ดวงใจพ่อ (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

นำเรื่อง

 

          เมื่อหนังสือเล่มแรกของฮาโรลด์ รอบบินส์ ชื่อ “Never love a stranger” (แปลเป็นไทยโดย “บุญญรัตน์” ในชื่อว่า “ชีวิตนี้เป็นของเรา” ได้รับการจัดพิมพ์จำหน่าย เมื่อประมาณ 40ปีที่ผ่านมานั้น มันเป็นหนังสือที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมและถือว่าเป็นหนังที่ที่อยู่ในอันดับ “หนังสือขายดีที่สุด”

            หลังจากนั้น เขาก็ประสบความสำเร็จในงานเขียนเป็นอย่างยิ่ง หนังสือทุกเรื่องที่เขาเขียนขึ้นได้รับการจัดพิมพ์ออกจำหน่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีผู้อ่านไม่ต่ำว่าวันละ 25,000 คน (สมัยนั้น) หาหนังสือที่เขียนโดยฮาโรลด์ รอบบินส์อ่านทุกวัน

            หนังสือของเขาถูกแปลออกเป็นภาษาต่างๆถึง 32 ภาษาและขายในสมัยนั้นเป็นจำนวนกว่า 150,000,000 เล่ม ซึ่งนับเป็นความสำเร็จอันเยี่ยมยอดของบรรณโลก

            ในภาวะของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ช่องว่างระหว่างวัย ความผูกพันในครอบครัว นับแต่สามีต่อภรรยา(หรือในทางกลับกัน),พ่อต่อลูกหรือลูกต่อแม่ กำลังถูกทำลายให้สิ้นสภาพลง ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีงานทำล้นมือขึ้นทุกวัน ฮาโรลด์ รอบบินส์ ได้มองดูช่องว่างนี้ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและถ่ายทอดภาพพจน์ดังกล่าวออกมาในหนังสือชื่อ “Where Love Has Gone” ที่ดิฉันได้แปลออกมาเล่มนี้

            ดิฉันได้พยายามที่จะไม่ให้เสียอรรถรสแห่งถ้อยคำที่ฮาโรลด์ รอบบินส์ต้องการใช้ ดังนั้น ถ้าท่านติดตามเรื่องนี้ ดิฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บางทีช่องว่างระหว่างวัย ความแตกแยกในครอบครัวอันสืบเนื่องไปถึงปัญหาสังคมจะลดน้อยลงได้

            “ฮาโรลด์” ได้แบ่งเรื่องนี้ออกไว้เป็น 4 ตอน เพื่อให้ผู้อ่านสะดวกในการทำความเข้าใจและรู้จักตัวละครเอกในเรื่องของเขาแต่ละตอนอย่างละเอียดและเข้าถึงสภาวะแท้จริงแห่งปัญหา ซึ่งทั้ง 4 ตอนนั้นได้แก่ลุค คาร์เร่ย์,นอร่า,อลิซาเบทและดานี่

            ขอเชิญท่านติดตาม “ดวงใจพ่อ” ได้แล้วค่ะ

                                                “บุญญรัตน์”

 

---------------------------------

ตอนที่ 1

ลุค คาเร่ย์

------------------------------------

          วันศุกร์..วันแห่งการสูญเสียของผม

          เช้าวันนั้น ผมตกงานอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ตอนบ่าย ขณะที่ผมนั่งอยู่หน้าเครื่องรับโทรทัศน์ด้วยความหวังที่จะได้เห็นชัยชนะ ขอทีมฟุตบอลที่ผมเฝ้าเชียร์มาเป็นเวลานาน ผมก็ต้องผิดหวัง เพราะทีมซินซินนาติกลับเป็นฝ่ายแพ้ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง

          ต่อมา ในตอนกลางดึกของคืนนั้นเอง ที่มีเสียงกริ่โทรศัพท์ดังรัวขึ้น เรียกให้ผมต้องลุกขึ้นจากเตียง ทั้งๆที่ผมยังนอนตาค้างมองเพดานอยู่ในความมืดด้วยความคิดวิตกกังวลไปต่างๆนาๆ

            ผมค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงที่มีอลิซาเบทนอนอยู่เคียงข้าง เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงกรีดก้องอยู่

            เสียงโอปะเรเตอร์ดังมาตามสายว่า

            “มิสเตอร์ ลุค คาร์เร่ย์คะ รับโทรศัพท์ทางไกลด้วยค่ะ”

            “ผมกำลังพูดครับ”

            อลิซาเบทเปิดไฟหัวเตียงและลุกขึ้นนั่ง

            “ใครน่ะ?” เธอถามเบาๆ

            ผมปิดปากโทรศัพท์ “ยังไม่รู้ โทรศัพท์ทางไกล”

            “น่ากลัวจากเดโทน่าละมัง” เธอว่า  น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง “ที่คุณเขียนจดหมายไปสมัครงานไว้”

            ผมไม่ตอบ มีเสียงผู้ชายดังมาตามสายว่า

            “คุณคาร์เร่ย์หรือครับ”

            “ใช่ครับ ผมเอง”

            “คุณลุค คาร์เร่ย์นะครับ?”

            “ครับ ก็ผมนี่แหละ ลุค คาร์เร่ย์” ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนถูกใครเล่นตลกด้วยโดยที่ผมไม่มีอารมณ์สนองตอบ

            “ผม..สิบเอกโจ ฟลิ้นท์ จากสถานีตำรวจซานฟรานซิสโก ขอโทษ คุณมีลูกสาวชื่อดาเนียล หรือเปล่าครับ?”

            ผมสังหรณ์ใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น

            “ใช่ครับ ใช่..มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ?”

            “ครับ ผมคิดว่าเป็นเช่นนั้น เพราะเธอเพิ่งฆ่าคนตาย”

            มันมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้นในใจผมทันที นาทีนั้นผมอยากหัวเราะออกมาดังๆ ผมมองเห็นภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ร่างกายของแกถูกบดละเอียดจนย่อยยับ เลือดท่วมตัว ถูกทิ้งให้นอนเดียวดายอยู่กลางถนน ผมกัดลิ้นตัวเองอย่างไม่รู้สึกตัวอยากจะถามออกไปว่า

            “เท่านั้นใช่ไหมครับ..?” แต่ผมกลับถามต่อว่า “แล้วตอนนี้ลูกผมเป็นยังไงบ้างครับ?”

            “ยังไม่เป็นไรหรอกครับ” เสียงนายตำรวจตอบมาตามสาย

            “ให้ผมพูดกับแกหน่อยได้ไหมครับ?”

            “เสียใจ เห็นจะต้องเป็นพรุ่งนี้แล้วละครับ เพราะแกจะต้องถูกส่งตัวไปที่สถานพินิจเยาวชนชั่วคราว”

            “แล้วแม่ของเด็กล่ะครับ อยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า..ผมขอพูดกับเธอหน่อยได้ไหม?”

            “เห็นจะไม่ได้ครับ ตอนนี้เธออยู่ในห้องส่วนตัวข้างบน กำลังพยาบาลกันอยู่ หมอกำลังฉีดยาระงับประสาทให้”

            “แล้วมีใครที่ผมพอจะพูดได้บ้างล่ะครับ?”

            “ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากคุณกอร์ดอน ซึ่งตอนนี้ก็คงยังพูดกับคุณไม่ได้ เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวของคุณ”

            “คุณหมายถึงแฮริส กอร์ดอนน่ะหรือครับ?”

            “ครับ” นายตำรวจตอบ “คนที่เป็นทนายความนั่นแหละ เขาแนะนำให้ผมโทรมาหาคุณ”

            แฮริส กอร์ดอน ทนายความคนนั้น ผมยังจำเขาได้เสมอ ดูเหมือนเขาจะเป็นทนายความที่ดีที่สุดและแพงที่สุด เขาถูกเรียกตัวมาใช้ในงานนี้..กอร์ดอน เป็นทนายให้ฝ่ายภรรยาเก่าของผม นอร่า..ในวันที่เราหย่าขาดจากกัน ผมรู้สึกเลื่อนลอยไปไกล ทันใดก็มีเสียงถามมาตามสายว่า

            “คุณไม่อยากรู้หรือครับว่าลูกสาวคุณฆ่าใคร?”

            “..ผมเพียงแต่ไม่อยากเชื่อ” ผมตอบออกไป “ดาเนียลไม่ใช่เด็กที่มีลักษณะจะทำร้ายใครได้ แกยังเด็กเกินไป ยังไม่เต็ม 15ด้วยซ้ำ”

            “แต่เธอก็ฆ่าเขาแล้วละครับ”น้ำเสียงของนายตำรวจแสดงความมั่นใจอย่างยิ่ง

            “ถ้าอย่างนั้น เขาเป็นใครล่ะ?”

            “โทนี่ ริคชิโอ” นายตำรวจตอบ ในน้ำเสียงของเขาแฝงแววเยาะอยู่เมื่อกล่าวต่อว่า “เพื่อนชายของภรรยาคุณยังไงล่ะ”

            “เขาไม่ใช่เมียผม” ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เราเลิกกันมาตั้ง 11ปีแล้ว”

            แต่ดูเหมือนนายตำรวจจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของผมเอาเสียเลย เขากล่าวต่อไปว่า

            “เธอใช้เกรียงแทงตรงหน้าท้องเขา ดุเหมือนจะเป็นเครื่องมือที่อดีตภรรยาคุณใช้เป็นอุปกรณ์ในการปั้นรูปนั่นแหละ คุณก็รู้ว่ามันคมเหมือนกรรไกรขาเดียวยังไงยังงั้น เลือดนองไปทั้งห้องเลย”

            “แล้วยังไง?” ผมรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย

            “คือ..ดูเหมือนลูกสาวคุณเกิดหึงในความสัมพันธ์ระหว่างแม่ของเธอกับผู้ชายคนนั้น..แหละครับ”

            ผมรู้สึกคอหอยตีบตันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันฝืดไปจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลง แข็งใจตอบออกไปว่า

            “คุณตำรวจครับ ผมรู้จักลูกสาวผมดี ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าแกไปฆ่าเจ้าหนุ่มคนนั้นได้ยังไง ซึ่งถ้าแกจะทำอย่างนั้นจริงๆผมก็ไม่คิดว่าจะมีสาเหตุอย่างที่คุณอ้างหรอกนะ”

            “แต่คุณกับลูกสาวก็ไม่ได้พบกันมากว่า 6 ปีแล้วนะครับ” เสียงนายตำรวจพูดมาตามสาย “ระยะเวลา 6 ปีนี่ เปลี่ยนเด็กได้มากนะครับ”

            “แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเป็นฆาตกร” ผมตอบเสียงเบา “ต้องไม่ใช่ดาเนียล” พูดจบผมก็วางสายทันทีก่อนที่นายตำรวจคนนั้นจะทันพูดต่อ

            อลิซาเบทกำลังจ้องมองดูผมอยู่ ดวงตาสีฟ้าของเธอเบิกโพลงอยู่ตรงหน้า

            “คุณได้ยินแล้วใช่ไหม?” ผมถาม

            “แต่ฉันไม่อยากเชื่อเลย” เธอพูดพลางพยักหน้ารับ

            “ผมก็ไม่เชื่อ” ผมตอบงงๆ “แกยังเด็กมากเพิ่ง 14 กว่าๆเท่านั้น”

            อลิซาเบทเอื้อมมากุมมือผมไว้ก่อนจะกล่าวต่อว่า

            “ไปในครัวดีกว่าค่ะ ฉันจะชงกาแฟให้”

            ภายในห้องครัว ผมนั่งนิ่งเงียบเหมือนคนใบ้ จนกระทั่งอลิซาเบทเอาถ้วยกาแฟอุ่นๆมาวางลงในอุ้งมือ ผมกำลังมีความรู้สึกเหมือนที่หลายๆคนเคยรู้สึกคือ เวลาที่สมองของคนเราเกิดความสับสน คิดอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายอยู่นั้น ที่จริงแล้วก็คือ เราคิดอะไรไม่ออกเลย ในยามนั้นผมมองเห็นแต่ภาพของดาเนียล..ภาพของลูกสาวตัวเล็กๆที่ตื่นเต้นอย่างล้นเหลือเมื่อได้ไปเที่ยวสวนสัตว์เป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะสดใสของแก ขณะที่มองดูฟองคลื่นซัดสาดซัดชายฝั่งที่ลา จอลล่า..

            โอ..ลูกน้อยตัวเล็กๆของพ่อ..เสียงแจ๋วๆของแกสอดแทรกเข้ามาในความทรงจำรำลึกของผม

            “พ่อจ๋า สนุกจังเลยที่เราได้นั่งอยู่บนเรืออย่างนี้..พ่อจ๋า ทำไมแม่ไม่มาอยู่ในเรือกับเราล่ะ ทำไมแม่อยู่แต่ในบ้านใหญ่ๆในซานวานซิสโกล่ะจ๊ะพ่อ?”

