จ้าวแผ่นดิน (เจเนต เดลีย์) (แปล บุญญรัตน์) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ ๑

“เหนือฟ้าคือพื้นฟ้าใส

อาทิตย์กราดฉายไปทั่ว

บางครั้งเปลี่ยนสีน่ากลัว

เมฆมืดหมองมัวยิ่งนัก

ลำนำหนึ่งกล่าวขานไข

คลอกระดิ่งพร้องไปให้ตระหนัก

ฟ้าจะใสหรือเปลี่ยนสีสัญลักษณ์

แต่ฟ้าจักคุ้มครองคอลเดอร์ไว้”

 

 

 

 

 

 

 

ภายใต้แผ่นฟ้าอันกระจ่างสดใส พื้นที่ราบสูงแห่งมอนตาน่า

ทอดตัวของมันไปจนจดขอบฟ้า ด้วยคลื่นแห่งทะเลหญ้าอันเขียวชอุ่ม ท่ามกลางท้องทุ่งอันกว้างไกลแห่งนี้มีเพียงภูเขาชันที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวแต่งแต้มอยู่เป็นจุด ๆ กับสายธารที่เซาะซอนแบ่งแยกและหล่อเลี้ยงให้แผ่นดินได้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ มันเป็นความกว้างใหญ่ไพศาลจนเกือบจะเป็นแผ่นดินแห่งความว่างเปล่า ทั้งเชิญชวน และท้าทายยิ่งนัก และความกว้างไกลของมันนั้นสามารถจะทำให้คนที่ต่ำต้อยอยู่แล้วไร้ค่าลงในทันใด ขณะเดียวกันมันก็ให้ผู้มั่งคั่ง กลายเป็นราชาไปในบัดดล

ณ ที่ซึ่งครั้งหนึ่ง ฝูงควายป่าขนหยาบเคยได้ลงนอนทอดตัวเคี้ยวเอื้องอยู่นั้น ฝูงปศุสัตว์พันธุ์เฮียร์ฝอร์ดจำนวน ๖๐๐ ตัวถูกต้อนมารวมกลุ่มกันอยู่ โดยมีโคบาลขี่ม้าคอยไล่ต้อนให้ฝูงวัวควายเหล่านั้นเข้ารวมกลุ่มกัน ส่งเสียงตะโกนไล่กันอยู่เอะอะ และในท่ามกลางความสับสนทั้งมวลนี้โคบาลอีกกลุ่มหนึ่งจะขี่ม้าเข้ามาเป็นคู่ ๆ เดินม้าช้า ๆ เข้าไปในฝูงปศุสัตว์ ลงมือคัดเลือกสัตว์ตัวที่พิการออกจากกลุ่ม อาทิ ตัวที่ผอมแห้ง แม่วัวที่ให้ลูกได้ไม่สมบูรณ์ กับเจ้าวัวหนุ่มหน้าตาแปลก ๆ ที่หลบหนีจากการไล่ต้อนเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว

เวบบ์ คอลเดอร์ยืนดูม้าขนสีน้ำตาลเข้มแกมเหลือง มองดูการคัดแม่วัว ออกจากฝูงปศุสัตว์อยู่เป็นครู่ หลังจากนั้นจึงได้ผ่อนคลายอิริยาบถลง ปล่อยให้ม้าเดินไปเรื่อย ๆ เจ้าม้าหนุ่มรูปร่างพ่วงพีตัวนี้มีสีเหมือนแมวภูเขา มันจึงได้ชื่อตามเจ้าสัตว์ประเภทนั้นว่าคูก้าร์ ทันทีที่การคัดแม่วัวเสร็จสิ้นลง เจ้าคูก้าร์ ก็สำแดงอาการกระวนกระวาย ใคร่จะได้เข้าไปรวมกลุ่มในฝูงปศุสัตว์นั้นบ้าง มันหมุนตัวเป็นวงกลมก่อนที่จะโผนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนแมว

สำหรับบุรุษร่างใหญ่ซึ่งนั่งอยู่บนอานม้าตัวนั้น เจ้าคูการ์คือสัญลักษณ์ แห่งความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของเขาโดยแท้ เขาเลือกมันออกมาจากกลุ่ม

ม้าป่าซึ่งมีอายุไม่เกิน ๒ ปี และทำเครื่องหมายให้รู้ไว้ว่ามันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ฝึกสอนมันด้วยตัวเอง จนในที่สุดเจ้าลูกม้าป่าก็กลายเป็นม้าที่ดีที่สุดในแถบนี้ เวบบ์ คอลเดอร์ไม่เคยคุยโตโอ้อวดในเรื่องม้าตัวนี้ และคราใดที่มีผู้แสดงความชื่นชมกับมัน เขาก็จะตอบเหมือนไม่แยแสว่า “ใช่...ไอ้เคลย์ แบงก์นี่มันม้าดี” เท่านั้น

เขายึดมั่นในคติประจำใจอยู่ประการหนึ่งว่า “ถ้าเจ้าแน่ใจว่าตัวเองดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องบอกใคร...และถ้าเจ้ามิได้เป็น ก็ยิ่งสมควรจะปิดปาก ตัวเองให้เงียบไว้เป็นดีที่สุด” และเขาก็ปฏิบัติตามคตินี้ ด้วยความมุ่งมาดปรารถนาที่จะให้ทุกผู้ทุกคนที่อยู่รอบตัวได้ประพฤติปฏิบัติตามด้วย

เมื่อเขากับเจ้าม้าสีเหลืองแยกแม่วัวออกแล้ว พวกโคบาลก็จะเข้ามา ต้อนแม่วัวเหล่านั้นเข้าไปรวมกลุ่มกับเจ้าตัวอื่น ๆ ที่อาจจะได้รับบาดเจ็บ หรือตัวที่มีคุณภาพด้อยที่ต้อนมารวม ๆ กันไว้ และโคบาลอีก ๒ คนก็เข้าไปรับช่วงการคัดเลือกปศุสัตว์จากเขาต่อ

ขณะที่ขี่ม้าย้อนกลับ เนต มัวร์ซึ่งเป็นโคบาลคู่ของเวบบ์ ได้ขี่ม้าเข้ามาร่วม บุรุษผู้นี้มีร่างผอมสูงกร้านแดดเกรียมลม มีลักษณะเหมือนพันธุ์ไม้ต้นเล็ก ๆ ซึ่งได้หยั่งรากลึกลงไปในแผ่นดินที่ราบสูงมอนตาน่าแห่งนี้เช่นเดียวกันกับเวบบ์ คอลเดอร์เป็นอยู่ แต่กระนั้นมันก็ยังมีคุณสมบัติบางประการที่ประทับอยู่ใน ท่วงท่าของเวบบ์ คอลเดอร์ ซึ่งเท่ากับบอกให้ทุกผู้ที่พบเห็นรู้ได้ในทันทีว่าเขาผู้นี้แหละ คือเจ้าของปศุสัตว์ทั้งไร่แห่งนี้

