Customer Reviews

ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 25 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เก่งไม่เก่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ อยู่ที่ขนาดของหัวใจมากกว่า หัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท แน่วแน่ มักจะนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ

ทิม พิธา ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งแบกภาระธุรกิจมูลค่ามหาศาลของครอบครัว มีแม่ผู้เป็นที่รักและมีความโดดเด่นในเรื่องความอุตสาหพยายามในการใฝ่รู้ เปิดหูเปิดตา ไม่ว่าจะในหรือนอกห้องเรียน หนังสือเล่มนี้ถูกรวบรวมมาจากคอลัมน์จดหมายจากฮาร์วาร์ดของเขาในนิตยสารสุดสัปดาห์ เป็นการรวบรวมความคิดและความเห็นในวันที่ทิมยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านการเมืองการปกครอง สาขาภาวะผู้นำ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสาขาบริหารธุรกิจที่ MIT ประเทศสหรัฐอเมริกา ทิมเป็นเพียงคนไทยไม่กี่คนที่สอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งสองแห่งพร้อมกันได้ ตลอดระยะเวลา 3 ปี ในสหรัฐอเมริกา เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและเต็มที่ ได้พบเจอประสบการณ์ที่หลากหลาย ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเหล่าคนดังต่างๆ เช่น บารัค โอบาม่า , บิล คลินตัน ฯลฯ ได้ท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆ ได้พบเพื่อนใหม่ทั้งที่มาจากดิน คือครอบครัวถูกฆ่าล้างโคตรเหลือตัวเองรอดมาแค่คนเดียว และที่มาจากฟ้า คือเป็นลูกของประธานาธิบดี ชีวิตเขามีครบทุกรสชาติตั้งแต่นักเรียนทุนฮาร์วาร์ดไปจนถึงการติดคุกในคิวบา การเรียนปริญญาโทในสองมหาวิทยาลัยระดับโลก ความเก่งเป็นเพียงองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปได้ไกลกว่านั้นคือการไม่หยุดเรียนรู้พร้อมจะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ประสบการณ์ของทิมช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้อ่านและยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตอีกด้วย
ในจดหมายแต่ละฉบับที่เขาส่งกลับมา เราจะได้สัมผัสถึงความตั้งใจของเขา นอกจากเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอมาแล้ว ผู้อ่านยังได้สัมผัสถึงสารระหว่างบรรทัดที่ส่งผ่านมาโดยไม่ตั้งใจเสมอ เช่นความเครียด ความผ่อนคลาย ความกระฉับกระเฉงกระตือรือร้น ความเป็นห่วงเป็นใยในประเทศชาติ ที่เขามักเขียนมาเสมอว่า อยากเห็นประเทศไทยพัฒนาอย่างยั่งยืน และอยู่ได้อย่างเข้มแข็งไม่แพ้มหาอำนาจชาติใดในโลก โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของเราไป สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นบุคลิกความเป็นคนหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้าและมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวมเป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประโยชน์ของตนเอง
การเรียนในอเมริกาของทิมแตกต่างจากตอนที่อยู่เมืองไทย เพราะสิ่งที่เขาเน้นคือการอ่านแล้วแลกเปลี่ยน อ่านแล้วเขียน ไม่ใช่การอ่านจากหนังสือเรียนที่เขียนมาแล้วเป็นสิบๆปี แต่เป็นการอ่านจาก นิตยสาร จากอินเตอร์เน็ต จากบล็อค แล้วนำมาถกเถียงกันให้ตกผลึก ด้วยวิธีการแบบนี้เองทำให้ทั้งสองมหาวิทยาลัยกลายเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลก นอกจากนี้เขายังเชื่อว่า การเดินทางเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตเดินต่อไปข้างหน้า เพราะการท่องเที่ยวจะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น สำหรับโลกในบริบทใหม่การเรียนนอกห้องเรียน เรียนกับคนจริงๆ คือหลักสูตรแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง
ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 25 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

“เก่งไม่เก่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ อยู่ที่ขนาดของหัวใจมากกว่า หัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท แน่วแน่ มักจะนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ” เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่าการได้อ่านหนังสือที่บอกเล่าประสบการณ์ของคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มันช่วยกระตุ้นให้เราฮึดสู้ได้มากกว่าการอ่านหนังสือประเภทเดียวกันจากผู้เขียนที่เป็นนักธุรกิจอาวุโสทั้งหลาย เพราะมันทำให้เราเห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคเลยในการที่ใครคนใดคนหนึ่งจะก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายของเขา และอายุก็ไม่ใช่อุปสรรคในการที่คุณจะถ่ายทอดมุมมอง ความคิด ความรู้สึกต่างๆ ที่น่ารับฟัง ความคิดความอ่านของคนหนุ่มหลายคนมีคุณภาพดีกว่าของคนแก่อีกหลายคน การอ่านหนังสือของทิม ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงเรื่องเหล่านี้ อีกอย่างหนึ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือ มุมมองต่อการสร้างชาติหรือมุมมองต่อบ้านเมืองส่วนรวม ผมรู้สึกว่า ทิมเป็นคนที่มีความรู้สึกต่อส่วนรวมมาก คือเขามองเห็นความสำคัญของการพัฒนาประเทศ เขาไม่ได้เรียนเพื่อนำความรู้มาสร้างธุรกิจของตัวเองให้เติบโตแต่เพียงอย่างเดียว แต่เขาเรียนแล้วต้องการเอาความรู้มาช่วยเหลือประเทศด้วย ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่ในวัยเดียวกันว่า เรามีภาระหน้าที่ในการสร้างตนเอง สร้างครอบครัว ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งด้วย เขาเล่าประสบการณ์ผ่านจดหมายแล้วส่งกลับมายังประเทศไทย ในจดหมายแต่ละฉบับที่เขาส่งกลับมา นอกจากเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอมาแล้ว เราจะได้สัมผัสถึงความตั้งใจของเขา ตัวตนของเขาที่ถูกถ่ายทอดออกมาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความเป็นห่วงเป็นใยในประเทศชาติ ดังที่กล่าวไปแล้ว เพราะเขามักเขียนมาเสมอว่า อยากเห็นประเทศไทยพัฒนาอย่างยั่งยืน และอยู่ได้อย่างเข้มแข็งไม่แพ้มหาอำนาจชาติใดในโลก โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นตัวตนของเราไป สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นบุคลิกความเป็นคนหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้าและมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวมเป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประโยชน์ของตนเอง
นอกจากนี้หนังสือยังบอกเล่าลักษณะการเรียนที่แตกต่างกันระหว่างของไทยกับของอเมริกา ที่นั่นเน้นการอ่านแล้วแลกเปลี่ยน อ่านแล้วเขียน ไม่ใช่การอ่านแล้วจำ ซึ่งผมคิดว่าสำหรับคนที่อยากจะเรียนต่อต่างประเทศน่าจะนำไปเป็นข้อมูลประกอบได้ เราจะเห็นว่าความแตกต่างของการเรียนการสอนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการผลิตคนออกมาสู่สังคม มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ
ขอเล่าข้อมูลในหนังสือซักนิดนึง ทิม พิธา ชายหนุ่มคนหนึ่งแบกภาระธุรกิจมูลค่ามหาศาลของครอบครัว เป็นเด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหพยายาม ใฝ่รู้ ไม่ว่าจะในหรือนอกห้องเรียน หนังสือเล่มนี้ถูกรวบรวมมาจากคอลัมน์จดหมายจากฮาร์วาร์ดของเขาในนิตยสารสุดสัปดาห์ เป็นการรวบรวมความคิดและความเห็นในวันที่ทิมยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านการเมืองการปกครอง สาขาภาวะผู้นำ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสาขาบริหารธุรกิจที่ MIT ประเทศสหรัฐอเมริกา ทิมเป็นเพียงคนไทยไม่กี่คนที่สอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งสองแห่งพร้อมกันได้ ตลอดระยะเวลา 3 ปี ในสหรัฐอเมริกา เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและเต็มที่ ได้พบเจอประสบการณ์ที่หลากหลาย ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเหล่าคนดังต่างๆ เช่น บารัค โอบาม่า , บิล คลินตัน ฯลฯ ได้ท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆ ได้พบเพื่อนใหม่ต่างฐานะกันราวฟ้ากับเหว ชีวิตเขามีครบทุกรสชาติตั้งแต่นักเรียนทุนฮาร์วาร์ดไปจนถึงการติดคุกในคิวบา การเรียนปริญญาโทในสองมหาวิทยาลัยระดับโลก ความเก่งเป็นเพียงองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปได้ไกลกว่านั้นคือการไม่หยุดเรียนรู้พร้อมจะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ประสบการณ์ของทิมช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้อ่านและยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจในชีวิตอีกด้วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ก่อนจะเข้าสู่โหมดความคิดเห็นที่มีต่อหนังสือ อยากเล่าถึงภาพรวมของหนังสือก่อนนิดนึง ถึงเวลาสารภาพ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มที่สามของสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ที่เรารู้จักกันดีในฐานะผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดัง สุทธิพงษ์หายหน้าหายตาไปจากฐานะนักเขียนเรื่องสั้นชั้นดีมีเสน่ห์เป็นเวลากว่า 7 ปีด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและภาระหน้าที่บนจอโทรทัศน์ จนหลายคนเลิกหวังที่จะได้เห็นเขาในฐานะนักเขียนอีกแล้ว แต่บัดนี้เขาได้กลับมาอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้มีนัยสำคัญต่อตัวเขาอย่างน้อยสองประการคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติบางด้านและเป็นการสานต่อเส้นทางการเขียนเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่แท้จริงตามที่เขาตั้งใจไว้