            ผมอดนึกขำไม่ได้ตอนที่ดาเนียลออกเสียงซานฟรานซิสโก เป็น ซานวานซิสโก..ซึ่งสำเนียงแบบนี้เป็นสิ่งที่นอร่ารำคาญอย่างยิ่ง เพราะแกยังพูดไม่ชัดนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะนอร่าเป็นคนที่พูดจาชัดเจน เป็นคนที่เคร่งครัดในทุกสิ่งที่เธอกระทำ เธอจะต้องเป็น “สุภาพสตรี”เสมอ โดยเฉพาะในสายตาของบุคคลภายนอก

            นอร่า มาเกอริต เซซิเลีย เฮย์เดน ผู้มีสายเลือดจากตระกูลสเปนนิชเก่าแก่ บวกกับสายเลือดร้อนแรงของชาวไอริช ความหยิ่งผยองในสายเลือด ความมั่งคั่งของตระกูลนายธนาคาร เมื่อสายเลือดเหล่านี้มาผสมกันเข้า เธอจึงเป็นสุภาพสตรีสาวสวย ผู้เกิดมาในตระกูลที่มั่นคงด้วยฐานะและอำนาจทั้งทางการเงินและที่ดิน ความฉลาดปราดเปรื่องอย่างอัจฉริยะ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของเธอผู้นี้ด้วย

            นอร่าเป็นศิลปิน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เธอแตะต้องเข้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นหิน ดิน กรวด ทรายหรือไม้  มันจะกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทันที และเมื่อเธอสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เธอก็อาจทำลายมันลงเสียได้ด้วยมือของเธอเอง..

            ผมรู้..เพราะผมรู้จักเธอดี และเธอก็เคยทำสิ่งนั้นต่อผมมาแล้ว..

            “กาแฟกำลังอุ่นพอดีเชียวค่ะ ดื่มเสียก่อนค่ะ” เสียงอลิซาเบทดังอยู่ใกล้ๆ

            ผมตื่นจากภวังค์และพบว่าสายตาของอลิซาเบทกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมจิบกาแฟ สัมผัสกับความร้อนของมันขณะเลื่อนไหลจากลำคอลงสู่ช่องท้อง

            “ขอบใจ” ผมมองตอบเธอ

            อลิซาเบททรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม..

            “ดูเหมือนคุณกำลังฝันไปไกล” เธอเอ่ยลอยๆ

            ผมพยายามบังคับใจให้อยู่กับตัว “ผมกำลังคิดน่ะ”

            “ถึงดาเนียลหรือคะ?”

            ผมพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย ความรู้สึกผิดในบางสิ่งบางอย่างรบกวนใจผมอย่างมากมาย แต่มันคงแตกต่างกว่าความคิดของนอร่าอย่างแน่นอน เพราะวิธีคิดของเราสองคนไม่เหมือนกัน

            “แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปคะ?” อลิซาเบทถามขึ้นอีก

            “”ผมยังไม่รู้ ยังไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำยังไงต่อไป”

            “น่าสงสารจริง” น้ำเสียงสะท้านของเธอบอกความสะเทือนในอารมณ์ออกมาชัดเจน

            “ผมไม่ตอบ..

            “แต่ถึงยังไง แกก็ยังมีแม่อยู่ทั้งคน”

            ผมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น.. ผมรู้.. รู้ดีว่านอร่าไม่มีวันที่จะอยู่กับใครหรือเป็นเพื่อนกับใครได้แม้แต่กับตัวเองก็ตาม

            “เขากำลังเป็นประสาท ได้ยินว่าหมอต้องให้ยาระงับประสาท”

            “คุณหมายความว่าดาเนียลต้องอยู่คนเดียวทั้งๆที่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น อย่างนั้นหรือคะ?”

            “ก็อาจไม่ถึงอย่างนั้น เพราะตอนนี้ที่โน่นก็มีทนายความอยู่ด้วย บางทีแกอาจจะต้องถูกส่งตัวไปอยู่สถานกักกัน โอ..” ผมอุทานคำท้ายออกมาเบาๆ

            อลิซาเบทจ้องมองผมอยู่นาน และแล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไถลไปที่ตู้เก็บเครื่องใช้ในครัว หยิบแก้วกับช้อนออกม ผมสังเกตเห็นว่ามือเธอสั่นระริก จนทำให้ช้อนตกกระทบพื้นดังเปรื่อง เธอจ้องมองดูมันและทำท่าจะก้มลงเก็บ

            “บ้าจริง..ฉันซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้นะ” เธอบ่นงึมงำ

            แต่ผมกลับเป็นฝ่ายก้มลงเก็บมันขึ้นมาเอง เธอจึงหันไปหยิบข้อนคันใหม่ ปรุงกาแฟให้ตัวเองแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่เดิม

            “ทำไมถึงต้องมาท้องตอนนี้ก็ไม่รู้” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ

            “ทำไมถึงต้องพูดโทษตัวเองอย่างนั้นล่ะ ผมก็มีส่วนด้วย”

            เธอยังไม่ได้ละสายตาไปจากผมขณะที่กล่าวว่า

            “ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองโง่ยังไงไม่รู้ คือฉันหมายความว่า รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประโยชน์ เป็นต้นว่า..อย่างในเวลานี้”

            “อย่าบ้าไปหน่อยเลยน่ะ” ผมว่า

            “ฉันไม่ได้บ้า” เธอตอบ “ฉันรู้นี่คะว่าคุณไม่ได้ต้องการมีลูกแต่ฉันอยากมีเอง”

            “นั่นแหละ เธอบ้าละ”

            “ลุคคะ คุณเองก็เคยมีลูกมาแล้ว” เธอพูดเรียบๆ “มันพอแล้วสำหรับคุณ แต่ฉันยังไม่เคยมีก็เลยนึกว่า ฉันน่าจะมีลูกกับคุณสักคนหนึ่ง บอกตามตรงก็ได้ ฉันเคยคิดอิจฉาเด็กคนนั้น ฉันเคยคิดว่าฉันจะต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่า อย่างน้อยฉันก็มีความสามารถเท่านอร่า”

            ผมลุกขึ้นเดินไปรอบๆ แต่แล้วชั่วครู่หนึ่งผมก็กลับมานั่งลงเคียงข้างเธอ เธอยังคงจับจ้องมองผมอยู่และแล้ว..ผมก็ประคองใบหน้าเธอไว้ในอุ้งมือ

            “จำไว้ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น ขอให้เชื่อ..ผมรักคุณ”

            เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผมขณะที่ตอบว่า

            “ฉันเห็นค่ะ มันมีแววอะไรบางอย่างที่ชัดเจนเหลือเกินในสีหน้าของคุณ ทุกครั้งที่คุณพูดถึง

ดาเนียล..ฉันรู้ค่ะว่าคุณคิดถึงแกและฉันก็เคยคิดว่า ถ้าเรามีลูกของเราเองแล้วคุณจะคิดถึงแกน้อยลง”

            น้ำตาเอ่อท้นขึ้นในดวงตาเมื่อเธอพูดมาถึงตรงนี้ เธอซุกใบหน้าอยู่กับอุ้งมือผม

            “คุณจะรักลูกของเราใช่ไหมคะลุค รักเท่าๆกับที่คุณรักดาเนียลใช่ไหมคะ?”

            ผมก้มกายลงใบหน้าของผมสัมผัสกับอีกชีวิตหนึ่งที่อยู่ในท้องของเธอ

            “คุณก็รู้ ว่าผมรัก..และตอนนี้ผมก็รักแกอยู่แล้ว”

            “แกอาจเป็นผู้ชายนะคะ”

            “ไม่แปลกหรอก” ผมกระซิบตอบ “ผมรักทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

            ฝ่ามือนุ่มๆของเธอกดใบหน้าผมไว้แนบทรวงอก ผมรู้สึกได้ถึงความแนบแน่นในสัมผัสนั้น

            “คุณจะต้องไปที่นั่นใช่ไหมคะ?”

            ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเธอถามออกมาอย่างนั้น

            “พูดอะไรอย่างนั้น อีก 2 อาทิตย์คุณก็ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว”

            “ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอพูดเรียบๆ

            “แล้วเงินที่เราจะต้องใช้ล่ะ คุณก็รู้ว่าผมตกงานเมื่อเช้านี้เองลืมแล้วหรือ?”

            “ตอนนี้เรามีเงินอยู่ในแบงค์ประมาณ 400 เหรียญ” เธอบอก “แล้วคุณก็ยังมีเช็คเงินเดือนงวดสุดท้ายของคุณอยู่ในกระเป๋า”

            “มันไม่ได้มากมายอะไร แค่ 160 เหรียญเท่านั้นและเงินจำนวนนี้ ก็เป็นเงินที่เราจะต้องเลี้ยงชีวิตต่อไปให้ได้จนกว่าผมจะงานทำใหม่ได้”

            ดูเหมือนอลิซาเบทไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด

            “ถ้าคุณบินโดยเครื่องเจทจากชิคาโกมันจะใช้เวลาเพียงแค่ 3ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นที่จะถึงซานฟรานซิสโก” เธอกล่าว”และถ้าคุณตีตั๋วไปกลับ มันก็ไม่ถึง 150 เหรียญ”

            “ผมไม่ไปหรอก ผมทำไม่ได้ เราจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนั้นสำหรับคุณและลูกในโรงพยาบาล”

            “ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ คุณต้องไป ถ้าดาเนียลเป็นลูกของเราฉันก็คงต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน”

            พูดจบเธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่โทรศัพท์ ขณะหันมาพูดกับผมว่า

            “ขึ้นไปจัดกระเป๋าสิคะ ฉันจะโทรไปสนามบิน..อ้อ..ใช้เสื้อนอกชุดสีเทาเข้มนะคะเพราะมันเป็นชุดดีที่สุดที่คุณมี”

            ผมยังคงจ้องมองกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้า ตอนที่อลิซาเบทเดินเข้ามาในห้อง

            “มีเครื่องออกจากโอฮาเร่ตตอนตี 2 ครึ่ง” เธอพูดเรียบๆ”จะแวะที่เดียวแล้วก็บินตรงไปซานฟรานซิสโกเลย คุณจะถึงที่นั่นประมาณตี 4 เวลาท้องถิ่น”

            ผมยังคงยืนอยู่อย่างนั้น จ้องมองกระเป๋าเดินทางอย่างเลื่อนลอย ดูเหมือนข่าวที่ได้รับยังคงสับสนวนเวียนอยู่ในสมอง

            “ไปอาบน้ำแต่งตัวเข้าสิคะ ฉันจะช่วยจัดกระเป๋าให้”

            ผมมองเธออย่างสำนึกบุญคุณ อลิซาเบทเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง เป็นคนประเภทที่ถ้าใครได้อยู่ใกล้แล้วจะมีความสุข เธอเป็นคนเดียวในชั่วชีวิตนี้ที่เข้าใจผมอย่างลึกซึ้ง ผมจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย

            แล้วผมก็จ้องมองดูเงาของตัวเองในกระจก ความลึกโหลปรากฏให้เห็นอยู่ที่เบ้าตา ผมหยิบที่โกนหนวดมาถือไว้แต่ก็เห็นว่ามือตัวเองสั่น

            “เลือดไหลนองไปทั่วห้อง” เสียงของนายตำรวจคนนั้นดังก้องขึ้นในหู ทันใด มีดโกนก็เฉือนเนื้อตรงคางของผมเข้าให้ ผมรีบเปิดน้ำล้างเลือดที่กำลังไหลซิบๆจนสะอาด

            เมื่อผมกลับออกมา กระเป๋าเดินทางได้ถูกจัดไว้พร้อมแล้วผมจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

            “ฉันเอาเสื้อนอกใส่กระเป๋าให้แล้วค่ะ” อลิซาเบทบอก “นุ่งกางเกงตัวนั้นกับเสื้อเขิ้ตที่เตรียมไว้ให้ก็พอ แจ๊กเก็ตตัวนี้เอาไว้ใส่บนเครื่องบิน เดินทางตอนดึกๆอย่างนี้ไม่ต้องใส่เสื้อนอกก็ได้” เธอพูดเรื่อยๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร

            “โอเค” ผมว่า

            ผมกำลังกระตุกเงื่อนเนคไทพอดี ตอนที่มีเสียงโทรศัพท์ดังรัวขึ้นอีกครั้ง อลิซาเบทเดินไปรับ

            “ของคุณค่ะ” เธอบอกแล้วส่งโทรศัพท์ให้ผม

            “เฮลโล..!”

            ถึงไม่ต้องบอก ผมก็นึกออกทันทีว่าใครกำลังพูดอยู่ที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง ผมจำเสียงเรียบๆแต่แฝงไว้ได้ความเฉียบขาดนั้นได้ มันเป็นเสียงของอดีตแม่ยายผมนั่นเองและก็เหมือนเดิม ท่านไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

            “คุณกอร์ดอน ทนายความของเรามีความเห็นว่า จะเป็นการดีมากถ้าคุณจะสละเวลามาที่นี่”

            “ดาเนียลเป็นยังไงบ้างครับ?”

            “ก็..ตอนนี้ยังไม่เป็นไรหรอก”สุภาพสตรีชรากล่าว “ฉันเตรียมห้องชุดให้คุณกับภรรยาไว้แล้วที่มาร์ก ฮอบกินส์ พอคุณได้ตั๋วเครื่องบินแล้วช่วยโทรบอกไฟล้ท์ให้ทราบด้วย ฉันจะส่งรถไปรับ”

            “ไม่จำเป็นหรอกครับ ขอบคุณ”

            “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาทำหยิ่งใส่กันนะ” อดีตแม่ยายของผมตอบกลับมาทันที “ฉันรู้สภาพทางการเงินของคุณ แต่คุณก็ต้องเข้าใจด้วยว่าสถานะของลูกสาวคุณตอนนี้สำคัญกว่า”

            “ผมทราบครับว่าสถานะของดานี่ตอนนี้ต้องสำคัญกว่าแน่ๆ”

            “อ้าว..ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วทำไมคุณถึงจะไม่มาล่ะ?”

