Customer Reviews

ลานละเลงเลือด(Killing Floor)
4
ลานละเลงเลือด
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ลานละเลงเลือด หรือ Killing Floor ผลงานอันโด่งดังของ Lee Child ที่เป็นนวนิยายแนวแอคชั่นสืบสวนซึ่งเป็นปฐมบทของซีรี่ส์ แจ็ค รีชเชอร์ ที่ออกมาในรูปแบบนวนิยายหลายเล่ม และซีรี่ส์ชุดแจ็ค รีชเชอร์นี้ก็ได้ถูก Paramount Picture นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดยนักแสดงชื่อดังอย่าง Tom Cruise โดยลานละเลงเลือดนั้นเป็นเรื่องของแจ็ค รีชเชอร์ อดีตสารวัตรทหารของกองทัพสหรัฐ เขาเกิดและใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวทหารและฐานทัพต่างๆ โดยขณะที่เขานั่งรถบัส เขาได้ตัดสินใจแวะลงกลางทางและเดินไปในชนบทเล็กๆ อย่างเมืองมาร์เกรฟซึ่งอยู่ในมลรัฐจอร์เจีย เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าเป็นเมืองที่นักดนตรีคนโปรดของเขาและพี่ชายได้เสียชีวิตลงที่เมืองนี้ แต่เมื่อรีชเชอร์ไปถึงที่เมืองแห่งนี้ได้ไม่นาน เขากลับถูกกล่าวหาว่ากระทำการฆาตกรรมชายปริศนาที่ศพไม่อาจระบุตัวตนได้และถูกจับกุมตัวในความผิดที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รีชเชอร์พบอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอีกมากมาย เมื่อยิ่งใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้มากขึ้นเท่าไหร่ รีชเชอร์ยิ่งต้องเป็นผู้ที่ค้นหาความจริงที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมอย่างอำมหิตนั้น ซึ่งนำมาสู่ผลลัพธ์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

การดำเนินเรื่องของลานละเลงเลือดนั้นจะเล่าผ่านมุมมองของพระเอก คือแจ็ค รีชเชอร์ ซึ่งเป็นการบรรยายที่สนุก น่าติดตามและปูพื้นฐานของตัวละครได้เป็นอย่างดี ช่วยดึงให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของตัวเอกมากขึ้น การเดินเรื่องนั้นค่อนข้างเร็วและกระชับ จุดที่หักมุมเหนือการคาดเดาของเรื่องนี้ก็มีมาก และวิธีการคุกคามอันโหดเหี้ยม ยิ่งทำให้อ่านแล้วรู้สึกน่าตื่นเต้น น่าติดตาม และสยดสยอง ซึ่งยิ่งทำให้ผู้รีวิวเอาใจช่วยตัวเอกให้รอดและคลี่คลายปัญหาให้ได้ไวๆ โดยในส่วนของตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็สร้างออกมาได้น่าสนใจ กระทั่งตัวประกอบที่ออกมาไม่มากก็ทำออกมาได้ดี ใช้ตัวละครได้ค่อนข้างคุ้มค่า ไม่มีตัวละครไหนที่น่ารำคาญจนอ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิด อาจจะรู้สึกตะหงิดๆ บ้าง ตรงที่แจ็ค รีชเชอร์เก่งมาก มากจนผู้รีวิวแอบรู้สึกว่าเก่งจนโอเว่อร์เกินไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงสมเหตุสมผลเมื่อตัวละครนี้ได้ถูกปูพื้นเอาไว้แล้วว่าเป็นถึงสารวัตรทหาร เกิดและโตในครอบครัวแบบทหาร ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมาตั้งแต่ยังเด็ก มีสุขภาพที่แข็งแรง และยังหนุ่มแน่น (และหากรีชเชอร์ไม่เก่งและแข็งแรงขนาดนั้นก็คงตายไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งเล่ม) จุดด้อยของหนังสือที่มีอยู่เล็กน้อยก็คือ ในช่วงท้ายจะค่อนข้างเริ่มดำเนินเรื่องอืดลงไปบ้างเมื่อต้องพูดถึงเทคนิคเฉพาะบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในเรื่อง แต่โดยรวมแล้วจัดว่าเป็นนิยายที่สนุกมาก
ม( า)นุษย์โรแมนติค
4
ม(า)นุษย์โรแมนติค
