
จ้าวปฐพี (เจเนต เดลีย์) (แปล บุญญรัตน์) (EBOOK)
ประหยัด: 98.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑
ลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทาบประกายเรืองรองอยู่เหนือ
แผ่นฟ้าอันกว้างไกลหาที่สุดมิได้แห่งแผ่นดินมอนตาน่า สาดรังสีลงต้องฝูงวัวหนุ่มที่คำรามก้อง เบียดเสียดกันอยู่ในคอกกักสัตว์ใกล้ทางรถไฟ เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์หัวรถจักรซึ่งทอดตัวสงบนิ่งอยู่บนรางถูกกลบด้วยเสียงคำรามต่ำ ๆ ของฝูงสัตว์ที่ตื่นตกใจ และเสียงกีบเท้าที่เหยียบย่ำขึ้นไปบนทางลาดที่ ทอดขึ้นรถพ่วงบรรทุกจนหมดสิ้น ขณะเดียวกันมันก็แทรกอยู่ด้วยเสียงตะโกน ไล่ต้อนของพวกโคบาล ขณะที่ต้อนฝูงวัวเหล่านั้นและบังคับให้มันเดินขึ้นไป ตามทางลาดสู่รถพ่วงดังขรม
“สิบแปด”
เมื่อโบกี้ดังกล่าวบรรทุกวัวจนเต็มอัตราแล้ว เครื่องจักรก็ส่งเสียงคำรามก้องขึ้น ขบวนรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพื่อเลื่อนรถพ่วงคันต่อไปเข้ามาแทนที่ กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นเหนือหลังคารถไฟขบวนนั้น เสียงโซ่เหล็กกระทบกันกึงกัง จุดหมายปลายทางในการต้อนสัตว์ขึ้นขบวนรถพ่วงครั้งนี้คือโรงฆ่าสัตว์ทางภาคตะวันออก ซึ่งเป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุด และที่สร้างความไม่น่าพอใจให้ยิ่งกว่านั้น คือนอกจากเสียงตะโกนโหวกเหวกแล้ว ยังเป็นกลิ่นไอเหม็นคลุ้งของพวกสัตว์ที่รวมตัวกันอยู่ในคอกนั้นด้วย
เบนทีน คอลเดอร์จับตามองกิจกรรมที่กำลังดำเนินไปอยู่ทางด้านข้าง หมวกปีกกว้างช่วยบดบังใบหน้าที่กร้านแดดไว้ และบางส่วนของมันยังช่วยซ่อนเร้นความไร้สงบในแววตาที่กำลังมองดูอยู่ด้วย เส้นผมที่เคยเป็นสีดำบัดนี้แชมด้วยสีเทาเงินแล้ว และในวัย ๕๐ เศษได้เพิ่มเนื้อหนังให้กับเรือนร่างแบบคนกระดูกใหญ่ขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม ความสง่าผ่าเผยในท่าทีของเขาก็ยังบอกให้รู้ถึงความเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปศุสัตว์อยู่ ทุกตารางนิ้วของไร่
ปศุสัตว์ทริพพึล ซี.นั้น แลกมาด้วยหยาดเหงื่อหยาดโลหิต และความฉลาดหลักแหลมซึ่งต้องใช้เล่ห์กลบ้างในบางครั้ง เขาต่อสู้กับบรรดาพวกนอกกฎหมายทั้งหลาย ผจญกับพวกอินเดียนแดงและพวกเจ้าของไร่ปศุสัตว์ใกล้เคียงที่คอยจ้องแต่จะกลืนไร่ปศุสัตว์ของเขาอย่างหนัก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีคนต้องการไร่ ทริพพึล ซี.อยู่ดี ซึ่งมนุษย์ผู้ชายคือ เชส เบนทีน คอลเดอร์ก็รู้อยู่แก่ใจ
ฝูงปศุสัตว์ที่ถูกต้อนขึ้นสู่รถพ่วงนั้นประทับตราทริพพึล ซี.ไว้ตรงสะโพก บอกให้รู้ว่ามันเป็นสินสมบัติของไร่คอลเดอร์ แคตเติ้ล คอมเปนี...ซึ่งเป็นไร่ของเขาเอง อากาศในฤดูร้อนทำให้ฝูงวัวเหล่านี้มิได้อยู่ในสภาพชั้นหนึ่งอย่างที่ตั้งใจไว้ นาน ๆ ครั้งที่อากาศทางภาคตะวันตกของมอนตาน่าจะดีพอที่จะวางใจได้
จากการที่ออกต้อนสัตว์เป็นเวลาถึง ๖ สัปดาห์ ทำให้กล้ามเนื้อออกจะตึงตัวขึ้นด้วยวัยชราที่เข้ามาเยี่ยมกราย เขายกมือขวาขึ้นนวดต้นแขนซ้ายอย่างไม่ตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ปรายตามองไปทางผู้ชายคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ มุมปากยักขึ้นเป็นการทักทายเงียบ ๆ เมื่อจำได้ว่าคนคนนั้นคือบ็อบบี้ จอห์น โทมัส คนงานการรถไฟนั่นเอง
“สงสัยว่าจะทำงานกันได้อีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น” เขาเดินเข้ามาใกล้ มิได้สำแดงอาการตอบรับในการทักทายแต่อย่างใด
“นั่นสิ” เบนทีนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ดวงตาแหลมคมของบ็อบบี้ จอห์น โทมัสจับอยู่ที่วัวตัวหนึ่งซึ่งมีตราของไร่อื่นปะปนอยู่
“เที่ยวนี้คุณมีวัวของไร่อื่นด้วยนะ รู้สึกว่าจะเป็นไดมอน ที.” เขาอ่านตรานั้นขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วย่น “เอ๊ะ...รู้สึกว่าไม่เคยเห็นไอ้ตราแบบนี้มาก่อนนี่”
“ผมคิดว่ามันเป็นตราดาโกต้าน่ะ” มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักตราของไร่อื่นที่ตั้งอยู่นอกรัฐทั้งหมด และเบนทีนก็ไม่ยอมเสียสมองกับเรื่องเช่นนี้ “เท่าที่รู้เที่ยวนี้เรามีวัวของไร่อื่นปนมาด้วย ๑๔ ตัว”
รายละเอียดของจำนวนวัวจากไร่ต่าง ๆ จะระบุอยู่ในเอกสารการขนส่ง เพื่อเปิดโอกาสให้แก่เจ้าของไร่ซึ่งปศุสัตว์ของตนระเหเร่ร่อนออกไปยังไร่อื่นหรือ มิฉะนั้นก็การที่เจ้าของไร่เองไม่ยอมเคารพในอาณาเขตที่ดินของตนกับเขตติดต่อ แม้จะมีรั้วลวดหนามขวางกั้นแบ่งไว้แล้วก็ตาม มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากที่จะมิให้ปศุสัตว์ของไร่อื่นปะปนเข้ามากับปศุสัตว์ของตน ปกติแล้วถ้ามีเหตุการณ์
เช่นนี้เกิดขึ้นเจ้าของไร่ใกล้เคียงมักจะเข้ามาค้นหาวัวด้วยตนเอง แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือตัวแทนของไร่นั้น ๆ เข้ามา สัตว์เหล่านั้นจะถูกขายปะปนออกไปในท้องตลาดด้วย ซึ่งถ้าจะขืนทิ้งไว้มันก็ต้องตายอยู่ดีเมื่อแก่ตัวลง ซึ่งมิได้ให้ประโยชน์โภชผลแก่ใครทั้งสิ้น ประการสำคัญที่สุดก็คือ ถ้าเลี้ยงต่อไปก็เท่ากับให้มันมาช่วยกินหญ้าที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์ในไร่ให้เปล่า ๆ
เมื่อพวกวัวไม่มีเจ้าของเหล่านี้ถูกส่งไปถึงตลาดกลาง คนตรวจตราจะเป็นผู้คัดแยกมันไว้และจะจัดการชำระเงินค่าซื้อขายแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของโดยตรง ด้วยวิธีการเช่นนี้ เจ้าของไร่ปศุสัตว์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเมื่อพบสัตว์ที่หลงมาโดยมีเจ้าหน้าที่ตลาดกลางเป็นพยาน ก็จะได้รับประโยชน์ด้วยความปรองดองกันเป็นอันดี ขจัดข้อบาดหมางลงได้ มันเป็น ‘กฎทอง’ ที่นำมาใช้เพื่อแก้สถานการณ์ ดังเช่นคำพังเพยที่ว่า ‘จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน’
รถพ่วงคันดังกล่าวบรรทุกสัตว์จนเต็มอัตราและประตูได้ถูกกระแทกปิดลงแล้ว เสียงเครื่องจักรรถไฟดังกระหึ่มขึ้น เลื่อนรถพ่วงคันต่อไปเข้ามาแทนที่ ระหว่างการหยุดพักชั่วครู่นั้น โคบาลหนุ่มคนหนึ่งได้ก้าวลงมาจากบนทางลาด ถอดหมวกออก ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วจึงได้ตวัดหมวกใส่กลับลงตามเดิม ปิดบังเรือนผมสีดำสนิทไว้จากใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม สีสันของผิวพรรณที่อยู่นอกเหนือเงาปกปิดของหมวกปีกกว้างส่อให้เห็นความละม้ายคล้ายคลึง ระหว่างตัวเขากับเจ้าของไร่ปศุสัตว์อยู่มาก
บ็อบบี้ จอห์น โทมัสหันไปมองเบนทีน “นั่นน่ะเวบบ์ ลูกชายของคุณไม่ใช่หรือ?”