            “ผมไม่ได้พูดนะครับว่าผมจะไม่ไป”ผมกระแทกเสียงตอบกลับไปทันที “เพียงแต่ผมเห็นว่า คุณนายไม่จำเป็นที่จะต้องมาบริการผมเท่านั้น”

            “ไม่เปลี่ยนเลยนะ ลุค เมื่อไหร่คุณจะเปลี่ยนตัวเองได้สักที..?”

            “ขอโทษ แล้วคุณนายเองล่ะครับ?” ผมไม่รีรอที่จะเพิ่มแรงถากถางลงไปในน้ำเสียง

            ทางปลายสายเงียบไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ดังขึ้นมาใหม่ คราวนี้ดูจะเยือกเย็นกว่าเดิม

            “คุณกอร์ดอนต้องการพูดกับคุณ”

            กอร์ดอน..น้ำเสียงของเขายังคงแจ่มใสและอบอุ่นเหมือนเดิม น้ำเสียงที่สามารถหลอกให้คุณตายใจได้ ถ้าคุณไม่รู้จักเขามาก่อน มันฟังคล้ายๆกับว่า เบื้องหลังของน้ำเสียงที่แสดงความเป็นมิตรนั้นมีกับเหล็กคอยดักอยู่

            “เป็นไง สบายดีหรือครับ ผู้การคาร์เร่ย์ เราไม่ได้พบกันนานทีเดียวนะครับ”

            “ครับ” ผมตอบ เหมือนที่ผมเคยตอบเขามาแล้วในศาลเมื่อตอนที่หย่าขาดจากนอร่า “ดานี่เป็นยังไงบ้างครับ?”

            “ตอนนี้ยังไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับผู้การ พอตำรวจเขาเห็นแกช๊อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็เอาตัวแกส่งให้ผม ตอนนี้กำลังอยู่ข้างบน อยู่ในห้องคุณยาย กำลังหลับอยู่ หมอให้ยานอนหลับไว้”

            ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเขาก็ตาม แต่ผมก็อดรู้สึกดีใจลึกๆไม่ได้ บอกตัวเองว่าเขาอยู่ฝ่ายผม

            “คือ..พรุ่งนี้แกจะต้องไปที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนตอน 10 โมงเช้าครับ” กอร์ดอนกรอกเสียงมาตามสาย “ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นการดีนะครับ ถ้าผู้การจะมาอยู่ที่นี่..มาอยู่เป็นเพื่อนแก”

            “ครับ ผมก็คิดจะไปอยู่เหมือนกัน” ผมตอบ

            “โอ..ขอยคุณครับ ขอบคุณมาก..ขอโทษ ผู้การจะมาทันร่วมรับประทานอาหารเช้ากับเราตอน 7 โมงไหมครับ คือ..เรามีอะไรหลายอย่างที่จะต้องปรึกษาหารือกัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะพูดกันทางโทรศัพท์”

            “ก็ได้ครับ” ผมตอบกลับไปทันที “ผมจะไปกินของเช้าด้วยตอน 7 โมง”

            มีเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกดังมาจากปลายสาย แล้วเสียงอดีตแม่ยายผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งผมรู้สึกว่าครั้งนี้ดูจะมีความเป็นมิตรมากขึ้น

            “ฉันเองก็อยากพบเมียของคุณเหมือนกันนะลุค”

            “เธอไปไม่ได้หรอกครับ” ผมตอบทันที

            “อ้าว..ทำไมล่ะ?”

            “ตอนนี้ใกล้คลอดเต็มที อาจจะคลอดวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้” ผมตอบกลับไป

            เราต่างนิ่งเงียบกันไปครู่สั้นๆเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกันต่อไป ผมจึงรีบกล่าวคำสวัสดี แต่พอผมวางสายลง เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังรัวขึ้นอีก กอร์ดอนพูดกลับมาหาผมอีกครั้งหนึ่ง

            “ขอโทษนะครับผู้การ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังไม่ได้พูดกัน คือผมอยากจะเรียนเตือนไว้ก่อนว่า เมื่อคุณมาถึงกรุณาอย่าเพิ่งพูดอะไรกับผู้สื่อข่าวนะครับ ผมอยากให้มีการปรึกษาหารือกันเสียก่อนที่เราจะเปิดแถลงข่าว”

            “ผมเข้าใจคุณกอร์ดอน” ผมตอบและวางสายลงทันที

            อลิซาเบทยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ

            “ฉันจะแต่งตัวค่ะ จะนั่งรถไปส่งคุณที่สนามบินโอฮาเร่ด้วย”

            “คุณจะไหวหรือ?” ผมมองหน้าเธออย่างไม่แน่ใจ “ผมไปแท็กซี่เองก็ได้”

            “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า” เธอหัวเราะเบาๆ “มันไม่ใช่อย่างที่คุณบอกแม่ยายคุณหรอก ฉันยังมีเวลาอีกตั้ง 2 อาทิตย์”

            ผมชอบขับรถตอนกลางคืนขณะที่มีแสงไฟจากหน้าหม้อรถสาดส่องทางให้ อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เท่าที่สายตาของเราจะมองไปได้เห็น ในความคิดของผมมันดีกว่าขับรถตอนกลางวันมาก

            ขาไป ผมเป็นคนขับ เหยียบคันเร่งถึง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่แล้วก็ลดลงเหลือแค่ 40 เพราะที่จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไรนัก ขณะนี้ยังไม่เที่ยงคืนด้วยซ้ำ

            แต่ชั่วโมงที่ผ่านไปที่สนามบิน มันไม่เหมือนกับชั่วโมงที่เรานั่งสบายอยู่ในบ้าน ที่นั่นเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ดูเหมือนทุกคนมีภารกิจวุ่นวายที่จะต้องทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ ทั่วทั้งสนามบินเต็มไปด้วยผู้คน บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า เรากำลังทำอะไรอยู่สักอย่างหนึ่งทั้งๆที่เราไม่มีอะไรจะต้องทำเลย

            เปลวไฟจากไล้เตอร์สว่างวาบชึ้น อลิซาเบทกำลังจุดบุหรี่ แต่แทนที่จะยื่นให้ผม เธอกลับสอดเข้ามาให้ในริมฝีปาก ผมอัดควันบุหรี่ลึกถึงขั้วปอด

            “เป็นยังไงบ้างคะ?” เธอถาม

            “ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบ

            “เราจะพูดถึงมันยังไงดี?” อลิซาเบทเอ่ยขึ้นลอยๆ

            “ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องพูด คุณก็รู้แล้วนี่ ว่าดานี่กำลังเคราะห์ร้ายและผมก็กำลังจะไปที่นั่น”

            “พูดอย่างกับว่า คุณตั้งใจจะไปเองอย่างนั้นแหละ” เสียงพูดของเธอกระเง้ากระงอดขึ้นมาทันที

            ผมมองเธออย่างประหลาดใจ มีความรู้สึกว่า บางครั้งเธอก็ทำดีกับผมจนน่าใจหาย แต่บางครั้งก็คล้ายๆกับว่า ผมไม่รู้จักเธอดีเท่าที่ควร..เธอมักจะรู้เสมอว่าผมกำลังคิดอะไร กำลังจะทำอะไร หรือที่ถูก ก็คล้ายๆกับเธอกำลังขุดหลุมล่อให้ผมตกลงไปเฉยๆอย่างนั้นเอง ทั้งๆที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

            “ผมไม่ได้คิดหรือตั้งใจเองเลยนะ” ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาในอารมณ์ เหมือนเปลวไฟจากปลายบุหรี่ของเธอวาบขึ้น

          “ก็แล้ว คุณกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะคะ?”

            ผมตอบทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่เป็นความจริง ผมรู้ว่าตัวเองกำลังคิดถึงอะไรอยู่..ผมเคยหวังว่าสักวันหนึ่ง ดาเนียลจะโทรศัพท์มาหาผมแล้วก็บอกผมว่า เธอไม่ต้องการจะอยู่กับแม่อีกต่อไป เธออยากจะมาอยู่กับผม แต่เวลา 11 ปีที่ผ่านไป มันก็ได้พาความหวังของผมหลุดลอยไปด้วย

            “คุณคิดว่าตำรวจเขาอาจจะ..เอ้อ..คิดไปเองได้ไหมคะ?” อลิซาเบทเอ่ยขึ้นอีก

            “เปล่า ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก จริงๆแล้ว ผมว่ามันอาจจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นก็ได้ เพราะถ้ารูปการมันเป็นอย่างนั้น คนที่เป็นฆาตกรน่าจะเป็นนอร่ามากกว่า แต่ผมก็รู้ว่าเรื่องอย่างนี้ นอร่าคงจะไม่รับผิดชอบเท่าไรนักหรอก”

            อลิซาเบทสงบปากคำลงทันที ส่วนผมก็ครุ่นคำนึงไปร้อยแปดพันประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิถีทางที่นอร่าดำเนินอยู่ นอร่าผู้มีหลักการสำคัญประการเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ คือรักษาผลประโยชน์ทุกประการที่เธอต้องการและผมก็ยังจดจำวันนั้นได้..วันที่เราไปถึงศาลเพื่อตกลงหย่าขาดจากกัน..

         

          ภาพของวันนั้นกระจ่างขึ้นในความคิดของผม..

            วันนั้น อะไรๆก็ดูจะสำเร็จลุล่วงไปตามความประสงค์ของเธอ คือหย่าขาดจากผมและทำให้ผมกลายเป็นคนหมดตัว ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่จะดำรงชีวิตอยู่ ในขณะที่เธอได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ปรารถนา มีปัญหาอยู่เพียงข้อเดียวที่ยังตกลงกันไม่ได้ คือเรื่องที่เกี่ยวกับดาเนียล

            และที่เรื่องต้องถึงศาลก็เพราะเหตุนั้น ที่จริงแล้วหลังจากที่ได้มีการตกลงกันก่อนหน้านั้น ดูๆอะไรมันก็น่าจะเรียบร้อย เพราะเราได้ตกลงกันมาก่อนแล้วว่า ดาเนียลจะใช้เวลาประมาณ 12 สัปดาห์ต่อปี กับครึ่งหนึ่งของการหยุดภาคเรียนในฤดูร้อนอยู่กับผมในเรือ ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของผมที่ลา จอลล่า

            เมื่อเราต่างนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าผู้พิพากษา ขณะที่ทนายความของผมกำลังอ่านรายงานข้อตกลงดังกล่าวให้ผู้พิพากษาฟัง ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับทราบข้อความต่างๆไปเรื่อยๆ และเมื่อการอ่านรายงานข้อตกลงดังกล่าวของทนายได้สิ้นสุดลง ท่านก็ได้หันไปมองทางแฮริส กอร์ดอน ทนายความของนอร่าและเอ่ยขึ้นว่า

            “รู้สึกจะได้เตรียมการกันไว้เพื่อการตกลงกันมาแล้วอย่างดีนี่”

            ผมยังจำได้ว่าตอนนั้น ดาเนียล ลูกสาวตัวเล็กๆของผมกำลังเล่นกลิ้งลูกบอลอยู่ตามประสา ทางมุมห้องด้านหนึ่ง แกไม่มีโอกาสที่จะรู้เลยว่า ทำไมตัวแกจะต้องมาร่วมอยู่ในสถานที่นี้ด้วย ผมได้ยินเสียงแกพูดเสียงดังข้ามห้องมาว่า

            “พ่อจ๋า..รับ..”

            ลูกบอลกลิ้งมาตามพื้น ผมก้มตัวลงเก็บมันขึ้นมาถือไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงกอร์ดอนพูดว่า

            “ที่จริงเรื่องนี้ยังไม่เรียบร้อยตามที่รายงานหรอกครับใต้เท้า”

            ผมหันขวับไปมองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ตอนนั้นลูกบอลยังอยู่ในมือผม..ก็..สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือเล่าที่เราเพิ่งได้ทำการตกลงกันเมื่อวานนี้เอง ผมหันไปมองนอร่า ดวงตาสีน้ำเงินของเธอก็กำลังจ้องมองดูผมอยู่

            ผมกลิ้งลูกบอลกลับไปให้ดานี่ ได้ยินเสียงแฮริส กอร์ดอนกล่าวต่อเนิบๆ น้ำเสียงของเขาออกจะเป็นต่ออยู่

            “คือลูกความของผมมีความเห็นว่า ผู้การคาร์เร่ย์อาจจะไม่สามารถหรือมีสิทธิในการคุ้มครองลูกได้ครับผม”

            “คุณหมายความว่ายังไง?” ผมร้องถามออกไปทันที “อย่าลืมนะว่าผมเป็นพ่อของเด็ก”

            ประกายเล่ห์เหลี่ยมโชนขึ้นในดวงตาของกอร์ดอน เขายิ้มเย็นขณะกล่าวต่อไปว่า

            “แล้วคุณไม่เคยคิดบ้างเลยหรือครับ ว่ามันน่าแปลกหรือไม่ที่เด็กเกิดภายหลังจากที่คุณกลับจากญี่ปุ่นเพียง 7 เดือน”

            ผมพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

            “ก็เมียผม..คุณนายคาร์เร่ย์คนนี้กับหมอประจำตัวของเธอยืนยันกับผมนี่ครับ ว่าเด็กคลอดก่อนกำหนด”

            “แต่สำหรับคนโตๆอย่างคุณก็น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะครับ ผู้การคาร์เร่ย์”

            ผมยังจำสำเนียงเยาะหยันนั้นได้ และแล้วกอร์ดอนก็หันไปทางผู้พิพากษา

            “คุณนายคาร์เร่ย์อยากให้ผมกราบเรียนให้ใต้เท้าได้ทราบว่า เธอรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก่อนหน้าที่ผู้การคาร์เร่ย์จะเสร็จภารกิจและกลับจากประเทศญี่ปุ่นประมาณ 6-7สัปดาห์ ซึ่งในกรณีย์เช่นนี้ เธอจึงแน่ใจว่า การที่ผู้การคาร์เร่ย์จะอ้างตัวเป็นพ่อของเด็กนั้น เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง..เธอจึงใคร่ขอความคุ้มครองจากศาล ในการที่จะเรียกร้องสิทธิที่จะเลี้ยงดูบุตรด้วยตัวเธอเองครับผม”

            ผมหันขวับไปทางทนายความของผมทันที

            “นี่คุณจะปล่อยให้พวกเขาทำอย่างนี้กับผมงั้นหรือครับ?”

