กล้วยไม้กลีบช้ำ (โบตั๋น)
ประหยัด: 375.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
มานิตา บิดตัวอยู่บนเตียงพลางหาว เช้าแล้วหรือ แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาทางหัวนอนเพราะเมื่อคืนเธอเปิดหน้าต่างรับ ลมไว้
อากาศยามเช้าของวันในฤดูหนาวเดือนมกราคมเยือกเย็นพอสมควร ตอน
กลางคืนก็ไม่ร้อนจนต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หญิงสาวจึงเปิดพัดลมไว้
อ่อน ๆ ให้ส่ายไปรอบ ๆ ห้อง เพียงพอต่อการระบายอากาศ
เท่านั้น
บ้านหลังนี้เป็นทาวน์เฮ้าส์กึ่งตึกแถวหลังเล็กแต่ออกแบบได้น่ารัก
จนเพื่อนเรียกว่าบ้านตุ๊กตา ผู้สร้างออกจะมีรสนิยมหวานแหววเพราะ
บ้านแต่ละหลังทาสีได้หวานเจี๊ยบทุกแถว แถบที่มานิตาอยู่สีชมพู ฝั่ง
ตรงข้ามติดตลาดสดติดแอร์พร้อมห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ ประเภท
ซูเปอร์มาร์เก็ตทาสีเขียวตอง ถัดเข้าไปด้านในต่อจากที่ว่างซึ่งต้องมีไว้ให้
กลับรถตามกฎหมายทาสีฟ้าอ่อน ถัดไปอีกเป็นตึกแถวทาสีส้ม ลึก
เข้าไปอีกห้าร้อยเมตรเป็นบ้านเดี่ยวราคาปานกลาง เริ่มต้นที่สามล้านห้า
จนถึงเก้าล้าน บ้านเดี่ยวเพิ่งสร้างได้ไม่นานหลังจากถนนสายนี้เจริญจน
ผิดหูผิดตาต่างกับเมื่อมานิตามาอยู่เมื่อแรกประมาณสามปีก่อน
มานิตาจองทาวน์เฮ้าส์ห้องแรกตั้งแต่เพิ่งเปิดขายและยังสร้างไม่
เสร็จดี เพื่อนหลายคนท้วงว่าซื้อห้องแรกหนวกหูแน่ ๆ เพราะใกล้ถนน
ห่างเพียงยี่สิบเมตร แล้วยังอยู่หลังตึกแถว พวกชอบอยู่ตึกแถวน่ะล้วน
เป็นคนจีนหรือลูกจีน ชอบทำอะไรเสียงดัง แล้วถ้าเป็นร้านค้าละก็
เสียงดังแน่นอน ร้ายกว่านั้นห้องแรกพอมีที่ด้านข้าง คนที่อยู่ตึกแถว
ห้องแรกอาจจะยึดไว้ทำงานประเภทซ่อมรถ ขายอาหารสำเร็จ ก๋วยเตี๋ยว
ข้าวแกง มานิตาคงต้องสูดกลิ่นอาหารจนไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลยละ
แต่ปรากฏว่าที่ด้านข้างของตึกแถวกว้างเพียงเมตรครึ่งทำอะไรไม่
ได้นอกจากวางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ถัดจากขอบตึกแถวลงมาเป็นถนน
ทางเข้าหมู่บ้านซึ่งต้องผ่านหน้าทาวน์เฮ้าส์ แต่ไม่รบกวนอะไรเพราะ
เจ้าของอาณาบริเวณทั้งหมดในแถบนี้เป็นสถาปนิกและมีน้ำใจพอจะ
คิดถึงความสะดวกของผู้อยู่อาศัย รวมถึงความปลอดภัยของลูกบ้านด้วย
หน้าทาวน์เฮ้าส์ของทุกคนจึงมีทางเดินเท้าอีกสองเมตร เว้นช่วงเป็นทาง