เบนทีนเม้มริมฝีปาก สีหน้ามิได้บอกความรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ขณะที่พยักหน้าตอบรับ แววในดวงตาของเขาบอกความกังวลอย่างประหลาด เป็นความกังวลที่ไม่เคยเลือนหายไปเลย
“ตั้งแต่เห็นกันครั้งสุดท้ายแล้วรู้สึกว่าโตขึ้นมากนี่” บ็อบบี้ จอห์นตั้งข้อสังเกต
“ใช่” คำตอบรับสั้น ๆ นั้นบอกให้รู้ว่าเบนทีน คอลเดอร์ไม่ต้องการอธิบายต่อ เพราะถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว เขามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เวบบ์นั้นโตแต่ตัว เพราะการกระทำใด ๆ ก็ตามยังไม่บอกว่าเขาพร้อมจะเป็นหนุ่มด้วยซ้ำ
แต่มันก็มีอะไรมากมายหลายอย่างในตัวลูกชายวัยรุ่นผู้มีร่างกายล่ำสัน
สูงใหญ่ที่ทำให้เบนทีนภาคภูมิใจอยู่ ในวัย ๒๖ เวบบ์เป็นโคบาลมือหนึ่งของ ไร่ทริพพึล ซี. เขาสามารถขี่ม้าตัวที่สูงใหญ่ที่สุด เป็นนักขว้างบ่วงไม่เคยหลบเลี่ยงงานหนักเลย ซึ่งเรื่องเหล่านี้เบนทีนจะตำหนิลูกชายไม่ได้ แต่สิ่งที่เวบบ์ พยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดคือ ภาระที่จะต้องรับผิดชอบ จะยอมรับก็แต่เมื่อมันเป็นความจำเป็นเท่านั้น และเขาก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี มีการตัดสินใจที่ดี ผิดพลาดน้อยมาก ซึ่งก็ความไม่ใส่ใจในด้านงานบริหารไร่นี่เอง ที่ทำให้เบนทีนรู้สึกลำบากใจมาตลอด ยิ่งเบนทีนพยายามจะยํ้าเตือนว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าไร่ทริพพึล ซี.นี้จะต้องตกเป็นของเขาเท่าไร เวบบ์ก็ยิ่งแสดงความไม่แยแสมากขึ้นเท่านั้น
ลอร์น่าเล่าก็มิได้ช่วยแก้สถานการณ์เลย กลับมีความเห็นว่าเบนทีนเรียกร้องจากลูกมากเกินไป เธอมีความเห็นว่า เวบบ์ยังเด็กอยู่มาก ยังต้องการเวลาที่จะใช้ชีวิตหนุ่มให้เต็มที่เสียก่อนที่จะเข้ามารับภาระความรับผิดชอบในการบริหารไร่แห่งนี้ บางทีลอร์น่าอาจจะพูดถูกก็ได้ แต่เบนทีนก็เชื่อว่า เมื่อครั้งที่ตัวเองมีอายุเท่าเวบบ์นั้น เขาได้ต้อนฝูงวัวลองฮอร์นขึ้นไปทางเหนือของ เท็กซัสจนกระทั่งได้มาพบไร่ทริพพึล ซี.แห่งนี้ ที่มันเป็นความกังวลแก่เขาอย่างไม่รู้จบก็คือ เขากำลังเลี้ยงดูลูกชายให้รู้จักแต่การรับคำสั่งแทนที่จะเป็นผู้ออกคำสั่ง ทั้ง ๆ ที่อนาคตของไร่อยู่ในมือลูกชายคนนี้คนเดียวเท่านั้น
เขาเบือนความสนใจจากลูกชายร่างใหญ่มายังเจ้าหน้าที่ของการรถไฟ ซ่อนซุกความกังวลใจไว้ใต้สีหน้า
“คุณคงงานยุ่งนะ บ็อบบี้ จอห์น?” เขาถามขึ้น
“มันก็ยุ่งกันทุกคนนั่นแหละ เสียแต่ว่าเป็นงานหนักที่ได้เงินน้อย” น้ำเสียงของบ็อบบี้ จอห์นเหมือนจะเสียใจอยู่
ริมฝีปากของเบนทีนเหยียดออกเหมือนฝืนยิ้ม
“รู้สึกว่าคนทำงานกับรถไฟก็อุทธรณ์อย่างนี้กันทั้งนั้น แต่มันก็เชื่อยาก เพราะมาทีไรก็เห็นบรรทุกกันเพียบอย่างนี้ทุกเที่ยว ราคาค่าขนส่งก็เพิ่มขึ้น”
“มันก็จริงหรอก” บ็อบบี้ จอห์นออกจะเป็นคนที่จงรักภักดีกับหน่วยงานของตนอยู่ “เราอาจจะรับบรรทุกปศุสัตว์ออกจากไมลส์ ซิตี้ในฤดูใบไม่ร่วง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีงานอย่างนี้ให้ทำอย่างสม่ำเสมอตลอดปีหรอก ช่วงเวลาที่เหลือก็มีแต่พวกผู้โดยสารกับสินค้านิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น”
“นั่นสิ” เบนทีนตอบเหมือนสรุป
“แต่อีกหน่อย อะไร ๆ มันก็คงจะเปลี่ยนไปแล้ว” ได้มีการพูดจากล่าวขวัญกันในเรื่องนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อลงไว้ข้างไม้ท่อนใหญ่ ซึ่งแน่ใจว่ามีปลาตัวใหญ่ซ่อนอยู่ที่นั่น
ความสนใจในเรื่องกิจการงานที่กำลังคุยกันอยู่หมดไปทันที ความใคร่รู้ในคำพูดประโยคนั้นของบ็อบบี้ จอห์นทำให้เบนทีนอดถามไม่ได้
“เรื่องอะไรกันล่ะ?”