            ทนายความของผมมีใบหน้าซีดเผือดขณะพยายามอธิบายกับผู้พิพากษาว่า

            “กระผมรู้สึกตกใจมากครับใต้เท้า ในถ้อยแถลงของคุณกอร์ดอนที่ได้กล่าวมาแล้ว กระผมใคร่ขอกราบเรียนว่า ข้อตกลงดังกล่าวตามที่กระผมได้อ่านรายงานเป็นความจริงทั้งสิ้นและเราได้ทำการตกลงกันเมื่อวันวานนี้เองครับ”

            ผมไม่สามารถอธิบายได้ถึงความรู้สึกของผู้พิพากษาที่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจ ในถ้อยแถลงของแฮริส กอร์ดอนเช่นกัน..แต่ถึงกระนั้น ท่านก็พยายามระงับอารมณ์ ตั้งสติไว้ขณะที่กล่าวกับทนายความของผมว่า

            “ผมเองก็รู้สึกแปลกใจและรู้สึกเสียใจด้วยคุณทนาย แต่คุณก็คงทราบดีแล้วใช่ไหมว่า ในศาลนี้ เราไม่สามารถที่จะยอมรับข้อตกลงที่ไม่ได้กระทำกันต่อหน้าศาลได้”

            โลกของผมหยุดหมุนลงในบัดดล อารมณ์ของผมขาดสะบั้นลงทันที

            “ถ้าอย่างนั้น มันก็หมายความว่า พวกเขาหลอกลวงผมและข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นการหลอกลวงกัน ลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นไม่มีความหมายเลย เอาละ..จะเอากันอย่างนั้นก็ได้ผมจะกลับไปสืบเรื่องนี้ แล้วจะกลับมาสู้กันให้มันแหลกลงไปข้างหนึ่งทีเดียว”

            ทนายความยึดมือผมไว้และหันไปกล่าวกับผู้พิพากษาว่า

            “กระผมขออนุญาตใต้เท้า ให้กระผมได้เจรจากับลูกความของผมสักครู่นะครับ”

            ท่านผงกศีรษะอนุญาตในเกือบจะทันที ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง และเรา..ผมกับทนายความก็เดินออกไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง หันหลังให้กับห้องโถงกว้างซึ่งเป็นห้องพิจารณาคดี เพ่งสายตาออกไปภายนอก

            “คุณก็คงทราบแล้วนะครับผู้การ ว่าถ้าลงรูปนี้แล้วมันหมายความต่อไปว่ายังไง” ทนายความกระซิบพูดกับผม “ผมคิดว่า คุณเห็นจะต้องยอมรับแล้วละครับว่า ตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่ เมียคุณสวมเขาให้คุณเอง”

            “แล้วยังไง..ถ้าอย่างนั้นมันก็หมายความว่า หล่อนไปเอากับใครต่อใครจนทั่วซานฟรานซิสโก ตั้งแต่ไชน่า ทาวน์จนถึงเพรสซิดิโออย่างนั้นเลยหรือไง?” ผมโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่

            “ลุค” ทนายความหันมาจ้องหน้าผมทันที “เลิกคิดถึงตัวคุณเองสักครั้งได้ไหม แล้วคิดถึงอนาคตของลูกสาวของคุณ คุณรู้ไหมว่าขณะนี้มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับแก มันกำลังเป็นการประจานแก..แล้วอะไรจะเกิดขึ้น..ถ้าเกิดมีการแฉโพยขึ้นมา ว่าแม่ของแกเองไปนอนกับไอ้หัวขโมยที่ไหนก็ไม่รู้ และแกกำลังตกอยู่ในฐานะเครื่องเล่นชิ้นหนึ่งของพวกผู้ใหญ่ คิดสิลุค คิดให้ดี”

            “แกจะต้องไม่เป็นอย่างนั้น..แกจะถูกประจานไม่ได้” ผมร้องออกมา

            “แต่เวลานี้ แกก็กำลังเป็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” ทนายความองตอบผม

            ผมไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ ผมพูดไม่ออก เสียงอ่อนๆใสๆของดาเนียลดังก้องขึ้นอีกว่า

            “พ่อจ๋า..รับ”

            ผมก้มตัวลงเก็บลูกบอลอย่างอัตโนมัติ ดาเนียลวิ่งเข้ามาหาผมอย่างร่าเริงแล้วก็โถมตัวเข้ามาในอ้อมแขนผม ผมอุ้มแกขึ้นไว้อย่างทะนุถนอม แกกำลังหัวเราะ ดวงตาคู่สีนิลฉายแสงพรายแพรว

            แล้วผมก็หันมองไปรอบๆห้อง ผู้พิพากษานั่งอยู่ตรงนั้น ต่อมาก็เป็นที่นั่งของเลขานุการศาล ผมมองผ่านไปยังกอร์ดอน..แล้วก็นอร่า พบว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองดูผมอยู่นอกจากนอร่า เพราะเธอกำลังมองเลยหัวผมไป

            ผมก้มลงพิจารณาใบหน้าผ่องผุดของลูกสาวน้อยๆที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วก็ตื้นตันขึ้นมาในหัวอก หัวจิตหัวใจของผมแทบจะภิณฑ์พัง..ถูกแล้ว ทนายความของผมพูดถูก ผมจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมจะยอมให้มีการประจานประวัติชีวิตของร่างน้อยๆที่อยู่ในอ้อมแขนของผมนี้ได้อย่างไร ผมจะทำลายดวงใจเล็กๆที่เรียกผมว่า”พ่อ”ได้อย่างไร

            “แล้วผมจะทำยังไงดี?”ผมถามอย่างเลื่อนลอย

            ผมอ่านสายตาที่แสดงความเสียใจร่วมด้วยกับผมอย่างสุดซึ้งนั้นออก..

            “ผมจะเจรจากับท่านผู้พิพากษาเอง”

            ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น โดยมีดาเนียลอยู่ในอ้อมแขน ปล่อยให้ทนายความเดินไปหาผู้พิพากษาแต่เพียงผู้เดียว และอีกไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เดินกลับมาหาผม

            “ผมตกลงกับท่านผู้พิพากษาแล้ว คุณจะมาเยี่ยมแกได้ปีละ 4 ครั้งและอีก 2 ชั่วโมงสำหรับวันอาทิตย์ที่คุณเข้ามาซานฟรานซิสโก พอใจไหมครับ?”

            “ไม่มีทางเลือกมากกว่านี้อีกแล้วหรือ?” ผมถามด้วยความขมขื่นใจเป็นที่สุด

            ทนายความส่ายหน้าเกือบจะทันที

            “เราจำเป็นต้องทำอย่างนี้ ขอให้เข้าใจนะลุค”

            “โอเค” ผมตอบออกไป “โอ..พระเจ้า ลูกคงเกลียดผมจับใจเลย”

            เราลืมคิดไปว่าขณะที่เรากำลังพูดกันอยู่นั้น ดาเนียลยังคงอยู่ในอ้อมแขนผมและดูเหมือนแกจะรู้ด้วย ว่าเรากำลังพูดกันถึงเรื่องอะไร

“ไม่..ไม่เอา..หนูจะอยู่กับพ่อ..อย่ายอมนะจ๊ะพ่อจ๋า..!” แกหยุดพูดครู่สั้นๆจ้องมองหน้าผมเขม็ง ก่อนจะรีบพูดต่ออย่างเอาใจว่า

“แม่รักพ่อ..แม่บอกหนู..แม่รักเราทั้งสองคน”

ผมก้มลงมองใบหน้าเล็กๆนั้น แววตาแกบอกความลังเล อยากจะให้ผมยอมรับในสิ่งที่แกเชื่อมั่น ผมหลับตาลง บังคับให้น้ำร้อนๆที่เอ่อท้นขึ้นในดวงตา ไหลย้อนกลับลงไปในอก

“จ้ะลูก..ลูกยอดรักของพ่อ”

ผมรู้..รู้ว่าผมปลอบแกไปอย่างนั้นเอง..ชั่วชีวิตนี้ เราอาจจะไม่มีเวลาที่จะได้กลับมาพบกันอีก ความจริงกำลังปรากฏขึ้นแล้ว นอร่าลุกขึ้นจากที่นั่งและกำลังเดินตรงเข้ามาหาเรา

            “มากับแม่เถอะลูก” เธอว่า “ถึงเวลากลับบ้านแล้ว..มาสิจ๊ะ”

            ดาเนียลมองตอบเธอแล้วก็หันมามองผมอย่างไม่แน่ใจนัก ผมพยักหน้าให้แกขณะที่นอร่าเอื้อมมือมารับแกออกไปจากอ้อมแขนผม..ผมรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า..ความว้าเหว่ เดียวดายที่พลุ่งขึ้นในอารมณ์ ความอาวรณ์อย่างเหลือล้นท้นขึ้นมาในหัวอก

            และแล้ว เราก็เงยหน้าขึ้นประสานสายตากัน..สำหรับผม มันเป็นแววตาของผู้พ่ายแพ้แก่ความเจ้าเล่ห์เพทุบายนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่สำหรับนอร่า..

            ก็แววอย่างนี้ละ ที่ผมเคยเห็นมาก่อน ตอนที่เธอทำลายรูปปั้นฝีมือของตัวเองที่สำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้ว แต่เธอเกิดไม่ถูกใจขึ้นมา..แล้วผมก็เกิดสำนึกขึ้นมาได้ ว่าบางที ดาเนียลคงจะมีความหมายต่อตัวเธอบ้าง..นอร่าต้องการลูก แกคืองานศิลปะอย่างหนึ่งที่นอร่างสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเธอเอง

            เธอวางดาเนียลให้ยืนกับพื้นและแล้วก็จูงมือแกเดินออกไปยังประตู ขณะที่นอร่าเอื้อมไปเปิดประตูนั้น ดาเนียลหันกลับมามองหน้าผม

            “เดี๋ยวพ่อจะตามไปใช่ไหม..กลับไปบ้านของเรานะ” เสียงอ่อนๆใสๆของแก เกือบจะทำให้ผมสะอื้นออกมาอย่างหมดอาย

            ผมสั่นศีรษะ น้ำร้อนๆไหลเอ่อขึ้นมาในเบ้าตาทั้งสองข้างของผมอีกแล้ว สายตาผมพร่าเลือนจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรไปชั่วขณะ และแล้ว..ผมก็บังคับตัวเองให้พูดออกไปว่า

            “ไม่หรอกลูก พ่อยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่คุยกับท่านสุภาพบุรุษเหล่านี้อีกสักพักหนึ่งก่อน แล้วพ่อจะไปหานะ”

            “มาเร็วๆนะพ่อ..บ๋าย..บาย” แกโบกมือเล็กๆให้ผม รอยลักยิ้มบุ๋มบนร่องแก้มสีแดงปลั่ง โอ..พระเจ้า..โอ..ความบริสุทธิ์

            ประตูปิดตามหลังไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั้น เซ็นรับทราบในเอกสารสำคัญหลายแผ่น

            และหลังจากนั้นผมก็ออกจากศาล จับรถไฟไปลา จอลล่า แล่นเรือคู่ชีวิตออกไปกลางทะเลและตั้งต้นดื่ม..

            เป็นเวลาเกือบอาทิตย์ กว่าที่ผมจะทำใจให้ยอมรับกับการสูญเสียครั้งนี้ได้.

