอบไปแล้วนี่นา”

            “ผมไปเที่ยวเองก็ได้ไม่เห็นง้อเลย”

            เขาพูดอย่างแสนงอน    แล้วก็รีบลากลับเมื่อทานขนมจีบ

ได้แค่สองลูกเอง

                ทำไมพ่อวารีบกลับล่ะยายดา

            คุณนารีถามบุตรสาวอย่างสงสัย   นิดาก็ตอบโดยไม่อ้อม

ค้อม

                “เขาจะมาชวนดาตระเวนราตรี  เผอิญดามีงานสอนพิเศษ

ลูกศิษย์ที่ชื่อกันยามาส    ท่านธนูเทพพี่ชายของเค้าโทรมาบอก

ว่าต้องไปให้ได้หนูรับปากแล้วไม่อยากเสียคำพูด”

            “แม่ดูหนูดาสนใจลูกศิษย์คนนี้จริงนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “ค่ะแม่...หนูกันยาไม่สบายหยุดไปเกือบสองอาทิตย์

แล้ว  ดาเป็นห่วงว่าแกจะเรียนไม่ทันเพื่อนๆ  สงสารแกค่ะ”

            “หนูดาไม่น่าปฏิเสธพ่อวานะ  เขาคงเสียใจ”

            มารดายังไม่วายพูดอย่างห่วงใยความรู้สึกของวายุ

                “งั้นคุณแม่     ชวนเขาไปเต้นดิสโก้เป็นการปลอบใจก็

แล้วกัน”

            บุตรสาวพูดล้อๆ  มารดาค้อนขวับ

                “ไม่ต้องมาแซวแม่หรอกยายหนูดา  แม่น่ะอยากให้หนูดา

เอาใจพ่อวายุเขามากๆ     ตำแหน่งผู้การเรือโสดรูปหล่อนฐานะดี

หาไม่ง่ายเลยนะจ๊ะ”

            นิดาเข้าใจถ้อยคำพูดของมารดาดี  ทว่าหญิงสาวก็ไม่พูด

ตอบรับหรือปฏิเสธ  ได้แต่หัวเราะเก้อๆ  เป็นวิธีดีที่สุด  เพราะ

ไม่แน่ใจว่า    หากหล่อนพูดอะไรออกไปถึงความรู้สึกของตัวเอง

มารดาจะดีใจหรือว่าเสียใจกันแน่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            กันย์ไม่แน่ใจเลยนะคะ  อาจารย์ว่าจะเรียนตามทัน

เพื่อนแต่ถ้าพลาดปีนี้  พี่ใหญ่คงจะเสียใจแย่

            เด็กสาวัยไม่เกินสิบแปดปี  พูดเสียงอุบอิบกับนิดา

ซึ่งยิ้มกับเธอ  และพูดอย่างให้กำลังใจว่า

            จงตั้งความหวัง  และเดินไปตามทางที่เรามุ่งมั่นค่ะ

เราต้องมีความมั่นใจในตัวเอง

            “อาจารย์พูดคล้ายๆ กับพี่ธนูเลยค่ะ    พี่ธนูบอกว่า

กันย์น่ะ  ไม่เอาไหนเลย     ยังไม่ลงสนามแข่งขันยกธงขาว

ยอมแพ้เสียก่อน

            เด็กสาวนามกันยามาสพูดถึงพี่ชายอย่างชื่นชม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            “นั่นสิคะ  ท่านพูดถูกแล้วล่ะ  ต้องมีความตั้งใจจริงอย่า

ท้อแท้ง่ายๆ  เอาล่ะค่ะ  เราเริ่มเรียนของเราดีกว่านะคะ”

            นิดาเตรียมการสอนเกี่ยวกับวิชากลศาสตร์  เคมี  ฟิสิกส์

ซึ่งกันยามาสค่อนข้างอ่อนเกี่ยวกับวิชาเหล่านี้     กันยามาสเก่ง

และภาษาค่อนข้างดี  เด็กสาวบอกว่าเป็นเพราะตอนเด็กๆ  บิดา

เป็นทูต  ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ  เธอจึงได้ภาษาค่อนข้างมาก

ยิ่งพี่ชายของเธอนั้นเก่งภาษามาก

                “พี่ธนูบอกว่าชอบพูดได้หลายภาษา  เวลาจีบสาวชาติไหน

จะได้ไม่ติดขัด”

            “งั้นหรือคะ”

            “แต่แปลกนะคะ    พี่ธนูไม่ยักมีแฟนเป็นแหม่ม    หยั่งที่

คุณพ่อคุณแม่กลัวใจ...หะแรกพวกเราคิดว่า  หนุ่มเนื้อหอมหยั่ง

พี่ธนูต้องแต่งงานเร็วแต่ผิดคาดเลยค่ะ  พี่ธนูน่ะจนป่านนี้ยังไม่คิด

จะแต่งงานกับใครสักคน”

            “ไม่เคยรักใครหรือคะแปลกจัง”

            “พี่ธนูน่ะ     มัวแต่ยุ่งกับงานเลยไม่มีสายตา  สำหรับจะ

เหลือบแลหญิงสาวทุกวันนี้  คุณพ่อคุณแม่กับบรรดาญาติๆ  ก็พา

กันแนะนำ  ลูกหลานสาวบ้านโน้นบ้านนี้  ให้พี่ธนูประจำ  พี่ธนู

น่ะ  กลายเป็นสาวรจนาเสี่ยงพวงมาลัยสมัยใหม่”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            นิดาสอนหนังสือพิเศษให้กับกันยามาส  ซึ่งเป็นน้องสาว