“เวลานี้มีคนมาไถนาปลูกข้าวสาลีขึ้นแล้วแถว ๆ มุซเซลเซลล์ ริเวอร์โน่น เห็นเขาลือกันว่าเก็บเกี่ยวได้ถึงเอเคอร์ละ ๔o บุชซึลทีเดียว” เขามองเห็นแววแห่งความไม่เชื่อจุดประกายขึ้นในดวงตาของเบนทีน “เขากำลังเอาแผ่นดินที่แห้งแล้งแถบนี้พัฒนาขึ้นเหมือนอย่างในคันซัสเลยละ”
แต่เบนทีนกำลังนึกวาดภาพตามหลักความจริงซึ่งไม่อาจจะนำมาอ้างได้ในข้อนี้ ในแผ่นดินที่แห้งแล้งไม่มีแหล่งน้ำที่จะนำมาช่วยในการเพาะปลูกได้ อย่างพอเพียงนั้น ในที่ดินหนึ่งเอเคอร์ถ้าจะได้ผลผลิตกันจริง ๆ แล้วก็ไม่เกินครึ่งเอเคอร์ ส่วนที่เหลือนั้นจะต้องปล่อยให้แห้งตายแน่ แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกถากไถมาก่อน แต่ไม่เคยมีความชุ่มชื้นพอเพียงสำหรับการเพาะปลูกเลย ปีต่อมาจึงจะใช้ที่ดินอีกส่วนที่เหลือมาเพาะปลูก หมุนเวียนกันไปทีละครึ่งเช่นนี้ ถ้าจะมีความชุ่มชื่นบ้างก็จากฝนและหิมะ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ในปีต่อไปเท่านี้
“ทำที่นี่เห็นจะไม่สำเร็จหรอก” เบนทีนพูดห้วน ๆ ไม่สนใจกับข้อหลักฐานที่บ็อบบี้ จอห์นนำมาอ้างอิง “ที่นี่มันเป็นเมืองปศุสัตว์ มันใช้ประโยชน์ได้ดีแค่นั้น อีกประการหนึ่ง ผมก็ไม่เคยได้ยินว่า มีชาวไร่คนไหนที่สามารถจะทำมาหาเลี้ยงชีพได้ด้วยที่ดินแค่ ๘๐ เอเคอร์ด้วย” นั่นเป็นจำนวนเพียงแค่ครึ่งของ ๑๖๐ เอเคอร์ที่สร้างโฮมสเตดขึ้นเท่านั้น
“มันก็อาจจะจริงอยู่หรอก” บ็อบบี้ จอห์นตอบอย่างจะยอมรับ “แต่ที่ผมได้ยินมาน่ะ เขาว่าเวลานี้ได้มีการยื่นข้อเสนอไปให้ทางรัฐบาลพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายที่ดินใหม่แล้วนะ เห็นว่าจะให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งนี่”
คางของเบนทีนเชิดขึ้นทันที อันเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อเรื่องใหม่ที่ได้รับรู้ บังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อทอดสายตามองเลยคอกปศุสัตว์ข้างทางรถไฟออกไปยังแผ่นดินที่เขียวชอุ่มด้วยต้นหญ้า
ยามบ่ายของวันในฤดูใบไม้ร่วงนั้น ทัศนียภาพของแผ่นดินมอนตาน่าแห่งนี้ เปรียบเสมือนท้องทะเลสีทองอันสง่างาม มันเป็นทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่
คนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายจะพึงฝันหา กับความคิดที่ว่ามันจะถูกถากไถทึ้งลงและ เปลี่ยนเป็นทุ่งข้าวสาลีแทนนั้น มันเหลือจะทนสำหรับเบนทีนจริง ๆ เวลานี้มีอะไรหลายสิ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งแรกที่เขาได้ย่างเหยียบลงบนแผ่นดินแห่งนี้ แต่นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งที่เขาไม่อาจจะยอมรับได้ เขาจะต่อสู้จนสุดฤทธิ์ ถ้ามีการเปลี่ยนทุ่งเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งกสิกรรมจริง ๆ
“พวกนั้นมันไม่มีทางยัดเยียดข้อเสนอผ่านไปให้รัฐบาลพิจารณาได้หรอก” เบนทีนพูดเสียงหนัก ๆ บอกถึงความเอาจริงพร้อมที่จะต่อสู้ไม่ว่ากับนักการเมือง หรือใครที่ไหนก็ตาม แม้ว่ามันจะต้องทำทั้ง ๆ ที่กระดูกในกายอ่อนล้าเพียงใดก็ตาม
“เรื่องนั้นน่ะผมไม่แน่ใจด้วยเลยนะ” บ็อบบี้ จอห์น โทมัสพูดเหมือนจะเตือน “เพราะมันไม่ใช่ความต้องการของพวกเจ้าของไร่ฝ่ายเดียว” แต่เขาก็มิได้อธิบายอะไรให้มากกว่านั้น
เบนทีนอดด่าตัวเองไม่ได้ ที่แสดงความคิดเห็นออกมาให้คู่สนทนารู้ โดยไม่ทันยั้งคิด จริงอยู่พวกชาวไร่อาจจะสร้างความกังวลใจให้เขา แต่ก็ยังมีฝ่ายตรงข้ามคือการคมนาคมด้านรถไฟนั่นเอง มันมีที่ดินที่ใช้ไม่ได้อยู่ในบางส่วนของภาคตะวันตก เป็นที่ดินหลายพันตารางไมล์ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดไว้ว่าจะใช้เป็นเส้นทางวางรางรถไฟในวันข้างหน้า ซึ่งทางการรถไฟสามารถ จะใช้กฎหมายที่ดินบังคับให้เจ้าของไร่ออกจากที่ดินนั้นได้ และเลิกซื้อขายเพื่อทำการทำไร่หรือสร้างเป็นตัวเมืองขึ้น การสร้างข่าวนี้ขึ้นมาจะนำมาซึ่งข้อยุติ ทั้งพวกนายหน้าและพวกเจ้าของไร่ ประชาชนพลเมืองเองก็ต้องการผลผลิตอยู่ ซึ่งเท่ากับสามารถให้กิจการรถไฟเจริญขึ้น ด้วยการรับซื้อสินค้าอันเป็นผลิตผล ทางด้านกสิกรรมอีกโสดหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องใช้ความฉลาดปราดเปรื่องอะไรก็มองเห็นบทสรุปในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะทางการรถไฟเคยทำตัวอย่างเรื่องนี้มาก่อนในคันซัส เนบราสก้า และโคโลราโด ซึ่ง ณ ที่นั้นบัดนี้ได้กลายเป็นแหล่งข้าวสาลีไปแล้ว แต่ดินที่นี่ ไม่เหมือนที่นั่น ทฤษฎีที่ใช้กับที่นั่นย่อมจะนำมาใช้กับที่นี่ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เรื่องราวที่จะถูกยื่นไปให้รัฐบาลพิจารณาจะต้องถูกระงับ และเป็นการระงับที่รวดเร็วที่สุดด้วย เบนทีนรู้ว่า เขาจะเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว แม้ว่า ๖ สัปดาห์ที่เสียไปกับการต้อนสัตว์จะทำให้เขาเหนื่อยหนักขนาดไหนก็ตาม เพราะแม้รูปร่างของเขากับลูกชายจะใกล้เคียงกันแค่ไหน เขาก็ไม่อาจจะมีพละ
กำลังอย่างสมัยเมื่อเป็นหนุ่มได้อีก
“ผมคิดว่าถึงเวลาจะต้องกลับไปทำงานแล้ว” บ็อบบี้ จอห์น โทมัส ขยับตัวเหมือนไม่ใคร่เต็มใจจะทำอย่างที่พูดเท่าใดนัก แต่เบนทีนก็มิได้พูดจา เป็นการเชื้อเชิญให้คนงานรถไฟผู้นั้นอยู่ต่อ “ฝากความคิดถึงไปให้ภรรยาคุณด้วยนะ”
“ได้สิ” เขามองเห็นภาพของลอร์น่าที่กำลังคอยอยู่ในห้องที่โรงแรม บังเกิด ความใคร่จะได้อยู่ใกล้เธอขึ้นมา เบนทีนแทบจะไม่มองบ็อบบี้ จอห์นที่เดินห่าง ออกไป กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ผ่านคอกกักสัตว์ทางลาดที่จะต้อนพวกมันขึ้น สู่รถพ่วงเพื่อหาบาร์นี่ มัวร์ แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ลูกชาย...วันหนึ่งข้างหน้า ไร่แห่งนี้จะต้องเป็นของเวบบ์อยู่แล้ว ความกังวลดูจะหน่วงหนักขึ้นในใจ
“เวบบ์...” เสียงที่เปล่งออกเรียกชื่อลูกชายนั้นดังก้องกว่าเดิม เหมือนเขาต้องการจะให้ตัวเองได้ยินด้วย