ถึงเวลาสารภาพ ก็คือคำสารภาพหรือการบอกเล่าเรื่องราวของบุคคล ตัวละคร และตัวเขาเอง ในเหตุการณ์ที่แตกต่างหลากหลายทั้งเรื่องใกล้ตัว เรื่องซีเรียส และแฝงอารมณ์ขัน
นักพนัน - เช็กส์รับคำท้าที่จะกลับมาเขียนเรื่องสั้นอีกครั้ง เจ็ดเรื่องกับเวลาเพียงสองเดือนเศษ “แท้จริงแล้วผมไม่มีความมั่นใจในการตกปากรับคำท้าและเงื่อนไขในการพนันครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะเขียนหนังสือเลยเวลาจะนอนจะกลับบ้านไปอยู่กับลูกให้เต็มวันยังแทบจะไม่มี”
ลูกเสือ - นาทีวิกฤติของชีวิตลูกเสือตัวเล็ก “ผมไม่ได้ใส่กางเกงใน ผมไม่เคยมีกางเกงใน ทั้งฉี่ทั้งขี้ผูกมิตรกันเดินทางไกล ไหลงไปที่ถุงเท้า บางส่วนพยายามจะผจญภัยไปให้ถึงถุงเท้าคู่ใหม่”
ลูกเสือต้องกล้าหาญ “ผมพยายามหาคำตอบว่าผมกลัวอะไร กลัวต้องอธิบายกับผู้คน กลัวถูกหาว่าขี้ขลาด กลัวความผิดพลาดบางสิ่ง กลังการจมน้ำ”
จอมขโมย - ของที่หายไป ราคาเมื่อแรกซื้อมาไม่น่าเกิน 3-4 หมื่นบาท มูลค่าปัจจุบันอาจเหลือไม่ถึงครึ่ง แต่ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมจึงวนเวียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างสลัดไม่หลุด “ผมเสียดายข้าวของ โกรธแค้นเจ้าหัวขโมย หวาดกลัว ไม่ปลอดภัย…ผมจะบอกภรรยาและทุกคนในครอบครัวอย่างไรดีว่า – ผมไปขโมยมันกลับมาแล้ว”
หญิงบาปกับนักบุญ - “ทั้งที่ในความเป็นจริง ความตายมันเป็นเรื่องง่ายๆ และไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ปีนขึ้นไปบนลูกกรงเหล็กเตี้ยๆ แล้วทิ้งร่างลงจากระเบียงชั้น 8 คุณไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่ามันเป็นความโง่หรือความฉลาด เป็นความขลาดหรือความกลัว เป็นชัยชนะหรือพ่ายแพ้ เป็นบาปหรือแท้แล้วคือการปลดปล่อยเราจากบาป”
ปริศนาการเมือง - “ประชาชนรักใคร คณะ(รัฐบาล)นั้น ถือไพ่เป็นต่อ
สื่อมวลชนเข้าข้างใคร คณะ(รัฐบาล)นั้น ทำอะไรก็ถูกต้อง”
วันกลับบ้าน - “ขณะที่คุณคิดว่าสองปีที่อยู่บ้าน เป็นเวลาอันต้อยต่ำ ล้มเหลวและไร้ค่า คุณรู้ไหมฉันกลับคิดว่า นั่นเป็นเวลาที่คุณได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต งานทุกอย่างที่คุณเล่าให้ฉันฟังก่อนจะถูกให้ออกนั้นล้วนไร้สาระ ไม่ต่างจากขยะบูดเน่าดีๆนี่เอง คุณก็เป็นโสเภณีไม่ต่างจากฉัน”
นักแพ้ - “ผมแพ้มามากมาย เกินกว่าที่จะจดจำ และแพ้อีกต่อไปได้ โดยที่ไม่เจ็บช้ำไปมากกว่านี้”
ผมรู้สึกว่าการเขียนเรื่องสั้นขึ้นมาซักเรื่องหนึ่งบางทีก็ไม่จำเป็นจะต้องเขียนเรื่องอะไรที่ซับซ้อน หรือเป็นเรื่องไกลตัว เพราะถ้าคนเขียนไม่รู้จริงดีพอ หรือไม่พยายามหาข้อมูลให้มากพอ ก็จะยิ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดี จริงๆผมเชื่อว่าผู้เขียนคงมีมุมมองต่อเรื่องยากๆในสังคมนั่นแหละ เพียงแต่ว่า ด้วยข้อจำกัดของเวลาและการหายหน้าหายตาไปจากวงการนักเขียนนาน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเขียนเรื่องเหล่านั้น เลยเลือกที่จะเขียนเรื่องราวที่เป็นเรื่องง่ายๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาทั้งในอดีตวัยเด็กและเมื่อไม่นานมานี้ หากมองเผินๆก็ดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย เป็นเพียงคำบอกเล่าของชายคนหนึ่ง แต่ด้วยภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดที่สวยงาม คมคาย ทำให้เรื่องธรรมดาๆกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาได้ ถ้าคุณเคยฟังคำพูดในรายการทีวีที่เขาเป็นพิธีกรแล้วคิดว่าคมแล้ว คำพูดในหนังสือเล่มนี้คมกว่าหลายร้อยเท่า นอกจากนี้ภายใต้เรื่องราวที่ดูเหมือนไม่มีอะไรกลับสอดแทรกวิธีคิดและทัศนคติในการมองโลกของเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว การใช้ชีวิต และแม้แต่เรื่องการเมือง ผมถือว่าผมได้อ่านความคิดในการมองชีวิตของเขามากกว่าอ่านประวัติชีวิตหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา หากผู้อ่านสนใจว่าสุทธิพงษ์พิธีกรชื่อดังมีแง่มุมชีวิต และความคิดอ่านอย่างไรในเรื่องดังกล่าว ถึงเวลาสารภาพน่าจะเป็นหนังสือที่ตอบโจทย์ผู้อ่านในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัยเล่มนี้ ได้เริ่มเขียนและพิมพ์ใช้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2498 เมื่อท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้บรรยายในวิชานี้ในหลักสูตรปริญญาตรีเพื่อใช้เป็นคู่มือในการศึกษา โดยอาศัยเปรียบเทียบกับตำราต่างประเทศและคำบรรยายของท่านอาจารย์แต่ก่อนๆที่ได้บรรยายไว้เป็นหลัก ตลอดจนคำพิพากษาฎีกาต่างๆด้วย
หนังสือเล่มนี้ได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นมาแล้วกว่าสิบครั้งด้วยเหตุที่เป็นหนังสือที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่าทางวิชาการด้านการศึกษากฎหมายประกันภัย และตลอดทุกครั้งของการพิมพ์ก็จะมีการแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ในแง่ของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ สำหรับคนที่ศึกษากฎหมายคงทราบดีว่า ท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์
นั้นได้รับยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายของประเทศจบการศึกษาทั้งในระดับเนติบัณฑิต และระดับมหาบัณฑิตจากสหรัฐอเมริกา เป็นอดีตองคมนตรี ประธานวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2521 ชุดแรก ดังนั้นท่านจึงเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการว่าเป็นนักกฎหมายที่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในหลักกฎหมาย สามารถถ่ายทอดแง่มุมต่างๆทางกฎหมายได้อย่างครบถ้วน แม้หนังสือของท่านจะถูกจัดพิมพ์มานานแล้วก็ตามแต่ด้วยความที่ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือมีความครบถ้วนถูกต้อง หนังสือของท่านจึงยังถูกนำมาใช้อ้างอิงในการเรียนการสอนของนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ และในงานเขียนทางวิชาการอีกมากมายในปัจจุบัน
ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือผู้อ่านจะได้ศึกษากฎหมายจากภาษาทางกฎหมายจริงๆ ภาษาที่ผู้เขียนใช้ในหนังสือแม้จะอ่านยากซักหน่อยแต่ก็มีข้อดีตรงที่มีความสละสลวย เป็นภาษาทางวิชาการ สามารถนำไปใช้เขียนคำตอบทางกฎหมายได้ดี การลำดับคำอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนเข้าใจง่าย มีคำพิพากษาฎีกาประกอบ พร้อมทั้งหมายเหตุท้ายฎีกาสำคัญๆและความคิดเห็นของผู้เขียนที่อาจแตกต่างจากศาลในบางเรื่อง แต่ก็เป็นความคิดเห็นที่มีเหตุมีผลมีหลักวิชารองรับ น่ารับฟัง ดังนั้นสำหรับคนที่อยากหาหนังสือที่ให้ความรู้ทางกฎหมายมากกกว่าการเอาฎีกามาพิมพ์ให้อ่าน หนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์ของคุณได้แน่นอน
ส่วนข้อเสียก็ดังที่กล่าวไปแล้วว่าภาษาที่ใช้อาจเข้าใจยากซักหน่อย การจัดหน้า รูปเล่ม ยังทำได้ไม่ค่อยดี กล่าวคือยังขาดเรื่องการจัดเรียงหัวข้อที่ชัดเจน คำพิพากษาฎีกาที่ถูกนำมาอ้างก็ถูกวางเรียงต่อๆกันไปในย่อหน้าเดียวกัน ไม่ได้แบ่งให้ชัดเจน อาจจะดูลายตาสักหน่อย และหากท่านต้องการกลับมาสืบค้นอีกครั้งก็อาจจะทำได้ลำบาก
เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย
1. ข้อความทั่วไป
2. วิเคราะห์ศัพท์
3. ลักษณะของสัญญาประกันภัย
• เป็นสัญญาต่างตอบแทน
• เป็นสัญญาเสี่ยงโชค
• เป็นสัญญาที่ต้องสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง
• เป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
4.ประกันวินาศภัย
5.ประกันชีวิต
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการประกอบการศึกษาวิชานี้ซึ่งผู้เขียนได้รับมอบหมายให้บรรยายในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2530 โดยได้มีการปรับปรุงเนื้อหาเรื่อยมาโดยตลอด ซึ่งผู้เขียนได้ค้นคว้าคำพิพากษาฎีกาใหม่ๆมาประกอบ ตลอดจนหลักกฎหมายต่างๆ เพื่อให้ได้เป็นหนังสือกฎหมายที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด
วิชาตั๋วเงินเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับแวดวงธุรกิจ การค้าขาย ถือเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญและถูกนำมาใช้จริงในทางปฏิบัติอยู่บ่อยครั้ง ในฐานะที่เป็นเอกสารเปลี่ยนมือกันได้โดยง่าย ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ธุรกรรม ตลอดจนการค้าขายต่างๆ ให้เป็นไปอย่างคล่องตัว จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ศึกษากฎหมายจำเป็นจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน ประกอบด้วยข้อความเบื้องต้นและ 7 หมวดดังต่อไปนี้
1. ลักษณะทั่วไปของตั๋วเงินที่ใช้บังคับกับตั๋วเงินทั้งสามประเภท
2. ตั๋วแลกเงิน ว่าด้วยลักษณะทั่วไปของตั๋วแลกเงิน การออก การโอน การสลักหลัง การใช้เงิน สิทธิไล่เบี้ยและอื่นๆ
3. ตั๋วสัญญาใช้เงิน ว่าด้วยลักษณะทั่วไปของตั๋วสัญญาใช้เงิน การออก การโอน การสลักหลัง การใช้เงิน สิทธิไล่เบี้ยและอื่นๆ
4. เช็ค ว่าด้วยลักษณะทั่วไปของเช็ค การออก การโอน การสลักหลัง การใช้เงิน สิทธิไล่เบี้ย ความรับผิดของธนาคารผู้จ่าย เช็คขีดคร่อมและอื่นๆ
5. อายุความ ในการใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามตั๋ว
6. ตั๋วเงินปลอม ตั๋วเงินถูกลัก และตั๋วเงินหาย ว่าด้วยผลทางกฎหมายและสิทธิต่างๆของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
7. ข้อต่อสู้ของลูกหนี้ตามตั๋วเงิน ว่าด้วยข้อต่อสู้ใดบ้างที่ลูกหนี้สามารถยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องตามตั๋ว
ในแง่ของเนื้อหา ถือเป็นคำอธิบายที่อ่านเข้าใจง่ายพอสมควร การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอนดี ทำให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายในระดับหนี่ง มีตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาและตัวอย่างจากผู้เขียนเพื่อประกอบความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้น มีการอ้างที่มาที่ไปของหลักกฎหมายต่างๆ ถือเป็นคำอธิบายที่เหมาะกับการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มิได้เน้นการจดจำคำพิพากษาฎีกาแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีแง่มุมของหลักกฎหมายและหลักวิชาประกอบด้วย เนื้อหาสาระก็ไม่ได้ละเอียดจนยากที่จะทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตามข้อเสียของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การไม่เรียงคำพิพากษาที่ยกมาประกอบให้อ่านง่าย แต่จะเรียงฎีกาต่างๆต่อกันไปในย่อหน้าเดียว ซึ่งเห็นว่าเป็นปัญหามากอ่านและในเวลาที่ต้องการกลับมาค้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้รายละเอียดในแต่ละหน้าดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอ่านไม่รู้เรื่อง
ในแง่ของผู้เขียน ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนหนังสือเข้าใจง่ายอยู่แล้ว และมีประสบการณ์ในสายงานกฎหมายที่หลากหลาย เคยทำงานเป็นทั้งนิติกรในหน่วยงานราชการ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีผลงานทางวิชาการมากมาย เช่น คำอธิบายกฎหมายธุรกิจเปรียบเทียบ คำอธิบายกฎหมายประนีประนอมยอมความ ศาลรัฐธรรมนูญและปัญหาในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เรียนจากของจริงไปเลยดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเวลากับแกรมม่า กับสิ่งที่เราไม่ได้เอาไปใช้ น่าจะเป็นคำจำกัดความของหนังสือเล่มนี้ที่ง่ายที่สุด
หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นโดย เทอรี่ บรรณาธิการพิเศษหนังสือพิมพ์บางกอกโพส ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยมานานเกือบ 30 ปี จึงเข้าใจปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นอย่างดี
วิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการอ่านข่าว ซึ่งเราสามารถไล่ระดับจากข่าวสั้นไปสู่ข่าวที่ยาวขึ้นได้ หากคุณอ่านข่าวทุกวัน วันละข่าวสองข่าว ไม่นานคุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางภาษาของคุณได้อย่างชัดเจน การอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์จะทำให้ระดับภาษาอังกฤษของคุณอยู่ในระดับที่สามารถนำไปใช้ในการทำงาน การศึกษา หรือในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วทำไมต้องบางกอกโพส เพราะบางกอกโพสเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีเรื่องราวหลากหลายสำหรับผู้อ่าน ทั้งข่าวในประเทศและต่างประเทศ มีทั้งส่วนที่เป็นข่าวสั้นและบทความ หากเป็นข่าวในประเทศ ผู้อ่านชาวไทยที่ต้องการฝึกภาษาย่อมสามารถเข้าใจเนื้อหาของข่าวได้ง่ายกว่า
ในแง่ของเนื้อหาของหนังสือจะแบ่งออกเป็นส่วนสำคัญ ดังนี้
1. ทำความรู้จักกับส่วนประกอบต่างๆ ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพส ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้ผู้อ่านมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มอ่านและยังไม่คุ้นกับเนื้อหาได้ทำความเข้าใจภาพรวมของหนังสือพิมพ์
2. พูดเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไรนะ เป็นการเอาเนื้อข่าวที่ถูกเรียบเรียงเป็นภาษาไทยมาแปลให้ดูว่าถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วจะเขียนว่าอย่างไร ซึ่งตอนนี้เป็นประโยชน์และน่าสนใจมาก
3. เริ่มกันด้วยภาพ เป็นการฝึกเดาความหมายของคำศัพท์จากภาพข่าวด้วยการเลือกภาพที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์แล้วอ่านคำอธิบายใต้ภาพ มองหาคำที่เราไม่รู้ความหมาย คำเหล่านี้สามารถเดาความหมายได้จากการดูภาพ
4. การอ่านพยากรณ์อากาศ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าผู้อ่านอยากเห็นตัวเองประสบความสำเร็จในการอ่านภาษาอังกฤษ การอ่านข่าวพยากรณ์อากาศน่าจะเป็นการเริ่มต้นฝึกที่ดี เพราะภูมิอากาศในประเทศไทยไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงและคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องก็ไม่มากเกินไป
5. เริ่มจากบรรทัดแรก : การทำความเข้าใจหัวข้อข่าวเป็นการเรียนรู้เทคนิคการเขียนหัวข้อข่าวให้พอดีกับเนื้อที่โดยเลือกใช้คำที่สั้นลง เพราะฉะนั้นผู้อ่านก็จะได้เรียนรู้เทคนิคการใช้คำสั้นๆ ที่มีความหมายพ้องกัน
6. ประโยคนำ : สรุปข่าวไว้ในประโยคเดียว หากผู้อ่านสามารถเข้าใจส่วนประกอบของประโยคว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ก็จะช่วยให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้มาก
7. เนื้อข่าว เป็นการขยายรายละเอียดของเหตุการณ์นั่นเอง
8. การอ่านความคิดเห็นและบทวิเคราะห์ การอ่านบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็เป็นเนื้อเรื่องเดียวกันกับข่าว คำศัพท์ส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน แต่จะมีคำศัพท์ชุดใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา
9. การอ่านสารคดี สารคดีมีความลุ่มลึกกว่าข่าว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะได้คือคำศัพท์และเทคนิคการเขียนที่ยากขึ้น
10. ตัวอย่างข่าวประเภทต่างๆ
โดยสรุป สิ่งที่ผู้อ่านจะได้จากหนังสือเล่มนี้คือจะได้เรียนรู้ว่าข่าวแต่ละเรื่องเขาเขียนกันอย่างไร ควรอ่านอย่างไร ได้เรียนรู้คำศัพท์สำคัญและวิธีการสร้างคำศัพท์ด้วยตนเอง
ความเห็นส่วนตัว คิดว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากในแง่ของการฝีกภาษาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อการสอบ ย้ำว่าเพื่อการใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นหนังสือที่ช่วยกำจัดจุดอ่อนของการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยที่เรียนไปเพื่อสอบไม่ได้เรียนเพื่อใช้ พอคุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะเห็นว่าสิ่งที่คุณฝึกมามันได้ใช้จริง อย่างน้อยคุณก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น ไม่ใช่เป็นแค่ความรู้ทางทฤษฎีที่เอาไปทำอะไรต่อไม่ได้ในชีวิตจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดในหนังสือจะทำให้คุณเก่งอังกฤษจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะหลักใหญ่ใจความของหนังสือคือการสอนหลักการ แล้วให้คุณเอาไปฝึกต่อยอดเอาเอง เพราะการเรียนภาษาไม่ใช่แค่การอ่านจากในหนังสือ คุณต้องเอาไปพูด คุณต้องเอาไปใช้อ่านหนังสือพิมพ์หลายๆเล่ม จึงจะเกิดผลขึ้นมา ให้คะแนนหนังสือเล่มนี้ 9 เต็ม 10
