ตราไว้ในดวงจิต (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

เด็กชายข้าวฟ่าง

ข้าวฟ่างร้องไห้จ้าเมื่อแม่ส่งข้าวฟ่างให้หญิงแปลกหน้าผิว คล้ำและบอกให้ข้าวฟ่างเรียกนางเป็นแม่

"แม่ไงล่ะ ข้าวฟ่าง แม่ของข้าวฟ่างนะ" คนเลี้ยงปลอบเมื่อ เห็นข้าวฟ่างสะอื้นไม่ยอมหยุด แม้เมื่อนางอุ้มเขาไว้ตามเดิมและกอดข้าวฟ่างแน่นขึ้น

"ไอ้ลูกคนนี้มันไม่เอาแม่เลยนะ" หญิงผิวคล้ำบ่น กระแทก ตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ในบ้านหลังน้อยโกโรโกโส

"ลูกระยำ"

"โธ่ เด็กมันเคยเห็นหน้าแม่กี่ครั้งเล่า มันเรียกแม่จิตเป็นแม่ เธอก็เป็นคนแปลกหน้าเท่านั้นเอง" นายถมตะเบ็งมาจากระเบียงบ้าน เขาเป็นสามีแม่จิต "ไปว่ามันริยำได้"

"มันไม่มีเลือดฉันมั่งเรอะ พ่อถม" นางเถียงแต่สุ้มเสียง

อ่อนลง

"มีแต่ในยี่เกว่ะ ผูกพันทางสายเลือดจริงๆ ไอ้ฟ่างมันก็นึก ว่าฉันกะแม่จิตเป็นพ่อแม่มันน่ะซี กลางวันก็อยู่กะฉันซะมาก กลาง คืนก็นอนกะแม่จิต"

นายถมทำงานเป็นยามเฝ้าโกดังสินค้า อยู่บ้านในตอนกลางวันเสมอจึงช่วยแม่จิตเมียรักเลี้ยงข้าวฟ่างได้เกือบทุกวัน แม่จิตจึงมีเวลาทำขนมขายหน้าบ้านพอมีรายได้พิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ

"บอกว่าให้มาหาลูกบ่อยๆ ก็ไม่มา" แม่จิตต่อว่า

"มาได้เมื่อไรเล่า เถ้าแก่มันได้ไล่ออกปะไร ขืนลาบ่อยๆ" นางพิศเบะปาก "วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้หยุด ไม่ต้องกลัวหรอก นะ ค่าเลี้ยงค่านมเจ้าฟ่างน่ะ รับรองไม่มีขาด"

"พูดเสียอย่างนี้ แม่พิศจะได้โกรธกันสักวัน" นางจิตกัดริมฝีปากก่อนพูด เคืองจนรู้สึกแน่นหน้าอก "จะว่าไปไอ้เดือนละห้าร้อยที่แม่พิศให้ฉันน่ะมันพอแต่ค่านมค่าข้าวเท่านั้น ค่าเลี้ยงอดหลับอดนอนน่ะฉันคิดเมื่อไร รู้หรือเปล่าว่านมผงกระป๋องใหญ่ เกือบสามร้อยเข้าไปแล้ว ฟ่างกินเดือนละกระป๋อง แล้วกับข้าว กับปลา ไข่ ผักอีกเล่า ฉันเลี้ยงฟ่างน่ะเพราะเห็นแก่เด็กหรอกนะ อีกข้อก็เห็นกะพ่อเขาเคยช่วยเหลือหางานให้พ่อถมทำตอนตกงานแม่ พิศมาพูดเหมือนเรากลัวแม่พิศจะไม่จ่าย ฉันเตือนให้มาหาลูกบ่อยๆ ก็เพราะกลัวว่าเด็กมันจะจำหน้าแม่ไม่ได้พอโตจะรับไปเลี้ยงเองแกจะไม่ยอมไป ดูซิแค่อุ้มยังไม่ยอมเลย"