 

ผมชำระค่าตั๋วเครื่องบิน เมื่อพนักงานที่สนามบินตรวจตรากระเป๋าเดินทางของผมเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าไปในห้องพักรอสำหรับผู้โดยสาร ซึ่งมีเครื่องดื่มไว้บริการ นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งและสั่งแมนฮัตตันมา 2 ที่

ผมจิบเครื่องดื่มช้าๆ ปล่อยให้รสหวานและความเย็นฉ่ำของมันซ่านเข้าไปในลำคอ แล้วผมก็หันมาพิจารณาอลิซาเบท ท่าทางเธอดูเหนื่อยอ่อน

            “คุณเป็นยังไงบ้าง?” ผมถาม “ที่จริงแล้วผมไม่น่ายอมให้คุณออกมากับผมอย่างนี้เลย”

            เธอยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันปกติดี” แก้มเธอแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย “อาจจะกังวลใจมากไปหน่อยแต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”

            “อันที่จริงก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวลนี่นา ผมก็เดินทางเสมอๆอยู่แล้ว”

            “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องเครื่องบินหรือเรื่องการไปของคุณหรอกค่ะ แต่ที่ฉันห่วงคือตัวคุณเอง”

            ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ”ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมก็ยังเป็นผม จำไว้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” ผมยิ้มให้เธอ

            แต่เธอไม่ได้ยิ้มตอบ

            “ในที่สุดคุณก็ต้องกลับไปพบเธออีกจนได้”

            เพียงเท่านั้นผมก็รู้ว่าความกังวลใจของอลิซาเบทนั้นหมายความถึงอะไร เธอคิดถูกต้องแล้ว..นอร่ารู้วิธีที่จะตัดตอนผมเสมอ แล้วก็จะเอาชิ้นส่วนที่ตัดตอนนั้นเก็บกลับมาผสมผสานกันใหม่ ผมคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเสมือนงานชิ้นหนึ่งที่เธอพยายามสร้างขึ้น เมื่อไม่สมบูรณ์แบบตามความปรารถนาของเธอ นอร่าก็สามารถทำลายมันลงได้

            ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนที่อลิซาเบทพูดกับผมนี่เอง ผมหวนกลับไปสู่ความทรงจำรำลึกเก่าๆอีกครั้ง มันเป็นเวลาประมาณ 6 ปีมาแล้ว และดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ผมได้หย่าขาดจากเธอ 5 ปีเต็ม

           

            ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูร้อน ดาเนียลเพิ่งมีอายุได้ 8 ขวบ และเรา..ผมกับลูก ได้พบกันตามข้อตกลงที่ได้กระทำกันต่อหน้าศาล หลังจากที่ผมพาลูกไปอยู่ที่ลา จอลล่าจนครบกำหนดเวลาแล้ว ผมก็พาแกกลับมาบ้านที่ซานฟรานซิสโก เอาตัวไปส่งให้แม่ของแก

            ดานี่วิ่งเข้าไปในบ้าน ขณะที่ผมยืนรออยู่ข้างนอกให้คนรับใช้ออกมาเอากระเป๋าเสื้อผ้าของแกไปเก็บ ผมไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกเลย นับแต่วันที่เราหย่าขาดจากกัน

            ประตูใหญ่เปิดออก แต่ผู้ที่มาเปิดกลับเป็นตัวนอร่าเอง ไม่ใช่คนรับใช้..เราต่างมองจ้องตากันอยู่ครู่สั้นๆ เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา สายตาของคนแปลกหน้าแล้วเธอก็กล่าวเรียบๆออกมาว่า

            “ฉันต้องการพูดกับคุณ”

            “เรื่องอะไร?” ผมถาม

            นอร่าไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเลยสักนาทีเมื่อตอบออกมาว่า

            “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อนุญาตให้คุณมาเยี่ยมดานี่อีกต่อไป”

            “ทำไม..เพราะอะไร..?” ผมสั่นไปทั้งตัว

            “แกไม่ใช่เด็กเล็กๆอีกต่อไปแล้ว และฉันไม่ต้องการให้ลูกสาวฉันเห็นอะไรๆที่คุณทำ”

            “เช่นอะไรบ้างล่ะ?” ผมย้อนถามอย่างโกรธจัด

            “ก็อย่างชีวิตที่คุณต้องอาศัยอยู่ในเรือ หรือการที่คุณเอาผู้หญิงเม๊กซิกันมานอนกับคุณ ความขี้เหล้าของคุณ..ฉันไม่ต้องการให้แกต้องพบเห็นกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น”  

“พูดเก่งนี่” ผมตอกเข้าให้ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเต็มที่ “ชีวิตของคุณคงเรียบร้อยดีสินะ นอนอยู่บนผ้าปูที่นอนที่ขาวสะอาด มีขวดมาตินี่วางอยู่ใกล้ๆ..เอาไว้เร่งอารมณ์ยังไงล่ะ”

“ถ้ารู้ดียังงั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดกันอีก” เธอสะบัดใส่ผมทันที

            ผมรู้สึกเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตายลงในบัดดล คนอย่างเรา ระหว่างเธอกับผม..เราต่างก็รู้กันอยู่ว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่

            “ถ้าคุณขืนขัดขวางผม ผมจะตั้งทนายฟ้องคุณ”

            “เชิญเลย..ถ้าคุณคิดว่ายังจะมีทนายความคนไหนในเมืองนี้ที่เขายังอยากจะพูดกับคนอย่างคุณ คนที่ไม่มีแม้แต่จะกิน ทั้งสกปรก ขี้เมาก็เท่านั้น ถ้าเรื่องถึงศาลฉันก็จะแฉโพยออกมาให้หมดเสียทีว่า คุณมีความเป็นอยู่ยังไง..ไม่ต้องคิดสู้กับฉันหรอก..ไม่มีทาง”

            ประตูปิดโครมใส่หน้าผมและผมก็ได้แต่จ้องมองบานประตูนั้นเหมือนไอ้งั่ง รู้สึกตัวเองว่าเดินออกจากบ้านหลังนั้นอย่างเลื่อนลอยเต็มที

ผมไม่ได้กลับไปบ้านทันที แต่ย้อนกลับไปที่เรือ สมบัติส่วนตัวชิ้นเดียวที่ผมมี พร้อมด้วยวิสกี้ครึ่งหีบ

2 วันที่ผ่านไป ผมใช้เหล้าเป็นเพื่อนโดยตลอด คราวนี้ผมร้องไห้ได้แล้วอย่างไม่ต้องอายใครและในวันที่ 3 นั้นเอง ที่มีเสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเคบิน ผมกระชากประตูเปิดออกทันที

            ดวงตาของผมกระทบแสงสว่างเข้าอย่างจัง มันพร่าเลือนไปชั่วขณะ อาจจะเป็นเพราะผมกำลังเพลียด้วยฤทธิ์เหล้า ผมกระพริบตาถี่ๆเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเคาะประตูห้องเคบินของผม เป็นผู้หญิงแปลกหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

            “มีคนบอกว่าคุณมีเรือให้เช่า” ผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณเป็นเจ้าของเรือหรือคะ?”

            ตอนนั้นดวงตาของผมคงแจ่มขึ้นบ้างแล้ว ผมจึงสังเกตเห็นว่าเธอเป็นคนรูปร่างดี ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ผิวสีแทน ปากกว้างและฟันเรียบสะอาด

            “ผมเป็นทุกอย่างแหละครับ ทั้งลูกเรือ กัปตันและเจ้าของเข้ามาก่อนสิครับ”

            เธอก้าวเข้ามาในห้องเคบินด้วยท่าทางมั่นคง หันไปมองรอบๆห้องอย่างพิจารณา ในห้องเล็กๆของผมนี้มันคงไม่น่าดูนัก มันไม่ใช่สถานที่ที่จะต้อนรับสุภาพสตรีคนไหนๆทั้งสิ้น  เพราะมันเต็มไปด้วยขวดเหล้ากลิ้งอยู่ตามพื้น..แต่ก็ไม่เห็นเธอว่ากระไร

            “ขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยเรียบร้อย” ผมออกตัว “ผมชอบดื่มตอนว่างงาน” ผมรู้สึกเหมือนพยายามแก้ตัวโง่ๆ

            “เหมือนพ่อฉันเลยค่ะ”เธอตอบง่ายๆ รอยยิ้มอ่อนๆระบายอยู่บนริมฝีปาก

            “คุณพ่อคุณเป็นชาวเรือเหมือนกันหรือครับ?” ผมมองหน้าเธอเงียบๆก่อนถาม

            “ไม่หรอกค่ะ” เธอสั่นศีรษะ “พ่อทำงานอยู่ในนิวยอร์กแต่ดื่มจัดมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ต้องทำงานหรือว่างงาน”

            “แต่ตอนทำงานผมไม่ดื่มหรอกครับ” ผมว่า

            “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เหมือนพ่อ” เธอตอบง่ายๆอีกครั้งหนึ่ง

            “นั่งก่อนสิครับ..เอ้อ..ผมไม่ทราบว่าคุณดื่มได้หรือเปล่า ผมไม่มีอะไรไว้รับรองคุณ นอกจากนี่..”..ผมเอื้อมไปหยิบขวดเบอเบิ้นออกมา

            “พอได้บ้างค่ะ”

            ผมหาแก้วสะอาดๆมาได้ 2 ใบ

            “นั่งก่อนสิครับ ผมมีแต่น้ำเย็นนะน้ำแข็งหมดแล้ว”

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันก็เคยชอบกินเหล้าผสมน้ำเหมือนกัน”

            เราต่างยกแก้วขึ้นดื่มและผมก็ต้องแปลกใจที่เธอดื่มเหล้าหน้าตาเฉยเหมือนดื่มน้ำ

”เอาละ ตอนนี้เราพูดเรื่องงานกันเสียที” เธอกล่าวขณะวางแก้วลง

            “คุณคิดค่าเช่ายังไงคะ?”

            “ก็..วันละ50เหรียญ ออกเรือตั้งแต่ตี 5 กลับประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน”

            “ถ้าคิดเป็นสัปดาห์ละคะ เพราะเราต้องการล่องเรือขึ้นไปลอสแองเจลิส จะอยู่ที่นั่นสักอาทิตย์หนึ่ง..พักผ่อนน่ะค่ะแล้วก็กลับ”

            “เรา..หรือครับ..ประมาณสักกี่คน?” ผมถาม

            “สองคนค่ะ หัวหน้ากับดิฉัน”

            ผมมองเธออย่างพิจารณาก่อนจะตอบว่า

            “เรามีห้องเคบินอยู่เพียงห้องเดียว แต่คงจะตอขึ้นง่ายๆอีกสักห้องได้ ต่อบนดาดฟ้าเรือ”

            “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เธอพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

            “ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่ายังไง

            “ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ..”เธอหัวเราะเบาๆอีกครั้งหนึ่ง “หัวหน้าฉันท่านอายุ 71แล้ว และท่านก็รักดิฉันเหมือนลูก”

            “อ้าว..ถ้ายังงั้นแล้วทำไมถึงต้องเช่าเรือล่ะครับ” ผมถามโง่ๆอีก

            “อ๋อ คืออย่างนี้ค่ะ ท่านมีกิจการก่อสร้างอยู่ที่นี่ แล้วก็ต้องวิ่งขึ้นล่องเกี่ยวกับงานอยู่เสมอ ไม่เคยได้พบได้เห็นอะไรนอกจากทราบกับควัน แล้วท่านก็เลยคิดว่า อาจจะเป็นการดี ถ้าเราจะได้รับลมทะเลกันเสียบ้าง อาจจะไปตกปลาเล่นก็ได้ เป็นการพักผ่อนไปในตัว”

            “ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูตกปลาหรอกครับ เพราะช่วงเวลานี้มันล่องลงไปทางเม๊กซิโกหมดแล้ว”

            “ก็คงไม่สำคัญอะไรนักหรอกค่ะ” เธอตอบเบาๆ “ขอให้เราได้พักผ่อนก็แล้วกัน”

            “แล้วเรื่องอาหารล่ะครับ จะต้องให้ผมเตรียมให้ด้วยหรือเปล่า?”

            “ถ้าเป็นวันหยุดก็คงต้องเตรียม” เธอตอบ

            “ถ้าสัก 500 เหรียญจะแพงไปไหมครับ?”

            “สัก 400 ก็แล้วกัน”

            “ก็ได้” ผมตอบพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง “คุณจะใช้เรือสักเมื่อไหร่ครับ?”

            “พรุ่งนี้เช้าเลยค่ะ ถ้าคุณพร้อมประมาณสัก 8 โมงเช้า..เอ้อ..บางทีคุณอาจต้องการเงินล่วงหน้าบ้าง..?”

            ผมมองดูใบหน้านั้น แววซื่อๆที่ปรากฏในดวงตาทำให้ผมตอบออกไปว่า

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเชื่อคุณ”

            “แอนเดอร์สันค่ะ..ฉันชื่อ อลิซาเบท แอนเดอร์สัน” เธอลุกขึ้นยืน “เสร็จธุระแล้ว ฉันจะกลับก่อนนะคะ”

            คลื่นจากเรือลำอื่นวิ่งเข้ามากระทบกราบเรือเบาๆ เรือผมโคลงเล็กน้อย เธอเอื้อมมือไปยึดราวไว้ขณะก้าวลงจากเคบิน แล้วทันใดผมก็ถามออกไปอย่างโง่ๆว่า

            “ขอโทษเถอะครับคุณแอนเดอร์สัน  วันนี้วันอะไรแล้วครับ?”

            เธอหัวเราะออกมาทันที เสียงหัวเราะของเธอทั้งอบอุ่นแจ่มใส

            “คุณนี่เหมือนพ่อฉันจริงๆเลย ท่านชอบใช้คำถามอย่างนี้กับฉันเสมอ ถ้าวันไหนเกิดต้องทำงานเข้า..วันนี้วันพุธแล้วค่ะ”

            “ครับผม” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งยังไงยังงั้น..

            สายตาของผมมองตามร่างที่ก้าวลงจากเรือ จนกระทั่งถึงรถที่จอดเทียบไว้ริมท่า เธอหันมาโบกมือให้ผมก่อนจะก้าวเข้าไปในที่นั่งและขับรถจากไป

            ผมหวนกลับเข้าไปในเคบินและเริ่มลงมือทำความสะอาด

            และนี่คือครั้งแรกที่ผมพบเธอ หลังจากนั้นอีกเกือบปีทีเดียวกว่าที่เราจะแต่งงานกัน

 

“นั่นคุณยิ้มทำไมคะ?” เสียงอลิซาเบทถามอยู่ใกล้

ผมตื่นจากภวังค์อีกครั้งหนึ่ง วางมือทาบลงบนหลังมือเธอ

            “กำลังคิดถึงวันแรกที่เราพบกัน” ผมตอบ “นางฟ้าผมสีบลอนด์ของผมยังไงล่ะ”

            เธอหัวเราะเบาๆยกแก้วแมนฮัตตันขึ้นจิบ

            “แล้วฉันยังคงเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่าล่ะ เพราะตอนนี้ก็คงจะไม่ได้เป็นนางฟ้าผมสีบลอนด์ของคุณอีกแล้ว เป็นแค่ยายแก่คนหนึ่งเท่านั้น”

            ผมส่งสัญญาณให้บริกรเอาเหล้ามาเพิ่มอีก 2 ที่

            “ผมว่าคุณยังเป็นอย่างนั้นสำหรับผมอีกนาน”

            สีหน้าเธอดูเคร่งขรึมไปขณะกล่าวว่า

            “คุณไม่เสียใจหรอกหรือคะที่ต้องมาแต่งงานกับฉัน?”