เวบบ์เอี้ยวไหล่หันมามองตามเสียงเรียก เห็นพ่อแสดงท่าบอกให้รู้ว่า ต้องการจะพูดด้วยจึงเหวี่ยงตัวลงจากทางลาดสู่พื้นชาลา สั่งให้โคบาลอีกคนหนึ่งขึ้นไปทำงานแทน ขณะที่เวบบ์เดินเข้ามาใกล้นั้น เขาได้สังเกตเห็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่ปรากฏขึ้นในตัวเบนทีน มันเป็นความภาคภูมิผสมกับความโกรธขึ้ง...ศักดิ์ศรีในแบบที่คนอย่างเบนทีน คอลเดอร์ควรจะมี ด้วยความเป็นนักต่อสู้เพื่อให้ได้แผ่นดินผืนนี้มา ด้วยความสามารถของตัวเอง และเคียดแค้นกับในสิ่งที่ได้มานั้น
เขาไม่ได้ต้องการจะเป็นลูกพ่อเลย ไม่ต้องการแยกตัวเองออกจากโคบาลอื่น ๆ เพราะมีชื่อสกุลว่า คอลเดอร์ ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง แม้จะเกิดมาเป็นทายาทคอลเดอร์ก็ตาม เขาน่าจะเกิดมาเป็นเวบบ์ สมิธมากกว่าเวบบ์ คอลเดอร์ ดังนั้นเขาจึงต่อต้านกับสิ่งนี้อยู่เงียบ ๆไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกให้ใครรู้ บำเพ็ญตนเป็นคนลึกลับ และปฏิเสธตัวเองอยู่ตลอดเวลาเรื่องสิทธิในความเป็นทายาท เวบบ์ถือเป็นสิ่งพึงปฏิบัติด้วยการไม่ยอมอวดอ้างตนกับโคบาลคนอื่นที่ทำงานร่วมกันในไร่ ไม่ยอมรับฟังคำปรึกษาหารือหรือออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นโคบาลวัยกลางคน ซึ่งเดินทางขึ้นมาทางเหนือพร้อมกับพ่อที่มักจะหันมาหาเขาทุกครั้ง ถ้ามีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจเกิดขึ้น ที่มาหาก็เพราะยึดมั่นในความเป็นคอลเดอร์ของเวบบ์ ซึ่งทำให้เขาออกจะขุ่นใจอยู่ แต่นาน ๆ ครั้งจึงจะสำแดงความโกรธนั้นออกมาให้เห็น
เวบบ์รู้ว่าพ่อผิดหวังในตัวเขา เพราะพ่อเรียกเขาไปอบรมพร่ำสอนหลายครั้งหลายครา ในเรื่องที่จะให้รับภาระทางด้านความรับผิดชอบ และเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่เวบบ์ได้อธิบายความรู้สึกของตัวเองให้พ่อฟัง เขาตั้งใจแล้วว่า ถ้าจะรับก็ต้องด้วยความสามารถไม่ใช่เพราะเกิดมาเป็นทายาทคอลเดอร์เท่านั้น แต่เบนทีนกลับมองเห็นว่ามันเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาอย่างที่สุด ที่คิดเช่นนั้นและเตือนเวบบ์โดยไม่จำเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาไม่สามารถจะ เปลี่ยนในกำเนิดที่เกิดมาเป็นคอลเดอร์ได้ ด้วยความที่ไม่อาจจะเข้าใจกันได้เช่นนี้ เวบบ์จึงเลือกเดินบนทางสายเปลี่ยวเพียงลำพัง ไม่อาจจะยอมรับในภาระ หน้าที่ซึ่งพ่อต้องการจะมอบให้ได้ หลายต่อหลายครั้งที่เขาตัดสินใจจะหอบถุงนอนใส่หลังม้าขี่ออกไปเสียจากไร่ทริพพึล ซี.แห่งนี้ แต่แล้วเมื่อหวนคิดถึงแม่ขึ้นมาก็ทำให้เขาต้องทนอยู่ต่อไป ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ครับผม?” เวบบ์เข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าบิดา ตวัดหางเสียงเป็นเชิงถามว่าทำไมจึงถูกเรียกตัวมา เวบบ์ไม่เคยเรียกเบนทีนว่าพ่อมากว่า ๖ ปีแล้ว
สีหน้าของลูกชายมิได้บอกเจตจำนงใด ๆ เกินไปกว่าความสนใจใคร่รู้อย่าง นอบน้อม เบนทีนพิจารณาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ด้วยความหวังที่มากกว่านั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายกำลังคิดอะไรอยู่ หรือตัวเขาเองก็ตามที่กำลังคิดอะไร ทั้งที่ความจริงแล้ว พ่อควรจะได้รู้บ้างว่าอะไรที่อยู่ในความคิดของลูก แต่เบนทีนกลับไม่รู้เลย
“พ่ออยากจะให้แกไปไปรษณีย์ให้หน่อย ไปส่งโทรเลขให้สัก ๓ ฉบับ” เบนทีนบอก “ฉบับหนึ่งส่งไปให้แฟรงค์ บูลฟาร์ต เขาเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ใน วอชิงตัน ในโทรเลขฉบับนั้น พ่ออยากให้แกถามเขาถึงเรื่องการยื่นข้อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี ในเรื่องการขยายอำนาจของกฎหมายที่ดิน อยากรู้ว่าเขาจัดแจงเบื้องต้นสำหรับการให้ความช่วยเหลือกันยังไง แล้วก็ถามถึงเหตุผลเดียวกันนี่แหละไปทางอาซ่า มอร์แกนในเฮเลน่า ฉบับที่ ๓ พ่อต้องการให้แกส่งไปถึงบูลล์ ไจลล์ ที่แบล็ก โดฟบาร์ในวอชิงตัน ต้องการให้ถามในเรื่องเดียวกันนี่แหละ” เมื่อเห็นสีหน้าของเวบบ์มิได้บอกความสนใจเท่าใดนัก ทำให้เขาเกิดความระแวงขึ้นมา
“จำได้หมดหรือเปล่า?”
“ครับผม” ภายใต้สีหน้าที่ราบเรียบนั้น ความคิดของเวบบ์กำลังประเมิน
ความสำคัญของรายละเอียดในคำตอบที่จะได้รับ และจะส่งผลกระทบมาถึงไร่ปศุสัตว์ของพ่อในรูปใด
“มีอะไรนอกจากนี้ไหมครับ?”
“ไม่มีหรอก” เบนทีนเม้มปาก “แกไม่อยากรู้บ้างเลยหรือว่าเรื่องนี้มี ความสำคัญยังไง?” เขาถามลูกชาย ออกจะพอใจอยู่ที่เห็นแววมั่นคงในดวงตาของเวบบ์เปลี่ยนไป
“ผมคิดว่า ถ้าพ่อเห็นว่าผมควรจะรู้คงจะบอกแล้วละครับ” ไม่มีการรีรอในคำตอบประโยคนั้นเลยและการยั่วใจให้ถามก็เป็นอันจบลง
ด้วยความโกรธในอุปนิสัยของลูกชาย เบนทีนจึงเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง กัดฟันพูดต่อว่า
“เอ้า...ไปเถอะ...ไปส่งโทรเลขได้แล้ว จัดการให้เขาส่งคำตอบตรงมาที่ โรงแรมด้วยก็แล้วกัน”
เวบบ์เดินผละออกไปเสีย เสียงสเปอร์กระทบเป็นจังหวะในทุกย่างก้าว เป็นขณะเดียวกันกับที่อาการปวดชาบังเกิดขึ้นตรงไหล่และต้นแขนด้านซ้ายของเบนทีนอีก เขานวดเฟ้นตรงบริเวณนั้นเบา ๆ ใช้มือบีบกล้ามเนื้ออยู่
“แขนแกเป็นอะไรไป?” เสียงบาร์นี่ มัวร์ถามขึ้น
เบนทีนลดมือขวาลง ยักไหล่อย่างไม่สนใจกับความเจ็บปวด
“นอนกลางดินเย็น ๆ หลายคืนเกินไปละมั้ง ฉันว่า”
“ฉันรู้แล้วว่าแกหมายความว่ายังไง” บาร์นี่บิดตัวไปข้างหลังเหมือนจะนวดเฟ้นกล้ามเนื้อที่ขัดยอกตัว “เฮ้อ...เวลานี้ ทั้งแกทั้งฉันมันก็พ้นวัยหนุ่มแล้วนี่นะ” เขาปรายตามองตามหลังเวบบ์ “ฉันยังจำได้เมื่อตอนที่ไอ้หนูนี่ยังตัวเล็กเท่าลูกหมา วิ่งเล่นอยู่กับลูกฉัน เวลานี้มันก็โตเป็นหนุ่มแล้วนะทั้งสองคน”
เบนทีนถอนหายใจอย่างระอา
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำผิดกับมันตรงไหน”
“เวบบ์น่ะเรอะ?” บาร์นี่ขมวดคิ้วย่น “ในไร่นั่นไม่มีโคบาลคนไหนเก่งเท่ามันหรอก”
“แต่ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นโคบาลนี่” เบนทีนตอบ แต่ก็มิได้แสดงความสงสัยในความสามารถของเวบบ์ที่เขาหวังจะให้บริหารงานในไร่แทนเลย “นี่เรายังเหลือรถพ่วงที่จะต้องเอาวัวขึ้นบรรทุกอีกกี่คันล่ะ?”
