ลายมนุษย์ 01 (โสภี พรรณราย)
ประหยัด: 127.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑…
คฤหาสน์ ‘ชโยดม’กว้างขวางใหญ่โตราวกับปราสาทราชวังปลูกในเนื้อที่เกือบห้าไร่ รายล้อมด้วยเรือนบริวารไม่ต่ำกว่าสี่หลัง พื้นหญ้าสดเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา สลับกับต้นไม้เป็นระยะ ๆ มีสระว่ายน้ำที่ได้มาตรฐาน และการจัดสวนหย่อมให้เป็นสถานพักผ่อนหลายรูปแบบมีอยู่โดยรอบบริเวณ
“บ้านคือวิมานเมื่อเข้าบ้านก็เหมือนสวรรค์” คือคำกล่าวของประมุข เสี่ยฉัตร ชโยดม…เจ้าพ่อแหล่งเริงรมย์ ที่เป็นเจ้าของกิจการนับสิบแห่ง ทั้งบาร์ คลับ ภัตตาคาร คาราโอเกะ ตลอดจนศูนย์การค้าหลายสาขา
ฉัตร ชโยดม เป็นชายสูงวัยอายุหกสิบเศษ มีเชื้อสายจีน รูปร่างใหญ่ ท่านเป็นจีนที่มีตาสองชั้นคมลึกสวมชุดสูทสีกรมท่าเข้ม
คุณประวีณา ผู้เป็นภรรยาหลวงแตกปกเสื้อดูแลความเรียบร้อยให้สามี ก่อนที่ท่านจะออกจากบ้าน
ผู้เป็นภรรยามีเชื้อสายไทยแท้ งามสง่า ออกจะไว้ตัวนิด ๆ เงียบขรึม จึงเป็นที่เกรงขามและเกรงใจของทุกคนในบ้าน
“วันนี้จะไปไหนคะ?”
“นัดหุ้นส่วนใหญ่…จะคุยธุรกิจใหม่กันหน่อย”
“เสี่ยชลัมหรือคะ?”
“อืมม์…”
“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นเสี่ยชลัมเลยนะคะ”
“มันกำลังยุ่งมาก จะไปเปิดกิจการในต่างแดน”
คุณประวีณาเลิกคิ้วยิ้ม
“อะไรคะ…ยังรวยไม่พอหรือไง เสี่ยชลัมมีลูกสาวแค่คนเดียว ไม่รู้จะหาเงินไปทำไมนะคะ เห็นใจ หนูปานวาดจะดูแลกิจการของเตี่ยได้หมดเรอะ”
“พ่อค้าก็แบบนี้ละ มีลู่ทางก็ต้องทำ ฉันจะไปคุยกับเขาหน่อย เผื่อจะร่วมทุนด้วย”
“ท่านก็เหมือนกันควรจะหยุดได้แล้วค่ะ”
ประมุขบ้านโคลงศีรษะ
“ก็คิดจะวางมือ…เหนื่อยมานานแล้ว”
“ลูก ๆ ก็รับงานท่านได้”
เสี่ยฉัตรถอนใจยาว
ลูก…รับงานได้เรอะ?
ไล่เรียงไป…
วัชรพล…ลูกชายคนโตที่เกิดกับคุณประวีณา ก็มีนิสัยเลือดร้อน โมโหง่าย ใจเร็ว มุทะลุ ดุดัน ขาดความรอบคอบ
คนนี้เป็นคนที่ท่านหวังมาก แต่ก็ผิดหวังในนิสัย
ธนกร…เป็นเด็กที่คุณประวีณาเมตตารับเป็นบุตรบุญธรรมมีนิสัยซื่อ เรียบร้อย ตั้งใจ หัวอ่อน แต่มีความกตัญญูเป็นเลิศ
นิสัยเช่นนี้ก็รับงานของท่านไม่ได้
ลูกคนสุดท้าย…ศิลา ที่เกิดกับคุณดวงแก้ว ภรรยารองซึ่งก็อาศัยอยู่ในรั้วบ้านชโยดม โดยปลูกตึกด้านหลังคฤหาสน์ใหญ่นับเป็นเรือนบริวารซึ่งค่อนข้างมีหน้าตา
ศิลา…คนนี้ไม่สนใจธุรกิจการค้า ทุกคนเรียนจบวิชาการบริหารจากต่างประเทศ มีศิลาไม่ยอมไปนอกเพราะเป็นห่วงมารดา และเรียนจบปริญญาคณะวิศวะ นิสัยเยือกเย็น พูดน้อย มีน้ำใจ ฉลาด เหมาะจะรับงานท่านที่สุด แต่ติดขัดที่เป็นลูกเมียน้อย เสี่ยฉัตรยังเกรงใจผู้เป็นภรรยาหลวง อีกทั้งศิลาเองก็ไม่สนใจธุรกิจนัก จะพึ่งพาบุตรชายได้นานแค่ไหนท่านก็ไม่แน่ใจ…
ทุกวันนี้ ลูกชายทั้งสามก็แยกย้ายกันบริหารงานคนละสองสามแห่ง เป็นการหยั่งเชิงว่าใครจะถนัดคุมงานไหน เนื่องจากมีกิจการบาร์ คลับ ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้ามากมาย จึงต้องดูความสามารถเฉพาะ และเป็นช่วงพิสูจน์ฝีมือของแต่ละคน เพื่ออนาคตเสี่ยฉัตรจะได้มอบมรดกให้ถูกว่า ใครจะได้อะไรไปบ้าง
“ลูก ๆ ก็รับงานท่านได้นะคะ” คุณประวีณากล่าวย้ำ
เสี่ยฉัตรพยักหน้า
“ก็ต้องค่อย ๆ ดูไปก่อนนะ”
“แสดงว่าท่านยังไม่ไว้ใจ…”
“ลูก ๆ ยังอ่อนประสบการณ์”
“แต่เขามีความตั้งใจ…”
“เธอหมายถึงใคร?”