เข้าบ้านแต่ละหลัง ด้านหน้ามีที่ว่างกว้างสามเมตรครึ่งพอจอดรถได้
หนึ่งคันหรือถ้าไม่มีรถก็พอจะปลูกต้นไม้กระถางหรือไม้พุ่มเล็ก ๆ ได้
หลายต้น
ด้านหลังตึกแถวเป็นครัวของผู้อยู่อาศัยจริงแต่ไม่มีกลิ่นอย่างที่
เพื่อนกลัว เพราะไม่ค่อยได้ทำอาหารกลิ่นแรงนัก เจ้าของนิยมอาหาร
จีนอาหารฝรั่ง คนรุ่นใหม่ หน้าร้านเปิดเป็นสำนักงานให้บริการไปรษณีย์
จดทะเบียนต่าง ๆ รับติดต่อราชการให้ผู้ที่ไม่ว่างจะไปรวมทั้งขายเครื่อง
เขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่มานิตาพอใจมากก็คือระยะห่างของตึกแถวกับบ้านหลังแรกของ
เธอนั้นกว้างหกเมตร เป็นถนนเล็ก ๆ เสียสี่เมตร ยังมีอีกสองเมตร พอให้
หญิงสาววางไม้กระถางกลิ่นหอม หรือใบสวยได้อีกตั้งหลายกระถาง
บ้านตุ๊กตาของเธอสูงสามชั้น แต่ลึกเพียงหกเมตร แต่ละชั้นจึงทำอะไร
ไม่ได้มาก เธอใช้ชั้นล่างด้านในทำครัว ด้านหน้าเป็นห้องรับแขกเล็ก ๆ
ซึ่งไม่ค่อยได้ต้อนรับใคร คนเดินผ่านก็มองไม่เห็นอะไรเพราะหญิงสาว
จอดรถด้านหน้าบังทัศนวิสัยไว้เกือบหมด เหลือตรงมุมก็ยังปลูกต้นไม้
กระถางบังไว้อีก ชั้นสองเป็นห้องนอน ส่วนชั้นสามยังไม่ได้ทำอะไร
หญิงสาวคิดว่าอาจจะปรับปรุงเป็นห้องทำงานห้องหนังสือได้
มานิตาอยู่คนเดียวตามลำพัง อาจจะน่ากลัวไปหน่อยเมื่อมาอยู่
ใหม่ ๆ แต่เมื่อหมู่บ้านด้านในปลูกเสร็จขายได้หลายหลัง มียามเฝ้าสองชั้น
ชั้นแรกริมถนนใหญ่ใกล้ ๆ กับที่มานิตาอยู่กับตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน
ลึกไปอีกห้าร้อยเมตร ที่ว่างติดกันกลายเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ถัดไปเป็น
ร้านสะดวกซื้อ ความน่ากลัวจึงลดลงมากแม้จะพลุกพล่านไปนิดแต่
สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น วันหยุดถ้าไม่คิดจะไปไหน แถวนี้ก็มี
ข้าวของให้เธอจับจ่ายได้ทั้งของกินของใช้เสื้อผ้า แน่นอนไม่ใช่เสื้อผ้า
ชนิดที่เธอใส่ไปทำงานได้ แต่ประเภทอยู่กับบ้าน ชุดนอน หรือ
ผ้าเช็ดตัวก็มีครบ กระเป๋า รองเท้าแตะราคาถูก ๆ สารพัดมีให้ซื้อ ถึง
จะชอบของดีราคาแพงมียี่ห้อแต่มานิตาก็ต้องใช้ของราคาธรรมดา ๆ บ้าง
เพราะเธอต้องเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้ขอเงินใครมาหลายปีแล้ว
บ้านหลังนี้ราคาล้านเศษ ๆ เมื่อตัดสินใจซื้อตั้งใจจะผ่อนเองเพราะ