บาร์นี่ยอมรับการเปลี่ยนเรื่องพูดนั้นได้ทันที
“ก็อีก ๘ หรือ ๙ คันละมัง ฉันว่า” เขาสังเกตเห็นความอิดโรยที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าของเบนทีน พ่นควันบุหรี่ขึ้นเป็นทางยาวเพื่อปิดบังความห่วงใยไว้ “แกไม่จำเป็นต้องคอยดูอยู่ก็ได้ ที่เหลือนี่เราก็ทำกันเองได้อยู่แล้ว”
เบนทีนออกจะลังเลใจ แต่เสียงเอะอะอื้ออึงซึ่งดังก้องอยู่อย่างน่ารำคาญ ทำให้ประสาทที่เครียดอยู่แล้วตึงเขม็งขึ้นกว่าเดิม
“เอาละ ฉันจะอยู่ที่โรงแรมก็แล้วกัน ถ้าแกต้องการพบฉัน”
บาร์นี่พยักหน้าอย่างรับทราบ โดยมิได้เงยหน้าขึ้น ดึงยาเส้นออกมาจากกล่องใส่ในกระดาษเพื่อมวนใหม่
เมื่อเบนทีนเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงโต๊ะพนักงานต้อนรับของโรงแรม
เพื่อรับกุญแจห้องชุดของเขานั้น มีข้อความสั้น ๆ ฝากส่งถึงเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ภรรยาของคุณสั่งให้เรียนว่าออกไปซื้อของนะครับ มิสเตอร์คอลเดอร์” ความรำคาญใจปรากฏขึ้นในสีหน้าของเขาทันทีขณะที่รับกุญแจมาถือไว้ ตอบห้วน ๆ ว่า
“ขอบใจ”
“ถ้าต้องการอะไร ก็บอกให้เราทราบได้ทันทีเลยนะครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดอย่างมีน้ำใจ ไม่ต้องการให้แขกที่มาพักบังเกิดความไม่พอใจในบริการของโรงแรม โดยเฉพาะแขกรายสำคัญเช่นเบนทีน คอลเดอร์คนนี้
“ให้ใครเอาเหล้าที่ดีที่สุดขึ้นไปให้สักขวดก็แล้วกัน” เขาสั่ง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพนักงานผู้นั้นทันที
“ภรรยาของคุณได้จัดเตรียมเรื่องนั้นไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ เราส่งขึ้นไปคอยคุณอยู่บนห้องแล้ว”
ขณะที่เดินขึ้นบันไดไปยังห้องชุดในโรงแรมแห่งนั้น เบนทีนพนันกับตัวเองเงียบ ๆ ว่า จะต้องมีซิการ์ใหม่ ๆ รออยู่พร้อมกับเหล้ายี่ห้อที่ดีสุดนั้นด้วย และเขาก็ชนะพนัน มันเป็นความช่างคิดของลอร์น่าแท้ ๆ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลงด้วยรอยยิ้ม สลัดเสื้อตัวนอกออก โยนมันพร้อมหมวกลงบนเก้าอี้ภายในห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กัน เหยียดขาออกไปข้างหน้า
เขาเกือบจะยังไม่ได้แตะเหล้าที่รินลงใส่ไว้ในแก้วด้วยซ้ำ ซิการ์ก็เพิ่งสูบ
ไปได้แค่ครึ่งตัวตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้หญิงดังขึ้นตรงช่องทางเดินด้านหน้า เสียงลูกบิดประตูขยับและประตูถูกผลักเปิดออก สัญชาตญาณภายในสั่งให้เขาลุกขึ้น แต่กล้ามเนื้อที่ตึงตัวทำให้ลุกไม่ขึ้น ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่ลอร์น่าเดินกระโปรงบานเข้ามาในห้อง
เธอหอบข้าวของพะรุงพะรังไว้ในอ้อมแขน สาวน้อยผมบลอนด์คนที่เดินตามเข้ามาในห้องชุดก็ช่วยหอบเข้ามาอีกแรงหนึ่ง เบนทีนอตสังเกตไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วลอร์น่าดูมิได้แก่เกินกว่าเด็กสาววัยรุ่นคนนั้นเท่าไรเลย แม้เธอจะบอกว่าเวลานี้ผมเปลี่ยนเป็นสีเทาก็ตาม แต่มันก็ยังน้อยมากซึ่งถ้าไม่สังเกตจะมองไม่เห็น รูปร่างบางระหง ส่วนโค้งส่วนเว้าเหมือนตุ๊กตาปั้นของจีน ใบหน้าเนียนใส ริ้วรอยของวัยที่ล่วงไปแผ่วเบาจนเกือบจะมองไม่เห็น น่าขอบใจโลชั่นบำรุงผิวที่ทำให้เธอสามารถต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศที่ระคายผิวแห่งมอนตาน่าได้ ไม่มีใครที่เมื่อมองเธอแล้วจะรู้ถึงพลังใจหรืองานหนักที่ผู้หญิงคนนี้ต้องผจญมาในช่วงปีแรก ๆ ได้ การดิ้นรนเพื่อจะไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งแผ่นดินผืนนี้มากมาย และเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นเดียวกันกับเขา ยามที่มีลอร์น่าอยู่เคียงข้างเบนทีนมีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยที่เขาจะทำไม่ได้
“หนูหวังว่า พ่อคงไม่คิดว่าหนูใช้เงินมากหรอกนะคะ” สาวน้อย รูท สแตนตันพูดอย่างกลัว ๆ
ทั้งลอร์น่าและรูทยังไม่มีใครสังเกตเห็นเบนทีนซึ่งเขาก็มิได้คิดอะไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ชอบที่จะแอบมองลอร์น่าเวลาที่เธอไม่รู้ตัวอยู่ หลังจากที่วางห่อของลงบนโต๊ะแล้ว เธอก็ปลดเข็มกลัดหมวกผ้าไหมสีน้ำเงินประกอบด้วยขนนกออกจากศีรษะ
“พ่อหนูน่ะอยากให้หนูซื้อของสวย ๆ งาม ๆ ให้ตัวเองนะ” ลอร์น่ายืนยัน กับลูกสาวของเพื่อนรัก นับแต่นิวมอเนียพรากแมรี่ สแตนตันไปเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ลอร์น่าก็รับรูทเข้ามาปกปักรักษาไว้ในอ้อมอก เบนทีนเดาเอาว่ามันเท่ากับเป็นการช่วยเธอทั้งสองคน เพื่อให้ผ่อนคลายความตรมเศร้าของกันและกันลง ในฐานะมารดาบุญธรรมของรูท ลอร์น่าได้ลูกสาวอย่างที่ใจอยากจะได้มานาน และรูทก็ได้สตรีสูงวัยมาช่วยแนะนำในการดำเนินชีวิตของเธอ
เถ้าบุหรี่เกาะกลุ่มอยู่ตรงปลายซิการ์เป็นก้อน เบนทีนจึงเคาะมันออก จะเป็นเพราะความเคลื่อนไหวหรือกลิ่นจากควันซิการ์หรือจะทั้งสองประเภทนั่นที่เรียกความสนใจจากลอร์น่าให้หันไปมองตรงมุมห้องที่เขานั่งอยู่
“เบนทีน” ลอร์น่าวางหมวกที่ถืออยู่ในมือลงบนห่อของเดินตัดห้องเข้ามาหาเขา ดวงตาวาววามด้วยความยินดี “เอ๊ะ...ไม่เห็นใครที่โต๊ะข้างล่างบอก เลยว่าคุณขึ้นมาบนห้องแล้ว ทำไมคุณไม่ทำเสียงบอกให้เรารู้ล่ะคะตอนที่เราเข้ามา?” เธอโน้มกายลงจุมพิตแก้มเขาเบา ๆ ก่อนที่จะยืดกายเล่นวางมือลงบนไหล่สามีพยุงตัวไว้
“ก็ฉันรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว เธอก็คงรู้ว่าฉันนั่งอยู่ที่นี่” รอยยิ้มจุดขึ้นบนริมฝีปาก “สงสัยว่าทั้งสองคนคงจะช่วยกันซื้อจนหมดเมืองเลยสินะ”
“ก็ว่าจะยังงั้นเหมือนกันละ” ลอร์น่าหันไปหลิ่วตาให้รูทล้อ ๆ
สาวน้อยแสนสวยผมสีบลอนด์ กับดวงตาสีฟ้าเรียบสงบผู้มีนามว่ารูท สแตนตันนั้นเป็นคนขี้อายแต่กำเนิด แม้แต่เบนทีนซึ่งเท่ากับเป็นอาที่ใกล้ชิดสนิทสนมมาตลอดชีวิต เธอยังไม่กล้ามองสบตาเขา รีบตวัดสายตากลับมามองลอร์น่าทันที
“หนูเอาของกลับห้องก่อนดีกว่านะคะ” รูทรีบหาทางออกไปเสียจากห้อง
“ถ้าอย่างนั้น ๔ โมงเย็นเราจะพบหนูที่ห้องทานอาหารนะจ๊ะ” ลอร์น่า มิได้ยับยั้งสาวน้อยไว้ “เออ...เวบบ์ก็จะมาทานอาหารพร้อมเรา ทำไมหนูไม่สวมชุดสีชมพูตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาล่ะจ๊ะ?”