“ก็ตาพลกับตากร”
เสี่ยฉัตรทราบว่าภรรยารักวัชรพลซึ่งเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน เพราะเกิดจากสายเลือดอย่างแท้จริง…
ธนกรหรือตากร คุณประวีณาก็รักเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ตายหมดเป็นเด็กกำพร้าซึ่งจัดว่าโชคดีมหาศาล มีสิทธิ์จะได้มรดกจากเสี่ยฉัตร เพราะความกตัญญูนั่นเอง
ส่วนศิลา…ลูกเมียน้อย คุณประวีณาไม่ผูกพัน ออกจะห่างเหิน ถึงอยู่ภายในรั้ว ‘ชโยดม’แต่ก็คนละหลัง
ศิลาแทบจะไม่เคยย่างเหยียบเข้าไป ‘คฤหาสน์ใหญ่’นอกจากความจำเป็นแทบนับครั้งได้ เขาภูมิใจกับ ‘ตึกเล็ก’และพอใจจะใช้ชีวิตสงบสุขตามลำพังกับมารดา เพราะกลัวถูกตราหน้าว่าหวัง ‘มรดก’
“การบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะ”
“แต่ท่านก็บุกเบิก และปูทางไว้แล้ว เด็ก ๆ แค่เป็นคนสานต่อ”
“ยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขัน ต้องมีหัวก้าวหน้าในการปรับปรุง มันไม่เหมือนยุคของฉันหรอก”
ภรรยาโคลงศีรษะ
“ในที่สุดท่านก็ไม่ยอมวางมือเสียที ดิฉันเป็นห่วงท่านนะคะ”
“ฉันยังแข็งแรง”
“ท่านเป็นโรคหัวใจ” คุณประวีณาแย้ง
เสี่ยฉัตรอมยิ้ม
“ฉันก็กินยาอยู่เป็นประจำ ขอบใจมากที่เป็นห่วง…แล้วนี่ไอ้พลกับไอ้กรตื่นหรือยังล่ะ?”
“ยังค่ะ…เมื่อคืนกลับตั้งตีสาม คนหนึ่งคุมคลับอีกคนคุมภัตตาคาร…ต้องกลับเกือบเช้าทุกวัน…”
“ฉันไปละ…นัดเสี่ยชลัมไว้”
คุณประวีณาเดินลงมาส่งสามีถึงรถ
นายปัญญา…บุรุษวัยกลางคนทำหน้าที่เป็นเลขาฯคนสนิทของเสี่ยฉัตร ถือกระเป๋าเอกสารคอยท่าเปิดประตูรอ
ปัญญาเป็นคนที่ท่านไว้ใจมาก รับใช้ตั้งแต่หนุ่ม นอกจากเป็นเลขาฯ ยังเป็นทั้งโชเฟอร์ขับรถ และนัยว่าเป็น ‘มือปืน’คอยดูแลเสี่ยฉัตรอย่างใกล้ชิดยามออกไปนอกบ้าน
เสี่ยถึงกับเคยเอ่ยปากว่า มีปัญญาคนเดียวเหมือนกับมีผู้ช่วยถึงสามคน และเป็นที่รู้กันว่า นายปัญญาซื่อสัตย์สามารถตายแทนท่านได้
“ฝากท่านด้วยนะ” คุณประวีณาเอ่ยปากกับนายปัญญา
เลขาฯคนสนิทของเสี่ยฉัตรก้มศีรษะ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
คุณประวีณาถอนใจยาว…
ทำงานแบบเสี่ย ล่อแหลมต่อความปลอดภัยนัก ศัตรูก็มีบ้าง เพราะบางครั้งก็มีการขัดผลประโยชน์กัน
นายปัญญานั่งประจำที่คนขับ…เสี่ยฉัตรนั่งเบาะหลังซึ่งกว้างขวางเป็นพิเศษ เป็นรถประกอบนอกสั่งทำโดยเฉพาะ
รถเคลื่อนออกไปตามลานซีเมนต์ และแล่นออกจากบ้านด้วยความเร็วปกติ
“ไปบ้านเสี่ยชลัม” เสี่ยฉัตรสั่ง
“ครับผม”
“หนูพิมพิกาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เสี่ยฉัตรเอ่ยถาม
“สบายดีครับผม” คนตอบตื้นตัน ในความเมตตาที่ท่านดูแลเอาใจใส่เขาและบุตรสาว
นายปัญญาเป็นม่าย และมีลูกสาวคนเดียวคือ พิมพิกา
ซึ่งท่านก็รับเข้าทำงาน มีตำแหน่งพอสมควรประจำสำนักงานใหญ่ ‘ชโยดม’
สำนักงานใหญ่…จัดคล้ายเป็นกองบัญชาการ…และเป็นมันสมองของศูนย์รวม…
ผลการดำเนินงาน กิจการทุกแห่ง จะต้องนำเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรถึงสำนักงานใหญ่ทุกเดือน
และจะมีการประชุมเป็นประจำ ประธานก็คือเสี่ยฉัตร กรรมการก็มีลูก ๆ และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งล้วนเป็นคนเก่าแก่ทั้งสิ้น
“พรุ่งนี้เช้าจะมีการประชุมที่สำนักงานใหญ่ครับผม” นายปัญญาบอกถึงหมายกำหนดการล่วงหน้า
“อืมม์…”
นายปัญญามองจากกระจกรถเห็นใบหน้าท่านค่อนข้างซีด ดวงตามีริ้วรอยอิดโรย อ่อนเพลีย
เขารู้สึกกังวลใจและเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก
“เสี่ยไม่สบายหรือเปล่าครับ?”