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

สมัยก่อนเวลาเรียนภาษาอังกฤษ คุณครูก็จะเน้นแต่การท่องจำคำศัพท์ การคัดคำศัพท์ และความแม่นยำในเรื่องแกรมม่า น้อยมากที่จะให้เด็กๆมีอิสระในการอ่านเรื่องที่เขาสนใจ ประกอบกับหนังสือ ตำรา ต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ แล้วเหมาะกับระดับความรู้ในแต่ละวัยก็ไม่ค่อยมี การเรียนภาษาอังกฤษเลยกลายเป็นเรื่องยาก น่าเบื่อ เด็กหลายคนเลยไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยอยากเรียน เพราะรู้สึกว่าไม่สนุก ไม่ได้นำไปใช้จริง และเป็นเรื่องไกลตัว ตรงข้ามกับปัจจุบันที่มีสื่อการสอนดีๆมากมาย ให้เลือกอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว
The Nutcracker เป็นตัวอย่างหนังสือสอนภาษาอังกฤษยุคใหม่ที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง มีความโดเด่นทั้งในแง่เนื้อหาและรูปเล่มที่มีสีสันสวยงาม มีรูปแบบการนำเสนอ และการสอนภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ เป็นหนังสือที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการศึกษาในแต่ละช่วงวัย เนื้อหาไม่ยากเกินไป ที่สำคัญคือเด็กๆน่าจะอ่านสนุกเพราะใช้นิทานเป็นเครื่องมือสื่อการสอน
จากบทนำบอกว่า หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุด SE-ED Young Readers ภายใต้โครงการ SE-ED Enjoy Reading ที่ต้องการให้คนไทยมีโอกาสอ่านหนังสือที่ทั้งสนุกและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไปพร้อมๆกัน ในหนังสือชุดดังกล่าวจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ด้วยกัน เรื่องนี้เป็นนิทาน ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในระดับ 1 มีจำนวนคำศัพท์ 1000-1500 คำ เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เน้นการสร้างประโยคพื้นฐานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนเสริมความรู้ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ภาษาอังกฤษ ได้แก่
1. เกร็ดภาษาน่ารู้
2. ปูพื้นฐานความเข้าใจในเรื่อง ด้วยการแนะนำตัวละครก่อนเริ่มอ่าน
3. มีแถบด้านข้างแสดงคำศัพท์ หน้าที่คำ และคำแปล
4. รวบรวมคำศัพท์ สำนวน และวลีจากเนื้อเรื่อง
5. เน้นศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ ด้วยรูปแบและสีสันสะดุดตา
ผู้อ่านระดับต้นควรเริ่มอ่านจากระดับต่ำสุดไปก่อน และเมื่ออ่านคล่องแล้ว จึงเลื่อนขึ้นไปอ่านในระดับต่อไป เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษทั้งในเชิงโครงสร้างและคำศัพท์ เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีขั้นมีตอน เมื่ออ่านได้ถึงระดับสูงสุด จะได้คลังคำศัพท์ที่มีศัพท์ประมาณ 3000 คำ ซึ่งเพียงพอต่อการสื่อสารขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดเพราะ หนังสือบอกว่าเราต้องมีคำศัพท์สะสมไว้ประมาณ 8000 คำ จึงจะสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษทั่วไปได้
หนังสือแนะนำกฎง่ายๆในการอ่านภาษาอังกฤษ คือ
1. เลือกอ่านเฉพาะหนังสือที่อยากอ่านเท่านั้น ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าอ่านเรื่องที่ชอบก็จะอ่านได้นาน ไม่เบื่อ
2. เปิดพจนานุกรมให้น้อยที่สุด เพราะการหยุดอ่านเป็นระยะๆ จะทำให้กระบวนการเรียนรู้ภาษาช้าตามไปด้วย ถ้าไม่เข้าใจศัพท์ ให้คาดเดาเอาจากประโยคข้างๆ หรืออ่านข้ามไป
3. ถ้ารู้สึกเบื่อหรือคิดว่ายากเกินไป ให้หยุดอ่านแล้วเปลี่ยนเล่มใหม่ทันที ซึ่งตรงนี้คิดว่าดูแปลกๆไปซักหน่อย เพราะว่าจริงๆความยากน่าจะเป็นสิ่งท้าทายมากกว่า ทำให้เราได้ฝึกตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ หากเราเจอเรื่องที่ยากแล้วหยุดอ่านแล้วเราจะเก่งขึ้นได้อย่างไร
ในแง่ของนิทานภายในเล่มนั้น เป็นเรื่องงราวของสาวน้อยคาร่า เธอต้องพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตเมื่อตุ๊กตาที่เธฮพึ่งได้มาเป็นของขวัญในวันคริสมาสกลับมีชีวิตขึ้น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เธอกับตุ๊กตาได้ออกผจญภัยในในดินแดนมหัศจรรย์ด้วยกัน เธอสนุกไปกับการได้ออกเดินทางไปในดินแดนที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน เนื้อเรื่องง่ายๆ เหมาะสำหรับเด็ก เป็นการส่งเสริมให้เด็กๆได้ใช้จินตนาการไปตามการผจญภัยของตัวละคร ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกว่าเป็นหนังสือที่จัดอยู่ในระดับ 1 ตามโครงการของ SE-ED คำศัพท์ที่ใช้ไม่ยากเลย เผลอๆ เด็กๆอาจรู้จักศัพท์มากกว่าในหนังสือไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะไม่ทราบเหมือนกันว่าเด็กยุคใหม่ เค้าเรียนภาษาอังกฤษกันแบบไหน รีวิวนี้จึงเป็นมุมมองของคนแก่ที่ผ่านช่วงวัยเด็กมานานมากแล้ว และไม่เคยอ่านหนังสือแบบนี้มาก่อน พอได้มาอ่านก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ดี เลยเอามารีวิว ให้คะแนน 8 เต็ม 10
วิถี(ไม่)ตัน ฉบับตัน ภาสกรนที
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เวลาเรามองภาพของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เรามักจะมองภาพปัจจุบันของคนเรานั้น เรามองเห็นเขาเหล่านั้นในเวลาที่ชีวิตมีแต่ความสุข ความสมหวัง เราเห็นพวกเขาในภาพของเศรษฐีมั่งคั่งร่ำรวย เป็นคนดังมีชื่อเสียง ไปไหนมาไหนคนก็รู้จัก เป็นที่ยอมรับของสังคม โดยที่เรามักหลงลืมไปว่ากว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เราเห็นได้นั้น เขาต้องผ่านอุปสรรคในชีวิตอะไรมาบ้าง ต้องอดทนเหนื่อยยากแค่ไหน การอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะทำให้เราได้เห็นและรู้จัก ตัน ภาสกรนที ในอีกคนหนึ่ง ที่เราอาจไม่รู้จักมาก่อน เขามีเรื่องราวชีวิตในอดีตที่น่าสนใจ และแน่นอนที่สุดชีวิตของเขาสมารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครได้อีกหลายคน ขอเพียงแค่เขาเหล่านั้นลุกขึ้นมาทำในแบบที่ตันทำ ไม่ใช่แค่เก็บแรงบันดาลใจไว้แค่นั้น
ผมคงไม่ต้องอธิบายว่าตัน ภาสกรนทีคือใคร เพราะคุณคงรู้จักเขาดีอยู่แล้ว และอาจรู้จักดีกว่าผมด้วยซ้ำ แต่หากคุณไม่รู้ว่าเขาคือใคร หนังสือเล่มนี้ก็มีคำตอบให้ กล่าวโดยสรุปคือเขาเป็นบุคคลที่มีมันสมองชั้นยอด มีความคิดเป็นอัจฉริยะในทางธุรกิจ และมีหลักการดำเนินชีวิตที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
ตันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นจากความคิดที่ว่า เขาเคยได้รับโอกาส เคยได้รับประสบการณ์ที่ถ่ายทอดจากผู้อื่นมาก่อน ในวันนี้ก็เลยอยากส่งมอบประสบการณ์ ข้อคิดในชีวิตของเขา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจ กับผู้อ่านบ้าง เป็นการแสวงหาความสุขโดยไม่หวังกำไรด้วยการเป็นผู้ให้ ซึ่งในที่นี้คือให้กำลังใจ ตันย้ำว่า ต้นทุนชีวิตแบบเขาหาที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่อยากประสบความสำเร็จอย่างเขาก็สามารถทำได้ โอกาสและปัญหาอุปสรรคต่างๆ คือประสบการณ์ และสิ่งนี้เองที่เขาเรียกมันว่าต้นทุน ที่หล่อหลอมเขาให้เติบโต ที่ช่วยสอนเขาให้รู้จักวิธีหาเงิน ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องล้มลุกคลุกคลานเหมือนเขาในบางเรื่อง เพราะประสบการณ์ความล้มเหลว บทเรียน ของเขาหลายๆต่อหลายเรื่องในหนังสือเล่มนี้ คุณสามารถเรียนรู้และใช้เป็นทางลัดได้ ในการเดินไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในธุรกิจของคุณ
ตันปิดท้ายว่า “ ความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่มีลำดับขั้นตอน ที่ต้องอาศัยความตั้งใจ มุ่งมั่นทุ่มเท และอดทนรอ เขาใช้เวลากว่า 30 ปี ในการทำธุรกิจ ผ่านประสบการณ์ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม มาตลอดครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สำคัญคือเขาไม่เคยถอดใจ แต่ยังกัดฟันสู้ต่อ กฎของการประสบความสำเร็จในธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่คุณคิดได้ก่อนใคร คุณเริ่มทำก่อนใคร หรือใครทำมากกว่า แต่ทั้งหมดคือการมุ่งมั่นทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ยอมแพ้” ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะจริงบางส่วนตรงที่คนที่จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจล้วนเคยผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมาแล้วทั้งนั้น แต่ประเด็นคือแม้อยากจะลุกขึ้นมาอีกครั้งแค่ไหน แม้จะมีกำลังใจมากมายจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าเขาเหล่านั้นไม่มีกำลังกายและกำลังทรัพย์เหลืออยู่เพียงพอ เขาเหล่านั้นจะมีโอกาสลุกขึ้นยืนอีกครั้งได้จริงหรือไม่ หนังสืออาจทำได้เพียงการเติมกำลังใจให้คนที่ล้ม แล้วอะไรคือสิ่งที่จะช่วยเติมพลังที่เหลือ ผมว่านี่คือสิ่งที่ขาดไปจากหนังสือเล่มนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเป็นจริงก็คือหนังสือเล่มเดียว คุณจะคาดหวังให้มันสอนทุกอย่างกับคุณได้อย่างไร หนังสือคงทำหน้าที่ของมันได้เท่าที่กำลังของมันจะมีเช่นเดียวกัน ซึ่งหน้าที่ของหนังสือเล่มนี้ก็คือการสร้างกำลังใจ ในแง่นี้เลยให้ 10 เต็ม 10
แผนสอง
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ที่มาของหนังสือเล่มนี้คือคำว่า pokayoke ซึ่งเป็นแนวคิดการป้องกันการผิดพลาดในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ความผิดพลาดในกระบวนการผลิตเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างไรก็ตามความผิดพลาดนั้นก็เป็นเรื่องที่สามรถป้องกันหรือแก้ไขได้ หากเราวางแผนดีๆ ซึ่งชีวิตของคนเราก็คงไม่ต่างกัน เพราะต่อให้เรารอบคอบกับชีวิตของเรามากขนาดไหน ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือการหาทางเตรียมการรับมือกับมันไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เสียหลักเวลาที่ชีวิตเกิดตกหลุมอุปสรรคขึ้นมา
หนังสือเล่มนี้ไม่เชิงว่าเป็นหนังสือสอนธรรมะ และก็ไม่เชิงว่าเป็นหนังสือสอนการทำให้ชีวิตมีความสุขที่เราคุ้นเคย แต่เหมือนเป็นหนังสือที่สะกิดให้เราฉุกคิดกับการใช้ชีวิตให้มากขึ้นมากกว่า เชื่อว่าหลายคนรู้ดีว่าชีวิตเป็นอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ควรจะจัดการกับมันอย่างไร แต่ก็กลับทำแบบที่คิดไม่ได้
ทุกคนมีแผนในชีวิต และแน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยก็คือแผนการสร้างสุข ซึ่งมีทั้งสุขแบบระยะสั้นและสุขแบบระยะยาว บางคนบอกว่าชีวิตไม่ต้องการอะไรมากก็มีความสุขแล้ว แต่เอาเข้าจริง เคยลองนับดูมั้ยว่าแผนการสร้างสุขของคุณที่ผ่านมามีกี่แผน แล้วคุณสามารถทำมันได้สำเร็จทุกแผนหรือไม่ และนั่นคือประเด็นที่จะมาพูดกันในหนังสือซึ่งก็คือ เราจะวางแผนชีวิตของตัวเองอย่างไรเพื่อรับมือกับความทุกข์ เป็นแผนด้านตรงข้ามกับแผนแรกที่ผู้เขียนเรียกว่า แผนสอง
เมื่อเป็นแผน สิ่งแรกก็คือเราต้องรู้ว่าเราจะเอาแผนไปจัดการกับอะไร พูดง่ายๆคือเราต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของแผนก่อนนั่นเอง ต่อจากนั้นก็คือการสำรวจตัวเราเองทั้งกาย ใจ อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก จุดประสงค์ก็คือให้เราเข้าใจความเป็นเรา มองเห็นความเป็นเรานั่นเอง
ความยากมันก็อยู่ตรงที่การสำรวจตัวเองนี่แหละ ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมเข้าใจว่าแผนสองน่าจะเป็นอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ แต่พออ่านหนังสือแล้ว กลับรู้สึกว่าหนังสือสอนสิ่งที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมสูง การจะทำตามได้ต้องอาศัยการฝึกฝน ทบทวนเนื้อหาบ่อยๆ เพราะสถานการณ์จริงที่เราต้องเจอในชีวิตกับสถานการณ์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในหนังสือย่อมมีบริบทที่ต่างกัน และมีปัจจัยต่างๆที่มีผลให้เราตัดสินใจทำในสิ่งที่ต่างออกไปได้ ท้ายสุดแล้วสิ่งที่ปรากฏในหนังสือก็คือปรัชญาการดำรงชีวิตแบบพุทธนั่นเอง เป็นปรัชญาที่เราคุ้นเคย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ในเชิงเนื้อหา เพียงแต่วิธีการเล่าอาจแตกต่างออกไป โดยการใช้ภาษาง่ายๆ ไม่ได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่ากำลังอ่านหนังสือปรัชญาเครียดๆอยู่เท่านั้นเอง ส่วนตัวผมที่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะตัวเองอยากอ่านอะไรที่หนักๆกว่านี้ก็เป็นได้ (พูดง่ายๆคือ รู้สึกว่าเนื้อหาในหนังสือเบาไป)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ถึงเวลาสารภาพ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มที่สามของสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ที่เรารู้จักกันดีในฐานะผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดัง สุทธิพงษ์หายหน้าหายตาไปจากฐานะนักเขียนเรื่องสั้นชั้นดีมีเสน่ห์เป็นเวลากว่า 7 ปีด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและภาระหน้าที่บนจอโทรทัศน์ จนหลายคนเลิกหวังที่จะได้เห็นเขาในฐานะนักเขียนอีกแล้ว แต่บัดนี้เขาได้กลับมาอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้มีนัยสำคัญต่อตัวเขาอย่างน้อยสองประการคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติบางด้านและเป็นการสานต่อเส้นทางการเขียนเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่แท้จริงตามที่เขาตั้งใจไว้
ถึงเวลาสารภาพ ก็คือคำสารภาพหรือการบอกเล่าเรื่องราวของบุคคล ตัวละคร และตัวเขาเอง ในเหตุการณ์ที่แตกต่างหลากหลายทั้งเรื่องใกล้ตัว เรื่องซีเรียส และแฝงอารมณ์ขัน
นักพนัน - เช็กส์รับคำท้าที่จะกลับมาเขียนเรื่องสั้นอีกครั้ง เจ็ดเรื่องกับเวลาเพียงสองเดือนเศษ “แท้จริงแล้วผมไม่มีความมั่นใจในการตกปากรับคำท้าและเงื่อนไขในการพนันครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะเขียนหนังสือเลยเวลาจะนอนจะกลับบ้านไปอยู่กับลูกให้เต็มวันยังแทบจะไม่มี”
ลูกเสือ - นาทีวิกฤติของชีวิตลูกเสือตัวเล็ก “ผมไม่ได้ใส่กางเกงใน ผมไม่เคยมีกางเกงใน ทั้งฉี่ทั้งขี้ผูกมิตรกันเดินทางไกล ไหลงไปที่ถุงเท้า บางส่วนพยายามจะผจญภัยไปให้ถึงถุงเท้าคู่ใหม่”
ลูกเสือต้องกล้าหาญ “ผมพยายามหาคำตอบว่าผมกลัวอะไร กลัวต้องอธิบายกับผู้คน กลัวถูกหาว่าขี้ขลาด กลัวความผิดพลาดบางสิ่ง กลังการจมน้ำ”
จอมขโมย - ของที่หายไป ราคาเมื่อแรกซื้อมาไม่น่าเกิน 3-4 หมื่นบาท มูลค่าปัจจุบันอาจเหลือไม่ถึงครึ่ง แต่ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมจึงวนเวียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างสลัดไม่หลุด “ผมเสียดายข้าวของ โกรธแค้นเจ้าหัวขโมย หวาดกลัว ไม่ปลอดภัย…ผมจะบอกภรรยาและทุกคนในครอบครัวอย่างไรดีว่า – ผมไปขโมยมันกลับมาแล้ว”
หญิงบาปกับนักบุญ - “ทั้งที่ในความเป็นจริง ความตายมันเป็นเรื่องง่ายๆ และไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ปีนขึ้นไปบนลูกกรงเหล็กเตี้ยๆ แล้วทิ้งร่างลงจากระเบียงชั้น 8 คุณไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่ามันเป็นความโง่หรือความฉลาด เป็นความขลาดหรือความกลัว เป็นชัยชนะหรือพ่ายแพ้ เป็นบาปหรือแท้แล้วคือการปลดปล่อยเราจากบาป”
ปริศนาการเมือง - “ประชาชนรักใคร คณะ(รัฐบาล)นั้น ถือไพ่เป็นต่อ
สื่อมวลชนเข้าข้างใคร คณะ(รัฐบาล)นั้น ทำอะไรก็ถูกต้อง”
วันกลับบ้าน - “ขณะที่คุณคิดว่าสองปีที่อยู่บ้าน เป็นเวลาอันต้อยต่ำ ล้มเหลวและไร้ค่า คุณรู้ไหมฉันกลับคิดว่า นั่นเป็นเวลาที่คุณได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต งานทุกอย่างที่คุณเล่าให้ฉันฟังก่อนจะถูกให้ออกนั้นล้วนไร้สาระ ไม่ต่างจากขยะบูดเน่าดีๆนี่เอง คุณก็เป็นโสเภณีไม่ต่างจากฉัน”
นักแพ้ - “ผมแพ้มามากมาย เกินกว่าที่จะจดจำ และแพ้อีกต่อไปได้ โดยที่ไม่เจ็บช้ำไปมากกว่านี้”

