ไฟลวง เล่ม 01 (โสภี พรรณราย)
ประหยัด: 131.25 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑
เบื้องหน้าของโลงศพไม้สักแกะสลักลวดลายประณีต รายล้อมด้วยดอกไม้สดจัดเป็นพุ่มกระจายเรียงรายสวยงามจนหาที่ติไม่ได้
ข้าง ๆ เยื้องมาทางหน้าโลงเล็กน้อย มีภาพผู้ตาย...คาดทับผ้าดำอยู่มุมกรอบรูป
นายประกอบ บุณยกรณ์
ผู้ตายวัยหกสิบเศษ ใบหน้าอิ่มเอิบ แช่มชื่น ภูมิฐาน ประกายตาอ่อนโยน ท่านได้ชื่อว่าเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป และเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง
พวงหรีดดอกไม้นานาชนิด ที่วางเรียงรายอยู่เต็มศาลา จนแทบจะหาที่ว่างไม่ได้นั้น เป็นหลักฐานอันดีที่จะยืนยันว่า ท่านเป็นที่รู้จักและเป็นที่นับถือเพียงไร...ด้วยเหตุนี้ นามที่ติดอยู่บนพวงหรีดจึงเป็นนามของรัฐมนตรี และพ่อค้า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจเกือบทั้งสิ้น
ผู้ตายย่อมไม่รับรู้อะไรแล้ว ทว่า...ผู้ยังอยู่ ย่อมจมอยู่ในความเศร้าและอาลัยรัก
คุณงามพิศ ผู้เป็นภรรยาผู้ตาย อยู่ในชุดดำสนิท...ผมเรียบตึงเกล้าสูง ใบหน้าซีดขาว...น้ำตาไหลอาบแก้ม...คืนนี้ตั้งศพเป็นคืนที่สามแล้ว ท่านก็ยังไม่หายโศกเศร้า
ข้างกายมีบุตรชายและบุตรสาว ที่ต้องผลัดเปลี่ยนกันมาปลอบมารดาและอยู่เป็นเพื่อนท่าน เนื่องจากท่านไม่ยอมรับถึงการสูญเสียในครั้งนี้
พวงหรีดยังมีคนทยอยนำมามอบให้...จนต้องวางเรียงซ้อนและล้นออกมานอกศาลา
บรรดาแขกและญาติมิตรต่างมาแสดงความเสียใจ แต่คุณงามพิศไม่รับรู้อะไร...นอกจากพยักหน้าและกล่าวขอบคุณเบา ๆ
ท่านมีน้ำตาเป็นเพื่อน...
ญาดาถอนใจยาว...แตะมือมารดาและบีบให้กำลังใจ
“คุณแม่คะ...อย่าร้องไห้สิคะ...”
“ท่าน...ท่านไม่น่าจะตาย ไม่น่าจะตาย...” คุณงามพิศพึมพำกลั้นสะอื้น
“ถือว่าคุณพ่อไปดีแล้ว ถ้าคุณแม่เสียใจมาก...วิญญาณท่านจะไม่สงบสุขนะคะ”
มารดาโบกมือ...เห็นมือของท่านสั่นระริก
“พ่อของลูกก็ตายอย่างไม่สงบสุขอยู่แล้วล่ะ...เพราะนังนั่นคนเดียว...เพราะมันคนเดียว!”
ใบหน้าญาดาซีด...มารดาพูดถูก...
เพราะนังคนนั้น!
เหลือบขึ้นมองหน้าพี่ชาย...นพรุจ บุณยกรณ์...
เขาเป็นชายคนเดียวในบ้านที่เข้มแข็ง ไม่สูญเสียน้ำตาซักหยด...เพราะได้ชื่อว่าเป็นลูกผู้ชาย!
หารู้ไม่ว่า เขาต้องอดกลั้นเพียงไรกับการสูญเสียบิดาที่เคารพรัก...บิดาที่เปรียบเสมือนปูชนียบุคคลให้เขาดำเนินรอยตาม
คนที่ไม่ร้องย่อมน่ากลัวกว่าคนร้องไห้!
เมื่อมารดาพูดถึง ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เมื่อไหร่ นพรุจจะมีปฏิกิริยาทันที
ชายหนุ่มจะขบกรามแน่น ผ่อนลมหายใจช้า ๆ เพื่อระงับอารมณ์ภายใน... อารมณ์ของความเคืองแค้น และกรุ่นโกรธ!