          “อย่าถามโง่ๆน่ะ” ผมสั่นศีรษะประกอบคำพูด “ผมจะรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไงกัน?”

            “คุณคงไม่ตำหนิฉันหรอกนะคะสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอ้อ..ฉันหมายถึงเรื่องดานี่น่ะค่ะ”

            “ทำไมผมจะต้องตำหนิคุณ” ผมว่า “ ไม่เห็นเป็นเรื่อง แล้วอีกอย่างหนึ่งเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครไปหยุดมันได้หรอก เดี๋ยวนี้ผมพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว”

            “ฉันอาจจะคิดเอาเองก็ได้นะคะ คือฉันรู้สึกว่า หมู่นี้อารมณ์ของคุณเปลี่ยนบ่อยๆ”

            “ผมมันไอ้งั่ง” อารมณ์สะเทือนใจผุดพลุ่งขึ้นมาทันที “และการที่ผมต้องเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากดานี่ด้วย”

            บริกรถือแก้วเครื่องดื่มมาวางให้บนโต๊ะ เวลาที่เรารอคอยดูจะมาถึงช้าเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องคอยเครื่องบินเพื่อการเดินทาง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องการที่จะให้อะไรมันเสร็จลุล่วงไปเสียที ให้มันทันใจเรา อาจจะจะอยากให้เครื่องบินมันบินได้ชั่วโมงละ 600 ไมล์ด้วยซ้ำ

            แต่ถึงจะอยากอย่างไร เราก็ยังคงต้องคอยอยู่อย่างนั้น เจ้าความอยากมันก็เป็นเพียงความใจร้อนที่ผุดพลุ่งขึ้นมาได้เรื่อยๆเท่านั้นเอง

            ผมไม่อยากให้มีวันนี้เกิดขึ้นในโลกเลยหรืออย่างน้อยก็อยากจะให้เวลาหรือโลก หยุดหมุนลงสักชั่วขณะเหลือเพียงแค่เมื่อเช้าวานนี้ก็เป็นได้

            เพราะเมื่อเช้าวานนี้ ที่ผมยังได้รับสัมผัสอันอบอุ่นจากสายลม ขณะก้าวเข้าไปในบริเวณสำนักงานชั่วคราวสำหรับอาคารที่กำลังก่อสร้างเกือบจะเสร็จอยู่แล้วของเรา โดยเฉพาะเป็นงานก่อสร้างที่ผมจะต้องรับผิดชอบอยู่

            บ้านหลังสุดท้ายได้ลงมือก่อสร้างมากำลังจะสำเร็จเรียบร้อยอยู่แล้ว ผมต้องยอมรับว่า ผมหวังที่จะได้งานชิ้นใหม่ ได้ทำงานร่วมกับคนกลุ่มเดิมที่สามารถเข้ากันได้ดีและอยากจะให้งานได้สำเร็จเรียบร้อยไปก่อนที่หน้าหนาวจะมาถึง

            ก็เพิ่งเมื่อเช้าวานนี้ไม่ใช่หรือเล่า ขณะที่ผมกำลังตรวจตราเอกสารสัญญาก่อสร้างต่างๆอยู่ ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีตามโครงงานที่เราได้วางไว้ ผมจะมีงานทำต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธันวาคม ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นลูกน้อยที่กำลังจะเกิด ก็คงจะโตพอที่เราจะย้ายลงไปทางใต้ได้ เดวิสเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่ง กำลังเริ่มต้นพิจารณาโครงการใหม่นอกเมืองเดโทน่า ซึ่งมีโอกาสดีรอคอยเราอยู่และผมก็จะได้ตำแหน่งผู้ควบคุมการก่อสร้างต่อไปตามเดิม

            ผมไม่ใช่นักสถาปัตยกรรมศาสตร์อย่างที่นอร่าเคยต้องการที่จะให้ผมเป็น มันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอย่างผมที่จะนั่งอยู่แต่ในสำนักงาน มีเลขานุการคอยรับคำสั่ง พบปะแต่กับลูกค้ารายสำคัญๆที่จะคอยสั่งให้ผมออกแบบห้องส้วมหรือเอาแผ่นทองปะลงไปบนเครื่องล้างจานในครัว เพื่อจะให้เข้าชุดกับเครื่องรับโทรศัพท์สีชมพูลายทองที่ตั้งอยู่นอกห้องได้

          เพราะในความเป็นจริงแล้ว งานที่ผมต้องการทำคืองานกรรมกร งานที่ต้องสวมเสื้อชุดหมีออกไปทำงานเคียงคู่กับเดวิส ย่ำลงไปในโคลนตมตลอดวันและสร้างบ้านเป็นล๊อคๆ อาจจะล๊อคละ 10,12 หรือ 15หลัง ความจริงมันก็คือบ้านธรรมดาๆไม่เห็นจะน่าดูสักเท่าไร แต่มันก็เป็นบ้านสำหรับให้คนอยู่ คนธรรมดาๆที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ไม่ใช่บ้านมหาเศรษฐีที่มีเงินสร้างบ้านไว้เพียงเพื่ออวดความมั่งคั่งร่ำรวยในสังคม

            ผมรู้จักตัวเองดี งานก่อสร้างที่ผมทำช่วยให้ผมได้สำนึกอยู่เสมอว่า ผมยังคงเป็นคนที่มีประโยชน์อยู่และได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพื่อคนทั่วๆไปบ้าง เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผมเองก็ต้องการที่จะกระทำเช่นนั้นด้วยและเมื่อได้ทำแล้ว ก็บังเกิดความรู้สึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็นบ้านแต่ละหลังสำเร็จลง

            สิ่งนี้เป็นความประสงค์ของผมมานานนักหนา ก่อนหน้าที่ผมจะต้องเข้ารับราชการทหารและต้องออกแนวรบ

            ก็ตอนที่ผมกำลังตรวจตราสเปคของบ้านแบบเรือนแถวอยู่นั่นเองที่แซม แบรดี้ เดินเข้ามาในที่ทำงาน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่ง เป็นนักก่อสร้างและเป็นนายงานของผมไปพร้อมกัน

            ผมยิ้มให้เขาขณะพูดว่า..

            “คุณมาพอดี ตอนนี้ผมกำลังให้เขาเอาพิมพ์เขียวงานก่อสร้างเรือนแถวเข้ามาตรวจ”

            แต่แซมไม่ได้ยิ้มตอบผม ซึ่งผมรู้ได้ทันทีว่ามันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

            “อ้าว..เป็นอะไรไปล่ะ คุณยังไม่ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างงานรายใหม่หรือยังไง?”

            “เซ็นแล้ว และก็รับเงินล่วงหน้ามาแล้วด้วย” แซมตอบอย่างเฉยเมย

            “อ้าว..”ผมร้องออกมาอีก “แล้วทำไมทำสีหน้าอย่างนั้นล่ะ ถ้าคุณได้มาขนาดนั้นเราก็คงจะต้องลงมือกันก่อนที่หิมะจะหล่นลงมา พอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคุณก็มีเงินเต็มกระเป๋าแล้ว”

            “แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ลุค” แซมตอบ “ผมเสียใจเหลือเกินที่มีเรื่องบางอย่างต้องพูดกับคุณ..มันอาจทำให้คุณผิดหวัง”

            “หมายความว่ายังไง” ผมถาม รู้สึกสังหรณ์ใจในอะไรบางอย่างขึ้นมา “มีนายทุนคนใหม่มาจ้างคุณพร้อมกับทีมงานใหม่ของเขาอย่างนั้นหรือไง?”

            “ใช่” ท่าทางของแซมบอกความไม่สบายใจอย่างยิ่ง “และเขาก็มีคนของเขาอยู่แล้ว มือใหม่ทั้งหมด” เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ “มันเป็นความคิดของเขานะลุค ไม่ใช่ของผม แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ผมต้องทำ ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีคน งานของเราก็ดำเนินต่อไปไม่ได้” เขาอัดควันบุหรี่ลึกก่อนพูดต่อ

            “ผมเสียใจจริงๆลุค”

            “เสียใจ..?” ผมมองหน้าเขางงๆและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบบ้าง “ดูจะเป็นคำปลอบใจที่ดี แล้วคุณคิดบ้างไหมว่าผมรู้สึกยังไง?”

            “ใช่” เขาผงกศีรษะช้าๆ “ผมเข้าใจคุณดี..ตอนนี้คุณได้ข่าวงานจากเดวิสหรือยังล่ะ?”

            “ยัง” ผมสั่นศีรษะ..รู้สึกสิ้นหวัง

            “ก็คงจะเร็วๆนี้หรอก” เขาตอบ

            ผมสูบบุหรี่เงียบๆ

            “บางที..บางทีผมอาจจะช่วยพูดให้เขาพิจารณารับคุณเข้าร่วมงานได้บ้าง” แซมพูดด้วยท่าทีลำบากใจเป็นอย่างยิ่งจนผมสังเกตเห็น

            “ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” ผมตอบ “ผมรู้ดีเท่าคุณว่ามันเป็นไปไม่ได้”

            เขาพยักหน้ารับ..แน่นอน แซมรู้ดี โอกาสที่ผมจะทำงานร่วมกับเขาสิ้นสุดลงแล้ว

            “ผมจะลาออกวันนี้” ผมพูดขณะกดบุหรี่ลงในที่เขี่ย

            “รู้สึกว่าเขาเตรียมคนใหม่ให้เข้าทำงานแทนคุณ..จะมาถึงตอนบ่ายวันนี้เหมือนกัน”

            “ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะได้เก็บข้าวของเสียเดี๋ยวนี้เลย” ผมตอบเรียบๆขณะเดินไปที่โต๊ะทำงาน

            แซมพยักหน้ารับช้าๆ เขายื่นซองขาวให้ผม..นั่นเป็นเงินงวดสุดท้ายที่ผมจะได้รับ แล้วก็เดินเลยออกไปจากห้อง ผมจ้องมองตามหลังเขาอย่างงงงัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ครู่สั้นๆเท่านั้น แล้วผมก็ตั้งสติได้ลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมด

            ผมไม่ได้ตรงกลับบ้านทันทีแต่กลับไปที่บาร์ เรียกเบียร์มาดื่ม..ระยะหลังๆนี้ ผมพยายามห่างเหล้าให้มากที่สุด ทั้งนี้เพราะเบียร์ราคาแค่ขวดละ 15 เซ็นต์เท่านั้น

            มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมไม่ต้องการกลับบ้านในทันที..แต่แล้ว อาจจะเป็นเพราะสายตาของบาร์เทนเดอร์ที่กำลังมองผมอยู่ ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนประเภทวัวสันหลังหวะ..สายตาคู่นั้นคล้ายจะบอกกับผมว่า..ฉันรู้เท่าทันแกน่า..แกเพิ่งถูกไล่ออกจากงานใช่ไหมล่ะ..อา..คนที่หมดสิ้นอนาคตและความหวัง เกิดขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว

            ผมโยนเศษเงินทอนไว้ตรงหน้าเคาเตอร์นั่นเอง และเดินออกจากบาร์ทันที ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้ทั้งวัน ถึงอย่างไร ไม่ช้าก็เร็ว ผมก็ต้องบอกอลิซาเบทอยู่ดี

            แต่แล้ว..เรื่องมันกลับง่ายกว่าที่ผมคิด..มันทำให้ผมรู้จักคนที่เป็นเมียของผมดีขึ้นอีกมาก 

อลิซาเบทเป็นคนประเภทที่อ่านอะไรออกได้ทั้งหมดในนาทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเธอสังเกตเห็นว่า วันนี้ผมกลับจากที่ทำงานแต่วันก็เป็นได้ เธอไม่เอ่ยถามอะไรออกมาสักคำ ตอนที่ผมเล่าเรื่องที่พยายามให้ง่ายที่สุดให้เธอฟัง

            เธอกลับวางไก่ลงในเตาอบและทำอะไรต่อมิอะไรง่วนไปหมด เหมือนไม่สนใจกับเรื่องที่ผมกำลังเล่าเลย..แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังคิด..

            ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว รอคอยที่จะฟังว่าเธอจะพูดอะไรออกมาสักประโยค ผมไม่รู้ว่าเธอควรจะพูดว่ากระไร แต่..พูดอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือ..อาจจะแสดงความโกรธ ความเสียใจ ความผิดหวังอะไรก็ได้..