แผ่นดินแห่งนี้คือกรรมสิทธ์ของคอลเดอร์โดยแท้ แผ่นดินที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาลงไปทางใต้ และที่ไกลออกไปกว่านั้น ปศุสัตว์ทุกตัวในบริเวณนี้ นอกเสียจากที่พลัดหลงกระจัดกระจายมาจากไร่ปศุสัตว์เล็ก ๆ ทางด้านเหนือบ้างแล้ว จะถูกตีตราด้วยอักษร ‘ซี ซี ซี’ ซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า ‘คอลเดอร์ แคตเติ้ล คอมเปนี’ เครื่องหมายและแผ่นดินแห่งนี้เป็นมรดกตกทอดมาจาก บรรพบุรุษแห่งตระกูลคอลเดอร์ ซึ่งหลีกเลี่ยงจากปัญหาต่าง ๆ ในเท็กซัส และย้ายฝูงปศุสัตว์ขึ้นมาทางเหนือเมื่อปี ๑๘๗๘ เพื่อหาทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์เลี้ยงปศุสัตว์ของตน และบรรพบุรุษแห่งตระกูลผู้มีชื่อว่าเชส เบนทีน คอลเดอร์ นั้นได้สร้างอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลประมาณ ๖๐๐ ตารางไมล์ขึ้นต่อสู้กับ ชาวอินเดียนผู้ไร้ศาสนา ชาวอินเดียนซึ่งเป็นจ้าของถิ่นมาก่อน และต่อสู้กับ ความริษยาอาฆาตจากเจ้าของไร่ปศุสัตว์ใกล้เคียงด้วยเลือดเนื้อของคอลเดอร์

 

โดยแท้ บำรุงเลี้ยงผืนแผ่นดินแห่งนี้มาด้วยหยาดเหงื่อจากแรงกาย และกับกระดูกของปศุสัตว์ที่อดโซ ฝังร่างของบุคคลในตระกูลคอลเดอร์ที่ต้องตายลง ไว้ใต้พื้นหญ้าแห่งที่ราบสูงมอนตาน่าแห่งนี้

ในจำนวนโคบาลที่ติดตามมากับเชส เบนทีน คอลเดอร์ ในครั้งกระนั้น หลายต่อหลายคนได้แยกตัวจากไป แต่ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งซึ่งยืนหยัดต่อสู้มาด้วยกัน เพื่อที่จะสร้างชีวิตใหม่ขึ้นในแผ่นดินที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ บุคคลกลุ่มนี้ได้ก่อตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มพลัง และบรรพบุรุษของเนต มัวร์, รูท...ภรรยา ของเวิร์ก ฮัสเกล, สลิม ทรัมโบ้, ไอค์ วิลลิส, และยังคนอื่น ๆ ซึ่งได้เกิดและถูกอบรมเลี้ยงดูในวัยที่เจริญเติบโตขึ้นมาในไร่ปศุสัตว์คอลเดอร์แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับเวบบ์ ดังนั้นความจงรักภักดีของคนเหล่านี้ที่มีต่อบุคคลในตระกูลคอลเดอร์จึงเป็นประหนึ่งเมล็ดพืชที่หยั่งลึกลงไปในดิน ก่อรูปกันขึ้นมาเป็นวิญญาณ และถูกสร้างขึ้นมาให้มีชีวิตพร้อมทั้งประทับตรา ‘ซี ซี ซี’ นั้นไว้ จนทั่วทุกตัวคน

มันเป็นความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันในสายเลือดมาหลายชั่วอายุคน และเป็นประหนึ่งสายป่านแน่นเหนียวที่ผูกพันคนพวกนี้เข้าไว้ด้วยกัน คนที่สูงอายุพร้อมที่จะหลีกทางให้กับคนรุ่นหนุ่ม และเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงที่มิได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ขณะที่ขี่ม้าไปบนแผ่นดินที่ขรุขระนั้น เวบบ์ทอดสายบังเหียนลง แววแห่ง ความพึงพอใจฉาบอยู่บนใบหน้า ขณะที่กวาดสายตามองภาพที่ปรากฏอยู่ เบื้องหน้าในขณะนี้ โคบาลทุกคนทำงานกันเป็นทีมอย่างชำนิชำนาญยิ่งนัก และอย่างรอบคอบไม่มีผิดพลาด เขามีความสุขนักยามที่ได้ออกมาทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ แม้เขาจะออกมาเฉพาะแต่ในเวลาที่จำเป็น คือเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องกำจัดสัตว์ที่ไร้คุณภาพออกไปเสียจากฝูงก็ตาม และความพอใจในงานชนิดนี้ ทำให้เขาต้องออกมาร่วมทำด้วย

ความชื่นชมยินดีกับความรับผิดชอบ สำหรับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ ไร่ปศุสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดนั้นเป็นภาระที่ใหญ่หลวงนัก พวกพ่อค้าหน้าใหม่ กับพวกที่ค้นคว้าหาพันธุ์ปศุสัตว์มักจะสรรเสริญในความกำยำล่ำสันของปศุสัตว์ในไร่นี้ และเวบบ์ก็ชอบที่จะตอบอย่างเฉยชาว่า

“ที่มันมีรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้ก็เพราะมันได้อยู่ใต้ท้องฟ้าของคอลเดอร์น่ะซิ” และเวบบ์ก็ไม่เคยที่จะยอมรับรู้ว่าปศุสัตว์ในไร่ของเขานั้นจะแข็งแรงมีรูปร่าง ใหญ่โตเกินกว่าปศุสัตว์จากไร่ของคนอื่น ๆ ในเมืองสักแค่ไหน เขาไม่สนใจ

 

ว่าจะเป็นที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม หรือไม่มีตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะมีใครถามขึ้น เวบบ์ก็จะไม่ตอบ และไม่สนใจที่จะสอบหาความรู้ในเรื่องนี้ ด้วยความใส่ใจของ เขามีอยู่เพียง ๒ ประการเท่านั้นคือ เลี้ยงดูให้มันเป็นปศุสัตว์ที่สมบรูณ์ที่สุด และเพื่อที่จะได้มอบหมายให้ลูกชายเป็นผู้ดูแลต่อไป