"โตแล้วให้กินนมข้นชงกะโอวัลตินไม่ได้เรอะ จะได้ไม่ เปลือง เห็นข้างบ้านเขาเลี้ยงลูกด้วยนมผสมน้ำข้าว เด็กอ้วนยังกับ อะไร เดินก็เร็ว แปดเดือนจะเดินได้อยู่แล้ว เจ้าฟ่างนี่เก้าเดือนไม่มี ฟันสักซี่ ได้แต่คลานๆ คืบๆ ไม่เห็นอ้วน"

"นมข้นหวานน่ะเขาห้ามเลี้ยงเด็ก ที่ฉลากข้างกระป๋องก็มี บอก นังแต๋วลูกฉันก็บอกว่าใช้ไม่ได้ แต๋วเป็นครูเขารู้ดี ฟ่างไม่อ้วนก็จริงแต่แข็งแรงดีนะ ไม่เจ็บไม่ป่วย"

"เขาเลี้ยงกันทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นอะไร เจ้าสองคนโตฉันก็เลี้ยงด้วยนมข้นหวาน มันก็โตจนอยู่ปอสามปอห้ากันแล้ว" นางพิศ เถียง

"งั้นก็เปลี่ยนตอนข้าวฟ่างครบขวบก่อนเปลี่ยนตอนนี้เดี๋ยว ท้องไส้แย่ ดูแต่คราวก่อนซิ แม่พิศเอาไปเลี้ยงแค่ห้าวันท้องเสียจนตาโหล ไปเปลี่ยนนมเข้านี่ย่ำแย่ โดนฉีดน้ำเกลือเข้ากระหม่อม น่าสงสารจริงๆ"

"ก็ไอ้นมยี่ห้อบ้านั่นกระป๋องแค่กำมือสี่สิบแปดบาท ฉันก็ซื้ออย่างใส่ถุงพลาสติกแค่ยี่สิบสองมาชงให้กิน ใครจะนึกว่าเจ้าฟ่างมันสนิมสร้อยขนาดนั้นล่ะเสียค่าหมอค่าน้ำเกลือซะตั้งห้าร้อย"

"จะบ้าตาย คุ้มกันไหม" นางจิตแกว่งข้าวฟ่างช้าๆ ข้าวฟ่าง ชักเพลินเลยหลับคาตักคนเลี้ยง

ถึงจะรักจะสงสาร แต่ข้าวฟ่างก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของ นายถมและนางจิต ปราศจากความผูกพันในสายเลือด ฐานะก็ไม่ได้ ร่ำรวยอะไร ดีที่ลูกสาวสองคนโตๆ กันแล้ว แต๋วหรือสโรชาเป็นครู โรงเรียนอนุบาล มีคู่หมั้นแล้ว อีกไม่กี่เดือนแต๋วก็จะแต่งงาน คู่หมั้น เป็นครูโรงเรียนเดียวกันและทำงานพิเศษเป็นพนักงานขับรถรับส่ง นักเรียนของโรงเรียนด้วย ครูวินจึงมีรายได้พอจะคิดแต่งงานมี ครอบครัวได้

ลูกสาวคนรองของแม่จิตชื่อติ๋มหรืออโนชา ติ๋มเรียนจบพณิชยการ ทำงานขายของหน้าร้านอยู่ในสหกรณ์แห่งหนึ่ง แต่ติ๋มมักจะบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้และออดอ้อนขอแม่อยู่ทุกวันที่ยี่สิบห้าของเดือน

เมื่อแม่จิตรับข้าวฟ่างมาเลี้ยง แต๋วกับติ๋มสองสาววัยยี่สิบ จึงเห็นข้าวฟ่างเสมือนตุ๊กตาแต่หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ เอาไว้อุ้มเล่น แหย่เล่นฟัดเล่น ข้าวฟ่างจึงเป็นน้องคนเล็กของบ้านไป นางพิศเห็นแล้วก็วางใจ มาเยี่ยมลูกเพียงเดือนละครั้ง นางพิศรับลูกไปเลี้ยงเองอยู่ห้าวันเมื่อโรงงานปิดตรุษจีนเจ็ดวันแต่นางพิศก็เลี้ยงข้าวฟ่างจนท้องเสียต้องไปนอนโรงพยาบาลเสียหลายวัน