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากคุณคิดว่านี่คือหนังสือนิยายที่ว่าด้วยเรื่องความรักอันหวานซึ้ง จุดเทียนดินเนอร์กัน นอนดูดาวอาบแสงจันทร์ หรือหนังสือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรัก หรือ How to ในด้านความรักทั่วๆไปแล้วล่ะก็ คุณคิดผิดอย่างแน่นอน เพราะ ม(า)นุษย์โรแมนติคคือหนังสือวิชาการด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาอย่างเนื้อๆ เน้นๆ ที่เขียนโดยธเนศ วงศ์ยานนาวา นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องเพศ ศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตร์ และบางส่วนที่จัดหมวดหมู่ไม่ได้ โดยหนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นผลงานทางวิชาการอีกชิ้นหนึ่งซึ่งรวบรวมจากบทความในด้านมานุษยวิทยาที่ลงตามวารสารต่างๆ โดยประกอบด้วยหัวข้อย่อยดังนี้

- ม(า)นุษย์โรแมนติคกับหลากหลายวิธีความคิด : ชาตินี้คงอยู่ด้วยกันไม่ได้
- มนุษย์โรแมนติคกับการบริโภค “ภาพ” เสรี
- ประวัติศาสตร์และสหวิทยาการ : ชาตินี้เราคงรักกันไม่ได้
- อาณาเขตสาธารณะ/ประชาสังคม และนักมานุษยวิทยากับคนชายขอบ
- ชาติพันธุ์วรรณาในความเป็นซับเจคต์ของนักมานุษยวิทยา “จริยธรรม” ระหว่างการหาความจริงและการสร้างความจริง
- จาก ‘ประเพณีประดิษฐ์’ สู่ความหลากหลายของ ‘วัฒนธรรมการศึกษา’ อาทิ ‘วัฒนธรรมสายตา’

ส่วนของเนื้อหา ถือได้ว่าเป็นหนังสือวิชาการที่อ่านเพลินๆ อ่านสนุกได้ เนื่องจากผู้เขียนเองเรียบเรียงออกมาได้ดี อ่านเข้าใจได้ง่าย การอ้างอิงต่างๆ ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ก็ละเอียด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าเพิ่มจากเนื้อหาไปตามค้นคว้าต่อได้เอง โดยธีมของเล่มนี้จะว่าด้วยเรื่องมานุษยวิทยากับแนวคิดแบบโรแมนติค (ที่ความหมายของคำนี้ไม่ได้ครอบคลุมอยู่แค่เรื่องของความรัก) ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของกรอบความเชื่อผิดๆ ทั้งของคนทั่วไปในสังคม และนักมานุษยวิทยาเอง เช่น แนวคิดผิดๆ ว่าสังคมชนเผ่าเสรีกว่าสังคมเมือง, คนยุคโบราณอนุรักษ์ธรรมชาติมากกว่าคนยุคปัจจุบัน, สังคมชนบทมีคนดีมากกว่าคนเมือง ซึ่งความเชื่อแบบเหมารวมเช่นนี้ก็ส่งผลต่อศาสตร์ความรู้ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามาก และเกิดข้อถกเถียงข้อโต้แย้งทางวิชาการต่อมา โดยข้อโต้แย้งทางวิชาการบางอย่างถกเถียงกันและยังหาข้อสรุปไม่ได้แม้จะผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ปี แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วภาพรวมของหนังสือก็ยังไม่ได้เหมาะสำหรับคนทุกกลุ่มสักเท่าไหร่ แต่เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานด้านสังคมศาสตร์ที่ค่อนข้างแน่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม (อาจเป็นด้านประวัติศาสตร์ หรือทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ หรือด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา) ซึ่งในหนังสือม(า)นุษย์โรแมนติคจะไม่ได้เสียเวลากับการเท้าความ อธิบายความรู้เบื้องต้นทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ มานุษยวิทยาและสังคมวิทยา แต่จะค่อนข้างเข้าประเด็นที่จะพูดถึงในทันทีเลย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีพื้นฐานด้านเหล่านี้อยู่น้อยหรือไม่มีอยู่แล้วจะตามเนื้อหาทัน