ภาระความรับผิดชอบในการดูแลไร่ปศุสัตว์นี้ เป็นภาระที่ใหญ่หลวงมาก แต่ด้วยอำนาจและอิทธิพลที่มีอยู่ จึงทำให้เขาสามารถดำเนินกิจการมาได้ เวบบ์ คอลเดอร์มีความเชื่อว่า ตนเองนั้นเป็นบุคคลที่มีความยุติธรรม แต่ก็มีเสียงกล่าวกันอยู่ว่าเขาเป็นคนที่เข้มงวดอยู่ไม่น้อย ถึงกับมีการกล่าวเป็นทำนองว่า เขาปกครองอาณาจักรแห่งนี้ด้วยมือที่ถือแส้เหล็กไว้ ซึ่งวาจาที่กล่าวประณามกันเช่นนี้ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นบ้างในกลุ่มเจ้าของไร่ปศุสัตว์อื่น ๆ แต่ก็เป็นส่วนน้อยเต็มที และเท่าที่เวบบ์ คอลเดอร์จะฟังเกี่ยวข้องด้วยในคำประณามเหล่านี้ก็คือ เขาจะไม่ยกมือขึ้นชี้หน้าด่าใครอย่างไร้เหตุผล หรือปราศจากสาเหตุ ซึ่งถ้าเขายกมือขึ้นเมื่อใด มันจะต้องตวัดลงอย่างรวดเร็วและถูกเป้าหมายในทุกครั้ง ความลังเลความไม่แน่ใจนั้นสามารถที่จะนำมาซึ่งความวิบัติแก่ปศุสัตว์ในไร่ที่ประทับตรา ‘ซี.ซี.ซี’ ไว้ได้

และนี่คือคุณสมบัติประการหนึ่ง ที่เขาพยายามจะสอนลูกชายคนเดียวมา ตลอด ลูกชายซึ่งได้รับชื่อมาจากบรรพบุรุษชาวเท็กซัสว่าเชส คอลเดอร์ มันมีอะไรอีกมากมายหลายประการนักในการที่จะดำเนินธุรกิจในไร่ มันมากกว่าการที่จะทำบัญชีเพิ่มจำนวนปศุสัตว์ให้มากขึ้น และไปธนาคาร...แต่การที่จะสอนคนคนหนึ่งให้เป็นผู้นำ ให้สามารถปกครองคนได้นั้น ควรจะทำอย่างไรเล่า?

ก่อนหน้าที่เชสจะได้ก้าวขึ้นมาในตำแหน่งทายาทนั้น เวบบ์ได้จับทารกน้อยขึ้นวางบนอานของแม่ม้าตัวหนึ่ง ให้กำหมัดเล็ก ๆ นั้นกำลงบนปุ่มอาน เพื่อจะให้แกได้ขี่ม้าเป็นครั้งแรกในชีวิต ต่อมาเมื่อเชสอายุได้เพียง ๒ ขวบก็ได้รับบังเหียนม้าเป็นของขวัญ เมื่ออายุได้ ๕ ขวบก็ถูกนำออกไปเพื่อการไล่ต้อนปศุสัตว์เป็นครั้งแรก ด้วยวิธีเอาตัวผูกติดไว้กับอาน จะได้ไม่หล่นลงมาเวลาหลับ

ม้ากับปศุสัตว์นั้นคือส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตอยู่ และเป็นสิ่งที่เชสได้ เรียนรู้ซึมซาบเข้าไปในวิญญาณมาตั้งแต่แรกเกิด และดูดซับเอาความรู้ต่าง ๆ เข้าไปไว้ในสมองโดยไม่รู้ตัว จนเสมือนมันได้กลายเป็นสัญชาตญาณส่วนที่สองไปโดยปริยาย

 

แต่สิ่งที่เวบบ์ต้องการคือ ให้ลูกชายได้เรียนรู้ให้ลึกซึ้ง และมีสติปัญญา เฉียบแหลมกว่านั้น นับแต่วันที่เด็กชายเริ่มเข้าใจในประโยคแรกที่มนุษย์ใช้พูดจากัน เวบบ์ได้พยายามที่จะทุ่มเทสิ่งเหล่านี้เข้าไปในสมองของแก ก่อร่างสร้างรูปขึ้น เพื่อให้เชสสำนึกว่าในวันหนึ่งข้างหน้าเขาคือผู้ที่จะปกครองไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ต่อไป เวบบ์พร่ำเตือนเชสอยู่ตลอดเวลาว่า ในฐานะที่เชสเป็นลูกชายของเขา จึงต้องทำงานให้หนักกว่าโคบาลคนอื่น ๆ ทั้งต้องฉลาดกว่า และมีความสามารถในการต่อสู้มากกว่าคนงานพวกนั้น และจะไม่มีการยกประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะความที่เขาเป็นลูกชายเจ้าของไร่ และในความเป็นจริง ในวัยรุ่นหนุ่ม เชส ต้องทำงานหนักกว่าใคร ต้องอยู่ดูแลม้าจำนวนมาก ต้องมีชั่วโมงทำงานนานกว่าคนงานทุกคนในไร่ ถ้าจะมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะต้องแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง และถ้าเกิดความยุ่งยากเขาก็จะต้องมีความเป็นลูกผู้ชายพอตัวที่จะหาทางออก ไม่ว่าจะด้วยกำปั้นหรือสติปัญญา เชสจะหวังพึ่งพาหาความช่วยเหลือจากผู้ เป็นบิดาไม่ได้เป็นอันขาด เวบบ์พยายามฝึกเขาอย่างหนัก แต่ขณะเดียวกันก็ มิได้ทำให้จิตวิญญาณของเชสต้องเสื่อมสลายลง

แม้ในขณะนี้ ยามที่เวบบ์ คอลเดอร์กำลังมองดูโคบาลกว่า ๒๐ คน ที่กำลังทำงานกันอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจนั้น โดยมิได้ตั้งใจเลย อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ทำให้เขาจับตามองอยู่แต่ลูกชาย เชสผู้มีรูปร่างสูงกว่าโคบาลคนใด ไหล่กว้าง อกตั้ง รูปร่างผึ่งผาย ดูเด่นกว่าโคบาลคนอื่น ๆ มากนัก ด้วยวัยที่หนุ่มกว่า แสงอาทิตย์อันแรงกล้าสาดลงมาต้องใบหน้ามีสีคลํ้าที่บอก ถึงเค้าความมีสายเลือดคอลเดอร์อย่างเห็นได้ชัด และเมื่อกอปรด้วยผมดำ ตาดำ ทำให้เชสดูจะแก่กว่าวัย ๒๒ ปีของเขามาก นอกเสียจากยามที่เขาจะยิ้มออกมา ซึ่งใบหน้าจะดูอ่อนโยนเหมือนเด็กไร้ความผิดบาปทั้งปวง บางคน อาจจะคิดว่า เวบบ์ได้เข้มงวดกวดขันกับลูกมากจนเกินไป แต่กระนั้นเขาก็ยัง มีความเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้แหละที่สมควรจะปลูกฝังให้บังเกิดขึ้นในตัวผู้ชายทุกคน เพื่อผลดีต่อเขาเอง