            แต่ทั้งหมดที่เธอทำก็คือ หันกลับมาบอกผมเรียบๆว่า

            “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัวใหม่เสียสิคะ”

           

            ผมเกือบจะสั่งเหล้าเป็นรอบที่ 3อยู่แล้ว แต่เมื่อเหลือบเห็นสายตาอลิซาเบทเข้าผมก็เปลี่ยนใจ สั่งกาแฟมาแทน ซึ่งทำให้เธอยิ้มออก

            “ถ้าผมขืนสั่งเหล้ามาอีกแก้ว สงสัยคุณจะประสาทเสียแน่” ผมว่า

            “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณควรเมาแล้วละค่ะ ต้องเตรียมใจให้ดีถ้าหวังจะช่วยดานี่”

            “ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง”

            “มันก็คงต้องทำเข้าจนได้สักอย่างหนึ่งนั่นแหละ”เธอตอบ “ไม่อย่างนั้นกอร์ดอนจะอยากให้คุณไปที่นั่นทำไม”

            “นั่นน่ะสิ”

            ในฐานะทางสังคมที่ผมยังคงเป็นพ่อของดาเนียลอยู่ ผมก็คงจะต้องแสดงอะไรๆตามฐานะอย่างว่าของผมบ้าง แม้ว่าบางครั้ง มันจะดูคล้ายๆตัวละครที่ออกแสดงทางทีวีบ้างก็ตาม

            ผมยังไม่ได้พักเลยตั้งแต่เช้า เข็มนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดไว้บนผนังห้องค๊อกเทล ชี้บอกเวลาตี2กับ15นาที ผมรู้สึกอยากได้อากาศบริสุทธิ์บ้าง

            “เราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”

            อลิซาเบทพยักหน้ารับ ผมเรียกบริกรมาคิดเงินแล้วเราก็เดินออกไปยังดาดฟ้าที่มองเห็นรันเวย์เบื้องล่าง

            เครื่องบินเจทลำหนึ่งกำลังร่อนลง เสียงเครื่องยนต์คำรามกึกก้อง  มองเห็นเครื่องหมายเป็นอักษร เอ 2 ตัว ที่ข้างลำได้อย่างชัดเจน และ..เมื่อล้อแตะพื้นสนามบินแล้วก็แท็กซี่ไปตามรันเวย์

            เสียงโฆษกสนามบินประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงดังอยู่ว่า

            “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปซานฟรานซิสโกโดยเที่ยวบินสายอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 42 เชิญที่ประตูหมายเลข 4 ได้แล้วค่ะ”

            เราต่างจ้องมองดูเครื่องบินลำใหญ่ที่แท็กซี่เข้ามาจอดยังลานบินเรียบร้อยแล้ว ราวกับไม่เคยเห็นเครื่องบินมาก่อน ใบพัดขนาดใหญ่ทั้ง 4 หมุนจี๋จนมองไม่ทัน ปีกกว้างใหญ่ของเครื่องราวจะประกาศศักดาแห่งความเป็นนกยักษ์และเมื่อประตูเครื่องบินเปิดออก ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยลงตามกันมา

            “เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกเหงาๆในใจยังไงชอบกล”อลิซาเบทเอ่ยขึ้นลอยๆ

            ผมหันไปมองดูเธอ ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มระบายอ่อนๆอยู่เสมอ บัดนี้ดูซูบซีดผิดตา โดยเฉพาะเมื่อต้องกับแสงไฟสีน้ำเงินอ่อนที่สาดส่องมาจากลานบิน ผมจับมือเธอมากุมไว้ มือนั้นเย็นเฉียบ

            “ผมไม่รู้ว่าจะไปหรือไม่ไปดี”

            “คุณต้องไปค่ะ” อลิซาเบทตอบเรียบๆ

            “แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะว่า ผมไม่ได้ไปเพราะนอร่า” ผมปลอบเธอ “มันผ่านมา 11 ปีแล้ว และเขาก็เคยบอกกับผมแล้วว่าผมไม่สิทธิ์อะไรที่นั่นทั้งสิ้น”

            “แล้วคุณเชื่อหรือเปล่าล่ะคะ?”

            ผมไม่ได้ตอบออกไปทันทีแต่ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ แต่เธอกลับไม่หยุดอยู่แต่เพียงแค่นั้น

            “จริงไหมคะ?” เธอคาดคั้น มีความรู้สึกกึ่งน้อยใจอยู่ในกระแสเสียง

            “ไม่จริง” ผมตอบ มองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง ตอนนี้พนักงานประจำเครื่อง กำลังขนกระเป๋าผู้โดยสารลง

            “ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องเชื่อถืออีกต่อไป คุณก็รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าดาเนียลเป็นลูกสาวคนเดียวของผม แต่บางครั้ง ผมก็อยากจะเชื่อตามข้ออ้างของนอร่าที่ว่าผมไม่ใช่พ่อของแก ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ อะไรๆมันก็คงง่ายกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

            “อย่างนั้นหรือคะ?” อลิซาเบทถามด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “ถ้าคุณคิดอย่างนั้นแล้วคุณสามารถที่จะลบล้างความหลังที่คุณเคยมีกับแกได้หรือเปล่า ในช่วงเวลาที่แกใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณมากกว่ากับแม่ของแกเอง?”

            ผมรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาในหัวใจ..

            “เลิกพูดเรื่องนี้เสียทีเถอะ” ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงแม้ว่าผมจะเป็นพ่อของแกจริงๆ ผมเคยทำหน้าที่ของพ่อแบบไหนให้กับแกบ้าง ผมเลี้ยงดูแกไม่ได้ ปกป้องคุ้มครองแกไม่ได้ ไม่สามารถแม้แต่จะป้องกันแกจากแม่ของแกเองด้วยซ้ำ”

            “แต่คุณก็รักแกได้นี่คะ สิ่งนี้คุณก็รู้และคุณก็ได้ทำอยู่แล้ว”

            “ใช่..ใช่..ผมรักแก” ผมตอบอย่างขมขื่นใจเหลือจะกล่าว “ก็ไอ้ความรักนี่แหละที่ช่วยคงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นพ่อกับลูกของเราเอาไว้ แล้วตอนนี้ผมก็กำลังจะเดินทางไปทำหน้าที่พ่อของผม ไปทั้งๆที่ไม่มีเงิน ไปทั้งๆที่ถูกเหยียดหยาม” ผมสะอึกไม่มีใครรู้ใจของผมดีไปกว่าตัวผมเอง..”รู้อย่างนี้ ผมจะไม่ยอมยกแกให้นอร่าเลย”

            “คุณจะทำยังไง?”

            “ก็..อาจจะพาตัวหนีไปเสียให้พ้นๆละมัง” ผมตอบ “ไม่รู้สินะหรืออาจทำอย่างอื่นก็ได้”

            “แต่คุณก็เคยลองพยายามมาแล้วไม่ใช่หรือคะ?”

            “ผมรู้ แต่ตอนนั้นผมไม่มีเงินแม้แต่สักเซ็นต์เดียวแล้ว ผมมันก็เหมือนไอ้งั่งตัวหนึ่ง ผมคิดแต่เพียงว่า..ผมต้องมีเงินเท่านั้น ลืมนึกไปว่าที่ดานี่ต้องการจริงๆคือความรัก..”แล้วผมก็หันไปหาเธอ พร้อมกับพูดต่อ

            “นอร่าไม่เคยรักแก ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เขามีงานต้องทำและดานี่ก็เป็นเพียงอุปกรณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้ชีวิตของเขาสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว เพื่อความสะดวกสบายบางอย่างของเขา แกก็เลยต้องไปอยู่กับคุณยายหรือไม่บางครั้งที่แกลงไปอยู่ในเรือด้วยกันกับผม..คุณเองก็รู้เรื่องทั้งหมดนี่ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

            แต่อลิซาเบทกลับสั่นศีรษะ ผมจึงพูดต่อ ทำนบความคิดของผมกำลังพังทลายลง..

            “ดานี่มักจะแสดงความดีใจทุกครั้งที่ได้พบกับแม่ของแก แล้วแกก็พยายามอย่างเหลือเกินเท่าที่เด็กเล็กๆอย่างแกจะพอทำได้ คือพยายามที่จะไปอยู่ร่วมกับแม่ แต่นอร่ากลับเป็นฝ่ายไม่ใยดีแล้วก็ทำอะไรต่อมิอะไรตามที่ต้องการจะทำต่อไป โดยไม่ได้นึกถึงใจลูกเลย..ผมรู้..ผมสังเกตเห็นทุกครั้งที่ไปรับตัวแกมา แกเป็นเด็กขรึมๆเศร้าๆ ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยของเด็กในวัยอย่างแกควรจะเป็น แม้แต่จะหัวเราะ มันก็ไม่เหมือนกับเสียงหัวเราะของเด็กอื่นเขา มันไม่สดใส..มันไม่ใช่เสียงหัวเราะของเด็ก มันคล้ายๆกับจะเป็นการอำพรางเสียงร้องไห้ของแกมากกว่า”

            หยาดน้ำตาเอ่อท้นขึ้นในดวงตาของอลิซาเบท เธอเคลื่อนกายเข้ามาจนชิดตัวผม

            “คุณเป็นพ่อของแกค่ะ” เธอกระซิบเบาๆ “แม้ว่าคุณจะคุ้มครองดูแลแกไม่ได้ แต่คุณก็ได้พยายามแล้ว”

            เสียงจากเครื่องขยายเสียงของท่าอากาศยานประกาศขึ้นอีกว่า

            “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ แอสโทรเจทเที่ยวบินที่ 42 ไปเดนเวอร์และซานฟรานซิสโก โปรดไปที่ประตูหมายเลข 4 ได้แล้วค่ะ”

            ผมพยักหน้าช้าๆ รู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาในหัวใจ

            “ถึงเวลาแล้ว ผมเห็นจะต้องไปเสียที”

            “ใช่ค่ะ พ่อ”

            ผมหันมามองหน้าเธออย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่อลิซาเบทใช้สรรพนามแทนตัวผมว่า “พ่อ”และอลิซาเบทก็ยิ้มรับ

            “คุณต้องทำตัวให้คุ้นกับคำนี้ไว้ไม่ใช่หรือคะ?”

            “ก็..คงไม่ยากนักหรอก” ผมตอบอึกอัก

            เมื่อลงจากดาดฟ้า เราก็เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องโถงกลาง

            “บอกให้ฉันรู้ด้วยนะคะ ว่าคุณจะกลับวันไหน”

            “ผมจะโทรทางไกลมาบอกล่วงหน้า ถ้าคุณคิดว่าไม่มีอะไรที่จะต้องบอกผมเป็นพิเศษก็อาจจะพูดเพียงว่า..ฉันจะไม่ไปที่นั่น..เอาตามนี้นะ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีเดียวที่จะเซฟค่าโทรศัพท์ของเรา

            “แล้วคุณคิดว่า ฉันมีอะไรจะต้องบอกคุณไหมคะ?”

            ผมวางมือลงบนหน้าท้องของเธอ อลิซาเบทหัวเราะเบาๆ

            “อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันยังไม่คลอดหรอก จะคอยจนกว่าคุณจะกลับมา”

            “สัญญานะ”

            “ค่ะ..สัญญา”

            ที่ประตูทางเข้าหมายเลข 4 ไม่มีคนมากนัก เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่ขึ้นเครื่องกันหมดแล้ว ผมจูบลาอลิซาเบทและส่งตั๋วโดยสารของผมให้เจ้าหน้าที่ตรวจ

            เขารับตั๋วไปจากผม ประทับตราลงและฉีกท่อนบนของตั๋วฉบับนั้นออก ส่งที่เหลือคืนมาให้ผม

            “เดินตรงไปทางนั้นเลยครับคุณคาร์เร่ย์”

            ผมไม่ได้ลงไปเดินยืดเส้นยืดสายที่เดนเวอร์ ตามที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแนะนำ ผมกลับนั่งหลับตาสูบบุหรี่อยู่เงียบๆ แอร์โฮสเตสเอากาแฟมาเสิร์ฟ เป็นกาแฟดำร้อน ที่ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนของมัน ยามที่มันเลื่อนไหลลงไปตามลำคอสู่ช่องท้อง

            6ปี..โอ้..ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนานอะไรเช่นนี้ อะไรๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ตลอดเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เด็กน้อยผู้นั้นอาจจะเจริญวัยขึ้นจนเป็นสาวแล้ว เป็นสุภาพสตรีน้อยๆสวมรองเท้าส้นสูง นุ่งกระโปรงแทนกางเกง ผิวพรรณผ่องใส รู้จักแต่งหน้าแต่เพียงบางเบา ทาปากสีอ่อนๆและแลเงาเปลือกตาด้วยอายแชร์โด้สีฟ้าอ่อนหรืออาจจะเป็นสีเขียวสดใส อาจตกแต่งเรือนผมตามแบบสมัยนิยมที่กำลังแข่งขันกันอยู่

            แล้วสาวน้อยผู้นั้น ก็อาจไม่ใช่สาวน้อยอีกต่อไปเมื่อเธอถูกพาเข้าสังคม และหรือถ้าไม่สังเกตดวงหน้าที่อ่อนเยาว์ของแก

            6 ปี.. ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนานเสียนี่กระไรที่คนเราจากบ้านมา จากลูกน้อยที่กำลังจะกลายเป็นสาวสดในอนาคต  แล้วแกก็คงจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ผมไม่เคยอยากให้แกทำ หรือติดนิสัยไม่ดีจากแม่ของแก

            อนิจจา..6ปี สำหรับลูกน้อย..ดวงใจของพ่อ..มันเปลี่ยนเสียจนแกกลายเป็นฆาตกรไปได้เชียวหรือ..?