นางพิศโทษว่าลูก 'สนิมสร้อย' นางจิตโทษว่าเพราะนางพิศ เปลี่ยนนมผงให้ข้าวฟ่างกิน มีแต๋วคนเดียวว่าเพราะขวดนมสกปรก

อยู่กับนางจิตแม้นางจิตจะไม่ได้ต้มขวดนมให้ข้าวฟ่างตาม หลักสุขอนามัย แต่นางจิตกยังลวกขวดนมด้วยน้ำร้อน ใช้น้ำในลังถึงนึ่งข้าวที่ทุกคนกินกัน น้ำเดือดๆ ก็พอจะฆ่าเชื้อโรคได้บ้าง

''เราใช้น้ำคลอง น้ำประปาไม่มี ลวกน้ำเดือดเสียหน่อยค่อย

วางใจ" นางจิตบอกนางพิศเมื่อได้รับคำถามว่าแช่ขวดนมในลังถึงไว้ทำไม

บ้านนางพิศก็อาศัยน้ำคลองเหมือนกัน แต่นางพิศล้างขวดนมด้วยน้ำคลอง แล้วก็วางทิ้งไว้ที่ชั้นวางชาม ตากแดดตากแมลงวันอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน

"ฉันหุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า รีบจะเป็นจะตาย งานเข้าแปด โมง ไปสายเป็นถูกตัดค่าแรง จะมามัวลวกขวดต้มขวดได้ไง ขนาด ต้มไข่ให้เจ้าสองคนโตเอาไปกินกลางวันที่โรงเรียนยังต้องใส่ลงไป ในหม้อข้าวด้วยเลย"

คำอธิบายของนางพิศทำเอาครูแต๋วถอนใจ ส่วนติ๋มเบะปากบอกพี่สาวว่า

"สรุปแล้วก็คือไม่รู้ให้ลูกเกิดมาทำไม แค่สองคนโตก็พอ แล้ว พี่แต๋วน่ะแต่งแล้วจะรีบมีลูกหรือเปล่า ขืนรีบมีติ๋มว่าแย่แน่ๆ ต้องเอามาให้แม่เราเลี้ยงตามบุญตามกรรมแม่ก็แบกภาระหลังแอ่น พี่แต๋วบางวันเข้าเวรติดรถรับส่งเด็กตั้งแต่หกโมงเช้า ออกจากบ้านตีห้ากว่า กลับถึงบ้านทุ่มครึ่ง พี่วินก็เหมือนกันเข้าเวรอาทิตย์ละสองสามวัน เอือก"

"แม่พี่วินเขาอาสาจะเลี้ยงหลานให้ แต่พี่จะยังไม่มีหรอก แต่งซักสองปีสามปีค่อยมี"แต๋ววาดแผนการณ์

"ดีเดี๋ยวมีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้อีก แรกๆ ก็เห่อหลานหรอก นานๆ เข้าชักเหนื่อยจะว่าเราไม่เอาไหน ดูเจ้าฟางซิกลางคืนตื่นกิน นมสองหน ฉี่สิบหน กลางวันก็ยุ่งจะตาย พอคลานเก่งเดินได้จะยิ่งวุ่น มิต้องผูกขากันรึ"

แต๋วหัวเราะ เห็นด้วยกับน้องสาว

"แต่พ่อแกรักนะ แกเลี้ยงให้"

"พ่อแกก็ต้องนอนกลางวันเดี๋ยวไปหลับยามเขาได้ไล่ออก

ปะไร"

การเลี้ยงดูข้าวฟ่างจึงขาดๆ เกินๆ อยู่อย่างนี้เป็นปีๆ แม่พิศ มาครั้งไร ข้าวฟ่างก็ร้องไห้หลบหน้า จะรับไปบ้านหาพ่อหาพี่ก็ไม่ สำเร็จ ข้าวฟ่างลงนอนดิ้นพราดๆ ไม่ยอมไปด้วย นอกเสียจากนาง จิตจะเป็นคนพาไป พอค่ำข้าวฟ่างก็ร่ำร้องจะกลับบ้าน