ม้าตัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าม้าสีน้ำตาลแกมเหลือง ซึ่งบางครั้งเวบบ์ก็เรียกมันว่า ‘เคลย์ แบงก์’ พ่นลมหายใจออกมาดัง ๆ ทำให้เวบน์ต้องเปลี่ยนสายตา ไปมองเนต มัวร์ซึ่งกำลังพ่นควันบุหรี่โขมง และทั้งที่ยังมิได้เงยหน้าขึ้น โคบาลผู้นั้นก็พูดว่า

“มันเด็กดีนะ” ซึ่งคล้ายจะเดาความคิดของเวบบ์ในขณะนี้

 

 

 

“ลิลต้องภาคภูมิใจมาก” เวบบ์เอ่ยชื่อภรรยาผู้เสียชีวิตไปแล้วออกมา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายความเงียบงำที่เขาได้เก็บกดไว้ในใจมากกว่า ๒๐ ปี นับแต่วันที่เธอได้ตายลง วันเวลาที่ผ่านไปได้ช่วยลบล้างความทุกข์ทนหม่นไหม้ ในการที่จะต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รัก และได้ช่วยให้ความทรงจำรำลึกถึง เธอในวันนี้เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง

และนี่คือสิ่งหนึ่งที่บุคคลภายนอกจะไม่มีวันเข้าใจ คือการไม่ยอมแสดงออกถึงความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ชายที่เป็นชาวตะวันตกอย่างแท้จริง ยามที่เขาต้องสูญเสียเพื่อนตายหรือบุคคลอันเป็นที่รักไป เขาจะไม่แสดงความเศร้าโศกเสียใจออกมาให้ใครเห็นไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรเขาจะเก็บกักมันไว้ภายในสีหน้า ที่คนภายนอกจะได้เห็นคือความเย็นชาประหนึ่งจะไร้ความรู้สึกรู้สม แต่ภายในนั้นคือความหนักหน่วง เฉกเช่นเดียวกันกับความอ่อนไหวของผู้หญิงทุกคน ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ การที่เขาไม่อาจสำแดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นได้ ก็เนื่องแต่ว่าแผ่นดินแห่งนี้ ผู้ที่เข้มแข็งอดทนเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาตัวรอดได้

“ใช่ ข้าเห็นด้วย” เนตพูดทั้งที่คาบบุหรี่อยู่ในปาก ดวงตาของเขาหรี่ลงเพื่อป้องกันควันที่ลอยขึ้นมารบกวน ความรู้สึกที่ลึกซึ้งดูราวจะประทับอยู่ บนรอยย่นตรงหางตา บนใบหน้าที่กร้านแดดนั้น และโดยที่มิได้เอี้ยวศีรษะกลับมา ความสนใจของเขามุ่งไปยังโคบาลหนุ่มน้อยอีกคนหนึ่ง ชื่อบั๊ค ฮัสเกล ซึ่งขี่ม้าอยู่ด้านเดียวกันกับเชส และจะด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ บั๊คได้ชักม้า ของเขาไปในทิศทางตรงกันข้าม กระตุ้นให้มันวิ่งฝ่าเข้าไปในระหว่างโคบาลอีกสองคน เข้าไปสู่จุดที่แน่ใจว่าแม่วัวจะต้องแยกออกจากฝูงปศุสัตว์ทางด้านนั้น แววแห่งความนับถือปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้สูงวัยกว่า เมื่อเขากล่าวว่า “ไอ้เจ้าบั๊คกี้นี่มันรู้จักใช้สมองมากกว่าไอ้พวกนั้นตั้ง ๓ เท่า ดูเหมือนมันจะชอบม้ามากด้วย ยิ่งพยศ ยิ่งชอบ”

ริมฝีปากของเวบบ์เม้มสนิท

“ใช่ เหวี่ยงบ่วงบาศก็เก่ง ข้ามองตามไม่ทันหรอก แต่ก็รู้ว่ามันทำได้สำเร็จทุกครั้ง”

“เฮล” เนตหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคอ “ไอ้โคบาลหนุ่ม ๆ พวกนี้ มันชอบหลบไปคล้องอะไรต่อมิอะไรอยู่เรื่อยละ”

ซึ่งเวบบ์ก็ตอบรับคำพูดนั้นด้วยการเลิกคิ้วหนา ๆ ขึ้น

“บั๊คน่ะมันเป็นเด็กที่ใคร ๆ ก็รักข้าห่วงแต่ไอ้ความบ้าบิ่นของมันเท่านั้นละ”

 

เด็กหนุ่มที่บุรุษทั้งสองกำลังพูดถึงอยู่นี้มีผมหยิกสลวยสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้า กับรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นนิจ บั๊คเป็นลูกชายของเวิร์กกับรูท ฮัสเกล เกิดก่อนเชส ๒ วัน เมื่อลิเลียนภรรยาของเวบบ์ไม่มีน้ำนมมากพอที่จะเลี้ยงเชสได้ รูทก็ทำหน้าที่เป็นแม่นมให้ หลังจากที่เวลาผ่านไปปีครึ่ง และลิเลียนได้เสียชีวิตลง รูทจึงรับทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน และดูแลเรื่องอาหารการกินให้เวบบ์ ดังนั้นบั๊คกับเชสจึงถูกเลี้ยงคู่กันมาเหมือนพี่น้อง ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่เวบบ์จะต้องให้ความสนใจในตัวบั๊คเป็นพิเศษ

แม้บุหรี่จะไม่ขาดปากของเนต มัวร์ แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังเหยียดออก เป็นรอยยิ้ม “นายลืมไปอย่างหนึ่งนะเวบบ์ เมื่อตอนที่เราอายุ ๒๒ เท่ามันน่ะ เราบ้ากว่ามันเยอะนา”

และเวบบ์ก็สบตากับโคบาลสูงอายุผู้นั้น “ก็อาจจะเป็นได้”