เธอมีรายได้ประจำเดือนหนึ่งสองหมื่นกว่า มีเงินเก็บเก่าแก่ตั้งแต่ยังเป็น เด็กประมาณสามแสน ทำงานมาห้าหกปี ผ่อนรถสำเร็จไปหนึ่งคัน แม่
คงเวทนาลูกสาวคนกลางผู้ไม่มีใครอินังขังขอบเลยยัดเช็คเงินสดใส่มือ
ให้หนึ่งล้าน
“เอาไปซื้อบ้านอยู่ อย่าอยู่แฟลตเช่าเลยลูก ดูที่ปลอดภัยใกล้ถนน
มีคนเยอะ ไม่ให้เปลี่ยวนัก”
มานิตาพาแม่มาดูบ้านและตกลงซื้อด้วยความพอใจ เงินที่แม่ให้กับ
เงินเก็บยังไม่พอซื้อแต่ขาดแค่สองแสนกว่าเอง หญิงสาวสามารถผ่อน
เงินที่ขาดและได้บ้านมาเป็นของเธอโดยสมบูรณ์ในเวลาเพียงหนึ่งปี
หญิงสาวอายุสามสิบต้น ๆ มีรถค่อนข้างใหม่หนึ่งคันราคาท้องตลาดสาม
แสนกว่า ๆ กับบ้านทาวน์เฮ้าส์ใหม่เอี่ยมราคาหนึ่งล้านหกแสนบาทก็
นับว่าไม่เลวนัก รายได้แต่ละเดือนไม่ต้องผ่อนอะไร ได้เต็มเม็ดเต็ม
หน่วย มีเงินเก็บเดือนละตั้งหมื่นกว่า แต่กว่าเท่าไรไม่แน่ไม่นอนแล้วแต่
ว่าเดือนนั้นใช้อะไรไปบ้าง เวลานี้เงินเดือนสามหมื่นห้าหักโน่นหักนี่แล้ว
ก็พอใช้สบาย ๆ หญิงสาวพอใจที่ตนยังประหยัดเงินได้เดือนละไม่ต่ำ
กว่าหมื่นบาทมาตั้งสามปีแล้ว ปีหน้าถ้างานประสบผลสำเร็จเธอน่าจะได้
เงินเดือนถึงสี่หมื่น อยู่ได้สบาย ๆ ตัวคนเดียว
ตัวคนเดียว มานิตาแค่รู้สึกว่าเธอตัวคนเดียวแต่จริง ๆ มันไม่ใช่
เธอมีเตี่ย พี่สาวกับครอบครัว หลานสามคน น้องชายหนึ่งคน อายุ
อ่อนกว่าเธอถึงหกปี เป็นเทวดาประจำบ้าน
แม่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ความสัมพันธ์กับบ้านเกิดจึงยิ่งห่างเหิน
ช่องว่างถ่างกว้างจนแทบจะมองไม่เห็นฝั่งลูกคนกลาง หน้าซ้ำยังเป็นผู้
หญิง ดื้อรั้น ควบคุมไม่ได้ เตี่ยชอบเรียกเธอว่านังคนกลาง นังจอมดื้อ
คนจีนชอบลูกชายอยู่แล้ว แต่ลูกสาวคนโตยังพอรับได้ รอลูกคนต่อไป
น่าจะได้ผู้ชาย แต่เธอกลับเกิดมาเป็นผู้หญิงเสียนี่ เตี่ยจึงแทบไม่มอง
ลูกคนนี้เลย แม่กับลูกสาวสองคนจึงต้องทนฟังเสียงบ่นเรื่องไม่มีลูกชาย
จากหัวหน้าครอบครัวและเครือญาติอยู่หลายปี แม่ท้องลูกคนที่สามเมื่อ
มานิตาอายุได้สองขวบเศษ ตั้งความหวังว่าจะได้ลูกชายแต่ปรากฏว่าแม่
แท้ง จนมานิตาอายุห้าขวบเศษแม่จึงตั้งท้องลูกคนสุดท้องและได้
ลูกชายสมใจ ฐานะในบ้านของแม่จึงดีขึ้น อาม่าให้การยอมรับ เตี่ยดีใจ
ที่ได้ลูกชายตัวอ้วนแข็งแรง เวลานั้นแม่อยากได้อะไรถ้าเอ่ยปากขอไม่มี