"กลับบ้านเราเหอะ แม่ กลับบ้าน กลับบ้าน" แล้วข้าวฟ่าง ก็คร่ำครวญเป็นชั่วโมงๆ จนทุกคนจะเป็นโรคประสาท

"เอามันไปเหอะแม่จิต ไม่ไหว เด็กผีเปรต ร้องไห้ได้ทีละ สามชั่วโมง ไม่เคยพบเห็น" นางพิศไล่ส่ง "มันไม่แสบคอหอยมันมั่ง หรือไง ต่อมน้ำตารั่วหรือวะไอ้ลูกเวร"

ต่อมน้ำตาของเจ้าฟ่างเหมือนจะรั่วได้จริงๆ เขาร้องไห้ 'มาราธอน' ยิ่งกว่าเด็กคนไหนๆ ที่แต๋วเคยเห็น

"ขนาดแต๋วเป็นครูอนุบาลนะ ยังไม่เคยพบใครร้องไห้ได้ ทั้งวันอย่างเจ้าฟ่าง ขี้แยเท่าเจ้าฟ่างเลย"

ข้าวฟ่างจึงไม่ใช่ตุ๊กตาน่าเอ็นดูสำหรับแต๋วกับติ๋มอีกต่อไป "แต๋วพอรู้หรอกว่ามันขี้แยเพราะสุขภาพจิตไม่ดี ไม่แน่ใจ

ตัวเอง ไม่แน่ใจพ่อแม่ ไม่รู้ใครเป็นพ่อเป็นแม่แน่ นี่ก็พ่อแม่ โน่นก็พ่อแม่ บ้านโน้นบ้านนี้ไม่รู้ใครเป็นใคร แต่เราก็รำคาญเป็นนะ มัน เล่นร้องไห้อีแบบนี้ไม่ไหว กลางคืนก็นอนละเมอตื่นบ่อยๆ ไม่ต้อง หลับต้องนอนกันทั้งบ้าน เวรกรรมจริงจริ๊ง"

"ดูดหัวแม่มือจนมือจะเน่าอยู่แล้ว ไอ้ผ้าห่มเก่าๆ นั่นก็เหมือนกัน เหม็นจะตาย ทั้งดำทั้งสกปรก ดูดอมอยู่ไต้" ติ๋มบ่น "เอา ไปซักให้ มันร้องเสียค่อนวันจนผ้าแห้ง พอได้คืนยังร้องต่ออีกแน่ะ บอกว่าไม่เหมือนเดิม เด็กเวร"

แม่จิตคิดหาวิธีให้ข้าวฟ่างเลิกดูดนิ้วดูดผ้าห่ม แต๋วซื้อ หัวนมหลอกมาให้ดูดแทน ข้าวฟ่างดูดสองวันก็ปาทั้ง

"เหม็น" เด็กชายว่า

แม่จิตค้นพบวิธีใหม่ ปิดปากข้าวฟ่างไม่ให้ร้องมาราธอน ได้ด้วย นั่นคืออบยิ้มกับท็อฟฟี่ แต่ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ อมยิ้ม ท็อฟฟี่เปิดปากข้าวฟ่างเวลาร้องไห้ไม่หยุดได้ดี เขาจะลงนอนเขลง บนพื้นบ้านดูดดังจั๊บๆ หยุดร้องไห้

แต่ข้าวฟ่างยังดูดนิ้วดูดผ้าห่มอยู่

"ยังดีวะ ไม่หนวกหู" นางจิตพอใจในความคิดของตน "เสียวัน ละบาทสองบาทเท่านั้นเอง"

นางจิตไม่ได้สังเกตว่าสิ่งที่เสียไปพร้อมกับเงินวันละบาทสอง บาทคือฟันของข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างดูดนมข้นหวานใส่โอวัลตินคืนละ สองสามขวด กลางวันดูดอมยิ้มทั้งวัน ฟันน้ำนมที่ยังขึ้นไม่เต็มปาก