“พ่อของลูก...มาเสียคนเมื่อตอนแก่!” มารดารำพัน “เห็นหน้ากันหยก ๆ ...คุณก็มาด่วนจากไป...”
ญาดาบีบมือมารดาเบา ๆ
“ระงับความเศร้าโศกเถอะค่ะ แขกมาตั้งเยอะ...คุณแม่น่าจะไปทักทายสักหน่อย”
“แม่ไม่มีอารมณ์หรอก...แม่อยากจะตายตามพ่อไป...”
“คุณแม่คะ...อย่าพูดอย่างงี้สิคะ...”
แล้วท่านก็ร้องไห้... พลอยทำให้ญาดาตาแดง...
แขกเข้ามานั่งจนเต็มศาลา ฝ่ายต้อนรับต้องทำงานตลอดเวลาโดยเสิร์ฟเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลมนานาชนิด
เสียงพระสวดกังวานก้อง...คุณงามพิศ และญาดายกมือพนมอยู่ระหว่างอก...ดวงตาเลื่อนลอย
นพรุจยังเป็นเจ้าภาพคนเดียวที่ลุกออกมาต้อนรับแขก เขาคนเดียวที่...มีแรงจัดการทุกอย่าง ในขณะที่มารดากับน้องสาวเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำอะไรไม่ถูก
นพรุจมองออกไป...เห็นเจนจิรา...สาวคนรัก...กำลังเดินเข้ามาในศาลาพร้อม กิตติ...ผู้เป็นพี่ชาย
“ทำไมมาดึกล่ะครับ?” เจ้าภาพหนุ่มถาม
ใบหน้าที่แต่งเครื่องสำอางจัดตัดกับชุดดำสนิท และสร้อยเพชรประกายเจิดจ้า ประกอบกับหล่อนเป็นคนสวยอยู่แล้ว ทำให้เจนจิราเด่นในท่ามกลางแขกทั้งหมด
หล่อนเบ้ปาก
“รถติดมาก...ก...” ลากเสียงและเน้นน้ำหนัก “แถมยังต้องวนหาที่จอดรถในวัดตั้งหลายรอบแน่ะค่ะ”
กิตติกล่าวสนับสนุนขึ้น
“วัดนี้เป็นวัดใหญ่มีชื่อเสียง คนตายก็ล้วนแต่เป็นคนดัง ๆ และมีสตางค์แขกเลยเยอะ...นี่ต้องขับรถออกไปจอดข้างถนนด้านโน้นเลย” กิตติค่อนข้างจะสนิทสนมกับนพรุจ เพราะทำธุรกิจติดต่อกันอยู่ และความสนิทสนมก็ทวีขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ถ้าน้องสาวเป็นทองแผ่นเดียวกับนพรุจ ก็จะกลายเป็นเครือญาติทันที
“เข้าไปนั่งเถอะ...พระสวดแล้ว...” นพรุจบอก
“คุณป้าเป็นอย่างไรบ้างคะ?” เจนจิราถามถึงคุณงามพิศ
เจ้าภาพหนุ่มโคลงศีรษะ หน้าตาไม่สู้ดีนัก
“ก็เหมือนเดิม...เศร้าโศกเสียใจ ไม่ยอมรับรู้อะไรเลย”
“ท่านยังทำใจไม่ได้แน่ะค่ะ”
“น้องเล็กต้องคอยปลอบ และอยู่ใกล้ท่านตลอดเวลา...เจน...คุณช่วยปลอบคุณแม่ด้วย...”
“ค่ะ...เดี๋ยวเจนจะคอยดูแลท่านเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...คุณไปรับรองแขกผู้ใหญ่เถอะค่ะ”
นพรุจพยักหน้าให้กิตติ
“ตามสบายนะ...”