คนที่นั่งเบาะหลังโคลงศีรษะ
“เปล่า…แต่รู้สึกเหนื่อย”
“ระวังโรคหัวใจกำเริบนะครับ”
“ฉันกินยาแล้ว แกนี่ห่วงฉันเหมือนกับเมียเลยนะ”
“ผมไม่อยากให้เสี่ยเป็นอะไร…”
เสี่ยฉัตรพยักหน้า
“ฉันเข้าใจนะที่แกพูด…มีแกคนเดียว…ปัญญา…ที่เข้าใจความรู้สึกของฉัน ฉันพูดกับแกได้ทุกเรื่องในขณะที่บางเรื่องฉันพูดกับเมียไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องลูก ๆ หนักใจเหลือเกิน…”
“ครับผม…ผมทราบ คุณ ๆ ทั้งสามคนไม่ใช่พี่น้องร่วมบิดามารดา ก็ย่อมมีปัญหา”
“นั่นแหละ ฉันวางตัวไม่ถูกเลย คนโตใจร้อนมุทะลุรับงานใหญ่ไม่ได้ คนรองก็แค่ลูกบุญธรรม หัวอ่อน กตัญญู ก็อยากจะมอบงานให้…คนเล็กศิลา…คนนี้ค่อยมีแววหน่อย เยือกเย็น ฉลาด แต่เขาก็ไม่อยากรับงานฉัน…”
“เพราะคุณศิลาถือว่าตนเป็นลูกเมียน้อยครับ”
“ใช่…ถ้าฉันเอ็นดูศิลาเกินไปฉันก็ไม่รู้จะพูดกับประวีณาอย่างไร…เมียฉันหวังว่าฉันจะยกทุกอย่างให้วัชรพล ซึ่งเป็นลูกคนโตเหมือนกับคนจีนทั้งหลาย แต่ฉันมองการณ์ไกล มากกว่าจะมองแค่ธรรมเนียมจีนอย่างเดียว…เพราะนิสัยใจร้อนมุทะลุของมัน จะพาให้กิจการของตระกูลชโยดมย่ำแย่…”
นี่คือความหนักใจของท่าน…ซึ่งท่านจะพูดกับภรรยาก็ไม่ได้
นายปัญญาเท่านั้น เป็นที่ระบายความรู้สึก และเป็นที่เก็บความลับได้เป็นอย่างดี
“ด้วยสติและประสบการณ์ของเสี่ย ผมเชื่อว่าเสี่ยจะแก้ปัญหาได้”
“อย่ามายกยอกันเลย”
“จริงนะครับ…แต่ตอนนี้เสี่ยก็ต้องถนอมตัว ถนอมสุขภาพมาก ๆ เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบรรดาลูก ๆ และบรรดาคนเก่าแก่ที่อาศัยใบบุญของเสี่ยเลี้ยงชีวิตนับเป็นพันชีวิต ภายใต้กิจการของเสี่ย”
“นั่นสิ…ถ้าฉันเป็นอะไรไปตอนนี้ก็คงระส่ำระส่ายวุ่นวายกันน่าดู”
“อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ” นายปัญญาใจหาย
เสี่ยฉัตรหัวเราะเบา ๆ
“กลัวเรอะ?”
“ครับผม”
“แต่ฉันกลับไม่กลัวตาย…”
“กรุณาอย่าพูดไม่เป็นมงคลเลยครับ”
“แกคิดว่าฉันควรทำพินัยกรรมหรือยัง?”
“เอ้อ…เสี่ยเองก็ยังไม่แน่ใจนี่ครับว่าจะมอบอะไร กิจการไหนให้แก่ใครเลย”
เสี่ยฉัตรพยักหน้าช้า ๆ ผ่อนลมหายใจเหน็ดเหนื่อย
“นั่นสินะ…ปัญหาใหญ่จะทำอย่างไรถึงจะลงตัว…และทุกคนพอใจได้”
“เสี่ยยังมีเวลาคิดและไตร่ตรองอีกนาน”
“ฉันแก่แล้ว…”
นายปัญญาสังเกต…สองสามปีหลัง ท่านทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะโหมงานหนักมาตั้งแต่หนุ่ม พอถึงจุดหนึ่งร่างกายก็แทบรับไม่ไหว แต่ใจท่านยังสู้
ตลอดทาง…ถนนโล่ง ไม่ติดขัด จนเข้าเขตตัวเมือง เริ่มมีรถรามากขึ้น
นายปัญญาใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ…
รถคันหนึ่งแล่นสวนมา…ด้วยความเร็ว…นายปัญญาหักหลบเล็กน้อยแตะเบรค
คุณพระช่วย!