3
คนพูดไม่ใช่โจร
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คนพูดไม่ใช่โจร เป็นภาคต่อเล่มที่ 2 ของซีรี่ส์นวนิยายเรื่องนักสืบฉายเดี่ยว เป็นเรื่องราวของคินซีย์ มิลล์โฮล นักสืบเอกชนหญิง โดยได้รับทำคดีตามหาคนหาย ซึ่งโดยปกติแล้วคินซีย์จะไม่ทำคดีเช่นนี้ แต่เมื่อเธอเองก็อยู่ในช่วงที่สภาพการเงินฝืดเคืองจึงตัดสินใจรับทำคดี แต่เมื่อยิ่งสืบสวนลงไปก็กลับยิ่งพบเงื่อนงำหลายอย่างมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่พบคนที่เธอถูกจ้างวานให้ตามหาสักที

การดำเนินเรื่องเอื่อยเฉื่อยมาก บวกกับการบรรยายที่ราบเรียบ และยุคสมัยในช่วงที่เขียนขึ้นนั้นก็ยังไม่ใช่ยุคที่ใครๆ ก็มีคอมพิวเตอร์ มีอินเตอร์เนตก็กลับเน้นจุดอ่อนของเนื้อเนื่องที่น่าเบื่อมากขึ้นไปอีก มันจึงไม่ช่วยดึงอารมณ์ร่วมจากผู้รีวิวได้สักเท่าไหร่ (จะทำได้ก็แค่บางช่วงเท่านั้น) และความเอื่อยเฉื่อยราบเรียบทั้งหมดเริ่มกลบปมประเด็นของเรื่องไปเรื่อยๆ จนยิ่งเนื้อเรื่องดำเนินไปเท่าไหร่ก็ยิ่งแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่านางเอกของเรื่องกำลังทำอะไร กำลังตามหาใคร ตัวละครในเรื่องเป็นใครและเกี่ยวข้องกันอย่างไร เมื่อหยุดอ่านก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยากจะอ่านต่อ อยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร มันเริ่มกลายเป็นการอ่านเพื่อให้อ่านให้จบๆ ไปเสียทีมากกว่า เมื่อไหร่ที่หนังสือเล่มนี้จะจบ ถึงแม้ว่าจำนวนหน้าเมื่อเทียบกับนวนิยายสืบสวนเรื่องอื่นๆ จะมีจำนวนหน้าเยอะมากเป็นเท่าตัว แต่รู้สึกว่าเป็นการอ่านที่ยาวนานมาก ทั้งที่กลเม็ดของคนร้ายในเรื่องนั้นจัดว่าชาญฉลาดและน่าสนใจมากๆ ซึ่งแทบจะเป็นจุดแข็งที่สุดของเนื้อเรื่อง แต่ถูกจุดด้อยของเรื่องกลบไปจนเกือบจะมิด และประเด็นหลักของเรื่องเหมือนถูกเฉลยแบบกระจุกๆ เอาไว้ในช่วงท้าย และตัวนางเอกของเรื่องซึ่งในหนังสือเองก็มีการนำเอารีวิวของสื่อต่างประเทศต่างๆ ชื่นชมว่าเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์นั้นก็ไม่ได้สมราคาคุยถึงขนาดนั้น คินซีย์เป็นตัวละครที่จับต้องได้ก็จริง แต่เนื่องจากไม่ได้เก่งกาจเหนือไปกว่าคนปกตินัก และไม่ได้ฉลาดระดับอัจฉริยะอย่างเชอร์ล็อค โฮล์ม หรือโคนัน อาจจะแค่เป็นคนช่างสังเกตด้วยเพราะทำอาชีพนักสืบอยู่เป็นทุน จะมีจุดที่โดดเด่นก็คือความอึดเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ช่วยทำให้ตัวละครคินซีย์มีเสน่ห์หรือช่วยให้เป็นที่จดจำได้นัก ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวละครนักสืบหญิงอื่นๆ และจัดได้ว่าออกจะจืดชืดเสียด้วยซ้ำ

แต่อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายไร้คุณค่า แม้ว่าจะเนื้อเรื่องจะน่าเบื่อ แต่ทริคเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องก็ยังพอน่าจะสนใจ และกลเม็ดของตัวร้ายก็อยู่ในระดับที่เจ๋ง และชื่อเรื่องในภาษาอังกฤษของซีรี่ส์นิยายชุดนี้ก็น่าสนใจมากที่นำตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัวเรียงกันเป็นชื่อตอนไล่กันไปเรื่อยๆ เป็น A, B, C (ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนมีความคิดที่จะเขียนตอนต่างๆ ไปจนถึง Z หรือไม่) น่าซื้อมาเก็บสะสมไว้เป็นชุด
4
จดหมายรักยาขอบ