เรื่องราวที่ผู้เขียนนำมาเล่าต่อนั้นเป็นเรื่องง่ายๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาทั้งในอดีตวัยเด็กและเมื่อไม่นานมานี้ หากมองเผินๆก็ดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย เป็นเพียงคำบอกเล่าของชายคนหนึ่ง แต่ด้วยภาษาที่ใช้ในการถ่ายทอดที่สวยงามทำให้เรื่องธรรมดาๆกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาได้ นอกจากนี้ภายใต้เรื่องราวที่ดูเหมือนไม่มีอะไรกลับสอดแทรกวิธีคิดและทัศนคติในการมองโลกของเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว การใช้ชีวิต และแม้แต่เรื่องการเมือง หากผู้อ่านสนใจว่าสุทธิพงษ์พิธีกรชื่อดังมีแง่มุมชีวิต และความคิดอ่านอย่างไรในเรื่องดังกล่าว ถึงเวลาสารภาพน่าจะเป็นหนังสือที่ตอบโจทย์ผู้อ่านในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 24 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ความนิยมในการถ่ายรูปในปัจจุบันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันหลายคนนิยมถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก กล้องที่นำมาใช้ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามจำนวนเงินในกระเป๋าและลักษณะการใช้งาน ในช่วง หลายปีมานี้จะเห็นว่ากระแสการถ่ายรูปเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นเพราะความเติบโตของการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คและโทรศัพท์มือถือ การถ่ายรูปจึงเป็นเรื่องที่หลายต่อหลายคนทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปซะแล้ว แม้ว่าโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันจะมีฟังก์ชั่นการถ่ายรูปเป็นพื้นฐานติดมาด้วยแทบทุกเครื่องและทุกยี่ห้อ แถมยังมีคุณสมบัติที่ไม่แพ้กล้องราคาแพง การถ่ายรูปจึงกลายเป็นเรื่องง่าย ทำให้ความนิยมการใช้งานกล้อง compact ยิ่งลดน้อยลงไปทุกที แต่ถึงอย่างนั้น ความนิยมในการใช้งานกล้อง DSLR ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม และอาจมากขึ้นด้วยซ้ำ โดยเราจะเห็นว่ามีกล้องรุ่นใหม่ๆออกสู่ตลาดถี่ขึ้นกว่าแต่ก่อน คนหันมาใช้กล้อง DSLR มากขึ้นเพราะราคาถูกลงและมีฟังก์ชั่นความสามารถในการใช้งานที่มากขึ้น สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอ ด้วยความละเอียด เทียบเท่ากล้องวิดีโอ ทำให้มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหันมาเล่นกล้อง เลือกที่จะซื้อกล้อง DSLR เป็นกล้องตัวแรก แล้วมองข้ามกล้อง compact ไปเลย
อย่างไรก็ตามคุณต้องไม่ลืมว่ากล้อง DSLR เป็นกล้องที่มีฟังก์ชั่นการทำงานที่ละเอียดซับซ้อน ผู้ใช้งานสามารถปรับตั้งค่าการทำงานได้หลากหลายโหมด ถ้าคุณเป็นตากล้องมือโปรก็คงไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาก็ตรงที่บรรดามือใหม่ทั้งหลาย ที่อาจจะซื้อกล้องมาด้วยความไม่รู้อะไร คิดว่าสะพาย DSLR แล้วเท่ดี แต่ใช้โหมดออโต้อย่างเดียว ผู้ที่จะเลือกใช้งานกล้อง DSLR จึงจำเป็นจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจกล้องของเรา ทั้งนี้ก็เพื่อสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากเราซื้อกล้องราคาหลายหมื่นบาทมาใช้แล้วไม่เคยปรับตั้งค่าอะไรเลย เลือกใช้งานแค่โหมดออโต้ตลอด กล้องที่เรามีก็คงไม่ต่างอะไรจากกล้อง compact ธรรมดาๆทั่วไป ซื้อมาแพงแต่ใช้ไม่คุ้มค่า ก็เสียดายเงินเปล่าๆ
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นคู่มือการใช้งานกล้อง DSLR ที่สมบูรณ์แบบ all in one เลยก็ว่าได้ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้กับกล้องได้ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ คู่มือเล่มนี้จะช่วยแนะนำส่วนประกอบต่างๆของกล้อง การควบคุมกล้อง วิธีการใช้งาน เทคนิคการถ่ายภพ การจัดองค์ประกอบ ตลอดจนการโพรเซสภาพ และแน่นอนย่อมมีภาพประกอบการสอนที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจตามสไตล์หนังสือคู่มือ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็ลองเอาเรื่องที่สอนไปใช้กับกล้องที่มีก็สอนรู้เรื่องดีนะ คือคุณดูแต่รูปไม่ต้องอ่านตัวหนังสือก็เข้าใจและทำตามได้เลย แต่ถ่ายออกมาแล้วสวยไม่สวยนี่อีกเรื่องหนึ่ง เพราะความสวยมันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนซึ่งหนังสือเล่มไหนก็สอนกันไม่ได้
ผู้เขียนจบการศึกษาด้านกราฟฟิกดีไซน์และมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการถ่ายภาพ ตัดต่อ ถ่ายวิดีโอ น่าจะช่วยการันตีหนังสือเล่มนี้ได้ว่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้งานกล้อง DSLR ได้
เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย
1. รู้จักกับกล้อง DSLR กันก่อน เป็นบทนำที่จะอธิบายความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกล้อง DSLR เช่นประเภท เลนส์ รูรับแสง ทางยาวโฟกัส อุปกรณ์เสริม
2. เริ่มต้นใช้งานกล้อง DSLR สอนการจับกล้อง การปรับค่าต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสงกับสปีดชัตเตอร์
3. เทคนิคการใช้งานกล้อง DSLR ให้ได้อย่างโปร เช่นการกำหนดค่าแสง สี เคล็ดลับการถ่ายภาพต่างๆ
4. เทคนิคการใช้งานแฟลช
5. แสงและการจัดองค์ประกอบภาพ ทิศทางของแสง แสงในช่วงเวลาต่างๆ จะจัดองค์ประกอบภาพอย่างไรให้สวย
6. สูตร(ไม่)สำเร็จของการถ่ายภาพแบบต่างๆ เช่นการถ่ายภาพมาโคร การถ่ายภาพทิวทัศน์ การถ่ายภาพอาหาร การถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพกีฬา เป็นต้น
7. กระบวนการจัดการภาพถ่าย การโหลดภาพลงคอม การปรับแต่งไฟล์ raw เบื้องต้น การตกแต่งภาพด้วย Adobe Photoshop เป็นต้น
Illustrator CS6 Professional Guide ฉ. สมบูรณ์
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาด้านกราฟฟิค ดีไซน์ ของผู้เขียน ที่ใช้งานโปรแกรมนี้มาเกือบทุกเวอร์ชั่นตั้งแต่เวอร์ชั่น 10 , cs , cs2 , cs3 , cs4 , cs5 จนมาถึงเวอร์ชั่นล่าสุดอย่าง CS6 ย่อมเป็นเครื่องรับประกันอย่างหนึ่งว่าผู้อ่านจะสามารถเก็บเกี่ยวเอาข้อมูลในการใช้งานโปรแกรมผ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างครบถ้วนแน่นอน
เมื่อพูดถึงโปรแกรม Illustratrator หลายคนเข้าใจว่าเป็นโปรแกรมวาดรูป ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด เนื่องจากแท้ที่จริงแล้วนอกจากการวาดเส้น หากมีการแต่งภาพ วาดลวดลาย หรือทำกราฟฟิคประกอบ นักออกแบบมืออาชีพส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกใช้ Illustrator ในการทำงานด้วยกันทั้งนั้น
ในแง่ของลูกเล่นหรือฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในเวอร์ชั่นนี้ ก็เช่น
• Adobe Mercury Performance System ระบบประมวลผลแบบใหม่
• การปรับปรุแผงสีใหม่จากพาแนล color
• การปรับปรุงแผง Coontrol Panel ให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้นการนำเครื่องมือที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้งาน
• ประสิทธิภาพของ Gaussian Blur ที่เพิ่มขึ้น
• การไล่โทนสีบนเส้นขอบภาพ (Gardients on Strokes)
• การแก้ไขแบบอินไลน์ ใน พาแนล
• New Image Trace
• Pattern Creation สร้างลวดลายง่ายและสะดวกขึ้น
• แก้ไขรูปทรงบนทรานสฟอร์ม พาแนล แบบใหม่
• เครื่องมือใหม่ใน Type Panel
• กำหนดพื้นที่และเครื่องมือการทำงานได้ง่ายขึ้น
• หน้าต่าง Preferances กำหนดค่าของโปรแกรมได้ง่ายและสะดวกขึ้น
เนื้อหาภายในเล่มประกอบไปด้วย 13 chapters ได้แก่
1. ฟีเจอร์ใหม่ของ Illustrator
2. การทำงานเบื้องต้นกับ Illustrator CS6 เช่น ส่วนประกอบหน้าจอของ Illustrator, กล่องเครื่องมือ
3. วางภาพด้วยเครื่องมือพื้นฐาน เช่น การใช้งานเครื่องมือกลุ่มวาดเส้น, วาดรูปทรงเรขาคณิต
4. วางภาพและสร้างงานกราฟฟิคแบบโปร เช่น วาดรูปทรงด้วยเครื่องมือ Pen tool, แปลงภาพถ่ายเป็นภาพวาดด้วย Image Trace
5. พื้นฐานการใช้งานสีใน Illustrator CS6 เช่น การเลือกใช้สีและสร้างชุดสีด้วยพาแนลต่างๆ, การลงสีแบบละเอียด, การผสานสี
6. ตกแต่งเส้นขอบแบบต่างๆ เช่น การวาดและรวมเส้น, การสร้างหัวแปรงใหม่เก็บไว้ใช้งาน
7. Layer และการจัดการรูปทรง เช่น การจัดลำดับชั้นให้วัตถุ, การเลือกทำงานกับ object,
การรวมกลุ่มวัตถุ, การจัดระเบียบให้วัตถุ, การหมุนและกลับด้านให้วัตถุ, การทำซ้ำวัตถุ
8. ปรับแต่งและแก้ไขรูปทรง เช่น การบิดรูปทรงด้วยเครื่องมือกลุ่ม Liquify, การดัดรูปทรงด้วยเอฟเฟค, การตัดเจาะรูปทรง, การรวมรูปทรง, การวาดรูปทรง Perspective
9. ตกแต่งภาพด้วยเอฟเฟ็ค เช่น การปรับมุมมองวัตถุให้สมจริง, การใส่เอฟเฟคพิเศษให้ภาพ, เทคนิคการใช้งานเอฟเฟค
10. ใช้งาน Symbol และ Graph เช่น การจัดการกับ Symbol ด้วยเครื่องมือพิเศษ, การสร้างกราฟด้วยกลุ่มเครื่องมือกราฟ
11. ทำงานกับตัวอักษร เช่น การสร้างข้อความด้วยเครื่องมือต่างๆ, การพิมพ์ตัวอักษรให้พลิ้ว, เทคนิคตกแต่งตัวอักษร
12. การพิมพ์และการ Export art work
13. Workshops สไตล์มืออาชีพ เช่น การสร้างอักษร 3D แบบสมจริง, การตกแต่งภาพถ่ายด้วย
กราฟฟิค, การวาดวัตถุแบบสมจริง, การสร้างลวดลายกราฟฟิคด้วยเปียโน, การสร้างข้อความเป็นลวดลายทุ่งหญ้า, การสร้างโลโก้ นามบัตร และเมนูอาหารสำหรับสินค้าของตัวเอง