เขาใจหายวาบ…
เบรคไม่ได้!
“เบรคมีปัญหาครับ!” นายปัญญาตะโกนบอกเสี่ยฉัตร…
เสี่ยฉัตรชะโงกมาที่หน้ารถเล็กน้อย เบิกตากว้าง
จากประสบการณ์ นายปัญญารีบบอกว่า
“สายเบรกถูกตัด!”
และในวินาทีต่อมา
“ระวังครับ!”
แต่ช้าไปเสียแล้ว…
รถพุ่งเข้าชนขอบทางอย่างรุนแรง ปะทะเสาไฟฟ้าต้นใหญ่เสียงสนั่นหวั่นไหวแล้ว…ทุกอย่างก็นิ่งสงบ…
วูบเดียว…นายปัญญาซึ่งกำพวงมาลัยแน่น บวกกับคาดเข็มขัดนิรภัย…รู้สึกตัวขึ้น
“เสี่ย!”
เสี่ยกระเด็นมาถึงหน้ารถ…กระจกแตกกระจาย นายปัญญาเห็นแต่…เลือด
“เสี่ย…เสี่ย!”
เขาตกใจลนลานมือไม้เย็นเฉียบ แต่ก็พยายามระงับให้นิ่งสงบ
“เสี่ย…อย่าเป็นอะไรนะครับ…”
เหตุการณ์ฉุกละหุกชุลมุน อาศัยพลเมืองดีอาสารับเสี่ยมาส่งโรงพยาบาล
ร่างของเสี่ยฉัตรถูกจับนอนรถเข็น เพื่อเตรียมเข้าห้องฉุกเฉิน
นายปัญญาวิ่งตาม…จับเตียงแน่น ละล่ำละลักว่า
“เสี่ย…ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ ทำใจดี ๆ…”
ก่อนถึงห้องฉุกเฉินไม่กี่เมตร…เสี่ยฉัตรเริ่มรู้สึกตัว…
“เสี่ย!”
รีมฝีปากขมุบขมิบเบาแสนเบา…หน้าตาของคนเจ็บเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ
“อะไรครับ?”
นายปัญญาแนบหูชิดปากท่าน…จึงได้ยิน
“เกลือเป็นหนอน!”
เตียงเข็นคนไข้ถึงห้องผ่าตัดแล้ว…นายปัญญาก็ถูกกันออกห่าง
“เข้าไม่ได้ครับ…”
ประตูห้องฉุกเฉินปิดสนิท…
นายปัญญายืนพิงกำแพงตึกโรงพยาบาล ตัวแข็งไปครู่หนึ่ง
เสี่ย…เสี่ยต้องไม่เป็นอะไร
ทำไม…ทำไม ไม่เกิดกับเขาจะดีกว่าเกิดกับเสี่ย…
ประโยคสุดท้ายที่ท่านพูด…
เกลือเป็นหนอน!
ใคร?
ใครที่จงใจจะฆาตกรรมท่าน…
นายปัญญารีบสลัดความคิดทิ้งชั่วคราวต้องรีบแจ้งข่าวให้ลูกเมียของเสี่ยทราบ
แต่จะแจ้งใครก่อน…ต้องช็อกแน่…
คนที่เหมาะสมที่สุดก็คือแจ้งผ่านคุณคณิน
คุณคณินเป็นน้องชายคุณประวีณา ซึ่งก็อาศัยอยู่ที่เรือนบริวารหลังหนึ่งภายในรั้ว ‘ชโยดม’
คณินคงจะเป็นคนกลางแจ้งข่าวร้ายของเสี่ย กับทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี
บุรุษวัยกลางคนอายุราวห้าสิบ…รูปร่างใหญ่ ยืนนิ่งอยู่นาน…เมื่อวางสายโทรศัพท์
นายปัญญาโทร.มาแจ้งอุบัติเหตุ!
คณินกำมือแน่น…ใจเต้นแรงราวกลองตี
เสี่ยฉัตรจะเป็นอะไรหรือเปล่า?
ถึงตายมั้ย?
“พ่อคะ…พ่อคะ…”
ลลิตา…บุตรสาวคนเดียวเรียกซ้ำถึงสองครั้ง…คณินจึงสะดุ้ง พึ่งรู้สึกตัว
“ลิตา…”
บุตรสาวขมวดคิ้ว
“ใครโทร.มาหรือคะ…คุณพ่อหน้าซีดจัง”
คณินกลืนน้ำลายยากเย็น
“นายปัญญาโทร.มาแจ้งข่าว…เสี่ยฉัตร…รถ…รถเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้เสี่ยอยู่โรงพยาบาลกำลังผ่าตัด อาหารหนัก”
ใบหน้าลลิตาซีดยิ่งกว่าบิดา
“คุณพระ! ลุงเขยจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เดี๋ยวพ่อจะไปคฤหาสน์ใหญ่เพื่อบอกป้าของแก…และไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย…”
ลลิตาร้อนรน…
“งั้นลิตาไปบอกพี่ศิลานะคะ แยกไปคนละหลัง”
บิดาพยักหน้า
“อืมม์…ดี…แล้วต่างคนต่างไปเจอกันที่โรงพยาบาล…”
“ค่ะ”
ลลิตาวิ่งไปตึกเล็ก…ในขณะที่คณินผู้เป็นบิดารีบเดินแกมวิ่งมาที่คฤหาสน์ใหญ่
คุณประวีณาอยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมวัชรพล และธนกร
ใบหน้าคณินเคร่งขรึม…คุณประวีณาถาม
“มีอะไรเรอะ?”