ดีก็ผุเสียจนแทบไม่มีเหลือ ฟันของข้าวฟ่างงอกเมื่อข้าวฟ่างอายุได้ สิบเอ็ดเดือนเศษ พออายุขวบครึ่งฟันของข้าวฟ่างก็ดำและผุจนเหลือ แต่ตอ เวลายิ้มเห็นแต่ฟันล่างไม่กี่ซี่ ฟันบนเหลือแต่กรามในที่เพิ่ง งอกแพลมๆ ออกมา พอสองขวบก็หมดปาก

"ฟันน้ำนมจะเป็นไรไป อีกหน่อยก็หลุดแล้วงอกใหม่" ทั้งนางจิตนางพิศเห็นพ้องต้องกัน "เสียอย่างเดียวเคี้ยวอะไรไม่ถนัด"

ข้าวฟ่างจึงกินแต่ข้าวเละๆ คลุกน้ำแกงจืดหรือไข่ตุ๋น กินไก่กิน หมูกับคนอื่นในครอบครัวไม่ได้แต่ละมื้อข้าวฟ่างกินข้าวไม่ถึงสิบคำ นมข้นหวานกับอมยิ้มและท็อฟฟี่ทำให้เขาอิ่ม

ข้าวฟ่างจึงผอมเหมือน 'กุ้งแห้งเยอรมัน'

ครูวินมาหาครูแต๋วคู่หมั้น เห็นฟันของข้าวฟ่างผุทั้งปาก ก็ทนดูอยู่ไม่ได้จึงซื้อแปรงสีฟันยาสีฟันสำหรับเด็กมาให้ ข้าวฟ่างลองสีอยู่ครั้งหนึ่งก็แอบเอาไปทิ้งลงคลองเสีย

"ไม่อร่อย สีแล้วเจ็บ"

จึงไม่มีใครสนใจสอนให้ข้าวฟ่างทำความสะอาดฟันอีก แม่ จิตมัวทำขนมขาย นายถมนอนหลับกลางวัน แต๋วไปทำงานแต่มืด และพอมีเวลาว่างก็มัวเตรียมตัวเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในการแต่ง งาน ติ๋มไปทำงานแล้วก็เที่ยวตามประสาวัยรุ่น บางคืนก็ไปเต้นดิสโก้เสียด้วย พ่อแม่พี่สาวห้ามหล่อนไม่สำเร็จ แม่พิศแม่แท้ๆ ยิ่งไม่สนใจข้าวฟ่าง เพราะที่บ้านก็มีข้าวตอกกับข้าวเม่าแล้วสองคน

"มีตะตัวผู้ เจ้าพ่อเขาอยากได้ลูกสาว ว่าจะมีอีกสักคนให้ชื่อ ข้าวโพด" นางพิศเล่าให้นางจิตและนายถมฟัง

"ยังไม่พออีกเรอะ แล้วใครจะเป็นคนเลี้ยงมัน" นายถมถาม ตรงๆ "ตัวเองก็ทำงาน มีเวลาที่ไหน เจ้าฟ่างก็ยังอยู่นี่"

"ข้าวตอกจะจบประถมปีนี้แล้ว ไม่ต้องเรียนต่อหรอก เปลือง เงินเปลืองเวลา สอบได้แค่ห้าสิบหกสิบ ตกมิตกแหล่ ให้มันออกมา เลี้ยงน้อง" นางพิศตอบ "พอซักสองขวบ ไอ้เม่าก็จบประถมฉันจะเอาข้าวตอกเข้าทำงานที่โรงงาน ให้ไอ้เม่าเลี้ยงต่อ พอเข้าโรงเรียนได้ก็เอาไอ้เม่าไปทำงานอีกคน"

นายถมถอนใจ

"ข้าวตอกข้าวเม่ามันอายุแค่นั้น แล้วก็เป็นผู้ชาย จะให้มันชงนมเลี้ยงลูกอ่อนได้ยังไง"