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นก็คือเป็นการรวบรวมจดหมายรักในชีวิตจริงๆ ของนักประพันธ์ชั้นครูอย่าง “ยาขอบ” เจ้าของนิยายผู้ชนะสิบทิศอันโด่งดัง ซึ่งโต้ตอบกับหญิงสาววัยรุ่นนาม “พนิดา” โดยพนิดาเป็นผู้นำจดหมายทั้งหมดที่ตนและยาขอบเขียนโต้ตอบกันมาให้กับคุณเทียน เหลียวรักวงศ์ ที่เป็นผู้ฝากฝังพนิดาให้เรียนการเขียน และเป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของยาขอบ ซึ่งขณะที่จดหมายเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นในระหว่างที่ยาขอบมีภรรยามาแล้ว 4 คน และขณะที่เขียนจดหมายเหล่านั้น ยาขอบยังไม่ได้หย่าขาดจากภรรยาคนล่าสุด ดังนั้นทั้งคู่จึงมีความสัมพันธ์ต้องห้ามที่ขัดต่อศีลธรรมอย่างแน่นอน แต่จดหมายเท่าที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้กลับทำให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจในความรักของทั้งสอง ทั้งที่รู้ว่าผลของความรักต้องห้ามนี้จะจบลงเช่นไร

จดหมายแทบทุกฉบับของยาขอบเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้ถึงอาการคลั่งรักต่อเด็กสาวอย่างมาก ด้วยฝีมือการเขียนที่สละสลวยงดงามและคมคายก็ชวนทำให้เคลิบเคลิ้มได้อย่างไม่ยากนัก แม้ว่าภาษาที่ใช้นั้นจะเป็นภาษาแบบในยุคเก่า แต่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ ขณะที่พนิดา แม้ในจดหมายต่างๆ จะแสดงให้เห็นว่าพนิดาพยายามอย่างมากที่จะปกปิดเรื่องนี้ให้สนิท แต่หลายครั้งเธอบอกกับยาขอบเสมอว่าเธอรักและเทิดทูนเขามากเพียงไร แม้ยาขอบจะเคยตัดพ้อว่าตนนั้นเป็นเพียงคนชั่ว แต่พนิดาก็บอกกับยาขอบเสมอว่าแม้เขาจะเป็นคนชั่วช้า ก็จะเป็นคนชั่วช้าที่เธอรัก และพนิดานั้นดูมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ยาขอบเขียนต้นฉบับเรื่องผู้ชนะสิบทิศต่อ จากจดหมายของยาขอบนั้นมีการบอกเล่าว่ายาขอบตัดสินใจบวชเรียนเพื่อจะพิสูจน์ต่อคนรอบข้างว่าตนนั้นจะเป็นคนดีเพื่อพนิดา หมายมั่นปั้นมือเขียนต้นฉบับหนังสือนั้นก็เพื่อพนิดา เก็บเงินเพื่อที่จะซื้อที่ดินปลูกบ้านก็เพื่อวางแผนไปใช้ชีวิตกับพนิดา และพยายามผลักดันพนิดาให้เข้าสู่วงการนักเขียนโดยมีเป้าหมายให้พนิดาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของยุคสมัย กระทั่งบอกไว้ว่าหากว่าวันหนึ่ง ความรักของทั้งคู่ไม่สมหวังและพนิดาจะมีคนรักใหม่ก็ตาม การเขียนของพนิดาเท่านั้นที่จะทำให้พนิดาเป็นของตนมากกว่าเป็นของผู้อื่นๆ กระทั่งสามีในอนาคตของเธอที่ไม่ใช่เขา

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในจดหมายแต่ละฉบับนั้นทั้งคู่แสดงออกซึ่งความรักระหว่างกันอย่างคนคลั่งรักและคนที่เก่งกาจในด้านการเขียนเช่นกันทั้งคู่ แต่อะไรหลายๆ อย่างนั้นก็พอจะเดาได้อยู่บ้างว่าอุปสรรคของทั้งสองมีอยู่มากมายจนทำให้ความรักนั้นไม่สมหวัง และความรักของทั้งสองจะทำให้เกิดข้อกังขามากมายก็ตาม แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือหนังสือจดหมายรักยาขอบเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันงดงาม มีการใช้การเปรียบเปรยแสดงอารมณ์ต่างๆ กันได้อย่างน่าสนใจมาก
ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่ม 01 (เฉียนเยี่ยนชิว)
5
ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เล่ม 1