“ใจดี ๆ กันทุกคนนะครับ…ตั้งสติ…เสี่ยฉัตรเกิดอุบัติเหตุรถชน ตอนนี้อยู่ที่ห้องฉุกเฉินแพทย์กำลังช่วยชีวิตอยู่ครับ”
๒…
“ท่าน!”
คุณประวีณากรีดเรียกคำเดียวแล้วก็เป็นลมหมดสติ
ทั้งวัชรพลและธนกรต่างตกใจในข่าวร้าย แต่ต้องแก้ไขเรื่องมารดาก่อน
“คุณแม่ครับ…”
วัชรพลช่วยบีบนวด ส่วนธนกรวิ่งหายาดม…
พอคุณประวีณารู้สึกตัว ก็ร่ำไห้ปานจะขาดใจ
“เร็ว…ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้…เอารถออก…เอารถออก…”
เห็นสภาพของมารดาแล้ววัชรพลก็กล่าวว่า
“คุณแม่อยู่ฟังอาการที่บ้านดีกว่าครับ ผม…นายกร กับน้าคณินจะไปโรงพยาบาลเอง
มารดาโบกมือ…หน้าซีด
“ไม่…ไม่…แม่ต้องไป…”
“แต่ผมเป็นห่วงคุณแม่…”
“ห่วงคุณพ่อก่อนเถอะ…เร็วสิ…เอารถออก…”
“เอ้อ…”
“เร็ว…”
คุณประวีณาวิ่งออกมาก่อนแล้ว…คณินจึงพยักหน้ากับวัชรพลพลางกล่าวว่า
“ให้แม่แกไปเถอะ…อยู่บ้านรอก็คงทนไม่ได้”
วัชรพล ธนกรและคณินรีบกรูลงมาจากคฤหาสน์…”
ช้ากว่าคนที่ตึกเล็ก…
รถจากตึกเล็กแล่นผ่านไปถึงประตูรั้วแล้ว…เห็นแว่บ ๆ ว่ามีคนอยู่ในรถสามคน
ศิลาเป็นคนขับ…เร็วราวกับจรวดแล่นจากฐาน ลลิตานั่งข้างและคุณดวงแก้วอยู่เบาะหลัง
กว่ารถอีกคันจากคฤหาสน์ใหญ่จะออกตัว คันแรกจากตึกเล็กก็แล่นลับสายตาไปแล้ว
หน้าห้องฉุกเฉิน…
สมาชิกชโยดมอยู่กันพร้อมหน้า แต่ในสภาพที่เงียบกริบ…นอกจากมีเสียงสะอื้นจากคุณประวีณาคนเดียว
วัชรพลและธนกรคอยปลอบมารดาอยู่ข้าง ๆ นาน ๆ จะมองไปทางบ้านเล็กเพื่อสังเกตกิริยา
คุณดวงแก้วเงียบขรึม ช็อก ริมฝีปากเม้มสนิท นั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ ส่วนศิลาเดินกอดอกไปมาสลับกับบีบต้นแขนมารดาเบา ๆ เป็นการปลอบโยนด้วยกิริยาแทนคำพูด
เพราะเขา…ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ทุกคนอยู่ในความทุกข์ทรมานมหันต์
เกือบสองชั่วโมงในห้องผ่าตัด
ลลิตาเดินมาหาศิลา กล่าวเบา ๆ ว่า
“คุณลุงต้องปลอดภัยค่ะ”
ใบหน้าศิลา ซึ่งถอดแบบมาจากเสี่ยฉัตรแทบเป็นพิมพ์เดียว ดวงตาคมมีแววกังวล
“ต้องปลอดภัยแน่ ๆ”
เขาเน้นเป็นการให้กำลังใจตัวเอง
“หน้าพี่ศิลาซีดจังเลยค่ะ”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายยากเย็น
“ผมเป็นห่วงพ่อ…”
เครื่องปรับอากาศในโรงพยาบาลเย็นเฉียบ แต่ศิลากลับเหงื่อแตกร้อนรุ่ม ลลิตาหยิบผ้าเช็ดหน้า ซับเหงื่อบริเวณหน้าผากให้เขา…ศิลาแตะมือหล่อนอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณครับ”
ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างสองหนุ่มสาวก่อตัวขึ้นนานแล้ว เติบโตจากความใกล้ชิดสนิทสนมจนกลายเป็นความรัก ความรักที่บริสุทธิ์ เข้าใจกันและกัน
ทางด้านนายปัญญานั้นนั่งนิ่ง นาน ๆ จะพึมพำว่า
“ไม่น่าเลย ไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้”
ปัญญาไม่พูดถึงเรื่องมีคนตัดเบรค จนกว่าจะนำรถไปพิสูจน์ให้แน่ชัด เขาโทร.เรียกอู่มาลากรถไปแล้ว ภายในวันนี้คงรู้เรื่องล่ะ เพราะช่างจะต้องโทร.มารายงานให้เขาทราบ
เขาเพียงตอบคำถามของทุกคนว่า อุบัติเหตุเกิดเพราะเบรคมีปัญหา
ตอนนี้มีหน้าที่อย่างเดียว คือ…รอ…รอ…ถ้าช่างซ่อมรถโทร.มารายงานตามที่เขาสังหรณ์…
เขาจะประกาศหาฆาตกรมให้ได้…ก็สมาชิกคนใดคนหนึ่งในบ้าน ‘ชโยดม’!