ที่จะไม่ได้ ฐานะทางบ้านไม่ได้เลวเลย มีโรงงานซีอิ๊วเล็ก ๆ ทำซีอิ๊วตาม
สูตรต้นตำรับของตระกูลมาแล้วสองสามชั่วคน ถึงจะไม่มีชื่อเสียงเท่า
ซีอิ๊วจากโรงงานดังแต่ตลาดต่างจังหวัดกับตลาดสดขายดีกว่าพวกยี่ห้อ
ดังเพราะราคาถูกว่า เนื่องจากไม่ได้บวกค่าโฆษณา
“ของของเราน่ะจริง ๆ แล้วดีกว่าของไอ้พวกดัง ๆ นั่นตั้งแยะ
เพราะเราหมักธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาเร่ง ของเราหมักตั้งปีถึง
ขาย พวกนั้นน่ะอย่างมากก็หกเดือน ใส่สารเร่งเสียจนเคยถูกเมืองนอก
ตีกลับ มันอันตรายรู้ไหม ทีนี้เราแรงงานน้อย แล้วก็โฆษณาไม่เป็น
จะจ้างเขาทำมันก็แพง ต้องขึ้นราคา ทำไม่ลง คนจน ๆ จะกินอะไรล่ะ
มีแต่ของแพงเพราะบวกโฆษณากับค่าเอาของเข้าห้างใหญ่ ๆ ของไม่ได้ดี
จริงสักหน่อย”
จริงอย่างที่เตี่ยว่า มานิตาโตมากับกลิ่นซีอิ๊ว วิ่งไปวิ่งมาอยู่หลัง
บ้านซึ่งเป็นโรงงาน หล่อนอยู่ฝั่งธนบุรี เมื่อก่อนเป็นสวน ขนส่งซีอิ๊ว
ทางเรือ มาขึ้นบกที่ตลาดพลูแล้วจึงขึ้นรถบรรทุกส่งไปตามตลาดต่าง ๆ
ลูก ๆ ไปโรงเรียนก็อาศัยเรือนั่นแหละมาขึ้นตลาดพลูแล้วถึงต่อรถไป
โรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลท่าน้ำเท่าไร เมื่อโตเรียนชั้นสูงขึ้นก็ต่อรถอีกทอดไป
เรียนโรงเรียนดังฝั่งกรุงเทพฯ พวกเธอสามพี่น้องคงกินดีอยู่ดีจึงสมองดี
เรียนเก่งกันทุกคน เตี่ยก็ส่งเสริมให้เรียนสูง ๆ แต่ก็คอยย้ำไม่ให้ลืม
โรงงานซีอิ๊ว เสียอย่างเดียวเตี่ยบงการลูกเมียทุกเรื่องราว เป็นต้นว่า
วรินทราลูกสาวคนโตควรเรียนบัญชีเพื่อจะได้มาช่วยทำบัญชีให้ทันสมัย
เพราะเตี่ยทำบัญชีไม่เป็นได้แต่จด ๆ แบบโบราณ มานิตาควรเรียนกฎหมาย
จะได้มาช่วยเรื่องการติดต่อราชการ แล้วชนม์ชนกเทวดาน้อยของบ้าน
ควรจะเรียนวิศวกรรม จะได้มาดูแลขยายโรงงานให้ใหญ่ ๆ อย่างคน
อื่นเขาบ้าง
แต่ไม่มีใครทำตามคำสั่งของเตี่ยสักคน วรินทราไม่ยอมเรียนบัญชี
อ้างว่าไม่เก่งเลข เธอเลือกเรียนรัฐศาสตร์การทูต เตี่ยส่ายหน้าดิก
“มันจะบ้า ผู้หญิงดันไปเรียนการทูต ใครเขาจะให้มันไปเป็นทูตอยู่
เมืองนอก อย่างดีก็แค่ได้เป็นเมียทูต ไม่งั้นก็แค่เสมียน เส้นสายไม่มี
ลูกเจ๊กลูกจีน ใครเขาจะส่งเสริม ไม่มีทางก้าวหน้าหรอก”
วรินทราดื้อจะเรียน ทางครอบครัวก็ต้องยอม สอบเข้าได้แล้ว ได้
เรียนระดับมหาวิทยาลัยดีกว่าไม่ได้เรียน หล่อนเป็นลูกสาวคนโต เตี่ย