แล้วชายหนุ่มก็ผละมาต้อนรับแขก...ซึ่งยังทยอยเข้ามาจนต้องตั้งเก้าอี้เสริมออกมาถึงด้านนอกศาลาใหญ่
งานศพซึ่งแต่แรกนพรุจตั้งใจจะจัดแต่พอประมาณ ในหมู่คนสนิทสนมกันจริง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะชื่อเสียงและคุณงามความดีของบิดา...ตลอดหกสิบห้าปีเศษ...ทำให้กลายเป็นงานใหญ่และมีแขกมาร่วมแสดงความเสียใจเกินคาดคิด
พระสวดจบอีกครั้งหนึ่ง...นพรุจจึงให้พนักงานเสิร์ฟอาหารว่าง...เป็นชุดเค้ก พาย และกาแฟหรือชาร้อน จากร้านเบเกอรี่ชื่อดังของประเทศ...สนนราคาต่อชุดแพงกว่าข้าวต้มกระเพาะปลาหลายเท่านัก
เจนจิราเดินมาสะกิดนพรุจ
“ทานสักหน่อยสิคะ” หล่อนถือถาดเค้กและกาแฟยื่นให้
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
“ผมทานอะไรไม่ลงหรอก”
“เพียงท่านเสียไม่กี่วัน...คุณดูซูบลงนะคะ...” หญิงสาวตั้งข้อสังเกต
เขาถอนใจยาว
“ผมเพิ่งจะรู้นะ...ว่าทุกข์จากการสูญเสียเป็นเช่นไร และมันหนักหนาสาหัสทรมานใจยิ่งกว่านั้น...เมื่อรู้ว่าท่านตายอย่างที่ไม่น่าจะตาย...เพราะ...เพราะ...ผู้หญิงคนเดียว!”
ถึงตอนนี้กรามเขาขบแน่น ดวงตาเป็นประกายวาวน่ากลัว...อย่างที่เจนจิราไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณเครียดมากนะคะ...”
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก...”
“แต่คุณ...”
ชายหนุ่มโบกมือ
“ผมยังควบคุมอารมณ์ได้!”
เขาผละไปทักทายกับแขกอีกครั้ง...ปล่อยให้เจนจิราถอนใจยาว จนพี่ชายต้องทัก
“หนักใจมากเรอะ...ยายเจน...เธอต้องเข้าใจนายรุจนะ...เขากำลังเสียใจกำลังโกรธแค้น...”
เจนจิราพยักหน้า
“เจนเข้าใจค่ะ...ครอบครัวคุณรุจมีความสุข รักใคร่กันดี...แล้วอยู่ ๆ คุณลุงต้องมาตาย...ต้องมาเปลี่ยนแปลง เมื่อเจอผู้หญิงคนนั้น...”
กิตติเม้มริมฝีปาก
“นารีเป็นภัยต่อบุรุษ”
“เจนอยากเห็นหน้าแม่นั่นเหลือเกิน...จะมีเสน่ห์รุนแรงขนาดไหนนะ...ที่ทำให้คนดี ๆ อย่างคุณลุงประกอบหลงใหลหัวปักหัวปำ!”
พรวลัย!
ผู้หญิงคนนั้นชื่อ...พรวลัย
“คงสวยมากนะคะ...พี่กิตติ...คุณลุงเลยเสียคนตอนแก่...”
“ก็ได้ยินเข้าหูเหมือนกันนะ...ว่าสวยมาก...เฮ้อ...สงสารคุณป้า รักคุณลุงเหลือเกิน...อยู่กันมาหลายสิบปี จนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว จากไปอย่างกะทันหัน...คุณป้าก็เลยยังรับไม่ได้...น้องเล็กอีกคน... เสียน้ำตาไปไม่น้อย... มีแต่นายรุจคนเดียวที่เข้มแข็ง...”
เจนจิราส่ายศีรษะแย้งพี่ชาย
“คุณรุจเข้มแข็งก็จริงนะคะ แต่เจนว่าน่ากลัว เพราะคุณรุจขรึมผิดคนไปเลยค่ะ”
“ผู้ชายล่ะนะ...ร้องไห้ไม่ได้...ก็เลยเก็บกดหน่อย...”
“คุณป้าเอาแต่ร้องไห้...”
“เธอไปช่วยดูแลคุณป้าแทนน้องเล็กบ้าง...น้องเล็กเหนื่อยทั้งวันแล้ว” กิตติเห็นใจญาดา...
ญาดาเป็นสาวร่างเล็ก...บอบบาง...สมกับชื่อน้องเล็กและกิตติก็รักหล่อนเปรียบเสมือนน้องสาวแท้ ๆ เลยทีเดียว
เวลาผ่านไปพอสมควร...แขกเริ่มทยอยกลับ จนเหลือแต่ญาติสนิทจริง ๆ ไม่กี่คนที่ยังจับกลุ่มคุยติดลมอยู่
ทั้งญาดาและเจนจิรา ช่วยกันคะยั้นคะยอให้คุณงามพิศทานอะไรรองท้องบ้าง
“พายสักชิ้นก็ยังดีค่ะ” ญาดาส่งให้ถึงปาก “พายไก่ที่คุณแม่ชอบ...หรือคุณแม่จะรับพายเนื้อ?”