เกลือเป็นหนอน!
ขออย่าใช่เลย…ขอให้เป็นอุบัติเหตุธรรมดาเถอะ
เสียงลิฟต์ที่ข้างห้องฉุกเฉินเปิด…และพิมพิกาวิ่งออกมา ใบหน้าตื่น หล่อนเป็นคนสุดท้ายที่เพิ่งได้รับข่าว…
นายปัญญาเพิ่งโทร.บอกลูกสาว
“พ่อ!”
พิมพิกาสำรวจบิดาด้วยใจร้อนรน
“พ่อไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
“ใช่…แต่เสี่ย…อาการสาหัส…” นายปัญญาบอกบุตรสาวด้วยเสียงเครือ “ท่านมีบุญคุณต่อเราใหญ่หลวง พ่อน่าจะอาการสาหัสแทนท่าน”
หญิงสาวตาแดง หล่อนรู้ซึ้งและสัมผัสถึงความซื่อสัตย์ กตัญญู จงรักภักดีของบิดาที่มีต่อเสี่ยฉัตร
เสี่ยฉัตรเหมือนพ่อพระ…บิดากล่าวกับหล่อนเสมอ
ถึงบิดาไม่บอก หล่อนก็ตระหนักชัด เพราะมีโอกาสได้รับเมตตาจากเสี่ยฉัตร…รับตัวเข้าทำงาน มีเงินเดือนสูง มีเกียรติ ทั้งที่หล่อนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ…เป็นสาวหน้าตาจืด ๆ เรียนจบก็แค่พาณิชย์ ไม่มีปริญญากับเขาสักใบ
พิมพิกาผละจากบิดามาทำความเคารพคุณประวีณาและคณิน
“สวัสดีค่ะ”
คุณประวีณาไม่มีใจรับไหว้ หน้าเหี่ยวแห้งจนชวนใจหาย แล้วก็สะอื้นขึ้นอีก
“เสี่ยฉัตรเป็นคนดี…ท่านจะต้องไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวหน้าจืดคุกเข่าปลอบข้าง ๆ
ยิ่งปลอบก็ยิ่งสะอื้นดัง
วัชรพลดึงแขนพิมพิกาให้ผละออกจากมารดาออกมาสองสามก้าว
“ท่านกำลังเสียใจ เธอพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก เงียบดีกว่า!” วัชรพลหงุดหงิด และใจร้อนตามนิสัย คำพูดที่กล่าวมักจะโผงผาง และไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น
พิมพิกาน้อยใจนิด ๆ เพราะกึ่ง ๆ ถูกตำหนิ…หล่อนแอบชื่นชมวัชรพลอยู่ในใจและพยายามจะใกล้ชิดกับเขา แต่เขาไม่รู้ตัว และไม่มีทีท่าจะสนใจหล่อนสักนิดเดียว
“พิมอยากช่วย…”
วัชรพลขมวดคิ้วเครียด
“ช่วยอะไร…เธอเป็นหมอเรอะ…”
“ช่วยปลอบคุณประวีณา…”
“บอกว่าอย่า…ทุกคนกำลังกลุ้มอยู่ด้วยนะ…ทำไมพ่อต้องอาการสาหัส…ส่วนคุณปัญญาไม่เป็นอะไรเลย!”
นี่แหละ…คำพูดของวัชรพลไม่เคยไตร่ตรองก่อนออกจากสมอง
พิมพิกาผงะ…ดีที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“คุณกำลังจะมองพ่อของพิมผิด ๆ”
เขาโบกมืออย่างรำคาญ
“เปล่า…ฉันก็พูดไปอย่างงั้น ฉันหมายถึงทำไมคนหนึ่งถึงซวย อีกคนถึงโชคดีนัก”
“เสี่ยฉัตรต้องโชคดีเช่นเดียวกันค่ะ”
“รู้มั้ย…พ่อฉันอยู่ในห้องนั้น…สองชั่วโมงแล้ว!” กล่าวอย่างหงุดหงิด
พิมพิกาก็เยือกเย็นพอจะไม่ถือสา
“ก็หมอกำลังช่วยชีวิตท่านนี่คะ”
“โอ๊ย…ปวดหัว!” วัชรพลเลิกพูดกับหล่อน เดินกลับไปหามารดา
ทุกคนกำลังสับสน และรอคอยอย่างกระวนกระวาย
ชีวิตของเสี่ยฉัตรกำลังยื้อแย่งกับมัจจุราช…
ภายในห้องฉุกเฉิน…แพทย์หลายคนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อโอกาสรอดเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์
เป็นหน้าที่และจรรยาบรรณ แม้โอกาสที่เห็น…จะน้อยมากจนแทบหมดหวังก็ตาม…
ชีพจรหัวใจอ่อนลงทุกที…
ทางบ้านของเสี่ยชลัม บุลากร
การรอคอยนัดหมาย เริ่มจากเข้าใจถึงปัญหาจราจร…แต่นานนับเป็นชั่วโมง ๆ ผิดปกติ…จึงทำให้หงุดหงิดบ้าง
หญิงสาวหน้าตาหวานสดใสท่าทางฉลาดร่าเริง นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ บิดาในห้องรับแขก เริ่มสังเกต
ในที่สุดก็เงยหน้าถาม
“คุณลุงฉัตรผิดนัดหรือคะ?”