จากแนวที่ขวางกั้นด้วยสายธารทางด้านทิศเหนือ ขณะนี้ม้า ๓ ตัว ปรากฏขึ้น และมุ่งตรงไปยังที่ซึ่งปศุสัตว์ถูกต้อนไปรวมกันไว้ เวบบ์จับสายตา อยู่ที่ม้าตัวนำ ซึ่งมีบุรุษร่างเตี้ยนั่งหลังค่อมอยู่บนหลังม้า สีหน้าที่เหมือนไร้ความรู้สึกเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกร้าวขึ้นมาทันที

“ใครน่ะที่มากับโอ’ร็อค?” เขายังไม่ละสายตาจากเจ้าของไร่ปศุสัตว์เล็ก ๆ ซึ่งอยู่ติดกับอาณาเขตทางด้านเหนือของไร่คอลเดอร์

เนตหันไปมองตาม เปลือกตายิบหยีทั้งจากควันบุหรี่และการเพ่งมอง “อ๋อ...ลูกชายมันน่ะซิ ตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ นั่นเห็นจะเป็นลูกสาว” ความอบอุ่นในน้ำเสียงเมื่อครู่จางไป เหลือไว้แต่สำเนียงห้วน ๆ

ขณะที่ทอดสายตามองผาด ๆ ไปยังเด็กหนุ่มสาวทั้งคู่ที่ขี่ม้าเคียงแองกัส โอ’ร็อคนั้น ในตอนต้นเวบบ์มองไปยังเด็กหนุ่มวัย ๑๘ เส้นผมสีดำห้อยรุ่ยร่าย อยู่ใต้หมวกปีกกว้างข้าง สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคอยจับตามองดูพ่อ คล้ายจะขอคำแนะนำอยู่ตลอดเวลา ส่วนเด็กสาวนั้นรูปร่างออกจะแบบบางลงไปอีก และมีท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นมากกว่าที่จะเป็นเด็กสาว เส้นผมที่อยู่ใต้ปีกหมวกนั้นเป็นสีดำสนิทเช่นกัน

แต่เวบบ์ไม่อาจบอกได้ว่ามันถูกตัดให้สั้นไว้แค่นั้น หรือถูกตลบขึ้นไว้ใต้ ปีกหมวก ทั้งเสื้อและกางเกงยีนที่สวมอยู่ เห็นได้ชัดว่าตกทอดมากจากสมบัติ ของพี่ชาย เพราะทั้งเสื้อกางเกงมีขนาดใหญ่เกินตัว ซึ่งทำให้รูปร่างของสาวน้อย

 

ดูแบบบางไร้สัดส่วนโดยสิ้นเชิง นอกเสียจากขนตาที่ดกดำงอนงามเหนือดวงตา คู่เขียวเข้มแล้ว ดูจะไม่มีอะไรพอที่จะบอกให้รู้ได้เลยว่าเธอแตกต่างกว่าหนุ่มน้อยวัยรุ่นตรงไหน มีสเปอร์สวมอยู่ตรงรองเท้าเก่า ๆ และที่มือก็สวมถุงมือหนังเก่า ๆ ไว้ เสื้อแจ็กเกตตัวนอกคลุมอยู่เหนือเรือนร่างเล็ก ๆ นั้น ภาพของเด็กสาวที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า ดูจะก่อความรู้สึกปวดร้าวให้เวบบ์อยู่ไม่น้อย “เด็กผู้หญิงไม่ควรจะต้องมาทำงานหนักของพวกผู้ชายเลย” เวบบ์พึมพำเบา ๆ หันไปสบตากับเนตอย่างหนักแน่น “แกขี่ม้าไปที่ต้อนสัตว์เถอะ ไปบอกไอ้พวกนั้นให้มันระวังปากคอกันหน่อย ถ้าข้าได้ยินมันพูดแม้แต่คำว่า ‘ก็อดแดม’ ออกมาในขณะที่มีผู้หญิงอยู่ พอเขากลับไปแล้วข้าจะทำโทษ”

เนตดึงก้นบุหรี่ออกจากปาก ปล่อยให้ปลายที่ยังติดไฟอยู่แดงเรื่อหล่นลงในปลอกแขนเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหยาบและดับลงเอง ส่วนตัวบุหรี่ยังเหลืออยู่ถูกยัดใส่ลงในกระเป๋า ขณะที่เขากระตุ้นบังเหียน ชักม้าตรงไปยังเหล่าโคบาลที่ กำลังทำงานอยู่กับฝูงสัตว์

เวบบ์มองตามร่างของเนตที่ชักม้าจากไป โลกสมัยใหม่อาจจะก้าวหน้า จนสามารถเดินทางไปสู่ห้วงอวกาศ มีคอมพิวเตอร์นานาประการใช้ พร้อมด้วยหลักการด้านเทคโนโลยีอันสูงส่งแล้วก็ตาม แต่ในบางส่วนของแผ่นดิน เบื้องทิศตะวันตกนี้ ช่วงเวลาได้เคลื่อนผ่านไปอย่างช้า ๆ และการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปน้อยมาก

บทนิยามเก่า ๆ ยังคงก้องอยู่ในหู...ผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอหวั่นระแวงอยู่เสมอ และควรจะได้รับการปฏิบัติต่อด้วยความเคารพ จนกว่าเธอจะแสดงออกให้เห็นว่าไม่สมควรจะได้รับการเคารพนั้น ส่วนผู้ชายจะต้องรู้จักแก้ปัญหาให้ ได้ด้วยตัวเอง จะโยนภาระให้ใครรับผิดชอบไม่ได้ มันไม่ใช่การยากอะไรที่จะเข้าใจในปัญหาต่างๆได้ ถ้าจะได้รู้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ในกรณีของบริษัททริพพึล ซี.นี้ มีระยะทางถึง ๓๕ ไมล์ที่จะใช้ในการขับรถ ก่อนที่ท่านจะเข้าไปถึงระเบียงด้านหน้าของตัวเรือนหลังใหญ่ และตัวเมืองซึ่งมีประชาชนพำนักอาศัย อยู่ประมาณ ๑๐๐ คนนั้นก็อยู่ห่างออกไปอีกไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ไมล์

ไร่ปศุสัตว์ที่มีชื่อว่า ‘คอลเดอร์ รานซ์’ แห่งนี้ตั้งอยู่เหนือแผ่นดินที่ใหญ่ กว่ารัฐโรด ไอร์แลนด์เสียด้วยซ้ำ ด้วยอำนาจและอิทธิพลทั้งหลายที่มีอยู่ ทำให้เวบบ์ คอลเดอร์สามารถที่จะบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใช้เองได้ ดูจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่อาจจะตอบโต้ได้ คือมหิทธานุภาพแห่งพระเจ้า และ

