หนังยางล้างใจ

พวงผกา |
18/08/2014

“ถ้าคุณอยากมีรายได้เพิ่มขึ้น ถ้าคุณอยากได้งานในฝันที่ตอบโจทย์ ถ้าคุณอยากให้มีโอกาสดีๆคนดีๆเข้ามาในชีวิต ถ้าคุณอยากมีความรักที่สมหวังได้เจอคนที่ตรงใจ ถ้าคุณอยากมีความสงบทางจิตใจ ไม่อยากสับสน ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีๆ ยิ่งขึ้นไปอีก หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้” นี่คือ คำนำในหนังสือเล่มนี้ หนังยางล้างใจ โดยปกติก่อนจะตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มใด มักจะอ่านคำนำของหนังสือก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่น่าสนใจจะวางทันที แต่หนังสือหนังยางล้างใจเล่มนี้ไม่ธรรมดา แฮะ! อ่านแค่คำนำก็ตัดสินใจเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายตังค์ทันทีเลย ยังไม่ทันได้เปิดอ่านเนื้อหาสาระด้านในเลยด้วยซ้ำ ก็มันน่าสนใจมั้ยล่ะ มันสะดุดตาตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วล่ะ จริงมั้ย! “หนังยางล้างใจ” กลับมาบ้านรีบเปิดอ่านดู มันจะคุ้มกับราคาที่จ่ายไปมั้ยน๊า สิ่งแรกที่เห็นของหนังสือเล่มนี้คือ สีสันที่สวยงาม ภาพประกอบด้านในดูแปลกตาน่ารักดี แต่ตัวหนังสือในแต่ล่ะหน้ามีแค่ไม่กี่บรรทัด ไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกที่หนังสือดูหนาๆ เหมือนจะต้องอ่านเยอะๆ แต่เรื่องจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ล่ะหน้าจะมีภาพและสีสันเป็นส่วนใหญ่ ก็ดูสวยแปลกตาดีเป็นภาพกราฟฟิคเป็นส่วนใหญ่นะ เนื้อหาของหนังสือหนังยางล้างใจ บทแรกๆ ผู้เขียนจะเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จของชีวิตมนุษย์และอารมณ์ความรุ้สึกของเรา เราจะถูกสอนเสมอว่ามนุษย์เป็นสัตย์ประเสริฐมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงแล้วในชีวิตประจำวันจริงๆของเราเราไม่ค่อยได้ใช้หรอกเหตุผลน่ะ ส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์และความรุ้สึกตัดสินสิ่งต่างๆรอบตัวซะมากกว่า เช่น ที่เราซื้อหนังสือมาแล้วยังไม่ได้อ่าน เพราะเราไม่มีเวลา หรือ ยังไม่มีอารมณ์อยากจะอ่านกันแน่ ( เออ จิงอ่ะ เราก็เป็นแบบนี้เลย) ผู้เขียนจึงบอกว่า งั้นถ้าเราอยากจะเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ เงินดีๆ งานดีๆ เราก็ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเราเองให้ได้ ให้คิดแต่สิ่งดีๆ หรือ คิดให้เป็นบวก แต่เราเองเหมือนถูกหลอกมาตลอด เพราะเราไม่รู้เลยว่าการคิดบวกนั้น มันต้องคิดยังไง มีแนวทางปฎิบัติยังไงล่ะ ถ้าเจอสถานการณ์แย่ๆ เรายังจะคิดบวกได้หรือไม่ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาในการแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้มีความสุขในสังคมปัจจุบันด้วยการใช้ความคิด มุมมองที่แตกต่าง โดยส่วนตัวแล้วหนังสือหนังยางล้างใจ เป็นหนังสือที่สามารถอ่านได้ทุกเพศ ทุกวัย ส่วนผลลัพธ์ของหนังสือจะเป็นเหมือนที่ผู้เขียนบอกไว้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้เอาไปปฏิบัติว่าจะทำได้ บังคับใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ภาษาที่ใช้เขียนและถ่ายทอดของผู้เขียนเข้าใจง่าย มีการสอดแทรกมุขตลก อ่านแล้วบางทีก็หัวเราะออกมาเพราะบางสถานการณ์มันเกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ และในหนังสือบอกว่าให้อ่านทีล่ะบท จนครบ 21 วัน บางทีถ้าเราเข้าใจอะไรต่างๆ เราก็อ่านทีล่ะหลายๆบทได้นะ ^^ เราว่าถ้าใครกำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม เพื่อมาเปลี่ยนมุมมองชีวิต เล่มนี้แหละตอบโจทย์