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ เป็นนิยายจีนสืบสวนที่นอกจากจะเป็นเรื่องของการสืบคดี ทั้งคดีฆาตกรรม เหตุการณ์แปลกเหนือธรรมชาติในช่วงยุคสมัยราชวงศ์ถังของจีน ยังมีทั้งเรื่องของจอมยุทธ์ กำลังภายใน เรื่องของเกมการเมือง ที่สอดแทรกไปด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณีของจีน

ในเล่มที่ 1 ตอนสกัดแผนโค่นอำนาจบู๊เช็กเทียน จะแบ่งออกเป็น 3 ตอนใหญ่ๆ คือ คดีสังหารคณะทูตทูเจี๋ย คดีลายแทงอำมหิต และคดีรอยเลือดรูปพญาอินทรี ซึ่งทั้ง 3 ตอนจะเกี่ยวพันกับแผนการโค่นอำนาจของพระนางบู๊เช็กเทียนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมทั้งสิ้น ซึ่งการเกี่ยวพันกันระหว่างทั้ง 3 คดีนั้นน่าตื่นเต้น น่าติดตาม ให้ความรู้สึกที่ลึกลับปนกับความสยดสยองในบางช่วง ซึ่งตัวผู้รีวิวเองเป็นคนที่ผูกพันกับหนังชุดจีนมาตั้งแต่เล็ก จึงไม่อยากเลยที่จะถูกดึงให้อินเข้ากับเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ ตลอดจนบรรยากาศต่างๆ ในเรื่อง ทั้งในพระราชวัง ในจวนขุนนาง หรือในท้องถิ่นกันดารนอกเมือง ก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากนักที่ผู้อ่านจะจินตนาการไปตามตัวอักษร โดยในส่วนของวิธีการเล่าเรื่องก็สนุก อ่านเพลิน และค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงปมปัญหาต่างๆ ในเรื่องได้อย่างพอดี ไม่มากเกินไปจนรู้สึกหนัก แต่ก็ไม่ได้เบาบางจนดูไม่สำคัญ ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมและเริ่มคาดเดาเหตุการณ์ไปด้วย และในบางส่วนของเรื่องก็ดึงมาจากประวัติศาสตร์จริงๆ ของจีน เช่น การขึ้นสู่อำนาจของพระนางบู๊เช็กเทียน ที่เคยประหัตถ์ประหารราชสกุลหลี่ ซึ่งเป็นตระกูลเชื้อสายของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ ทำให้มีกลุ่มขุนนางอีกมากมายที่พยายามจะล้มอำนาจของพระนางลงเพื่อที่จะสถาปนาให้ลูกหลานของราชสกุลหลี่ที่ยังเหลืออยู่ได้กลับคืนสู่บัลลังก์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่พระนางบู๊เช็กเทียนมีอำนาจ ทำให้เมื่อเป็นฮ่องเต้จึงมีอุปนิสัยหวาดระแวง และไม่ไว้ใจใครมากนัก ซึ่งในส่วนนี้แทบจะเป็นแกนหลักของตอนสกัดแผนโค่นอำนาจบู๊เช็กเทียน และในเรื่องยังสะท้อนสังคมวัฒนธรรมจีนโบราณที่เคารพนับถือเรื่องระบบผู้ใหญ่-ผู้น้อย ความอาวุโส วัฒนธรรมแบบชายสูงหญิงต่ำ เทศกาลการเฉลิมฉลองต่างๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ตี๋เหรินเจี๋ยคือบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในยุคราชวงศ์ถัง เป็นบุคคลร่วมสมัยของพระนางบู๊เช็กเทียน ฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของจีน โดยได้ชื่อว่าเป็นขุนนางตงฉิน ทำงานอย่างสุจริต ตรงไปตรงมา โดยในนิยายชุดตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์ก็ได้นำบุคลิกเช่นนี้ของตี๋เหรินเจี๋ยตัวจริงมาใส่ไว้ในส่วนของนิยาย และนอกจากนี้ ในนิยายเรื่องนี้ก็ยังปรากฏบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์อีกมากมาย ทั้งพระนางบู๊เช็กเทียนที่ถูกขนามนามว่าเป็นฮ่องเต้ที่เหี้ยมโหดมากพระองค์หนึ่ง แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ทำให้จีนนั้นเจริญเป็นอย่างมาก หวู่ซานซือ พระนัดดาของบู๊เช็คเทียนที่ตามประวัติศาสตร์เป็นบุคคลที่ชอบเล่นพวกพ้อง วางอำนาจบาตรใหญ่ เป็นต้น ซึ่งการนำโครงเรื่องจริงที่ปรากฏในประวัติศาสตร์มาอยู่ในนิยายยิ่งทำให้นิยายเรื่องนี้น่าสนใจและสนุกยิ่งขึ้น