ของธนูเทพ  เพราะเขาได้รับการแนะนำจาก  อาจารย์ใหญ่ที่

หญิงสาวสอนอยู่  เขาจึงติดต่อกับนิดาโดยตรง  และเพียงไม่คุย

ผ่านๆ  กับกิติศัพท์ที่ได้ยิน  ในตัวของผู้ชายคนนี้  ทำให้บิดามี

ความรู้สึกชื่นชมศรัทธา  อยากอยู่ใกล้ชิดเขา     ด้วยเหตุนี้

เมื่อได้รับการขอร้องให้มาเป็นอาจารย์สอนพิเศษ  กันยามาสแม้

จะเบื่อและเหนื่อยเพียงใด    หากหญิงสาวก็มีความหวังลึกๆ  ว่า

จะได้อยู่ใกล้ชิดเขา  คุณนารีผู้เป็นมารดา  ยังพูดเป็นเชิงไม่อยาก

ให้บุตรสาวมาสอนว่า

                “แม่ว่าถ้าหนูดาเหนื่อย  ก็น่าจะพูดปฏิเสธไปนะ”

            “เกรงใจท่านค่ะ  อุตส่าห์ขอร้องทั้งทีแล้ว    ก็ใช่ว่าจะ

หนักหนาอะไรอีกอย่างค่าจ้างก็คุ้มเหนื่อย”

            “ไอ้ลูกคนนี้มันงกแป๊ะจริง”

            บิดาเคยพูดสัพยอกล้อๆ  บุตรสาว

                “คุณธนูเทพจะรู้บ้างหรือเปล่านะ  ว่าจ้างคนขี้งกไปสอน

หนังสือ”

            “ท่านเป็นคนใจดีหรือเปล่าคะ”

            นิดามักเรียกผู้พิพากษาที่ไม่คุ้นเคยว่าท่าน  นอกจากที่เป็น

เพื่อนสนิทของบิดาเท่านั้น    ที่นิดาจะเรียกว่าคุณลุง     เพราะ

สรรพนามที่ขานเรียกตุลาการ  มักจะมีคำนำหน้าว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           

“ท่าน”

            แล้วต่อท้ายด้วยชื่อของบุคคลนั้น    บิดาเล่าให้หญิงสาว

ฟังว่า  เขาเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตก้าวไกลในวงการนี้

            “อีกไม่นานคงได้ออกไปเป็นหัวหน้าศาล  ที่ต่างจังหวัด

                นิดารู้สึกผิดหวังไม่น้อยเลย    ที่เมื่อมาถึงปรากฏว่าคนที่

อยากจะพบแล้วกลับไม่อยู่บ้าน  กันยามาสบอกว่า

                “ไปงานเลี้ยงแต่งงานค่ะ  พี่ธนูไม่อยากไปเท่าใดแต่ติดขัด

ที่คนแต่งงานทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทมากๆ  จะไม่ไปก็รู้สึกน่าเกลียด”

            นิดาสอนหนังสือให้กันยามาสจนเกือบสามทุ่ม  ป้าแจ่มก็

ยกเครื่องดื่มและขนม  พวกแยมโรลมาให้รับประทาน

                “ดีจังเลยค่ะ  อาจารย์กำลังหิว…”

            กันยามาสพูดเสียงใสและบอกนิดาว่า

                “อาจารย์คะ  เราพอแค่นี้ก่อนนะคะ  วันนี้เมื่อยเต็มทีแล้ว

กินขนมกันดีกว่า”

            “คุณกันย์นี่ร้ายกาจจริงๆ”          ป้าแจ่มพูดปนหัวเราะ

“บอกว่าอาจารย์หิว  ที่แท้ตัวเองน่ะแหละที่หิวใช่ไหม’

            “ถ้าบอกกันย์หิว    ป้าแจ่มก็ไม่ยอมยกขนมมาเยอะๆ  น่ะ

สิคะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           

            กันยามาสทำจมูกย่นใส่หญิงสาว    และชวนให้นิดารับ-

ประทานด้วยกัน

                “อาจารย์รับประทานสิคะ    แยมโรลเจ้านี้อร่อยน่ะ  พี่

รจนาอุตส่าห์ทำสุดฝีมือ  ให้พี่ธนูรับประทาน  แต่ปรากฏว่าพี่ธนู

ยังไม่ได้แอ้ม  คุณกันยามาสสวาปามคนเดียว  จะหมดกล่องอยู่

แล้ว...”

            “คุณกันย์ระวังนะคะ  ทานขนมพวกนี้มากๆ  จะอ้วนเป็น

ตุ้มกลิ้ว”

            “ไม่กลัวหรอกค่ะ  อย่าขู่ให้ยากเลย”

            กันยามาสพูดเสียงแจ๋วๆ

                “ตะกละท้องป่อง  จองหองท้องแห้ง”

            “คุณครูเอ๊ย  อาจารย์ไม่ยอมทานเลย”

            “อิ่มค่ะ”  หญิงสาวยิ้มให้กับนางอ่อนโยน  “ทานอาหาร

ตอนเย็นยังอิ่มอยู่เลย  ชอบสายบัวต้มปลาทูของป้าแจ่ม”

            “อาจารย์พูดชมแบบนี้  มีหวังได้รับประทานสายบัวต้ม

ปลาทูทุกมื้อแหงๆ”

            “อุ๊!  ขวางคุณกันย์นักเชียว  ช่างค่อนขอดป้าแจ่มดีนัก

ไม่เหมือนคุณพี่สักนิด    รายนั้นน่ะแสนดีกับป้าให้รับประทานอะไร

ก็รับประทานง่ายๆ  ไม่มีปัญหาโยกโย้”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (78 รายการ)

www.batorastore.com © 2024