 

เขาใช้ความฉลาดเป็นเครื่องช่วยในการทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย เขาไม่เคยแสดงความหยาบคายกับใคร เพียงแต่ทำให้บุคคลเหล่านั้นได้ ‘รู้สึก’ ว่าเขากำลังใช้อำนาจที่มีอยู่ก็พอ เวบบ์แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับการที่ครอบครัวแอนเดอร์สันพยายามจะเพิ่มที่ดินทำกิน ด้วยการล่วงลํ้าเข้ามาทางอาณาเขตด้านตะวันออกเสีย และรู้ด้วยว่าคนพวกนี้จะต้องขโมยม้าของเขาปีละตัวหรือสองตัว เสมอ แต่เขาจะไม่ทนถ้าพบว่าพวกผู้หญิงหรือเด็กถูกทอดทิ้งไว้กับความหิวโหย แต่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยพวกที่ยกมือขึ้นคัดค้านบริษัททริพพึล ซี.นี้เพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง

และขณะนี้ เปลือกตาของเวบบ์หรี่ลง ขณะที่จับตามองดูบุรุษผู้มีชื่อว่า แองกัส โอ’ร็อค ซึ่งกำลังขี่ม้าตรงเข้ามาหา คนคนนี้ใช้เวลาให้หมดไปวัน ๆ กับความฝัน และพบข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานากับการที่ชีวิตไม่เคยประสบความสำเร็จ โอ’ร็อคเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ ต้องการที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยวิธีง่าย ๆ ซึ่งถ้าจะพูดไปแล้ว ไม่มีแผ่นดินส่วนไหนในแถบนี้ที่จะเหมาะสมสำหรับคนประเภทนี้ได้ ไม่ช้าก็เร็วที่คนอย่างโอ’ร็อคจะต้องถูกกวาดออกไป

ดวงตาที่แข็งกร้าวและจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ทำให้แองกัสรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อยากจะโผนม้าเข้าไปกระชากลูกตาของคนคนนี้ออกมานัก แต่ที่เขาทำก็คือ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งกรัง พยายามปลอบใจตัวเองว่า อีกไม่นานวันนั้นมันจะต้องมาถึง วันที่เขาจะไม่ต้องคุกเข่าลงและก้มหน้าผากให้จดพื้นเพื่อแสดงคารวะต่อเวบบ์ คอลเดอร์ แต่ทว่าคำยืนยันในความมั่นใจนั้นดูจะเก่าจนคลอนแคลนเต็มที ครั้งหนึ่ง แองกัส โอ’ร็อค คือบุรุษผิวคล้ำ หล่อเหลาเอาการ ด้วยเสน่ห์แบบชายชาวไอริช แต่ทว่าบัดนี้ ความสำมะเลเทเมาได้ลบร่องรอยแห่งความงามสง่านั้นจนเลือนหายไปหมดสิ้น และผู้คนก็เลิกเชื่อถือในคำคุยโวโอ้อวดถึงแผนการในอนาคต ของเขา เพราะฟังมามากต่อมากจนน่าเบื่อหน่ายเต็มที

“ถ้าเขาถามอะไรมา เราจะตอบว่ายังไงล่ะ พ่อ?” เสียงลูกชายของ แองกัสถามอย่างกระวนกระวาย

แองกัสไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองเมื่อตอบว่า

 “เอ็งไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะ ข้าจะเป็นคนพูดเอง”

“ฉันบอกพ่อแล้วว่าให้ต้อนไอ้วัว ๓๐ ตัวนั้นกลับมาเสียจากฟากรั้วฝั่งโน้นตั้งแต่อาทิตย์ก่อน” สาวน้อยพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

 

 

“แล้วข้าก็บอกเอ็งแล้วเหมือนกันใช่ไหมว่า พวกมันควรจะได้กินหญ้ากินน้ำดี ๆ ต่ออีกสัก ๒ - ๓ วัน แม็กกี้” การต่อปากต่อคำทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราเต็มที “แม่วัวพวกนั้นมันแตกฝูงออกไปเองก็เท่านั้น แล้วที่เรามานี่ก็เพื่อมาต้อนมันกลับ อย่างที่เราเคยทำมาแล้วนั่นแหละ”

แองกัส โอ’ร็อคหย่อนสายบังเหียนปล่อยให้ม้าเดินช้า ๆ เข้าไปหาเวบบ์ คอลเดอร์ ซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่หลา เข้าไปหยุดอยู่ทางเบื้องขวาพร้อม กับส่งยิ้มให้ และอย่างแสดงความเคารพที่ทำให้เขาแตะนิ้วลงตรงขอบหมวกปีกกว้าง

“กู๊ด มอร์นิ่งครับ คุณคอลเดอร์” น้ำเสียงของแองกัส โอ’ร็อคบอกความร่าเริงอยู่ในที

“แองกัส’’ ใบหน้าที่แข็งกร้าว ประกอบด้วยแววตาที่ดุดันนั่นเพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ เป็นการรับการทักทายดังกล่าว

และอาการเช่นนี้ที่ทำให้แองกัสรู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่งนัก เขาโกรธตัวเองที่ ไม่บังอาจพอจะเรียกคอลเดอร์ด้วยชื่อแรกด้วยน้ำเสียงที่เท่าเทียมกันได้ เวบบ์ สามารถที่จะทำให้แองกัสมีความรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่าและล้มเหลวอะไรเช่นนั้น...นรกน่ะสิ เขาก็เป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์คนหนึ่งเช่นเดียวกันกับคอลเดอร์ อย่างน้อยก็ในความคิดของตัวเอง แต่แองกัสก็พยายามซุกซ่อนความขมขื่นในใจไว้

“วันนี้อากาศดีนะครับ” แองกัสพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สดสะอาด “เช้า ๆ ที่สดชื่นอย่างนี้ทำให้คุณลืมฤดูหนาวได้สนิททีเดียว นกลาร์คทุ่งก็ออกมาร้องเพลง ดอกไม้ป่าก็ผลิดอกออกช่อ แถมยังมีเจ้าลูกวัวหน้าขาว ๆ ใหม่ ๆ อีกตั้งหลายตัวเชียวนะครับ” แต่วินาทีต่อมาแองกัสจึงได้ ตระหนักว่า คำพูดเพ้อเจ้อของเขานั่นมิได้ทำให้สีหน้าของคอลเดอร์บอกความ รู้สึกอย่างใดทั้งสิ้น และอีกครั้งเช่นกันที่แองกัสต้องกราดเกรี้ยวลึก ๆ อยู่ในใจ ที่มีความรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นในศักดิ์ศรีแต่ก็ซ่อนไว้ในรอยยิ้ม “คุณคงจำคูลเลย์ ลูกชายของผมได้นะครับ แล้วก็นี่ลูกสาวผมชื่อแม็กกี้’’