"ทำไมจะไม่ได้ข้าวตอกปีนี้สิบสามกว่าแล้ว อีกสองปีก็มีเมีย ได้แล้ว มันสูงยังกะหนุ่มๆ" นางพิศหัวเราะชอบใจในความคิดของ ตน "ดีนะที่มีลูกห่างๆ ถ้ามีถี่ๆ ละลำบาก"

"สมัยนี้จะมีถี่มีห่างหรือไม่มีเลยก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ จะเอา ผู้หญิงหรือผู้ชายเขายังเลือกกันได้เลย ใครเขาปล่อยตามบุญตาม กรรมกันบ้างเล่า" นายถมว่า

"ว่าแต่จะเอาข้าวฟ่างไปเลี้ยงเองเมื่อไร" นางจิตถามขึ้น

"ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แม่พิศแต่เด็กมันจะไม่รักพ่อแม่เอา ฉัน ก็พร่ำบอกมันทุกวันว่าแม่พิศน่ะเป็นแม่แท้ๆ ฉันน่ะเป็นคนอื่นมันก็ไม่รับรู้ คนนี้ยังแก้ไม่ตกจะมีอีกคนเสียแล้ว"

"หรือไม่ก็ยกให้ฉันเสียเลย" นายถมเสนอ "ฉันก็ไม่มีลูกชาย"

"ฉันไม่ให้แน่ๆ เสียชื่อ มีลูกแล้วเที่ยวยกให้คนอื่นเหมือนไม่ มีปัญญาเลี้ยง นี่เราฝากเลี้ยงเท่านั้นนะ" แม่พิศชักสีหน้า

"มันไม่ใช่เรื่องมีปัญญาเลี้ยงหรือไม่มีปัญญา ฉันเลี้ยงเขามา ตั้งแต่แบเบาะก็รักมัน สงสารมัน อยากรับไว้เป็นลูกชายสักคน" นาย ถมอธิบาย แต่แม่จิตขมวดคิ้ว

"อีกหน่อยพ่อถมก็จะมีหลานตา เจ้าฟ่างก็แย่ซิ" นางพิศพูด เหมือนเป็นห่วงลูกชายเสียนักหนา

"อีกนานหรอก ถึงแต๋วจะแต่งงานเขาก็จะยังไม่มีลูก"

"ว่าได้เรอะ ที่ว่าคุมๆ น่ะ พอเผลอป่องทุกที"

"พี่ถม ช่างเขาเหอะเขาไม่ให้ลูกของเขาทั้งคน แม่พิศจะมารับ มันกลับไปเมื่อไหร่ก็ว่ามา" นางจิตตัดบทเมื่อเห็นสามีทำท่าจะพูด ขอข้าวฟ่างอีก เดี๋ยวนี้ข้าวฟ่างไม่ใช่เด็กชายตัวอ้วนน่าฟัด แต่เป็นเด็กตัวผอม ร้องไห้เก่งน่ารำคาญ นางจิตชักเบื่อข้าวฟ่างเต็มที ตอนกลางวันเมื่อนายถมนอน นางจิตขายขนมข้าวฟ่างจะไปเที่ยวซนที่ไหนก็ไม่มีใครว่า ตอนกลางคืนข้าวฟ่างนอนละเมอ ฉี่รดที่นอน ตื่นกลางดึกทวงขวดนมคืนละหลายๆ หน นางจิตชักจะหมดความอดทน ค่าเลี้ยงดูข้าวฟ่างที่นางพิศจ่ายเดือนละห้าร้อยบาทนั้นไม่คุ้มเลยจริงๆ

"อยู่นี่พอเผลอก็ไปเล่นริมคลอง จะตกคลองตายเอา" นางจิต บ่น "แม่พิศได้มาหักคอฉันเอาแน่ๆ"

ข้าวฟ่างไม่ได้เพียงแต่ไปเล่นริมคลอง บางครั้งเขาลงไปใน

คลองเลย ดีว่าริมคลองมีคนพลุกพล่าน บ้านโน้นล้างชามบ้านนี้ซักผ้า อีกบ้านอาบน้ำ แต่ละบ้านก็อยู่ติดๆ กัน คุยกันเสียงดังหน่อย ได้ยินกันทั่วทุกบ้านถ้าข้าวฟ่างลงไปที่หัวบันไดเพื่อตักปลาเข็มก็จะมีคนไล่เขาขึ้นไป