จึงยังสนใจใส่ใจอยู่บ้างว่าจะไปทำอะไรที่ไหน อย่างไร แต่เตี่ยไม่รู้เลยว่า
ที่วรินทราเลือกเรียนวิชานี้คณะนี้เพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ชาย
ที่หล่อนพึงพอใจ มานิตารู้แต่หล่อนถือว่าธุระไม่ใช่ บางขณะหล่อน
เหมือนอากาศธาตุ ไร้ตัวตนในบ้าน ถ้าเห็นหน้าเตี่ยก็จะพูดว่าหล่อนน่า
จะเรียนกฎหมายหรือเรียนบัญชีแทนพี่สาว จะได้มาช่วยกัน
แต่เตี่ยไม่เคยใส่ใจลูกสาวคนกลางอยู่แล้ว มานิตาสอบเข้า
มหาวิทยาลัยได้ เรียนไปตั้งสองปีแล้ว เตี่ยเพิ่งนึกได้ว่าหล่อนเข้า
มหาวิทยาลัยแล้วและถามว่าหล่อนเรียนอะไร
“อ๋อ ประชาสัมพันธ์”
“อะไรวะ” เตี่ยงง “อ่านข่าววิทยุกรมประชาสัมพันธ์เรอะ เลือก
เรียนอะไรบ้า ๆ”
มานิตาขี้เกียจจะอธิบายเพราะเตี่ยบ่นแล้วก็ไม่เคยได้สนใจหล่อนอีก
หันไปเคี่ยวเข็ญชนม์ชนกจนพ่อน้องชายผู้อ่อนวัยกว่าหล่อนหกปีบ่นว่า
จะบ้าตาย
“เตี่ยเขารักแกนะ นายอ๊อด ไม่เหมือนพี่ จะอยู่หรือไม่อยู่เขาก็ไม่
สนใจหรอก รองลงมาเขาก็รักเจ๊แอ้ม ยังจะมาบ่น ถ้าไม่มีใครใส่ใจ
อย่างพี่เราก็บ่นอีก”
“ไม่ใส่ใจเสียยังจะดีกว่า ไม่ก็เอาแค่เบาะ ๆ อย่างเจ๊แอ้ม พอทนไหว
แต่ขนาดอ๊อดนี่ประสาท”
ก็น่าจะประสาทอยู่หรอก เตี่ยคุมแจออกยังงั้น ถ้าทำได้ก็คงไป
โรงเรียนด้วยแล้วละ
แต่ไม่มีใครสนใจอย่างมานิตามันดีตรงไหนล่ะ แม่พอจะนึกถึงลูก
คนนี้บ้างแต่แม่ก็ไม่ค่อยมีเวลา เพราะเตี่ยมัวมาวุ่นกับลูกชายสุดที่รัก
คนเดียว เลยมอบหมายงานโรงงานให้แม่ดูแลเสียเกือบหมด เรื่องนี้
เป็นผลดีกับมานิตาเพราะแม่กันเงินเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ก็ที่แอบซุกให้
มานิตามาตั้งล้านนั่นแหละ นอกจากมานิตาแม่ยังให้เงินวรินทราตอน
แต่งงานโดยที่เตี่ยไม่ให้ความเห็นชอบแต่มากน้อยแค่ไหนมานิตาไม่รู้ ก็
น่าจะมากกว่าที่ให้มานิตาเพราะแม่สนิทกับลูกสาวคนโตมากกว่ามานิตา
เป็นไหน ๆ
แต่ให้กันเท่าไหร่มานิตาไม่ได้นึกอิจฉาอะไร ถึงอย่างไรหล่อนยัง
เข้าบ้านเตี่ยได้ ไม่เหมือนวรินทรา หล่อนถูกเตี่ยตัดขาดเพราะไป
แต่งงานกับผู้ชายที่เตี่ยไม่ชอบ
เตี่ยไม่ชอบดนัยด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรกชายหนุ่ม
คนนั้นเป็นคนไทยแท้ รับราชการทหาร ไม่ใช่เจ้าหนุ่มเพื่อนรุ่นพี่ที่
เรียนรัฐศาสตร์คนนั้นหรอกนะ แต่เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนจนไม่รู้