เวบบ์ คอลเดอร์รับการแนะนำ และรับรู้ในเรื่องของเด็กหนุ่มด้วยอาการ พยักหน้าเช่นเคย เด็กหนุ่มผมดำ สีหน้าดูเผือดซีดท่าทางเขิน ๆ นั่นเอ่ยคำทักทายขึ้น ขณะที่เวบบ์หันไปมองเด็กสาว

 “มอร์นิ่ง ครับผม”

“เธอไม่ไปโรงเรียนหรอกหรือ แม็กกี้?” คำถามนั้นบอกความไม่พึงใจ

 

อยู่โดยนัย

อันที่จริงนั้น สาวน้อยผู้นี้มิได้ชื่อ ‘แม็กกี้’ อย่างที่ใคร ๆ เรียกกัน ชื่อที่จริงของเธอก็คือแมรี่ ฟรานเซส เอลิซาเบธ โอ’ร็อค ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับผู้เป็นมารดาซึ่งได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว แต่การที่จะมีผู้หญิงสองคน ชื่อเดียวกันอยู่ในบ้านมันออกจะสับสนอยู่มาก ดังนั้นพ่อของเธอจึงได้เรียกเธอว่า ‘แม็กกี้’ และติดปากมาตั้งแต่นั้น

สาวน้อยยักไหล่ทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเวบบ์ คอลเดอร์

“วันนี้พ่ออยากให้ฉันช่วยค่ะ” เธออธิบาย

แต่มันก็ยิ่งมีความเป็นจริงยิ่งไปกว่านั้นคือ แม็กกี้มักจะหยุดเรียนมากกว่าไป ในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง โอ’ร็อคบอกกับลูกสาวว่าอยากจะให้เธอช่วย งานในไร่ แม็กกี้นั้นโตพอที่จะรู้แล้วว่าพ่อเกียจคร้านเกินกว่าที่จะอยากทำงานหนักเพียงลำพังคนเดียว งานในไร่นั้นเป็นงานที่ติดพันเหมือนเชือกผูกรองเท้า และแองกัสก็ไม่มีกำลังพอที่จะจ้างคนงานมาช่วยทำได้ ดังนั้นจึงถือโอกาสที่จะใช้แรงงานของลูกสาวฟรี ๆ

ตลอดช่วงฤดูหนาว รถแทรกเตอร์ก็เสียอยู่เกือบจะตลอดฤดู ซึ่งหมายถึงว่าครอบครัวโอ’ร็อคไม่มีใบมีดสำหรับตัดกวาดหิมะในระยะทาง ๕ ไมล์ออกไปถึงถนนใหญ่ ซึ่งเธอจะได้จับรถไปโรงเรียนได้ เมื่อครั้งที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ นางจะผูกม้าขี่ออกไปส่งคูลเลย์กับแม็กกี้เมื่อถึงฤดูนั้น และในตอนบ่ายก็จะเอาม้าออกไปรับถึงรถโรงเรียน แต่สำหรับพ่อ ดูมันจะหนาวและยุ่งยากเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้นเพื่อลูกทั้งสองได้

แม็กกี้มิได้เสียดายเวลาที่ต้องขาดเรียนไปเท่าใดนัก ร่างกายของเธอ เจริญเติบโตขึ้น และเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ก็มีน้อยชิ้นเต็มที นอกจากบลูยีนกับเสื้อเชิ้ตตัวเก่าของคูลเลย์ ในวัย ๑๕ หยก ๆ ๑๖ หย่อน ๆ นั้น สาวน้อยเริ่มสนใจกับรูปร่างของตนเอง และเคยลองใช้เสื้อผ้าที่แม่เหลือทิ้งไว้ให้ แต่ผลที่ออกมากลับเลวร้ายแทนที่จะกลายเป็นดี ที่จริงไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนใดที่จะวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตัวของเธอ แต่แม็กกี้ได้เห็นสายตาที่มองมาอย่างสมเพช และด้วยความทระนงซึ่งมีอยู่มากพอที่จะทำให้สาวน้อยยอมรับข้อแก้ตัวของพ่อ ในการที่จะให้เธออยู่บ้านในทันที

แม่นั้นมีความปรารถนาอย่างมากมาย ที่จะให้ลูกทั้งหญิงและชายได้รับ การศึกษาอย่างดีที่สุด และเป็นความทรงจำที่ฝังแน่นอยู่ในสมองของแม็กกี้

 

 

 

เพราะมันเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่อง ที่สตรีผู้อ่อนโยนผู้นั้นมิได้เคยหวั่นไหว ไม่ว่าพ่อของเธอจะสำแดงความกราดเกรี้ยว หรือจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบก็ตาม ดังนั้น แม็กกี้จึงยังคงเก็บหนังสือเรียนไว้ที่บ้าน และพยายามศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเอง ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ทำลายความหวังของแม่ อย่างที่พ่อมักจะทำให้แม่เสียความหวังอยู่เสมอ

และแววแห่งความไม่เห็นด้วยในดวงตาของเวบบ์ คอลเดอร์นั้น ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มพลังให้กับความตั้งใจของสาวน้อยที่จะร่ำเรียนต่อไปอีก แม็กกี้ มิได้แก้ตัวโดยยึดเอาสาเหตุที่พ่อเป็นอยู่...ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอพร่ำ อยู่แต่คำมั่นสัญญาลม ๆ แล้ง ๆ และจมอยู่กับความฝันที่ว่างเปล่า ต่อให้ใช้เงินทั้งโลกก็ไม่อาจจะทำให้พ่อกลับกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง พร้อมที่จะเผชิญโลกอย่างเวบบ์ คอลเดอร์ได้ มันออกจะเป็นการยากและขมขื่นอย่างเหลือแสน ในการที่จะยอมรับภาวะที่พ่อของตนกำลังเป็นอยู่ แม็กกี้เพียงแต่ตำหนิเวบบ์ คอลเดอร์ ในการที่เขาสามารถทำและเป็นในสิ่งที่พ่อของเธอจะไม่มีวันทำและเป็นอย่างเขาได้เท่านั้น