4
นอนใต้ละอองหนาว
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นอนใต้ละอองหนาวเป็นนวนิยายขนาดสั้นเรื่องหนึ่งของปราบดา หยุ่น นักเขียนซีไรต์ ที่มีผลงานได้รับรางวัลในด้านหนังสือเรื่องสั้นหลายๆ ตอนมาก่อน และเมื่อมาเป็นนวนิยายอย่างเช่นเรื่องนอนใต้ละอองหนาว ยิ่งทำให้ไม่ค่อยแปลกใจนักว่าทำไมปราบดาจึงได้ขึ้นแท่นเป็นนักเขียนซีไรต์คนหนึ่งของวงการ ซึ่งนอนใต้ละอองหนาวเป็นนิยายที่ว่าด้วยเรื่องของพฤติกรรมและอาการประหลาดของคนหนุ่มสาวในหลายประเทศ ที่รู้สึกว่าตนเองมีพฤติกรรมทางเพศที่ต่างจากเดิมและเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้ โดยพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้อยู่เพียงแค่พฤติกรรมขณะมีกิจกรรมทางเพศเท่านั้น แต่เริ่มลุกลามไปถึงพฤติกรรมที่จะนำมาซึ่งการมีเซ็กส์ของพวกเขา ซึ่งน่าประหลาดที่อาการเหล่านั้นพวกเขามักรู้ตัวทั้งหมดว่ากำลังทำอะไร แต่กลับควบคุมพฤติกรรมและความต้องการของตนเองไม่ได้ โดยพฤติกรรมที่ว่านี้เป็นพฤติกรรมติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์และแพร่ระบาดออกไปในแต่ละประเทศโดยที่ไม่มีใครรู้ที่มาของมัน และไม่รู้ถึงภัยที่มากับพฤติกรรมเหล่านี้

แม้ว่าโครงและแกนของเรื่องออกจะเป็นแนววิทยาศาสตร์ sci-fi แต่กลับไม่ได้เน้นถึงจุดนั้นสักเท่าไหร่ พฤติกรรมในเรื่องเพศที่เป็นอาการติดต่อเหล่านั้นที่เป็นปริศนาก็จะยังคงเป็นปริศนาที่ไร้ที่มาต่อไป ส่วนวิธีแก้หรือมนุษยชาติจะตระหนักถึงภัยเรื่องนี้หรือไม่ ก็ยังเป็นปริศนาเช่นกัน นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่สนุกเท่าไหร่นักสำหรับผู้อ่านที่ชอบให้เรื่องราวมีบทสรุปชัดเจน แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเล่มที่อ่านได้เพลิน และการเดินเรื่องที่ขมวดปมและตอนจบที่ทิ้งปมเอาไว้นั้นถือว่าน่าสนใจ อย่างน้อยผู้อ่านก็จะได้รู้ถึงปลายทางของพฤติกรรมติดต่อประหลาดนั้นว่าจะเป็นอย่างไรเมื่ออาการที่ว่าได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้าย ซึ่งสิ่งที่ต้องชื่มชมในเล่มนี้ก็คือการวางโครงเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัว (ว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมคล้ายๆ โรคติดต่อที่ระบาดไปได้) แต่ก็ใกล้กว่าที่คิด (พฤติกรรมเรื่องเซ็กส์และอื่นๆ) วิธีการเล่าเรื่องที่มีรูปแบบที่หลากหลายอยู่ภายในเล่มเดียวโดยที่บางจุดนั้นสามารถขับเน้นให้เรื่องนี้ดูสมจริง และประเด็นของเรื่องมันค่อยๆ หนักขึ้นๆ ดึงดูดให้คนอ่านเริ่มรู้สึกว่าประเด็นของพฤติกรรมเหล่านี้จับต้องได้จริง และมันออกจะน่ากลัวอยู่ที่พฤติกรรมที่ว่ามันกระจายออกไปในที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลกันออกไป อีกทั้งบรรยากาศของเรื่อง ตั้งแต่สถานที่ที่ปราบดาหยิบยกขึ้นมาเป็นโลเคชันของเรื่องก็เพิ่มความรู้สึกว้าเหว่และลึกลับ โดยวิธีการบรรยายของปราบดาในเรื่องของบรรยากาศความเหงา ว้าเหว่ ความเงียบที่มีอะไรมากกว่าการไม่มีเสียงพูด และการอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้นคือจุดแข็งของงานเขียนของปราบดาอยู่แล้ว ทำให้นอนใต้ละอองหนาวเป็นนิยายที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์ ซึ่งด้วยความที่เป็นนิยายขนาดสั้นของนอนใต้ละอองหนาวก็ทำให้การอ่านเรื่องนี้ไม่ได้รู้สึกเบื่อและหนืดเนือยจนเกินไป อีกทั้งยังพกพาติดตัวไปได้ง่ายด้วย