คุณหญิงงามพิศเศร้ามองส่ายหน้า
“อย่าบังคับแม่เลย...น้องเล็ก”
“ถ้าคุณแม่ไม่ทาน คุณแม่จะเอาแรงที่ไหนมางานศพคุณพ่อ ยังอีกหลายคืน”
“ขอนมอุ่น ๆ ให้แม่แก้วหนึ่งก็พอจ้ะ”
ญาดารีบจัดการให้มารดา มารดารับเพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ยอมทานอะไรเลย
ท่านดื่มนมไปเพียงครึ่งแก้วก็คืนให้
“อีกนิดสิคะ...คุณแม่...”
“พอจ้ะ...”
“คุณป้าคะ...อีกคำก็หมดแล้วค่ะ...นะคะ...” เจนจิราช่วยคะยั้นคะยอ
คุณงามพิศเชื่อคำพูดของว่าที่ลูกสะใภ้ ทำให้เจนจิรายิ้มออก
ในที่สุด...แขกก็กลับไปหมดแล้ว
ศาลาใหญ่โตพลันเงียบเหงา...เหลือเพียงครอบครัวของเจ้าภาพและเจนจิรากับ กิตติ
นพรุจเพิ่งจะได้นั่ง เขาเมื่อยล้าทั้งกายและใจ...กิตติมานั่งข้าง ๆ ถามว่า
“เหนื่อยเรอะ?”
เจ้าภาพหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ
“ท่านเป็นคนกว้างขวาง...แขกก็เลยเยอะ...คนเราก็เหลืออยู่แค่นั้นแหละ เกิด...แก่...เจ็บ...ตาย...” กิตติพึมพำเบา ๆ
นพรุจกำมือแน่น
“แต่ท่านตายอย่างที่ไม่ควรจะตาย!”
“พูดไป...ท่านก็ไม่ฟื้นนะ...รุจ...”
“ใช่! แต่กันแค้น!”
“เฮ้ย! อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ...มันไม่เหมือนนายเลยนะ...รุจ...” กิตติเตือน
ใบหน้าคมเข้มของนพรุจเครียดจัด...
“ถ้ากันไม่ทำอะไรสักอย่าง กันต้องเป็นบ้าตายแน่ ๆ”
“นายจะทำอะไร?” เพื่อนหนุ่มขมวดคิ้ว
“อยากฆ่าคน!”
กิตติสะดุ้ง
“นายเป็นบ้าไปแล้วเรอะ เอาอนาคตมาแลกกับผู้หญิงเลว ๆ คนหนึ่งมันคุ้มค่าแล้วเรอะ”
“ไม่รู้สิ...กันกลุ้มใจ...ยิ่งเห็นคุณแม่ร้องไห้...”
“ไม่เอาน่า...” กิตติโคลงศีรษะ “ตอนนี้นายเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วนะ... นายเป็นคนมีชื่อเสียงมีเกียรติ นึกถึงข้อนี้ให้มาก ๆ อย่าวู่วาม อย่าหุนหันพลันแล่น...”
นพรุจนิ่ง...
กิตติปล่อยให้เพื่อนจมอยู่ในความสงบ
กิตติสบตากับญาดา และเจนจิรา ต่างไม่มีใครยอมขยับจากเก้าอี้แม้เขาจะกลับกันหมดแล้ว
คุณงามพิศยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเป็นระยะ ๆ และนั่งซึมเป็นเวลานาน ๆ
เสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดหน้าศาลา ทำลายความเงียบสงบแล้วเด็กหนุ่มบนรถมอเตอร์ไซค์ก็ก้าวเข้ามา พร้อมพวงหรีด
“ยังมีควันหลงมาอีก” กิตติพูดเล่น ๆ และเป็นคนเดินออกมารับ
“มีคนฝากผมมาครับ...” เด็กหนุ่มบอก ท่าทางเหมือนกับพวกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
“ขอบใจนะ...เอ้า...เอาไปกินน้ำร้อนน้ำชา” กิตติควักแบงก์ยี่สิบบาทส่งให้
“ขอบคุณครับ” คนส่งพวงหรีดรับแล้วก็ลากลับ
“ใครนะ...ส่งมาซะดึก” กิตติพึมพำคนเดียว และยกพวงหรีดขึ้นอ่าน
พรวลัย สาโรจน์สถิต!