“ค่ะ แล้วหนูจะแต่งชุดนั้น” คำแนะนำของลอร์น่าทำให้แก้มของสาวน้อยแดงเรื่อขึ้น เธอหันไปก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพต่อเบนทีน รีบหลบกลับไปยังห้องพักส่วนตัวทันที
เมื่อสองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังแล้ว เบนทีนก็เบือนหน้าไปมองภรรยา
“เธอแน่ใจหรือว่าเวบบ์จะมากินอาหารค่ำกับเรา?” หลังจากที่ฤดูกาลต้อนสัตว์สิ้นสุดลง และปศุสัตว์ถูกส่งออกสู่ตลาดแล้ว โคบาลส่วนใหญ่ของไร่ทริพพึล ซี.จะเข้ามาสนุกกันในเมือง เวบบ์เป็นคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“ต้องมาสิ ฉันจะไปลากตัวออกมาจากห้องซาลูนเอง” ลอร์น่าพูดอย่างจริงจัง แต่เบนทีนเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม
“บางทีมันอาจจะไม่อยู่ในซาลูนละมั้ง” เขาพูดห้วน ๆ
“ไม่สำคัญหรอก” ลอร์น่าถอยออกห่างจากเก้าอี้ เดินข้ามห้องไปยังเก้าอี้ที่วางของที่ซื้อมาไว้ “ว่าแต่คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะถามอะไรสักอย่าง” น้ำเสียงของเธอเป็นงานเป็นการขึ้นมา
“อะไรล่ะ?” เบนทีนตื่นตัวขึ้นมาทันที เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับคำถามจากภรรยา
“เป็นความจริงไหมที่เขาว่ากันว่า คอนนี่ ราชินีแห่งโคบาลน่ะ สวมเสื้อที่ปักตราประจำไร่จากนี่จนถึงแพลตเต้?” เมื่อลอร์น่าหันไปมองสามีนั้น สีหน้าของเธอบอกความบริสุทธิ์ใจ จนเบนทีนต้องส่ายศีรษะ
“ไปได้ยินเรื่องพรรค์นี้มาจากไหนกันนะ?” แม้จะอยู่กันมานานถึงเพียงนี้แล้ว ลอร์น่าก็มักจะทำให้เขาแปลกใจเป็นครั้งเป็นคราวอยู่เสมอ คอนนี่ผู้มีฉายาว่าเป็นราชินีแห่งโคบาลนั้น เป็นโสเภณีชั้นสูงที่ชื่อเสียงลือกระฉ่อนอยู่ทั่วไมลส์ ซิตี้
“เวลานี้พวกผู้หญิงน่ะเขาไม่ได้คุยกันแต่เรื่องเย็บปักถักร้อยเรื่องทำอาหาร หรือเรื่องลูก ๆ แล้วล่ะ ฉันเองฟังแล้วยังตกใจเลย” เธอหันมามองเขาล้อ ๆ “ว่าแต่ว่าบนเสื้อเขาน่ะมีตราทริพพึล ซี.ปักอยู่ด้วยหรือเปล่าล่ะ เบนทีน?”
“ก็ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?” แววตาของเขาบอกความขบขัน
แต่ลอร์น่าไม่ยอมปลงใจเชื่อในท่าทางไม่แยแสของเขา
“มีบ่อยไปที่พวกผู้ชายไม่สนใจกันเรื่องเครื่องแต่งตัวของผู้หญิง เออ... หรือว่าคุณเห็นเฉพาะตอนที่เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าล่ะ?” ลอร์น่าแสร้งทำน้ำเสียงเป็นต่อว่าต่อขานกลาย ๆ
“ในขณะที่ฉันมีผู้หญิงที่เป็นยิ่งกว่าผู้หญิง จนไม่อาจจะคุมได้อยู่กับบ้าน น่ะหรือ?” เบนทีนเลิกคิ้วถามก่อนที่จะยืดตัวขึ้น “ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องเสื้อผ้าแล้ว มันก็คงจะจริงอยู่หรอกที่ว่ามันไม่น่าจะดูสมบูรณ์ไปได้ ถ้าไม่มีตราทริพพึล ซี.ติดอยู่นะ” แววตาของเขาหรี่ลงอย่างระแวดระวัง “ฉันหวังว่าเธอคงจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้รูทฟังหรอกนะ ยายหนูนั่นเกิดมายังไม่เคยถูกจูบเลยมั้ง”
“โอ๊ย ไม่หรอก เรื่องอะไรฉันจะเอาเรื่องล่อแหลมอย่างนั้นไปพูดกับยายหนู” ลอร์น่าหันไปมองเบนทีน ก่อนที่จะเบือนกลับมาแกะเชือกที่ห่อของออก “เวลานี้ฉันน่ะชักจะแน่ใจแล้วนะว่ารูทน่ะรักเวบบ์แน่”
“เพราะเรื่องนี้ละสิที่ทำให้คุณอยากจะแน่ใจว่ามันจะกินอาหารค่ำกับเรา ด้วยคืนนี้ แล้วก็เป็นเหตุผลที่รูทจะต้องแต่งชุดสีชมพูใหม่นั้นด้วย”
ลอร์น่าชะงักมือที่กำลังทำงานลง ดวงตาเลื่อนลอย “มันไม่เป็นสิ่งวิเศษหรอกหรือคะ ที่ลูกของเรากับลูกสาวของแมรี่จะแต่งงานกัน?” เธอพยายามระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ ขณะที่ก้มลงแก้เชือก
ต่อ “สำหรับฉันน่ะเห็นว่ามันเหมาะกันอย่างที่สุดทีเดียว”
“แต่ฉันว่าเราไม่ควรจะหวังให้มันมากนักนะ” เบนทีนโน้มร่างลงหยิบแก้วเหล้ายกขึ้นดื่ม เหมือนกับจะดับความขื่นในปาก “เธอเองก็อยากให้ความหวังที่ตั้งไว้เป็นผลสำเร็จด้วยการให้เวบบ์แต่งงานกับรูท เท่า ๆ กับที่ฉันอยากจะให้เขาเป็นเจ้าของไร่ แต่ฉันว่าผลที่มันออกมาน่าจะเป็นศูนย์มากกว่านะ”
“ฉันว่าคุณกลุ้มใจไปเองมากกว่า” ลอร์น่ามองเขาเยาะ ๆ “คุณต้องรู้สิว่าเมื่อตอนที่คุณเกิดน่ะ ยุคสมัยมันผิดกัน สิ่งแวดล้อมก็ผิดกัน เพราะฉะนั้น คุณจะไปตัดสินใจแทนเวบบ์น่ะไม่ได้หรอก”
แก้วถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า ก่อนที่เบนทีนจะผุดลุกขึ้นยืน