เพื่อนคนไหน ครอบครัวดั้งเดิมเป็นชาวนา ฐานะเป็นอย่างไรไม่รู้เพราะ
ไม่เคยเกี่ยวข้องรู้จักด้วย แต่งงานกันแล้วต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด วิชา
ความรู้ที่ร่ำเรียนมาแทบจะต้องโยนทิ้ง ภายหลังได้ยินว่าไปเป็นครูสอน
ภาษาอังกฤษในโรงเรียนเอกชนแถว ๆ ค่ายทหาร ไม่ได้บรรจุเพราะไม่
เคยเรียนวิชาครู เป็นได้แค่ครูสอนพิเศษ ก็ยังดีพอมีรายได้เท่ากับ
ความรู้ปริญญาตรีขั้นเริ่มต้น
แต่ที่เตี่ยไม่ชอบลูกเขยคนนี้สุด ๆ ก็เพราะเขาไม่ให้เกียรติเตี่ย พา
ลูกสาวคนโตของเตี่ยไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนไม่รู้เป็นอาทิตย์แล้วถึง
มาบอกว่าจะแต่งงานกัน นัยน์หูนัยน์ตาเจ้าหนุ่มก็แพรวพราวส่อแววเจ้าชู้
“ลูกกะตามันกรุ้มกริ่ม ดูมันมองนังคนกลางของเราชิ ปากกำลัง
ขอแต่งงานกะนังคนโต แต่ชำเลืองมองแต่นังคนกลางไม่วางตา แน่ละซี
นังเอ๋ยมันสวยกว่านังแอ้มตั้งเยอะแยะ”
มานิตายังนึกขำว่าเตี่ยซึ่งไม่เคยสนใจหล่อนเลยยังรู้ว่าหล่อนสวย
กว่าพี่สาวตั้งแยะ
วรินทราสวยน่ารักแต่หล่อนหน้าตาหมวยสุด ๆ ขาวจนซีด แต่
มานิตาผิวขาวหน้าคม คล้ายไปทางคุณยายคนไทย รูปร่างดี สูงกว่า
พี่สาวคืบกว่า ที่หล่อนเลือกเรียนประชาสัมพันธ์ก็เพราะลูกยุจากเพื่อน ๆ
ว่าเหมาะกับหล่อนมากกว่าวิชาการสื่อสารมวลชนที่มีให้เลือกเรียนใน
คณะที่หล่อนสอบเข้าได้นั่นแหละ
หญิงสาวนึกถึงดนัยพี่เขยและเห็นด้วยกับบิดาว่าเขาเป็นบุรุษ
ที่ไม่น่าไว้วางใจ ชอบมองสาว ๆ ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ไม่เว้นกระทั่ง
น้องภรรยา
รายละเอียด
กล้วยไม้กลีบช้ำ บทประพันธ์โดย โบตั๋น
ปิยะพันธุ์ กาญสมจิตต์ : ภาพปก
โกสุม กระจ่างรัตน์ : พิสูจน์อักษร
กิตตินันท์ แย้มเผือก : รูปเล่ม
ISBN ะ 978-974-519-509-7
พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก พ.ศ. 2552
บริษัท สุวีริยาสาส์น จำกัด จัดพิมพ์
122/107-109 ถนนประชาอุทิศ 91/1 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ
กรุงเทพฯ 10140
โทร. 0-2871-7542-44 โทรสาร 0-2871-7545
ชมรมเด็ก จัดจำหน่าย
122/110 ถนนประชาอุทิศ 91/1 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ
กรุงเทพฯ 10140
โทร. 0-2871-7543-44 โทรสาร 0-2871-7545
กล้วยไม้กลีบช้ำ