ผู้เขียนได้พยายามอธิบายเนื้อหาความสามารถของโปรแกรมอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเบื้องต้น เช่น การใช้เครื่องมือต่างๆ การเลือกใช้สี การพิมพ์ข้อความ จนถึงการใช้งานจริง เช่น ออกแบบโลโก้ นามบัตร หัวจดหมาย ซองจดหมาย โบรชัวร์ ออกแบบหน้าเว็บไซต์ โดยมีภาพประกอบอธิบายการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้ผู้อ่านสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายแม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ไม่เน้นการอธิบายด้วยตัวหนังสือ แถมยังมีเทคนิคที่จะช่วยให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ท้ายเล่มมี DVD Tutorial สอนการทำ work shop ระดับมืออาชีพ ทั้งนี้จากประสบการณ์ของทีมงานในการฝึกอบรมโปรแกรมมายาวนานพบว่าการใช้โปรแกรมนี้ให้เป็นจะต้องฝึกบ่อยๆ จนคล่อง จึงได้มีเนื้อหาส่วน workshop และ DVD ประกอบ เพื่อให้ผู้อ่านได้ลองทำงานที่มืออาชีพต้องพบเจอบ่อยๆ ซึ่งพอได้ลองทำแล้วก็ไม่ถือว่ายากมาก แต่ก็ไม่ง่าย คงเป็นเพราะตัวอย่างที่เอามาให้ทำคิดว่าเป็นตัวอย่างสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเริ่มต้นมากกว่า นอกจากนี้ผมก็ลองเอาหนังสือให้คนที่เก่งโปรแกรมนี้อ่านดูคร่าวๆ เค้าก็บอกว่าเป็นหนังสือที่โอเคในแง่ของการทำความเข้าใจภาพรวมของโปรแกรม รู้ว่าส่วนไหนทำหน้าที่อะไร ถ้าคนที่ไม่เคยใช้โปรแกรมมาก่อนก็เหมือนเป็นคู่มือฝึกหัด ไม่ใช่คู่มือสอนเทคนิคขั้นสูง คือคุณอ่านแล้วคุณเอาไปใช้ทำงานง่ายๆได้สบาย
จับตาคนโกงชาติ (ศิริโชค โสภา)
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

เกริ่นนำจากหนังสือ จับตาคนโกงชาติ หนังสือที่กล้าเปิดโปงพฤติกรรมของปอบการเมืองที่โกงกินชาติได้อย่างถึงกึ๋น หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังกระบวนการอนุมัติโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสัมภาระผู้โดยสารสนามบิน CTX 9000 ที่ว่ากันว่ามีการทุจริตคอรัปชั่น มีความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจการทุจริตในกรณีนี้ได้เป็นอย่างดี
ว่ากันว่าการคอรัปชั่นคือเหลือบไรที่คอยกัดกินประเทศไทยมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ล้วนกระทำการที่เป็นการทุจริตโกงกินด้วยกันทั้งนั้น การตรวจสอบการโกงกินเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในปัจุบันการคอรัปชั่นทำได้แนบเนียนกว่าเดิมมาก เพราะไม่ใช่แค่นักการเมืองหรือข้าราชการเท่านั้นที่ทุจริต แต่ยังมีกลุ่มธุรกิจต่างๆเข้ามาในสังคมการเมืองแล้วมีอำนาจกดกันการออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ทำให้การแสวงหาผลประโยชน์ในบรรดาโครงการต่างๆกลับกลายเป็นว่ามีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้อง CTX 9000 ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการทุจริตยุคใหม่ มีตัวละครที่น่าสนใจเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่แม้จะแสดงได้แนบเนียนแค่ไหนก็มิวายที่จะถูกหนังสือเล่มนี้เปิดโปง ผู้เขียนใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน อ่านได้ทุกเพศทุกวัย เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่านี่มันหนังสือสืบสวนสอบสวนชัดๆ ใครตุกติกซิกแซ็กตรงไหน ใครคือนายใหญ่ผู้บงการ ใครคือนักแสดงสมทบที่ทำให้งานสำเร็จ สนุกน่าติดตามทุกฉากทุกตอน อ่านจบแล้วถึงกับหูตาสว่างรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมนักการเมืองขึ้นมาทันที แม้จะแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราสนใจการเมืองมากขึ้น ไม่มองการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ตกเป็นเหยื่อสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป
CTX 9000 คือระบบเอกซ์เรย์กระเป๋าและสัมภาระผู้โดยสารที่จะนำมาใช้ในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดได้เท่ากับเครื่องเอกซ์เรย์ที่ใช้กันอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งสามารถทำให้เราเห็นภาพได้แบบ สามมิติ เป็นระบบที่ทันสมัยมาก ซึ่งสิ่งที่จะต้องทำก็คือการจัดซื้อระบบที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ เพราะเทคโนโลยีในเรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก อย่าจัดหาระบบที่ล้าสมัยมาใช้ และจะต้องมีข้อตกลงเรื่องการปรับปรุงอัพเดทซอฟแวร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนการบำรุงรักษาให้เครื่องสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากเรื่องราวของ CTX 9000 และบริษัทอินวิชั่นเทคโนโลยีจำกัด ไม่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในสหรัฐอเมริกา คนไทยก็คงจะหน้ามืดตามัวไปอีกนาน หลักฐานต่างๆเชื่อมโยงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามีเจ้าหน้าที่ของอินวิชั่น เสนอหรือสัญญาว่าจะให้เงินกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยและพรรคการเมืองไทย เพื่อจะจูงใจให้บุคคลดังกล่าวกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือบริษัทอินวิชั่น ซึ่งรัฐบาลก็ทราบดีว่ามีหลักฐานดังกล่าวอยู่จริง แต่กลับเพิกเฉยไม่ติดตามตรวจสอบ
ประเด็นหลักๆของหนังสือเล่มนี้ก็คือการพาไปดูกระบวนการอนุมัติโครงการนี้ว่าถูกต้องหรือไม่ เปิดช่องทางให้มีการทุจริตกันหรือไม่ สองก็คือการตรวจสอบว่ามีการทุจริตจากเงินส่วนต่างราคาโดยการนำไปจ่ายเป็นสินบนให้กับนักการเมืองไทยจริงหรือไม่ และสามก็คือการดำเนินการของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ไม่มีความพยายามที่จะหาคนผิดมาลงโทษหรือค้นหาความจริง แต่กลับบิดเบือนและเบี่ยงเบนความสนใจด้วยวิธีการต่างๆนานา ถึงขั้นที่ท่านรัฐมนตรีเกณฑ์สื่อมวลชนแขนงต่างๆไปถ่ายทำภาพรัฐมนตรี กำลังแกะกล่องและคล้องพวงมาลัยให้กับเครื่อง CTX 9000 เพื่อดึงความสนใจของคนไทยให้หันไปตื่นเต้นกับของใหม่ที่พึ่งส่งตรงถึงบ้าน บทสรุปของเรื่องแสดงให้เห็นถึงการแก้ไขกฎระเบียบ สัญญาต่างๆ การล็อคสเปค เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่คนบางกลุ่ม ความผิดปกติของการซื้อผ่านตัวแทนหรือนายหน้าแทนที่จะซื้อผ่านผู้ขายโดยตรง ทำให้เงินภาษีของประเทศต้องสูญเปล่าโดยไม่จำเป็น ตัวละครหลักในหนังสือประกอบด้วย บริษัทการท่าอากาศยานสากลแห่งใหม่ กลุ่มกิการร่วมค้าไอทีโอ บริษัทแพทริออต ซึ่งทั้งสามฝ่ายนี้อยู่ในประเทศไทย และอีกสี่ฝ่ายอยู่ในอเมริกาคือ บริษัทอินวิชั่นจำกัด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ และศาลยุติธรรมสหรัฐ
นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ยังคงไม่มีคำอธิบายใดๆที่เป็นเหตุเป็นผลที่จะตอบทุกคำถามได้โดยปราศจากข้อสงสัย เพราะยิ่งพูดมากยิ่งอธิบายมากก็ยิ่งเข้าตัว แม้หนังสือเล่มนี้จะมีเจตนาหลักที่ต้องการแฉกลโกงของนักการเมืองที่คอยหาประโยชน์จากโครงการของรัฐก็ตาม แต่ถ้าคุณได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดคุณจะสังเกตได้ว่า หนังสือสอดแทรกนัยทางการเมืองอยู่มากเลยทีเดียว เพราะอย่าลืมว่าหนังสือถูกเขียนโดยฝ่ายค้าน เมื่อพรรครัฐบาลเสียหลักจึงเป็นจังหวะที่ดีในการซ้ำ วาทะในแบบนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านที่เราคุ้นเคยจากการอภิปรายในสภา คุณสามารถอ่านได้จากหนังสือเล่มนี้ พูดง่ายๆคือเหมือนคุณกำลังฟังคุณศิริโชค อภิปรายรัฐบาลอยู่ในสภาอย่างไงอย่างงั้น อ่านแล้วเลือดรักชาติของคุณจะสูบฉีด อยากจะลากคอนักการเมืองเลวๆมาเข้าคุก แต่ในสมัยหน้าพวกคุณก็คงเลือกคนเหล่านั้นเข้ามาอีกอยู่ดี
แอร์-สจ๊วต  หลบไป  ขาใหญ่ขอแฉ
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

แอร์-สจ๊วต หลบไป ขาใหญ่ขอแฉ เรื่องนี้จะมีอารมณ์คล้ายๆ แอร์ตัวแม่…แฉดารา จริงๆจะว่าเหมือนเลยก็ได้ เพียงแค่เป็นการแฉโดยพนักงานที่ทำงาน catering ไม่ใช่แอร์โฮสเตสเท่านั้น
ใช่ว่าเรื่องราวสนุกๆบนเครื่องบินจะต้องมาจากแอร์โฮสเตสหรือสจ๊วตเท่านั้น catering ซึ่งทำงานด้านอาหารให้กับสายการบินก็มีเรื่องเล่าสนุกๆมันส์ๆให้ได้ฟังเช่นกัน
In my Unit ทำความเข้าใจกันก่อนว่าแผนกที่เธอทำงานอยู่ คือครัวสายการบินนั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง การจะสั่งอาหารต้องทำอย่างไร เรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น
ภาคสนาม เป็นการเล่าเรื่องงานต่อ หลังจากปรุงอาหารเสร็จก็ต้องขนขึ้นเครื่องบินไปให้ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังมาก แต่ก็ไม่วายมีเรื่องแปลกๆที่ต้องนำมาแฉ เช่น ลูกเรือแอบไปกินของในรถบรรทุกอาหาร หรือลูกเรือตดขณะเช็คอาหาร
สะอาดทุกซอกทุกมุม อาชีพที่น่าสงสารที่สุกสำหรับวงการบิน ก็คือพนักงานทำความสะอาด เพราะไม่ว่าเครื่องจะสกปรก มีสภาพน่ารังเกียจแค่ไหน พวกเขาก็ต้องทำความสะอาดให้มีสภาพเหมือนเครื่องใหม่พึ่งประกอบเสร็จ