“สองสามชั่วโมงแล้วนะ…เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนี่”
“รถติดมังคะ”
“รถติดทีไร เขาต้องโทร.มาบอก มือถือก็มีอยู่ในรถ ครั้งนี้แปลก ๆ จะคุยเรื่องสำคัญซะด้วย”
ปานวาดวางหนังสือ ขยับมาชิดบิดากอดแขนท่าน
“เรื่องอะไรคะ?” หล่อนจำเป็นต้องรู้เรื่องของบิดาทั้งหมด เพราะเป็นทายาทเพียงคนเดียว
เสี่ยชลัมขยี้ผมหล่อนเล่น หัวใจท่านมีลูกสาวเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตก็ไม่เคยคิดจะหาแม่ใหม่ให้ปานวาด แม้ว่าลูกสาวจะอนุญาตก็ตาม
ปานวาดเป็นคนมีเหตุผล และใจกว้างสนับสนุนให้บิดามีความสุข แต่บิดากลับไม่ยอมมองผู้หญิงคนไหน
พ่อรักแม่ของลูกคนเดียว…!
“พ่อคิดจะเปิดกิจการในต่างประเทศ…”
หญิงสาวทำท่าจะเป็นลม
“ตายแล้ว…แค่ในประเทศยังไม่พอหรือคะ”
เสี่ยชลัมอมยิ้ม
“ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้นแหละ…”
ปานวาดย่นจมูก
“แต่ปานเห็นพ่อคิดทีไรทำทุกที”
“เฉพาะที่มีลู่ทางกำไร…”
“ถึงขนาดนัดคุณลุงฉัตรมาปรึกษาหารือกัน แสดงว่ามีเปอร์เซ็นต์มากที่จะทำความคิดให้เป็นจริง”
บิดาหัวเราะ
“เรานี่…รู้ทัน…”
หญิงสาวโคลงศีรษะ
“ปานกราบละ…หยุดแค่นี้เถอะค่ะ…พ่อมีปานคนเดียว จะเหน็ดเหนื่อยทำไมคะ…สมบัติที่มี…อีกสิบปานวาด ร้อยปานวาดก็กินไม่หมด…ไม่เหมือนบ้านลุงฉัตรท่านมีลูกชายหลายคน ก็เลยต้องสร้างมากหน่อย แบ่งให้ลูก ๆ ส่วนปานไม่ต้องการอะไรอีกแล้วค่ะ”
“นิสัยพ่อค้า…พอเห็นลู่ทางก็อดไม่ได้”
“แต่ปานขอ…”
“ให้พ่อคุยกับเสี่ยฉัตรก่อน เพราะเสี่ยฉัตรรอบคอบกว่าพ่อ พ่ออาจจะคิดผิดก็ได้…ต้องรอมาปรึกษากัน…”
“ลุงฉัตรไม่มา…เสียฤกษ์แล้วสิคะ” ปานวาดแซว
“ร้ายนัก…ลูกสาวคนนี้…”
“ปานว่า เราโทร.ไปที่บ้านชโยดมอีกทีดีมั้ยคะ?”
“โทร.ไปหลายหนแล้ว…ไม่มีนาย ๆ อยู่บ้านนั้นสักคน”
“แล้วตึกเล็กล่ะคะ?”
“คนที่ตึกเล็กคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก คุณดวงแก้วเป็นเมียน้อย…คุณประวีณาเป็นเมียออกหน้า…รู้กิจการของเสี่ยฉัตรมากกว่า”
“แล้วคุณศิลาจะทราบมั้ยคะว่าคุณลุงฉัตรนัดกับคุณพ่อ?”
บิดาหรี่ตา ย้อนถามยิ้ม ๆ
“เรื่องของเรื่อง…อยากโทร.หาเขาใช่มั้ย?”
ใบหน้าปานวาดแดงเรื่อ ความรู้สึกของหล่อนปิดบังบิดาไม่ได้
“ค่ะ…”
บิดาโคลงศีรษะ
“ปาน…ลูกอย่าลืมนะ ศิลารักกับลิตา แล้วลิตาก็เป็นเพื่อนของลูก ถ้าลิตาบังเอิญรู้ว่าลูกแอบชอบศิลา ทุกคนจะวางตัวกันไม่ถูกนะ”
ความรู้สึกของปานวาดเข้มแข็งเสมอ
“ปานไม่เคยคิดจะแย่งคุณศิลาจากลิตาเลยค่ะ…”
เสี่ยชลัมสงสารบุตรสาว
“ลูกเป็นคนสวยมาก ฉลาด ยังมีโอกาสพบชายอีกมากมาย อย่าพยายามใกล้ชิดกับศิลา ไม่งั้นลูกจะถอนใจจากเขายาก…”
บิดาพูดถูก…
ปานวาดเจ็บแปลบ แต่การแสดงออกของหล่อนคือลักษณะเข้มแข็ง
หล่อนกับลลิตาเป็นเพื่อนสนิทเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เล็ก ทั้งเสี่ยชลัมก็เป็นเพื่อนเสี่ยฉัตร จึงไปมาหาสู่กันเสมอ…
ช่วยไม่ได้ที่ผู้หญิงสองคนจะหลงรักชายคนเดียว…
ศิลา!