นอกจากถือขันตกปลา ข้าวฟ่างยังอาศัยคลองเป็นสถานที่ ปล่อยทุกข์ทั้งหนักทั้งเบา มันสะดวกดี ปล่อยเสร็จก็ล้างก้นตรงนั้น ผิดกับส้วม ไหนจะต้องราดส้วม ตักน้ำในโอ่งล้างก้น ต้องปีนขึ้นปีน ลง ข้าวฟ่างเบื่อ ไม่มีใครว่าที่ข้าวฟ่างทั้งอึทั้งฉี่ลงไปในคลอง

"เด็กๆ จะเอาอะไรกับมันหนักหนา แล้วมันก็ลอยไปจมใน เลน" นางจิตสรุปง่ายๆ ไม่ได้นึกว่าทุกบ้านอาศัยน้ำในคลอง น้ำ ประปามีเสียที่ไหนนอกจากจะซื้อเป็นคันรถมีไม่กี่บ้านที่ลงทุนซื้อ น้ำ แม้จะซื้อก็ยังอาศัยน้ำคลองซักผ้า น้ำประปาไว้หุงข้าวลูบตัวต้ม ดื่มเมื่อน้ำฝนหมด

"ฉันจะรับข้าวฟ่างกลับไปเลี้ยงเอง ตอนปิดเทอมใหญ่ ให้พี่มันเลี้ยง ตอนนี้ยังไปไม่ได้หรอก ไม่มีคนดู กลางวันก็ปิดบ้านใส่กุญแจไว้"

"ก็ตามใจ แต่คอยดูเหอะ มันได้ร้องบ้านแตกทั้งวัน"

ยังไม่ทันกลับ ข้าวฟ่างก็ร้องไห้คร่ำครวญเมื่อรู้ตัวว่าจะต้อง กลับไปอยู่กับแม่

"เกลียดมัน ฟ่างไม่กลับ จาอยู่นี่ อยู่นี่ เกลียดอีพิศ"

ข้าวฟ่างไม่ได้พูดชัดเจนเท่านี้แต่ทุกคนก็ฟังออก นางพิศเต้น

ผาง

"ลูกริยำ เรียกแม่อี เดี๋ยวเหอะมึง ขอซัดสักป้าบเหอะ"

แต่นางพิศคว้าข้าวฟ่างไม่ทัน ข้าวฟ่างวิ่งหนีหายไปทางสวน รกอีกด้านหนึ่งของซอย วิ่งข้ามสะพานหายไป นางพิศวิ่งตามหอบ แฮ่กๆ

"ลูกอัปรีย์" นางพิศไม่หยุดด่าแม้เมื่อกลับเข้าบ้านนางจิตแล้ว "มันด่าแม่มัน เสียแรงเบ่งมันออกมา รู้งี้กูเอาขี้เถ้ายัดปากซะตั้งตะเกิด แล้ว ใครสั่งใครสอนให้ด่าเก่งยังงี้"

นายถมถอนใจ นางจิตเม้มปาก ไม่ต้องมีใครสอนข้าวฟ่าง หรอก ข้าวฟ่างได้ยินอยู่ทุกวันเต็มสองหู ไม่ว่าจะอยู่บ้านนางพิศหรือ นางจิต บ้านเช่าสามสี่หลังปลูกในที่ไม่ถึงร้อยตารางวา บางบ้านอยู่ กันสองสามครอบครัว แม้จะไม่ใช่สลัมเพราะบ้านแถบนั้น ส่วน ใหญ่เนื้อที่ประมาณหกสิบเจ็ดสิบตารางวา มีรั้วรอบขอบชิด แต่ติดๆ บ้านของนางจิตแต่ละครอบครัวด่ากันไฟแล่บนางจิตเองก็ด่าเก่งไม่ ใช่น้อย ยิ่งนางพิศแม่แท้ๆ ของข้าวฟ่างด่าได้ครึ่งวัน โดยไม่ซ้ำกันสักประโยค