ส่าหรีพิฆาต สายการบินที่ลูกเรือปากหน้ากระทืบและสันดานเสียมากที่สุด ชอบนินทาเอาตาจิกผู้โดยสารหรือคนรอบข้างที่ต้องมาประสานงานกับมัน เป็นของสายการบินส่าหรีเขียว โลโก้สายการบินแม่งยังกะรู)พริกชี้ฟ้าสามเม็ด
Come Back to Me ลูกเรือไฟลท์สัญชาติรัสเซียมักมีปัญหาสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ผู้เขียนแค่อยากบอกว่า อย่าเดินหนีกูได้มั้ย กลับมาหากูก่อน พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร ยังมีอีกหลายวิธีที่จะสื่อสารกัน กูไม่ฆ่ามึงหรอก
Staff from Hell ในตอนนี้ได้เล่าถึงพฤติกรรมของสต๊าฟ หลายๆคน จากหลายๆสายการบิน ที่ผู้เขียนได้ไปเจอมา
งานไว้ทีหลัง เป็นการเล่าถึงความขี้เกียจสันหลังยาวของแอร์กับสจ๊วต ที่เมื่ออยู่ต่อหน้าดูขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ แต่ลับหลังกลับกลายเป็นพวกไม้หลักปักขี้ควาย
อยู่ไปก็รกฟ้า อันที่จริงสายการบินไทยนี่ล้มเหลวในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน customer service เครื่องที่เช่ามาก็เก่าเกิน เสียบ่อย ลูกเรือห่วย staff โง่
Diary 1 คำถามสุดฮิตที่อยากตอบไปว่า…เช่น
ถาม-คนสั่ง no meat นี่พี่ให้แฮมไปแทนได้มั้ยคะ
ตอบ-เอาหัวหมูไปเลยดีกว่า
ถาม-เอาอาหารมาเท่าไหร่
ตอบ-แล้วมึงสั่งมาเท่าไหร่ล่ะ
Diary 2 Lounge หลอน Lounge เป็นสถานที่ที่ผู้โดยสาร Economy ไม่มีปัญญาได้สัมผัสถึงความหรูหราของอาหาร แต่มันเป็นที่ที่เหมาะกับพวกคนรวยที่จะใช้ฆ่าเวลา
ความเจ็บปวด ในระหว่างที่ลูกเรือคนอื่นกำลังขะมักเขม้นกับการทำ security check อยู่ พวกเขาจะรู้ไหมว่า ได้ทิ้งแอร์สาว ผู้มีสภาพจิตใจแหลกเหลวจากการถูกผัวท้งไว้กับอาหารสองร้อยกว่าที่
กว่าจะหมดวัน ภาคต้น วันๆนึงเราทำงานแค่ไฟลท์เดียวซะที่ไหน บางวันเราต้องทำงนถึงสามไฟลท์ แล้วแต่ละไฟลท์ เราต้องเจอลูกเรือวีนๆมากน้อยต่างกันไป พวกลูกเรือน่ะ มันไม่รู้หรอกว่าเราเจออะไรมาก่อนหน้าที่จะมาเจอพวกมัน วีนหิวผู้ชาย วีนเบลอ วีนบ้า ฯลฯ
กว่าจะหมดวัน ภาคสิ้นใจ ปวดแขน เช็คอาหาร เอาใจคนแก่ สั่งอาหารเพิ่ม หาถุงขยะ เข้านอนตั้งแต่ทุ่มนึงด้วยความทรมาน
ความหวัง ใบลา ความเป็นจริง ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ทำไมชีวิตกูถึงได้เป็นแบบนี้นะ แล้วกว่าจะลาได้อีกที สงสัยใกล้สิ้นปีเลยมั้ง
ดอนเมือง บอกเล่าเรื่องราวการให้บริการไฟลท์พิเศษเที่ยวสั่งลาชีวตบนโลกของบรรดา คุณปู่ คุณย่า กว่า 200 ชีวิต ตลอดเวลาสามวันที่สนามบินดอนเมือง
THE CODE ในตอนนี้พูดถึงอาหารพิเศษที่ผู้โดยสารมักจะขอ เนื่องจากผู้โดยสารไม่สามารถกินอาหารปกติตามเมนูบนเครื่องได้
Diary 3 นอกเรื่อง เป็นการเล่าความประทับใจส่วนตัวระหว่างผู้เขียนกับงานและเจ้าของหอพักที่เธออาศัยอยู่
Diary 4 Dialogue เห็นพูดกันนักหนาว่าลูกเรือต้องเก็บอาการได้ดี แต่วันนี้ได้ประจักษ์แก่ตาแล้วว่าสายการบินนี้มันป่าเถื่อนจริงๆ
โดยสรุป เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวธรรมดาๆที่ caterer ทุกคนคงเคยเจอกันมาแล้วทั้งนั้น หากเป็นการเล่าแบบธรรมดาก็คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ หรืออาจจะถึงขั้นไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความสนุกในการใช้ภาษา ทำให้เรื่องที่ดูธรรมดาๆ กลับกลายเป็นเรื่องสนุก อยากรู้ขึ้นมาได้ (แต่ทำไมผมอ่านแล้วรู้สึกว่าพนักงานบนสายการบินเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกยังไงไม่รู้ หมายความว่าเบื้องหลังรอยยิ้มของพนักงานที่ให้บริการเรา จริงแล้วในใจเค้าอาจอาฆาตแค้น หรือด่าเราอยู่ก็ได้  ) ดีกรีความสนุกในแบบการเล่าเรื่องเมาท์ของคุณผู้หญิง คงไม่ต้องพูดถึง สำหรับผมหนังสือเล่มนี้เอาไว้อ่านเล่นแก้เครียดได้ แต่ถ้าหวังจะอ่านเอาแง่มุมที่เป็นข้อคิดต่างๆนั้น แทบไม่มี ถ้าคุณชอบอ่านหนังสือที่เน้นขายความบันเทิง ไม่เน้นสาระ เป็นหนังสืออ่านฆ่าเวลา แนะนำว่าควรอ่านเล่มนี้ แต่ถ้าคุณเป็นคนเส้นลึก จริงจัง ไม่ชอบเรื่องเลอะเทอะ ไร้สาระ แนะนำว่าอย่าเสียเวลาอ่านเลยดีกว่า
ปฏิบัติการบุกญี่ปุ่น  WWOOF  Japan
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 23 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หากคุณคิดอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นซักสามวันสองคืน คุณคิดว่าต้องเตรียมเงินซักเท่าไหร่ดี สี่หมื่น ห้าหมื่น หรือซักหนึ่งแสน แล้วถ้าจะไปซักสามเดือนละ ต้องเอาเงินไปเท่าไหร่ สำหรับดนัย 13000 บาท ก็คงพอ
ดนัยอาศัยความกล้า ออกเดินทางแบบ wwoof มาแล้ว 2 ประเทศ 2 ทวีป เมื่อปี 2547 เขาเคยสวมบทบาทเป็นเด็กเลี้ยงแกะออกเดินทางท่องโลกกว้างในนิวซีแลนด์ เขาโลดแล่นอยู่ในฟาร์มต่างๆในฐานะของ wwoofer ทั่งทั้งเกาะเหนือและเกาะใต้นานกว่า 9 เดือน ด้วยงบประมาณเพียง 30000 บาท
มาคราวนี้เขาออกเดินทางอีกครั้ง ด้วยประสบการณืและความเชี่ยวชาญในการเป็น wwoofer โดยจุดหมายปลายทางในครั้งนี้คือประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่ใครหลายคนต่างใฝ่ฝันที่จะไปเยือน ด้วยระยะเวลานานถึงสามเดือนแต่มีงบประมาณเพียง 13000 บาทเขาทำได้อย่างไร เขาได้เที่ยวคุ้มค่าหรือไม่ ติดตามได้ในหนังสือเล่มนี้
Wwoof คืออะไร
wwoof ย่อมาจาก Willing Workers on Organic Farms หรือ World Wide Opportunities on Organic Farms ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ เพื่อเปิดโอกาสให้ใครก็ตามที่มีอายุเกิน 16 ปีได้เข้าไปเรียนรู้การใช้ชีวิตและทำงาน พร้อมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเจ้าของประเทศ ทั้งใน Organic Farm หรือสถานที่ใดๆที่ใช้วิธีปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์ตามแบบธรรมชาติ ไร้สารพิษ โดยที่ wwoofer จะได้รับอาหารทุกมื้อและที่พักฟรี แต่ไม่มีค่าจ้างเป็นตัวเงิน โดยทั่วไปจะทำงาน 6 ชั่วโมงต่อวัน หรือตามแต่ที่จะตกลงกันปัจจุบันในญี่ปุ่นมีครอบครัวที่รับ wwoofer อยู่กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ หลังจากสมัครสมาชิกแล้วเราจะได้ข้อมูลต่างๆของครอบครัวเหล่านี้ การนัดหมายกับครอบครัว wwoof ควรโทรศัพท์หาเจ้าของสถานที่โดยตรง แต่ถ้าไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ ก็ควรเลือกใชบริการอีเมล์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ควรนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และนัดวันเวลาและสถานที่ที่จะให้เขามารับให้แน่นอน ซึ่งคุณสามารถติดต่อเจ้าของฟาร์มตั้งแต่คุณอยู่ประเทศไทยเลยก็ได้
ในด้านการค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ในแต่ละเมืองจะมีข้อมูล โบรชัวร์ แผนที่ และเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้คอยให้คำแนะนำ
ในด้านที่พัก หากเป็น wwoof คุณย่อมมีที่พักฟรีอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการพักที่อื่น Youth Hostel เป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด มีกระจายอยู่ทั่วไปกว่า 360 แห่ง ราคาตั้งแต่ 3200 เยนขึ้นไป แต่ถ้าไม่ซีเยส แค่อยากนอนพักแบบขำๆ เช้าแล้วก็ออกไปเที่ยวต่อ แนะนำให้ไปที่ Karaoke Room ซึ่งจะลดราคาเหลือเพียง 1400 เยน ตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีห้า ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ห้องพัก แต่ก็มีโซฟาให้คุณนอนได้อย่างแน่นอน
การเดินทางของดนัยก็เป็นการเดินทางสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์นั่นแหละ ถามว่ามีอะไรใหม่มั้ยสำหรับหนังสือท่องเที่ยวแนวนี้ คำตอบก็คือไม่มีอะไรใหม่ โดยเฉพาะกับการไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะประเทศนี้มีนักเขียนไปเที่ยวกันมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน แต่ก็แปลกที่ยังมีคนเขียนหนังสือพาเที่ยวญี่ปุ่นออกมาเรื่อยๆ โดยพยายามหาแง่มุมใหม่ๆมานำเสนอ สถานที่ท่องเที่ยวเดิมๆทำอย่างไรให้สนุกน่าติดตาม จุดขายก็ต้องเป็นความลำบากละมั้ง นอนกลางดินกินกลางทราย งบประมาณจำกัด ทำอย่างไรให้อยู่รอดปลอดภัย อะไรทำนองนี้ ผมว่าความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ท่องเที่ยวนะ แต่อยู่ที่การได้ติดตามการผจญภัยของดนัยมากกว่า เวลาอ่านตอนที่ผู้เขียนชวนคุยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ผมแทบจะอ่านผ่านๆเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ผู้เขียนต้องเจอปัญหา ต้องแก้ปัญหา แบบนี้ผมว่าน่าสนใจมากกว่า ผมว่าเป็นหนังสือแนวผจญภัยมากกว่าแนวท่องเที่ยว
www.batorastore.com © 2024