เต่าน้อย |
17/08/2014

ก่อนจะซื้อหนังสือเล่มนี้ผมเคยได้ยินเรื่องของกลวิธีนี้มาก่อนแล้วครั้งนึง อันที่จริงก็คือประมาณ1อาทิตย์ก่อนจะเดินผ่านร้านหนังสือ ผมได้คุยกับเพื่อนแล้วเห็นเขาใส่หนังยางสีเหลืองเส้นหนาๆที่ข้อมือก็เลยถามไปว่าใส่ทำไม เพราะมันก็ไม่ได้จะสวยอะไร ใส่เป็นแฟชั่นก็จะดูไร้สาระไปหน่อย เพื่อนผมก็เลยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยไปเข้าอบรมของฝรั่งแล้วเขาก็สอนมาว่า คนเรานั้นแบ่งเป็นพวกอยู่เหนือเส้นกับอยู่ใต้เส้น พวกที่อยู่ใต้เส้นก็คือพวกที่สร้างผลงานได้ต่ำ หรือก็คือคนธรรมดาส่วนใหญ่นั่นแหละ ส่วนพวกเหนือเส้นคือคนที่สร้างผลงานได้ในระดับสูง และการจะขึ้นไปเหนือเส้นได้หากไม่เก่งมาแต่แรกก็ต้องใช้เครื่องช่วย เพราะคนที่อยู่ใต้เส้นนั้นมีข้อเสียหลายอย่างที่ขัดขวางไม่ให้เติบโตไปสู่การประสบความสำเร็จ ซึ่งเครื่องช่วยที่ว่าก็คือหนังยางที่เขาใส่อยู่นั่นเอง วิธีใช้ก็คือ เมื่อไหร่ที่คิดหาข้ออ้าง บ่น หรือคิดกล่าวโทษคนอื่น ให้ดีดหนังยางใส่ข้อมือซะ! เพราะนิสัยเหล่านี้มันคอยขัดขวางการเติบโตของเรา เมื่อเราดีดหนังยางก็จะเจ็บและรู้ตัว หนังยางมันก็คือเครื่องมือช่วยเตือนสติให้เรารู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งไม่ดีนั่นเอง หลังจากฟังจบ ผมก็กลับบ้าน แล้วก็ลืม ไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาวันหนึ่ง เดินผ่านร้านหนังสือก็เจอหนังสือเล่มนี้ “หนังยางล้างใจ” แถมมีหนังยาง(ที่ดูดีกว่าที่เพื่อนใส่)แถมมาให้ด้วย พอลองอ่านด้านหลังก็ชักคลับคล้ายคลับคลา เฮ้ย! นี่มันที่เพื่อนเล่าให้ฟังเลยนี่หว่า ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องที่คุยกับเพื่อนเรื่อยเปื่อยอยู่ๆมันจะมาโผล่ตรงหน้า แถมรวมเล่มเสร็จสรรพแถมอุปกรณ์พร้อมใช้งานเรียบร้อย ...ผ่านไปราว3นาที หนังสือเล่มนี้ก็มาอยู่ในกระเป๋าผมซะแล้ว บอกตามตรง ที่ซื้อก็เพราะเพื่อนเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ บอกว่าเป็นกลวิธีของพวกฝรั่งที่ประสบความสำเร็จเขาเอามาอบรม(เห็นว่าอบรมทีรอบละ4000บาท เว่อร์มาก กะแค่สอนใช้หนังยางล่อซะ4000!) พอกลับบ้านผมก็เลยลองอ่านดู ในเล่มเขาจะแบ่งเป็น21บท=21วันพอดี ให้อ่านแล้วทำตามวันละบทไปเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่ต้องรีบ เพราะมันเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเราในระยะยาวสู่การเป็นตัวเองที่ดีกว่า เขาบอกว่า อะไรที่เราทำติดต่อกัน21วันขึ้นไปแล้วมันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว หากอยากเลิกนิสัยอะไร หรือสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องทำติดต่อกันทุกวันให้ครบ21วันจึงจะเห็นผล ...ซึ่งก็ดันตรงกับที่คุยกับเพื่อนวันนั้นด้วย (สรุป เพื่อนมันไปฟังอบรมที่เดียวกับคนเขียนรึเปล่าฟะ?) ในเล่มนี้เขาสอนให้ปรับเรื่องของทัศนคติ(ถ้าคิดลบเมื่อไหร่ก็ดีด) ไม่ได้พูดถึงข้ออ้าง หรือการโทษคนอื่นแบบที่เพื่อนบอกก็จริง แต่พอลองแล้วผมรู้สึกว่าวิธีการนี้มันสามารถใช้ได้กับทุกอย่างเลยนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะหนังยางมันคือเครื่องเตือนใจ หากอยากแก้นิสัยอะไรก็กำหนดไว้แล้วทำให้ได้ครบ3อาทิตย์เท่านั้นเอง เช่น การเลิกบุหรี่ (อันนี้คิดเองไม่มีในหนังสือ) พอลองทำตามดู วันแรกๆรู้สึกตัวเลยครับ ...ว่าเจ็บ เออวุ้ย จริงอย่างที่เขาบอก คนเรานี่มีความคิดลบอยู่เยอะจริงๆ แถมไม่รู้ตัวอีกต่างหาก ก่อนที่จะใช้หนังยางผมคิดว่าวันนึงๆตัวเองมีความคิดด้านลบไม่เยอะเท่าไหร่ ออกจะเป็นคนใจเย็นด้วยซ้ำ แต่พอมีหนังยางแล้ว วันแรกๆที่เริ่มใช้ โดนดีดเกือบ10ทีเลยครับ พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองมีความคิดด้านลบผ่านเข้ามาเยอะขนาดนี้ พอมีหนังยางดีดถึงได้รู้สึกตัว พอรู้สึกตัวบ่อยๆเข้าถึงเริ่มควบคุมมันได้ ต้องผ่านมาตั้งหลายวันกว่าจะลดลงจนหมด ตอนนี้หลังจากเริ่มใช้มาเกือบ2เดือนแต่ละวันผมคิดเรื่องแย่ๆน้อยลงมากเลย วันๆนึงโดนดีด0-3ทีเท่านั้นเอง ในเล่มนี้เขาจะสอนวิธีการอีกหลายอย่าง แต่การดีดที่เล่ามานั่นคือหัวใจสำคัญ เป็นขั้นแรกสุดของการพัฒนาการ เพราะก่อนที่เราจะแก้ไขได้เราต้องรู้ตัว จากนั้นพอมีทัศนคติที่ดีต่อทุกๆสิ่ง สิ่งดีๆทั้งหลายมันก็จะตามมาเอง หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งเลยครับ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผมรู้สึกดีๆได้ทุกวัน อารมณ์ดีขึ้นเยอะ ถอนหายใจน้อยลง หลังอ่านจบสมควรแก่การเอาให้คนใกล้ตัวอ่านต่อมากๆ