5
ช้ำจนชิน
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิยายแปลฝรั่งเศสผลงานโดยมาร์แต็ง ปาจ ว่าด้วยเรื่องของความรักที่แปลกประหลาดของคนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ถูกแฟนสาวผู้ซึ่งติดเหล้านอกใจและทิ้งไป โดยที่เขามักจะให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่นโดยที่ไม่ค่อยจะได้อะไรดีๆ ตอบแทนนัก หญิงสาวนักเขียนผู้ยากจนที่กลัวการตกหลุมรักและเมื่อเธอตกหลุมรัก เธอจะพยายามฆ่าตัวตาย และนักแสดงสาวผู้มากความสามารถที่คิดว่าความรักจะทำให้เธอสูญเสียพรสวรรค์การแสดงไป จึงเลือกจะหลงรักชายที่มีเจ้าของ โดยตัวละครแต่ละตัวจะเริ่มตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หาวิธีแก้ไขให้มันดีขึ้น หรือไม่ก็อาจจะซ้ำเติมตนเองเข้าไปให้ตกอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเดิม ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ มันเป็นวิธีเฉพาะของพวกเขาเองที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตในแบบที่ตนเลือก<br>

จุดเด่นของนิยายเรื่องนี้มีตัวละครที่น่าสนใจอยู่มากมายและเกี่ยวเนื่องกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ออกจะเป็นตัวละครที่มีนิสัย วิธีคิดอันแปลกประหลาดจนเราไม่อาจแน่ใจนักว่าจะเคยพบเห็นหรือไม่ แต่หากได้พบ เราเองก็อาจไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีความแปลกประหลาดที่คล้ายตัวละครเหล่านี้มากน้อยเพียงใด และด้วยการเล่าเรื่องสไตล์เฉพาะของมาร์แต็ง ปาจก็ไม่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดกับความเพี้ยนและบิดเบี้ยวของตัวละครเหล่านี้เลย ตรงกันข้าม กลับยิ่งมองเห็นเสน่ห์ของตัวละครทั้งหลายนี้มากขึ้น บวกกับการบรรยายเนื้อหาที่อ่านเพลิน โดยที่ไม่ต้องใช้ภาษาวิจิตรงดงามเกินความเข้าใจจนต้องเปิดพจนานุกรมและการเล่าเรื่องพร้อมกับแฝงคำเสียดสีประชดประชันที่เจ็บแสบทำให้อ่านได้อย่างสนุกสนาน ซึ่งในส่วนที่เศร้าก็เศร้าในแบบที่ทำให้คนอ่านหัวเราะในลำคออย่างขื่นๆ ได้ และตัวละครต่างๆ นั้นมักมีบทสนทนาที่ออกจะเหนือจริงอยู่บ้าง แต่ก็น่าหัวร่อ เจ็บแสบและให้ความรู้สึกสมกับเป็นชาวปารีเซียงที่รุ่มรวยอารมณ์ขันแบบตลกร้ายและปากร้ายไปด้วยกัน <br>

ช้ำจนชินอาจไม่เหมาะเท่าไหร่นักกับผู้อ่านที่นิยมชมชอบนิยายรักโรแมนติกที่นำเสนอความรักในด้านอ่อนละมุนละไม หรือความรักที่ทำให้พลัดพราก ไม่สมหวังจนต้องหลั่งน้ำตา แต่หากคิดจะอ่านนิยายเรื่องนี้ ก็น่าจะได้มุมมองความรักในแง่ใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากเดิม และน่าจะเหมาะสมอย่างมากกับผู้อ่านที่ชินชากับความทุกข์ในชีวิตประจำวัน เหนื่อยหน่ายกับความรัก หมดศรัทธาในความรัก หรือกระทั่งคอนิยายแนวอื่นๆ ก็อาจจะชอบและจัดไว้ให้เป็นทางเลือกของการอ่านที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน
3
แวมไพร์ ภูติผี ปิศาจ ซาตาน แม่มด และศาสนา