กิตติยืนนิ่งอยู่นาน...ขืนเอาขึ้นแขวน ทุกคนต้องเห็นแน่ ยังไม่ทันทำอะไรเลย...นพรุจก็หันมา...
“ของใครล่ะ...อย่าลืมลงสมุดบันทึกด้วย...” พวงหรีดทุกชิ้นและเงินช่วยงานศพทุกซอง มีจดไว้เพื่อตอบแทนในภายหลัง
“เอ้อ...”
อาการอ้ำอึ้งของเพื่อนทำให้เจ้าภาพหนุ่มแปลกใจ ลุกขึ้นมาใกล้
“พรวลัย สาโรจน์สถิต!”
เหมือนน้ำมันราดกองไฟ ใบหน้านพรุจแดงก่ำ รู้สึกตัวพองจนแทบระเบิด
“เอาไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้!”
เสียงเกรี้ยวกราดของนพรุจทำให้ทุกคนหันมาเป็นจุดเดียวกัน
คุณงามพิศเบิกตากว้าง รี่เข้ามาตรงพวงหรีด กระชากจากมือกิตติอ่านชื่อจนแน่ใจว่าไม่ผิดคน...ก็โยนลงบนพื้น เหยียบย่ำพวงหรีดอย่างคนบ้าคลั่ง
“แก...แก...แกทำให้ท่านต้องตาย!”
“คุณแม่คะ...” ญาดาปราดเข้าจับตัวมารดา
คุณงามพิศตัวสั่น...
พวงหรีด...แหลกอยู่บนพื้นเรียบร้อย
ท่านยังไม่หายแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะถูกญาดาและเจนจิราจับตัวไว้
นพรุจยืนนิ่งไม่ห้ามมารดา เพราะเขาเองก็อยากเห็นมันแหลกลาญย่อยยับลงตรงหน้า!
ญาดาฉุดแขนมารดาลงนั่ง
คุณงามพิศรำพันเสียงเครือ
“ดู๋...ดู...มัน...มันยังกล้าส่งพวงหรีดมาเยาะเย้ย มันเป็นคนทำให้ท่านตาย...มันยังกล้า...”
ญาดากอดแขนมารดาน้ำตาซึม
“คุณแม่ใจเย็น ๆ นะคะ ใจเย็น ๆ ... เราทำลายมันแล้วค่ะ...”
“น้องเล็ก...รุจ...ใครก็ได้ช่วยเอาซากพวงหรีดไปทิ้ง แม่...แม่ไม่อยากเห็น...”
กิตติรีบอาสา
“ผมทิ้งให้...”
เขาหย่อนลงถังขยะหลังศาลาแล้วกลับมาบอก
“เรียบร้อยครับ”
นพรุจพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้สงบ กล่าวกับมารดาเรียบ ๆ ว่า
“เรากลับกันเถอะครับคุณแม่...เราจะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายความรู้สึกของเรา...และชื่อของมันจะไม่ปรากฏบนศาลาวัดเด็ดขาด!”
หยดเทียนพูด...พูด...พูด...จนไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว...พี่สาวก็ยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อน แถมยังคว้าแมกกาซีนแฟชั่น เปิดพลิกหาแบบเสื้อที่หล่อนชอบ
“พี่พร...ฟังเทียนพูดบ้างสิคะ”
พี่พร หรือ พรวลัย ทำหูทวนลม
หยดเทียนพยายามอดกลั้น...กล่าวว่า
“พี่พรคะ...ครั้งสุดท้ายในชีวิต พี่พรก็ยังไม่ยอมไปหรือคะ...”
แฟชั่นหน้าแล้วหน้าเล่า พลิกไปมาอย่างเพลิดเพลิน...จนหยดเทียนสุดจะทนต่อไป...หล่อนปิดหน้าหนังสือของพี่สาวต่อหน้าต่อตา ทำให้พรวลัยหงุดหงิด เงยหน้าถามเสียงเย็น
“เธอจะเอาอย่างไรกับพี่?”