เมื่อตระหนักว่า ข้อความที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เกิดอะไรขึ้นมา แองกัส โอ’ร็อคก็หันไปทางฝูงปศุสัตว์ที่ถูกต้อนไปรวมกันไว้ในกลางท้องทุ่ง สีหน้าของเขาบอกความลังเลที่จะต้องผละจากไป แต่มันก็ยังมีงานต้องทำ

“เอ้อ...ผมเห็นวัวที่ตีตราแซมร็อคไว้ตัวหรือสองตัวในกลุ่มนั้น” เขาเอื้อมมือไปกุมสายบังเหียนเตรียมที่จะเดินม้าเข้าไปในฝูงปศุสัตว์ “ผมมาเพื่อจะคัดวัวของผมที่มันพลัดเข้ามา กลับเข้าไปด้านโน้นน่ะครับ”

“ฉันจะให้คนของฉันไปช่วย” เวบบ์ตั้งท่าจะโบกมือขึ้นเรียกโคบาลของเขา

“เราต้อนเองได้ค่ะ” แม็กกี้ขัดขึ้นทันที เพราะถึงแม้จะจน แต่ความทระนง และศักดิ์ศรีก็ยังพอมีอยู่ สาวน้อยเคยได้รับการอบรมมาจากผู้เป็นมารดาว่า อย่าได้รับความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ จนกว่าจะคิดว่าเราสามารถจะตอบแทนบุญคุณเขาได้ในสักวันหนึ่ง และออกจะเป็นเรื่องเหลวไหลจนน่าหัวเราะ ถ้าจะคิดว่า สักวันหนึ่งนั้นที่คอลเดอร์จะต้องการความช่วยเหลือเป็นการตอบแทน

มือของเวบบ์ คอลเดอร์จึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ขณะที่มองดู แองกัสเงียบ ๆ คล้ายจะให้เขาได้ยืนยันออกมาเป็นคำพูดอีกครั้งว่า ไม่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ

“ครับ เราสามคนพอจะช่วยกันได้” พ่อของเธอสนับสนุนในคำพูดนั้นทันที

 

 

 

ทั้ง ๆ ที่เขาพร้อมจะรับความช่วยเหลือนั้นอยู่แล้ว ถ้าแม็กกี้จะไม่ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

มือข้างนั้นจึงลดลงวางตรงปุ่มอาน

“ก็ตามใจนะ แองกัส”

ขณะที่เลี้ยวม้ากลับแองกัสตวัดสายตามองลูกสาวอย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะชักม้ามุ่งตรงไปยังฝูงปศุสัตว์โดยที่แม็กกี้กับคูลเลย์ขี่ม้าตามมาข้างหลัง และเมื่อบังเกิดความรู้สึกว่าขณะนี้พวกโคบาลในไร่ทริพพึล ซี.กำลังจับตามองดูอยู่ แม็กกี้ก็ยืดตัวขึ้น รู้ดีถึงบุคลิกลักษณะของตัวเองกับพ่อและพี่ชายว่าดูปอนจนเกินไป ทั้งเสื้อผ้าและอานม้าที่สึกร่อยเต็มที

จากด้านที่ไกลที่สุดของฝูงปศุสัตว์นั้น เชสกำลังจับตามองบุคคลทั้งสามที่แต่งกายเหมือนตัวตลกและกำลังควบม้าเข้ามาใกล้ เนต มัวร์ได้ผ่านคำสั่งของเวบบ์ คอลเดอร์ไปให้พวกโคบาลรู้กันทั่วแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ว่า หนึ่งในจำนวนคนขี่ม้าทั้ง ๓ ตัวนั้นจะต้องเป็นผู้หญิง บั๊คกำลังชักม้าของตัวเองเข้ามาใกล้

“เฮ้ย แกบอกได้ไหมว่าคนไหนเป็นผู้หญิง?” น้ำเสียงของบั๊คมีแววขบขันปนเยาะอยู่เป็นนัย

“คงจะเป็นคนรูปร่างเล็กที่สุดละมัง” เชสเปล่งรอยเหยียดยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ดูท่าทางจะอายุอ่อนกว่าเพื่อนนี่”

“กำลังสด จริงเสียด้วย” บั๊คพูดห้วน ๆ “แต่ฉันมันชอบผู้หญิงที่ค่อนข้างจะมีอายุ แล้วก็มีเนื้อหุ้มกระดูกมาก ๆ สักหน่อย เออ...เฮ้ย...เครนชอว์ บอกฉันเมื่อเช้านี้เองโว้ยว่า เจ็ค เลมอนได้ ‘หลานสาว’ ผมสีบลอนด์คนใหม่ มาทำงานในบาร์แล้วนี่หว่า”

“ยังงั้นเรอะ?” เชสพูดเสียงเบาอย่างระวังตัว เหมือนที่โคบาลทุกคน กำลังระวังอยู่ เพราะ ‘หลานสาว’ ของเจ็คนั้นคืออีตัวทั้งนั้น “ไอ้หมอนั่น ครอบครัวมันใหญ่ดีนิ จริงไหม?”

บั๊คยิ้มกว้างออกมาทันที

“ให้การต้อนวัวคราวนี้เสร็จเสียก่อน แกกับฉันเห็นจะต้องไปรับแม่หลานสาวคนนี้กันหน่อย เจ้าหล่อนควรจะได้เรียนรู้วิธีใหม่ ๆ ในการขายสินค้าบ้างนะ ฉันว่า”

“ถ้าต้องเฝ้าไอ้พวกนี้อีกสักอาทิตย์ ฉันรับรองว่าบรรดาหลานสาวคนใหม่เหล่านี้ จะต้องเรียนรู้วิธีการของแกจนช่ำชองแล้วเป็นแน่” เชสตอบพร้อม

 

กับชักม้าตรงไปยังแม่วัวตัวที่เดินออกไปนอกลู่ กำจัดความรู้สึกที่จะต้องทิ้งฝูงปศุสัตว์ออกไปได้สำเร็จ

ขณะเดียวกัน บั๊คก็ชักม้ากลับไปยังตำแหน่งเดิมซึ่งอยู่ห่างค่อนขึ้นไปทางด้านหน้าของเชสหลายหลา ไม่มีประโยชน์ในการที่จะใช้ความพยายามพูดเล่นเจรจาอีกต่อไป และขณะที่ครอบครัวโอ’ร็อคกำลังไล่ต้อนวัวควายของตัวอยู่นั้น เชสกับโคบาลคนอื่น ๆ ก็ต้อนฝูงปศุสัตว์ให้เข้ารวมกลุ่มกันไว้เช่นเดิม

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024