"ใครสอนให้ข้าวฟ่างด่าเก่งรึ" ติ๋มกลับมาได้ยินเข้าพอดี

"ก็แม่ของมันเองแหละ มาทีไรก็ด่ามันไม่หยุดปาก ข้าวฟ่างไป บ้านพ่อแม่มาทีไร กลับมาได้คำด่าใหม่ๆ มาทุกที"

นางพิศรัวคำด่าติ๋มอยู่ในใจ แด่ไม่กล้าด่าออกมาเพราะกลัว นางจิตจะไม่เลี้ยงข้าวฟ่างต่อ นางพิศไม่รู้จะเอาข้าวฟ่างไปไว้ไหน

อยู่กับนางจิตเดือนไหนไม่มีค่าเลี้ยงข้าวฟ่างก็ยังผัดผ่อนได้

"ฉันกลับละ" นางพิศสะบัดหน้า พอพ้นประตูรั้วคำด่าออกมา เป็นชุดๆ ส่วนใหญ่ก็แช่งชักให้ติ๋ม "ท้องโตคาบ้าน"

ส่วนติ๋มก็บ่นอุบกับพ่อแม่

"เขาว่าลูกเขาก็เหมือนว่าเราเลี้ยงไม่ดี ทำไมไม่เอาไปเลี้ยงเอง ล่ะ ดีแต่ทำลูก ไม่เลี้ยงลูก เงินก็ให้มั่งไม่ให้มั่ง"

"ติ๋มพูดมากน่า" นายถมปรามลูกสาว "เห็นกะพ่อมันเถอะ อย่า ลืมว่าพ่อมันฝากงานให้พ่อ"

"กะบุญคุณแค่นั้นไม่รู้จักหมด แล้วพ่อรู้เรอะเปล่าว่าพ่อเจ้า ฟ่างน่ะเขาไม่รับเจ้าฟ่างเป็นลูก เขาว่านังพิศท้องโตกะคนงานใน โรงงานเดียวกัน ทำงานเข้ากะดึกแล้วไม่กลับ ไปนอนกับคนงาน ผู้ชายไม่เลือกหน้า"

"ติ๋มรู้ได้ไง"นางจิตตาโต

"เขาลือกันยังกะอะไร ติ๋มมีเพื่อนเป็นเสมียนอยู่ที่โรงงานนั่น ไอ้ทิพย์ไง มันยังถามเลยว่ารู้ไหมพ่อข้าวฟ่างคนไหน ตั้งหลายคน นี่ พ่อตามกฏหมายไม่ให้ข้าวฟ่างอยู่บ้านเรอะ"

นายถมปรามลูกสาว

"อย่าพูดเลยติ๋ม เสนียดปาก เราเองเป็นสาวเป็นนางลูกผัวยังไม่ มี พูดเรื่องพรรค์ยังงี้"

"ไม่ได้อยากพูดหรอกติ๋มรู้ตั้งนานแล้วไม่ได้เคยเล่าให้พ่อแม่ ฟังเลย พ่ออยากว่าเห็นแก่พ่อมันเคยฝากงานให้โธ่เอ๊ยพ่อเพ่ออะไร ลูกใครก็ไม่รู้ เลือดไม่ดีหรอกเด็กคนนี้น่ะโตขึ้นจะเป็นโจรหรือ ขอทานก็ไม่รู้"

เจ้าตัวคนถูกนินทาวิ่งกลับบ้านกระโดดตึงๆ เข้าไปในห้องชั้นบน คว้าปืนฉีดน้ำบนหลังตู้เตี้ยๆ แล้ววิ่งกลับออกไปเล่นกับเพื่อนเด็กๆ ด้วยกัน

ไม่สนใจว่าใครจะเห็นตนเป็นเด็กเช่นไร มีอนาคตแบบไหน

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (84 รายการ)

www.batorastore.com © 2024