แต่ศิลามีใจให้ลลิตา…ปานวาดทราบ…จึงเป็นฝ่ายเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิดเพื่อสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
“ค่ะ…”
“ลูกชายเสี่ยฉัตรมีตั้งสามคน วัชรพล ธนกร ศิลา รูปหล่อนหน้าตาดีหมดทำไมไม่ลองมองคนอื่นบ้างล่ะ…ลูก?”
หญิงสาวก็บอกไม่ถูก เพราะเรื่องความรัก ความพึงพอใจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ห้ามใจไม่ได้
แต่หล่อนกำลังพยายามหยุดหัวใจตัวเอง เพราะหล่อนจะไม่ยอมแย่งศิลาจากเพื่อนรักเด็ดขาด!
ปานวาดรักศิลา…หล่อนก็รักลลิตาด้วย…
ลลิตาเป็นคนดี จิตใจสูง…เหมาะแล้วที่ศิลาจะเลือก
ปานวาดฝืนยิ้มร่าเริงกับบิดา
“ปานยังตาบอดอยู่มังคะ เลยยังไม่เห็นใครเหมาะ”
“ผู้หญิงอย่างลูก…มีผู้ชายแอบหลงรักเยอะนะ…”
หล่อนยิ้มกว้างขึ้น
“มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดค่ะ”
“ทำเป็นพูดเล่นไป…พ่อจะบอกให้มั้ยว่ามีใครแอบรักลูก”
“ไม่ค่ะ…ปานไม่อยากทราบ ปล่อยให้ลึกลับ…สนุกดี” หล่อนเฉไฉไปเรื่องอื่น ตามประสาคนร่าเริงมองโลกสดใส “ปานโทร.ไปหาคุณศิลาก่อนนะคะ เพื่อจะทราบว่าลุงฉัตรมาหาคุณพ่อหรือเปล่า”
กล่าวจบก็หมุนโทรศัพท์…คุยอะไรอยู่สองสามประโยคก็วางสาย…เดินกลับมาหาบิดา
“ไม่อยู่หมด…เด็กรับใช้บอกว่า ทุกคนรีบร้อนออกจากบ้าน แต่ไม่ได้สั่งอะไรไว้”
“ครอบครัวใหญ่ ปกติต้องมีคนอยู่บ้านบ้าง แต่นี่สามหลังทั้งตึกใหญ่ ตึกเล็ก ตึกคุณคณิน ไม่อยู่หมด เออ…ไปไหนของเขานะ”
“ธุระมังคะ…”
“ช่างเถอะ…ไม่เป็นไร…เดี๋ยวเสี่ยฉัตรก็ต้องโทร.มาขอโทษพ่อแล้วค่อยนัดวันอื่นก็ได้ ลูกพูดถูกวันนี้รอจนเสียฤกษ์แล้วนี่”
ที่…โรงพยาบาล…
ทุกคนกำลังมีใจจดจ่อ ณ จุดเดียวกัน คือ…ชีวิตของเสี่ยฉัตร
นายปัญญากระวนกระวายในส่วนของเขา ซึ่งมีปัญหาหนักอึ้งในสมอง นอกเหนือจากคนอื่น ๆ
นึกถึงคำพูดสุดท้ายของท่านก่อนจะถูกเข็นเข้าห้อง…
เสี่ยฉัตรกล่าวอยู่ประโยคเดียว…
เกลือเป็นหนอน!
เท่ากับเป็นปริศนาให้เขาขบคิด…และวิตกกังวลจนบอกไม่ถูก
“พ่อคะ…” พิมพิกาแตะแขนบิดา
ปัญญาโบกมือ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย…พิมพ่อกำลังสับสนมาก…”
พิมพิกาจึงเงียบ…และมองสภาพโดยรอบอย่างอึดอัด
ประตูห้องผ่าตัดน่าจะเปิดออกมาเลย…แทนที่จะต้องรอ โดยไม่รู้จะเป็นดำหรือขาว จะเป็นนรกหรือเป็นสวรรค์
โทรศัพท์มือถือส่วนตัวของปัญญาที่เหน็บอยู่ข้างเอวส่งสัญญาณเรียก
ปัญญาสะดุ้ง…
จากอู่ซ่อมรถแน่ ๆ…
รีบเดินผละห่างออกมาพอสมควร…ใจเต้นระทึก…หยิบโทรศัพท์มาแนบหูด้วยมือสั่น
คนผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความลำบากมาอย่างเขา ไม่น่าจะอ่อนแอเพียงนี้
เขากังวลความอยู่รอดของเสี่ยฉัตร ไม่แพ้คนเป็นลูก เป็นหลาน
ความจงรักภักดีต่อนาย…แผ่นซ่านไปทุกขุมขนในร่างกาย…
“ฮัลโหล…”
“คุณปัญญาหรือครับ…จากอู่ซ่อมรถครับ…”
“อืมม์…” ระงับน้ำเสียงให้นิ่ง…
“เบรคครับ…”
“ทำไม?”
“มีคนตัดสายเบรคครับ!”