โดย: AryaS. วันที่เขียนรีวิว: 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยความสนใจและสงสัยถึงความแตกต่างระหว่าง “ศาสนาแท้” (หรือจะเรียกได้ว่า ศาสนาสากล) กับ “ศาสนาไม่แท้” (ลัทธิความเชื่อไสยศาสตร์ต่างๆ เช่น พ่อมดแม่มด ซาตาน ภูติผีต่างๆ) ว่ามีจุดร่วมและจุดต่างกันอย่างไร และเหตุใดบางความเชื่อถึงยั่งยืนมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นศาสนาสากลได้จนถึงปัจจุบัน จึงได้รวบรวมข้อมูลและเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา โดยที่เนื้อหาของแต่ละหัวข้อนั้นอาจจะไม่เรียงลำดับตามไทม์ไลน์ของประวัติศาสตร์นัก แต่ละหัวข้อก็จะมีความเกี่ยวเนื่องกันมาจากหัวข้อก่อนหน้าซึ่งจะถูกขยายความในตอนต่อไปเรื่อยๆ

หัวข้อแรกๆ ในหนังสือจะพูดถึงเรื่องของพ่อมดแม่มดอยู่มาก เริ่มจากการบรรยายสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในช่วงที่เกิดลัทธิดังกล่าวในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของลัทธินี้ มีการพูดถึงชีวประวัติอย่างพอสังเขปของคนดังที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดแม่มด เช่น และแน่นอนว่าจะต้องมีการกล่าวถึงสมาคมและลัทธิต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับพวกเขานอกเหนือไปจากลัทธิพ่อมดแม่มดอย่างเพียวๆ หัวข้อต่อมาได้พูดถึงเรื่องแวมไพร์ โดยได้อธิบายตั้งแต่รากศัพท์และประวัติศาสตร์ของแวมไพร์ ซึ่งมีที่มาจากภูมิภาคยุโรปตะวันออก และโด่งดังเป็นที่รู้จักจากนวนิยาย Dracula ที่ขึ้นแท่นเป็นนิยายอมตะ ผลงานของบราม สโตเกอร์ ซึ่งเป็นต้นแบบของนิยายแวมไพร์ต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน และได้พูดถึงกลุ่มคนที่สร้างลัทธิเลียนแบบแวมไพร์และก่ออาชญากรรมขึ้นด้วย ซึ่งต่อมานั้นคือเรื่องของซาตานที่นับว่าเป็นราชันย์แห่งปิศาจ โดยในเล่มนี้จะเน้นกล่าวถึงลัทธิบูชาซาตาน มีการพูดถึงต้นกำเนิดของซาตานที่มาจากความเชื่อของชาวฮิบรูอยู่พอสังเขป และนอกจากนี้ ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงศาสนาคริสต์โดยเน้นในส่วนของยุโรป ตั้งแต่สังคมของยุโรปยุคก่อนศาสนาคริสต์จะเข้ามามีอิทธิพล ไปจนถึงช่วงยุคกลางที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลกับวิถีชีวิตของชาวยุโรปเป็นอย่างมากและนับได้ว่าเป็นช่วงที่รุ่งโรจน์ของศาสนาคริสต์ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งการแบ่งแยกระหว่างรัฐทางโลกซึ่งเป็นเรื่องของการเมืองโดยตรง และรัฐศาสนา นั่นได้นำมาซึ่งการลดบทบาทของศาสนาคริสต์ในการเมืองลงไป การทำสงครามครูเสดระหว่างชาวคริสต์และอิสลามที่ได้นำมาสู่ความเสื่อมถอยของศาสนาคริสต์จนพ่ายแพ้ต่อยุคของเหตุผล ที่หักล้างความเชื่อทางศาสนาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในที่สุด

แวมไพร์ ภูติผี ปิศาจ ซาตาน แม่มด และศาสนา เป็นหนังสือที่รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขื่อของหนังสือโดยข้างต้น ซึ่งสามารถเรียกรวมๆ ได้ว่า “ความเชื่อ” ในเล่นนี้จะพูดถึงความเชื่อและศาสนาของโลกฝั่งตะวันตก โดยที่ผู้เขียนใช้พื้นฐานของตัวผู้เขียนเองที่เป็นชาวพุทธแบบวิถีไทยๆ ทำให้ทำความเข้าใจได้ง่าย เหมาะกับเป็นหนังสืออ่านเล่นเพลินๆ เพื่อเสริมความรู้ แต่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นตำราได้ เนื่องจากจุดด้อยคือการอ้างอิงที่ส่วนมากแล้วผู้เขียนจะรวบรวมเอามาจากเว็บไซต์ Wikipedia ในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ แต่ก็นับว่าเป็นการย่อยความรู้ในเรื่องศาสนา ความเชื่อ ประวัติศาสตร์อย่างย่นย่อของหัวข้อย่อยต่างๆ ได้น่าสนใจทีเดียว
www.batorastore.com © 2024