แม่ยก (วัตตรา) (EBOOK)

แม่ยก (วัตตรา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: แม่ยก
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

จากใจนักเขียน

        การบอกเล่าสู่ผู้อ่านในเรื่องเหตุผล และแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายแต่ละเรื่องของผู้เขียนนั้น เหมือนเป็นการได้พูดคุยกับผู้อ่าน ซึ่งหลายท่านอาจจะมีคำถามว่า “นึกยังไงถึงเขียนเรื่องนี้” และอาจถามว่า ”อะไรเป็นแรงบันดาลใจ” ผู้เขียนใคร่บอกว่า เมื่อครั้งที่เขียนนิยายขนาดสั้น ผู้เขียนใช้พล็อตสิ้นเปลืองมาก ดังนั้น สิ่งที่อยู่รายรอบตัว หรือคำคม บางครั้งรวมถึงคำด่าทอที่ได้ยิน ภาพที่ได้เห็น จึงถูกหยิบมาเป็นพล็อต เป็นจุดเกิดเรื่องทั้งสิ้น

            นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “แม่ยก” นี้อาจพูดได้ว่า ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ตรงที่มีโอกาสได้เข้าไปคลุกคลีทั้งกับศิลปิน และกับเหล่าผู้ชื่นชอบศิลปินทั้งหลาย (ผู้เขียนยังไม่เรียกว่า แฟน  แม่ยก  หรือ FC)  จึงเกิดความคิด คำถาม และจินตนาการ จากเหตุการณ์ จากถ้อยคำ และจากความประทับใจที่ได้รับ แล้วก็เกิดเป็นความอยากถ่ายทอดเรื่องราวที่ผู้เขียนวางพล็อต ผูกร้อยเหตุการณ์ไว้ บางเหตุการณ์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง บางเหตุการณ์ก็นำความรู้จากแหล่งอื่นมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเนื้อเรื่อง

            ชื่อ “แม่ยก” เป็นการนำเสนอแบบตรงไปตรงมา เล่าเรื่องสาวใหญ่คลั่งไคล้นักร้อง เล่าเรื่องความรักของหนุ่มสาว เล่าเรื่องมิตรภาพของคนเราที่เกิดขึ้นได้ แตกสลายได้ ถ้าไม่รู้จักรักษาไว้ และตามสูตรสำเร็จของนวนิยายไทยที่ต้องมีทั้งคนคิดดี ทำดี และคนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม นวนิยายเรื่องนี้ แม้จะมีข้อมูลจริง บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริง มีสาระมีความรู้ มีข้อคิดแฝงอยู่ แต่ผู้เขียนแนะนำว่าให้อ่านเพื่อความบันเทิง เป็นหลัก มิได้นำเสนอเป็นสารคดี หรือศาสตร์แห่งความเป็นแม่ยกแต่ประการใด แต่หากบางเหตุการณ์ บางประโยคของผู้เขียน หรือบางถ้อยคำของบางตัวละครจะเป็นสาระ เป็นข้อคิดและเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านบางท่าน ก็นับว่าเป็นผลพลอยได้ที่งดงามจาก “แม่ยก” 

                                                                        ด้วยความศรัทธา

                                                                                    “วัตตรา”

 

“แม่ยก”  โดย “วัตตรา”

ตอนที่ 1

ท่ามกลางแดดยามบ่ายที่แผดเปรี้ยง แม้บริเวณที่จัดคอนเสิร์ตจะมีตาข่ายพรางแสงสีเขียวตรึงอยู่กับโครงหลังคาชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ฝูงชนที่มาออกันเต็มลานนั้นรู้สึกเย็นสบายแต่ประการใด

ด้วยความชื่นชอบศิลปินคนโปรดแม้จะร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย บรรดาแม่ยกทั้งหลายก็ยังคงนั่งฟังเพลงอย่างเคลิบเคลิ้ม