“นั่นสิ บางทีปัญหามันก็คงจะอยู่ตรงนั้นแหละ” เขาพูดขรึม ๆ “เพราะฉันไม่ได้เข้มงวดกวดขันอะไรกับมันมากนัก ปล่อยให้เธอตามใจจนเหลิง”
“ฉันน่ะหรือคะ?” ลอร์น่าเสียงแข็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้น
แต่เบนทีนกำลังเดินตามความคิดและเปิดเผยมันออกมาดัง ๆ ขณะที่เท้าก็พาตัวเองเดินไปรอบ ๆ ห้อง
“อะไร ๆ ก็พร้อมจะประเคนให้มันมาตั้งแต่เกิดแล้ว มันจึงได้ใจ พะเน้าพะนอกันเข้าไป ใคร ๆ ก็เอาใจมัน แผ้วถางเส้นทางไว้ให้มันเดินกันทุกคนนั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันถึงไม่เคยรู้จักว่าชีวิตจะต้องต่อสู้ยังไงบ้าง”
“พูดอย่างนั้นไม่ถูกนะ” ความเป็นแม่ทำให้ลอร์น่าเริ่มออกตัวแทน หันมาเผชิญหน้ากับเบนทีนเหมือนจะบังคับให้เขาหยุดเดินเสียที “คุณลองพิจารณาดูบ้างสิว่า ทุกวันนี้เวบบ์ต้องทำงานหนักขนาดไหน เพื่อที่จะให้ใคร ๆ ยอมรับนับถือในตัวแก แล้วแกก็ไม่ยอมให้ใครมาปฏิบัติด้วยอย่างนอบน้อม เพราะความที่แกเป็นลูกชายเจ้าของไร่ด้วย”
“ก็แล้วทำไมมันไม่ทำอย่างนั้นให้ฉันนับถือมันบ้างล่ะ?” เบนทีนย้อนถาม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “ฉันสามารถจะหาพวกโคบาลที่ทำงานได้ดีเท่าเทียมกับเวบบ์ในอัตราเดือนละ ๓๐ เหรียญได้อย่างสบาย แล้วก็หาได้แล้วด้วย ฉันไม่ได้ต้องการม้าใช้ แต่ต้องการคนที่จะขึ้นมารับตำแหน่งทายาท”
“ก็ให้เวลาลูกหน่อยสิ” ลอร์น่าเถียง
“เวลานี้น่ะ เวลามันไม่ได้เหลือมากมายอะไรแล้วนะ” เบนทีนถอนหายใจ เบือนหน้าเสียจากเธอ แม้ไหล่จะหลุบลงด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ แต่เขาก็พยายามตั้งให้มันตรงไว้ “มันไม่ได้สนใจเรื่องไร่เลย” เวลานี้เขาชักจะเชื่อเช่น
นั้นเข้าแล้วจริง ๆ
“แต่ฉันว่าแกสนใจนะ”น้ำเสียงของลอร์น่าหนักแน่นมั่นคงด้วยความแน่ใจ “เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นบ้านของแก”
“ฉันจะรับฟังไว้นะ” เบนทีนรู้สึกว่าจะเป็นการดีเสียกว่าถ้าจะไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก้าวยาว ๆ เข้าไปตรงโต๊ะ ดับซิการ์ลงในที่เขี่ย “ฉันเห็นจะต้องโกนหนวดอาบน้ำเสียหน่อยก่อนที่จะถึงเวลาอาหารค่ำ”
ก่อนที่เขาจะทันก้าวล่วงเข้าไปในห้องน้ำที่ติดอยู่กับห้องนอนนั้น มีเสียงเคาะดังขึ้นตรงหน้าประตู เบนทีนชะงักฝีเท้าไว้ รอดูอยู่ว่าเป็นใคร ขณะที่ลอร์น่าเดินไปเปิดประตู เสียงประโปรงส่ายกระทบกันอยู่แกรกกราก
“เฮลโล แม่ครับ” เวบบ์ทักทายมารดาขณะที่ประตูเปิดออก น้ำเสียงที่นุ่มนวลสุภาพนั้นทำให้ใบหน้ากระด้าง ๆ ของเขาดูอ่อนโยนและดูจะมีแววอบอุ่นฉาบฉายขึ้นในแววตาซึ่งปกติแล้วจะสงบนิ่ง
“เวบบ์” ลอร์น่าออกรู้สึกแปลกใจ เอี้ยวตัวกลับไปมองเบนทีนด้วยความหวังว่าการที่เวบบ์โผล่เข้ามาทั้ง ๆ ที่เธอกับเบนทีนเพิ่งพูดเรื่องเขากันอยู่ หยก ๆ จะไม่ทำให้ความโกรธเคืองของเบนทีนลุกลามต่อไป เพราะลอร์น่าไม่ชอบที่จะให้ตัวเองต้องเป็นคนกลาง เพราะมันเท่ากับทำให้ความจงรักภักดีที่เธอมอบให้กับสามีและบุตรชายต้องถูกแบ่งแยกออก
ความสบายใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเวบบ์ดูจะเลือนหายไป เมื่อมองเลยร่างแม่เข้าไปยังพ่อ บรรยากาศดูจะเพิ่มความตึงเครียดขึ้น มันมีกระแสอะไรบางอย่างหนุนเนื่องอยู่อย่างลึกลับและรุนแรง
“เข้ามาสิ เวบบ์” เบนทีนพูดเคร่ง ๆ “ฉันกับแม่ของแกเพิ่งพูดถึงแกอยู่เมื่อกี้นี้เอง”
ลอร์น่าหันไปมองท่าทีเงียบงันของลูกชาย เบี่ยงตัวหลบเพื่อให้เขาก้าวเข้ามา เวบบ์จึงเดินเข้าไปในห้อง ปกติแล้วเขาคือต้นเหตุแห่งความไม่ปรองดองของพ่อและแม่อยู่เสมอ และเขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้นเลย เวบบ์ อยากจะดำเนินชีวิตตามสบายตามแบบที่เขาได้ตั้งใจไว้
“ใช่จ้ะ...เมื่อกี้พ่อกับแม่พูดกันเรื่องลูกจริง ๆ” ลอร์น่าบอกลูกชาย “แม่เป็นคนบอกว่าจะไปฉุดลูกออกมาไม่ว่าจะจากซาลูนแห่งไหน เพื่อที่ว่าเราจะได้ทานอาหารค่ำกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที เอาละ เมื่อมาก็ดีแล้วพ่อเขาจะได้หายห่วง”
“ที่ผมมา...” เวบบ์เดินไปหยุดตรงหน้าเบนทีน ตั้งใจรายงานให้บิดาฟัง “ก็เพื่อจะมาบอกพ่อว่า โทรเลขที่สั่งให้ส่งนั้นน่ะ ผมส่งเรียบร้อยแล้วทุกฉบับนะครับ เขาจะส่งคำตอบมาให้พ่อที่นี่โดยตรงเลย”
“โทรเลขอะไรกันน่ะ?” ลอร์น่าหันไปมองเบนทีนอย่างจะถาม ออกจะแปลกใจอยู่ เพราะว่าเมื่อตอนที่ถกเถียงกันเมื่อครู่มิได้มีการพูดกันถึงเรื่องนี้เลย “เรื่องอะไรกันคะนี่?”