            ผมได้ยินเสียงประตูเคบินเปิดและปิด จึงลืมตาขึ้น แสงไฟส่องสว่างไปทั่วลำ ผมกดบุหรี่ที่ลามไหม้ลงในที่เขี่ย คาดสายนิรภัย แอร์โฮสเตสเดินเข้ามาและลงมือเช็ครายชื่อผู้โดยสาร

ผมก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ตี 4 ครึ่งตามเวลาชิคาโก ซึ่งถ้าเทียบเป็นเวลาของคาบสมุทรแปซิฟิคแล้วก็ประมาณ ตี 2 ครึ่งเท่านั้น

          ผมยิ้มให้กับตัวเอง มันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน แค่หมุนเข็มนาฬิกากลับไปเพียง 2 ชั่วโมง เราก็สามารถย้อนกลับสู่อดีตแห่ง 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาได้ ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เมื่อมันง่ายถึงเพียงนั้น เหตุไฉนจึงไม่มีใครคิดที่จะทำให้เวลาทั่วโลกตรงกันทั้งหมด ผมรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรบ้าๆ..คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้..

            เพราะ..ผมก็คงไม่อาจหมุนเข็มนาฬิกาให้หวนกลับไปถึง 6 ปีได้ ถ้ามันเป็นไปตามที่ผมคิดได้จริงๆ ดาเนียลก็คงจะไม่ต้องตกอยู่ในภาวะเช่นคืนนี้ และถ้าผมสามารถหมุนเวลากลับไปได้อีก 15 ปีเล่า..ถึงวันนั้น..วันที่แกลืมตาขึ้นดูโลก ช่วงเวลาที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำรำลึกของผม คืนในโรงพยาบาล ก็เวลาประมาณนี้เช่นกันไม่ใช่หรือ ที่นอร่าเพิ่งถูกนำตัวออกมาจากห้องคลอด

            ผมยังจำได้ถึงเสียงของหมอทำคลอดที่บอกกับผมว่า

            “ไม่จำเป็นต้องอยู่รออีกแล้วละครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้คุณยังเยี่ยมภรรยาไม่ได้เพราะคนไข้เพลียมาก”

            ผมรู้สึกตื่นเต้นเหลือจะกล่าว

            “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะเยี่ยมลูกได้ล่ะครับ?”

            “อีกสักสิบนาทีครับ แต่คุณต้องเดินไปดูตรงห้องกระจกนะครับ พยาบาลเขาจะยกเด็กขึ้นให้คุณดูเอง คุณจะเข้าไปในห้องนั้นไม่ได้หรอก” หมอตอบผมยิ้มๆ

          ผมเดินกลับไปนั่งลงยังที่เดิม 10 นาที ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนานเสียนี่กระไร ผมหันไปบอกกับหมอว่า

            “ผมต้องเยี่ยมลูกเสียก่อนครับหมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่สบายใจมาก เพราะเมียผมก็คงอยากรู้เหมือนกันว่าลูกของเราหน้าตาเหมือนใคร เธอคงจะโกรธผมมากทีเดียวครับหมอถ้าผมตอบคำถามเธอไม่ได้”

            ผมคงจะพูดพล่ามอะไรมากเกินไป จนไม่ทันสังเกตเห็นว่า หมอกำลังมองดูผมด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งต่อมา ผมถึงได้นึกออก ว่าทำไมเขาถึงมองผมอย่างนั้น ก็เพราะนอร่า..ไม่แม้แต่จะขอดูลูกที่เพิ่งพ้นท้องของเธอออกมา..!

            ตอนที่นางพยาบาลอุ้มทารกน้อยซึ่งเป็นลูกสาวของผมชูให้ผมดู จากห้องกระจกที่ผมแนบหน้าเข้าไปจนชิด จนได้ละไอของความเย็น สิ่งที่ผมเห็น คือดวงหน้าเล็กๆสีชมพูจัด ผมสีดำสนิทเป็นประกาย นิ้วของเธอเล็กนิดเดียวจนไม่น่าจะเป็นรูปร่างของมนุษย์ได้ ผมรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันที

            ผมรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างและสำนึกได้ ถึงความเจ็บปวดในการให้กำเนิดทารก ร่างที่อยู่ตรงหน้านั้นดูใหญ่โตเกินกว่าที่จะพ้นช่องทางกำเนิดออกมาได้..แต่มันก็ผ่านพ้นออกมาแล้ว เพิ่งเมื่อชั่วครู่นี้เอง

            ผมจ้องมองร่างเล็กกระจ้อยร่อยนั้นและผมก็รู้ตั้งแต่ก่อนที่แกจะลืมตาขึ้นมองดูโลกและอ้าปากเล็กๆนั้นเสียอีก ว่าแกต้องการจะทำอะไรต่อไป..

            เราเริ่มผูกพันกันอย่างล้ำลึก อยู่ในกระแสแห่งความรักเดียวกัน มันเหมือนกับเราทั้งสองถูกคล้องไว้ด้วยสายโซ่แห่งคามสัมพันธ์เส้นเดียวกัน

            แกเป็นของผม..และผมก็เป็นของแก เราจะเดินเคียงคู่กันไปบนทางสายเดียวกัน เป็นของกันและกัน..น้ำตาแห่งความตื้นตันใจ เอ่อท้นขึ้นในดวงตาของผม เป็นน้ำตาที่แกไม่อาจจะเอามือน้อยๆนั้นมาช่วยเช็ดให้ได้

            และแล้ว นางพยาบาลก็นำร่างทารกน้อยนั้นวางกลับลงบนเตียง ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้นดูน้อยนิดไปเสียหมด นอกเสียจากอย่างเดียว..ความรักอันยิ่งใหญ่..

            ผมรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวที่จู่โจมเข้าจับหัวใจ..รู้สึกได้ถึงความเดียวดายของคนที่ถูกทอดทิ้งให้ยืนอยู่เพียงลำพังบนชายฝั่งทะเล อันมีแต่เส้นขอบฟ้าเป็นวงรอบและมีเพียงเสียงคลื่นลมยามดึกเท่านั้นที่เป็นเพื่อน ผมกระพริบตาถี่ๆและเดินกลับไปยังอีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล ที่จัดเป็นห้องพักสำหรับคนไข้

            ผมเคาะที่หน้าประตูที่มีป้ายชื่อนอร่าปิดไว้เบาๆ นางพยาบาลคนหนึ่งเดินมาเปิด

            “ขอผมเข้าไปเยี่ยมภรรยาสักหน่อยได้ไหมครับ?” ผมถาม

            “ก็ได้ค่ะ แต่ต้องไม่นานนักนะคะ” นางพยาบาลตอบหลังจากชั่งใจอยู่เป็นครู่

            ผมเดินตรงไปที่เตียง นอร่านอนหลับตาอยู่ในเตียงนั้น เรือนผมสีดำสนิทของเธอแผ่กระจายเต็มหมอน ใบหน้าซีดเผือดเหน็ดเหนื่อย เหมือนคนที่หมดทางช่วยเหลือตนเอง ผมโน้มกายลงจุมพิตหน้าผากเธอแผ่วเบา

            เธอไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้น แต่ขยับริมฝีปากขณะพูดเบาๆว่า

            “มันผ่านไปแล้ว..ทหารเรือฝรั่งเศสไม่เคยกลัวตาย..!”

            ผมมองนางพยาบาลที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง วางมือทาบลงบนท่อนแขนของเธอแตะต้องอย่างทะนุถนอม

            “ใช่ ทหารเรือฝรั่งเศสไม่กลัวตาย เวลานี้เธอถึงฝั่งแล้ว”

            “คงกำลังเคลิ้มๆน่ะค่ะ คุณคาร์เร่ย์” นางพยาบาลพูดยิ้มๆ “คนไข้บางคนก็พูดอะไรที่น่าขันเหมือนกัน”

            ผมพยักหน้าและบีบมือนอร่าเบาๆอีกครั้งหนึ่ง มีแววหวาดกลัวอะไรบางอย่างที่เป็นเสมือนเงา ปรากฏขึ้นในสีหน้าของเธอ

            “อย่าทำฉันเจ็บสิคะ จอห์น” เธอเอ่ยขึ้นเหมือนเสียงกระซิบ “ฉันจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ ฉันสัญญาค่ะ ขออย่างเดียวอย่างทำอย่างนี้กับฉัน..ฉันเจ็บ”

            “นอร่า..นอร่า..”ผมร้องเบาๆอย่างตกใจ “นี่ผมนะ ลุคยังไงล่ะ”

            ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เบิกโพลงขึ้น

            “ลุค..”แววแห่งความหวาดกลัวผ่านพ้นไปแล้ว “ฉันฝันร้ายค่ะ”

            ผมกอดเธอเบาๆ เพราะรู้มานานแล้วว่านอร่ามักจะเป็นโรคฝันร้ายเสมอๆ

            “ไม่มีอะไรนะ ยอดรัก” ผมกระซิบตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

            “ฉันฝันเห็นใครไม่รู้ เข้ามาหักแขนฉัน..ฉันเจ็บค่ะ..เขาต้องไม่ทำร้ายฉันตรงแขน คุณก็รู้นี่คะว่า ถ้าฉันไม่มีแขน ฉันคงทำอะไรต่อไปไม่ได้”

            “โธ่..มันก็แค่ฝันไปเท่านั้นเอง” ผมปลอบ “คุณฝันร้ายไปจริงๆ”

            เธอยกแขนขึ้นและจ้องมองมันอย่างพินิจพิจารณา แล้วก็ยิ้ม

            “ฉันนี่โง่จังเลย..จริงๆด้วย แขนของฉันมันยังอยู่ดีแท้ๆ” แล้วเธอก็หลับตาลง ผ่อนลมหายใจอย่าง

โล่งอกและทำท่าเหมือนจะหลับไปในทันที

            “นอร่า” ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหู “อยากรู้ไหมว่าลูกเป็นยังไงบ้าง..ตัวเล็กนิดเดียว เป็นผู้หญิงเสียด้วย มหัศจรรย์ที่สุดเลย เป็นเทพธิดาตัวน้อยๆที่น่ารักเหลือเกินเหมือนคุณเปี๊ยบเลย”

            แต่นอร่าไม่ได้รับรู้คำพูดของผม เธอหลับสนิทไปแล้ว

            ผมหันไปมองนางพยาบาล ซึ่งคงเดาออกถึงแววประหลาดใจในดวงตาผม เพราะรอยยิ้มของหล่อนดูเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

            “ฤทธิ์ยาน่ะค่ะ” หล่อนบอก

            “ครับ ใช่แน่นอนเลย” แล้วผมก็เดินออกมาจากห้องคนไข้

           

            ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินและมองเห็นแสงไฟระยิบระยับอยู่เบื้องล่าง เครื่องบินกำลังเข้าเขตซานฟรานซิสโกแล้ว

            มันคงไม่เป็นการเพียงพอ ถ้าเราจะหมุนเข็มนาฬิกาให้ถอยย้อนหลังไปเพียง 15 ปีที่ผ่านมา เวลาและโลกไม่อาจจะหยุดหมุนได้และถ้ามันย้อนได้ ก็น่าจะถอยย้อนหลังไปสัก 20 ปีจะดีกว่า

 

            20ปีที่ผ่านมา คือปี 1942 ขณะที่ผมขับเครื่องบินรบแบบ พี-38 เสียงสะเทือนเลือนลั่นของลูกระเบิดที่ตกกระทบเป้าหมายเบื้องล่างนั้น เหมือนหล่นใส่ลงมาบนตัวของผมเองและเครื่องบินของผมก็ไม่ได้ปลอดภัยนัก เพราะถูกยิงเข้าตรงส่วนหาง ควงสว่านลงไปสู่ท้องทะเลเบื้องล่าง แต่จะเป็นเพราะเหตุใด ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมผมจึงรอดชีวิตกลับมา..!

            แต่นั่นคือภารกิจของผม ภารกิจที่ไม่มีเหรียญกล้าหาญ ไม่มีเหรียญตราหรือได้รับการเลื่อนยศเพิ่มเติมเป็นพิเศษแต่อย่างใด หน้าที่ก็คือหน้าที่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก คอลลิน เคลลี่ ก็ได้ปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกับผม แต่เมื่อเขากลับไป ก็ได้รับการขนานนามจากประชาชนว่าเป็น “วีรบุรุษแห่งสงคราม” และได้รับการต้อนรับอย่างเกริกเกียรติ

            สำหรับผมนั้นก็ได้แต่หาทางตะเกียกตะกายกลับไปยังฐานทัพ ไม่ใช่ในสภาพของวีรบุรุษแต่เป็นสภาพของทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมา

            ถ้าผมตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงจะไม่มีผมอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป ผมคงไม่ต้องต่อสู่กับชะตากรรมแห่งชีวิตครอบครัว คงจะไม่ได้เดินทางไปซานฟรานซิสโกอย่างเช่นคืนนี้ หรือ เหมือนเมื่อครั้งที่ผมได้พบกับนอร่า และดาเนียลก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นมาดูโลกสกปรกใบนี้..

            เกือบจะ 20 ปีแล้วสินะ แต่บางที การหมุนเข็มนาฬิกาให้ย้อนกลับไปสู่อดีตถึง 20ปีอย่างที่ผมคิด ก็คงจะไม่เป็นการพอเพียงสำหรับความทรงจำรำลึก เพราะเมื่อผมคิดถอยหลังไปเรื่อยๆ ถึงวันวัยที่ผมยังเป็นหนุ่มโสด กำลังอยู่ในวัยคะนอง ผมก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนรันทดท้อและแล้ว..ผมก็หลับตาลง

            ..ได้โปรดเถิดพระผู้เป็นเจ้า..โปรดคืนวันเวลาที่ล่วงพ้นไปให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด..

 

---------------------------------
 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (87 รายการ)

www.batorastore.com © 2024