“ไม่เกี่ยวกับเธอหรอกน่า”
“สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องทำให้คุณอธิบายให้ได้ว่า ทำไมถึงต้องพูดด้วยว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันต่อหน้าคนอื่น เอาละแล้วค่อยเล่าให้ฉันฟังทีหลังก็ได้ ตอนที่เราอยู่กันตามลำพัง เฮอะ...พวกผู้ชายน่ะมักจะคิดว่า มีอยู่ที่เดียวเท่านั้นที่จะคุยกับเมียได้คือในห้องนอน แต่ไม่เป็นความจริงอย่างนั้นหรอกนะ เวบบ์” เธอหันไปให้คำแนะนำกับลูกชาย
มุมปากของเวบบ์กดลึกลง เมื่อเห็นความอาจหาญชาญชัยของแม่และ สังเกตเห็นพ่อที่แสดงกิริยาว่าขบขันปนรำคาญอยู่
“ผมจะพยายามจำไว้ครับ” เวบบ์ตอบแห้ง ๆ
“จริงๆ นะ ฉันคิดว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สงบๆ ว่านอนสอนง่ายเสียอีก” เบนทีนสั่นศีรษะประกอบคำพูด “เออ...พ่อก็หวังว่าแกจะโชคดีกว่าพ่อนะ ไอ้ลูกชาย”
“เออ...พูดอย่างนี้แม่ก็เลยนึกขึ้นมาได้” ลอร์น่าเสริมขึ้นทันที “วันนี้เราจะพบกันที่ห้องอาหาร ๖ โมงเย็นนะ” ดวงตาที่บ่งแววแห่งความเป็นมารดา กวาดไปทั่วร่างของลูกชาย สำรวจเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่น กลิ่นเหม็นหืน หนวดเครารุงรังบนใบหน้าทันที “คิดว่าคงจะมีเวลาพอให้ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะ รูทเขาเข้าไปซื้อของในเมืองกับแม่มา แล้วคืนนี้เขาก็จะมาทานอาหารกับเราด้วย”
ประโยคสุดท้ายของลอร์น่าทำให้เวบบ์ออกจะหวั่นไหวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร เขาชอบรูทก็จริงอยู่ แต่ในลักษณะเหมือนน้องสาวเล็ก ๆ มากกว่า
แต่กระนั้น แม่ก็ยังยืนยันที่จะให้เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แน่นอนที่สุดมันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผู้ชายจะต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวขนาดนั้นต่อหน้าผู้หญิงคนที่ถือเสมือนน้องสาว นอกเสียจากว่าแม่ไม่
ต้องการให้เขาคิดว่ารูทเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น แววขบขันจุดประกายขึ้นในดวงตา เมื่อเห็นความพยายามที่จะจัดการอะไรบางอย่างอยู่
“ผมว่าดีแล้วละครับที่แม่พารูทเข้าไปในเมืองน่ะ” เวบบ์บอก “ผมรู้ว่าตั้งแต่ป้าแมรี่ตายแล้ว รูทเองก็ไม่ใคร่จะสบายใจนัก แกควรจะออกมาให้ห่าง ๆ บ้านเสียบ้าง”
“แม่ก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน” ลอร์น่ายิ้มอย่างพอใจ
“ผมเห็นจะต้องไปอาบน้ำเสียที” เวบบ์ตั้งท่าจะเดินออกประตูไป
“เออ...เวบบ์...” ลอร์น่าเรียกลูกชายไว้ อึ้งไปเป็นครู่ “อย่าลืมชมเสื้อตัวที่รูทจะใส่คืนนี้ด้วยล่ะ แกเพิ่งซื้อมาใหม่เชียวนะ”
“ครับแม่” เวบบ์เดินอมยิ้มออกไปจากห้อง กำหนดไว้ในใจว่าเขาจะต้องชมเสื้อตัวใหม่ของรูท ไม่ว่าเขาจะโตแค่ไหน แม่ก็ยังตามอบรมเรื่องกิริยามารยาทและคุณสมบัติที่สุภาพบุรุษพึงปฏิบัติอยู่นั่นเอง หรือว่านั่นเป็นความพยายามที่จะเร้าความสนใจส่วนตัวด้วยการชมเสื้อผ้าชุดใหม่ของผู้หญิง?
ลอร์น่าปิดประตูตามหลังลูกชาย เอนหลังพิงอยู่กับบานประตูนั้น กดริมฝีปากอยู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเบนทีนกำลังจับตามองจึงได้ยืดร่างขึ้น
“ตอนที่คุณอาบน้ำนี่ ฉันคิดว่าจะไปช่วยทำผมให้รูทสักหน่อย”
“การทำตัวเป็นแม่สื่อน่ะ มันก็เหมือนบังคับม้าให้กินน้ำนั่นแหละ ใครจะไปบังคับมันได้” เบนทีนว่า
“ก็จริงอยู่ แต่คุณไม่นึกบ้างหรือว่า บางทีอาจจะทำให้มันจำได้ว่าน้ำน่ะมีอยู่ตรงไหน แล้วก็จะได้ออกไปหากินเอาเองตอนที่หิวขึ้นมาไงล่ะ” ลอร์น่า ให้เหตุผล ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจว่า จะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่สลัวลง หรือเป็นเพราะเธอมิได้พิจารณาเขาอย่างใกล้ชิดมาก่อน แต่ดูท่าทางเบนทีนอ่อนระโหยโรยแรงลงผิดตา “ที่จริง คุณเองก็ควรจะนอนพักผ่อนเสียหน่อยก่อน จะถึงเวลาอาหารนะ”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” เส้นลึก ๆ ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า เขาตั้งท่าจะเดินไปยังห้องนอน แต่แล้วก็หยุด “เออ...ที่อยู่อันล่าสุดของบูลล์ ไจลส์หลังจากที่เขาออกจากเดนเวอร์แล้วคือแบล็ก โดฟในวอชิงตันใช่ไหม?”
“ใช่” ถึงคราวที่ลอร์น่าจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยขึ้นบ้าง
“นั่นสิ ผมก็ว่าใช่” เขาพยักหน้าลอย ๆ
“ทำไม คุณให้เวบบ์ส่งโทรเลขไปถึงเขางั้นหรือ?” ดูเหมือนลอร์น่าจะ
เดาคำตอบได้อยู่แล้ว “เรื่องอะไรล่ะ?”
“เวลานี้เขาอาจจะห่างเหินจากเวทีการเมืองไปแล้วก็จริง แต่ก็คงยังมีการติดต่ออยู่บ้างหรอก มันมีเรื่องบางเรื่องที่สำคัญกำลังเตรียมจะส่งไปให้รัฐบาลพิจารณา ซึ่งเราจะต้องรีบหยุดมันไว้” เบนทีนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะว่ามันจะทำให้รัฐนี้ทั้งรัฐกลายเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย แล้วก็เป็นแหล่งกสิกรรมขึ้นมา ฉันยังไม่อยากเห็นมันเป็นไปในเวลานี้ อยากจะถ่วงเวลาจนกว่าจะแน่ใจได้เสียก่อน”
“เรื่องนี้เองน่ะหรือที่ทำให้คุณกังวลใจอย่างมากมายน่ะ?”
“มันก็มีส่วนอยู่” เขายกมือขึ้นนวดต้นคอ “ฉันรู้สึกเพลีย ๆ ยังไงไม่รู้ มันเหมือนการที่จะต้องดิ้นรนรักษาสมบัติที่เราหามาได้เต็มที่ มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนี้หรอกถ้าลูกมันจะช่วยต่อสู้บ้าง แต่นี่ฉันต้องต่อสู้อยู่คนเดียว...”
“คุณไม่ได้ต่อสู้คนเดียวหรอกค่ะ” ลอร์น่าเดินเข้ามาหา เอื้อมมือจับต้นแขนทั้งสองข้างของสามีไว้ แหงนหน้าขึ้นมองเขา
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่ตัวคนเดียวแน่” เบนทีนออกจะเห็นจริงด้วย แต่ทว่าแววในดวงตาสีน้ำตาลของเขาก็ยังเปล่งแววสลด “คนอย่างฉันน่ะไม่ห่วงเรื่องการต่อสู้หรอก แต่เวลานี้ฉันเองก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ลอร์น่า... ถ้าฉันตายลงน่ะ? ฉันเป็นห่วงเธอ ห่วงว่าเธอจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง เพราะคิดว่าเรื่องที่จะไปหวังให้เวบบ์มาดูแลทุกข์สุขให้เธอแทนน่ะเห็นจะหวังยากเสียแล้ว”
ลอร์น่าซ่อนซุกความตระหนกในน้ำเสียงไว้
“คุณเพียงแค่เหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้นล่ะ เบนทีน” เธอพยายามขับไล่ความรู้สึกตกใจ คิดเสียว่าเป็นการตีตนไปก่อนไข้ของเบนทีน “ฉันว่าถ้าคุณได้พักผ่อนจริง ๆ สัก ๒ วัน อะไร ๆ มันก็จะดูดีขึ้นนะ”
“นั่นสิ” แต่น้ำเสียงของเขามิได้บอกว่าจะคล้อยตามความเชื่อของเธอเลยแม้แต่น้อย ตบหลังมือลอร์น่าเบา ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปห้องนอน