บนเวทีคอนเสิร์ต “รวมพลคนรักเพลงลูกทุ่งไทย” เจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก้องกังวานที่กำลังขับขานบทเพลงสะกดผู้ชมอยู่นั้นคือ กฤษณะ ม้าศึก ที่ได้รับฉายาว่า “ลูกทุ่งหน้าใสขวัญใจแม่ยก” เขาเป็นนักร้องลูกทุ่งหนุ่มรูปหล่อ เสียงหวาน และกำลังดังเป็นพลุแตกอยู่ในเวลานี้

พอเพลงจบลงเขาก็วาดลวดลายออดอ้อน

“สวัสดีพี่ป้าน้าอาที่แสนสวยและน่ารักของกฤกษณะทุกคน...คิดถึงจังเลย...คิดถึงกันบ้างมั้ยครับ...ใครคิดถึงขอเสียงดังๆหน่อยนะคร้าบ”

เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆที่อยู่ข้างล่างได้อย่างถล่มทลาย และมีเสียงตอบรับกลับมาอย่างเซ็งแซ่

“คิดถึงมาก...รักนะกฤษณะ”

“ผมก็รักทุกคนเหมือนกันคร้าบ...งั้นเรามาร้องเพลงนี้ด้วยกันนะครับ...อยากรักแม่ยก”

พอเขาพูดชื่อเพลงจบเสียงกรี๊ดสนั่นลั่นลานคอนเสิร์ตก็ดังขึ้นอีก

            นักร้อง กฤษณะ ม้าศึก ผู้นี้ ไม่ใช่ธรรมดา เขามีดีกรีเป็นถึงนักร้องผู้ชนะการประกวดจากเวที “ค้นหาดาวลูกทุ่งกรุงสยาม” หรือเรียกย่อๆ ว่า “The SG” (The Thai Country Singer Guy) ซึ่งเพิ่งจบการประกวดไปหมาดๆ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง และผลงานเพลงในอัลบั้มชุดแรกของเขาก็ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงทั่วประเทศอย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่พอใจอย่างยิ่งของค่ายต้นสังกัด คือ บริษัทนับดาวโปรโมชั่น ซึ่งมีเสี่ยนพคุณ เป็นเจ้าของค่ายและผู้บริหารสูงสุด รวมถึงเจ๊จู หรือ ชูศักดิ์ กะเทยผู้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของกฤษณะ       

และในบรรดาแฟนเพลงทั้งหมดที่เฮโลกันเข้ามาชมคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นครั้งนี้ แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มสมาชิกเว็บไซต์ “รักนะกฤษณะG5” ซึ่งมีคุณนายอุษณีย์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าว และอีกกลุ่มคือ กลุ่มสมาชิกเว็บไซต์ “คนรักกฤษณะG5จุ๊บๆ” ซึ่งมีคุณนายเบญญาวรรณเป็นเจ้าของเว็บไซต์

            ทันทีที่ประโยคสุดท้ายของเพลง “อยากรักแม่ยก” จบลง ทั้งคุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณต่างแย่งกันวิ่งออกไปหน้าเวทีเพื่อคล้องพวงมาลัยติดแบงก์ให้แก่กฤษณะ จนชนกันหกล้มหงายหลังลงไปทั้งคู่ และเมื่อลุกขึ้นมาได้ ต่างก็รีบตะเกียกตะกายไปจนถึงหน้าเวทีเพื่อมอบมาลัยแบงก์ให้นักร้องหนุ่มหล่อคนโปรด

            “นี่ เธอ ฉันมาถึงก่อนนะยะ เธอจะมาแซงหน้าบังฉันทำไมเนี่ย” คุณนายอุษณีย์ส่งเสียงแหวขึ้นด้วยความฉุนเฉียว เมื่อร่างค่อนข้างท้วมของคุณนายถูกบังด้วยร่างผอมเพรียวของคุณนายเบญญาวรรณในนาทีสุดท้ายก่อนถึงหน้าเวที

                “อ๊าย ก็ช่วยไม่ได้นะยะ ใครถึงก่อนก็ต้องมีสิทธิ์ให้ก่อนซียะ ตัวเตี้ยขาสั้นกว่า มาถึงช้าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้” คุณนายเบญญาวรรณตอบโต้อย่างดุเดือดไม่แพ้กัน ส่วนมือก็ชูพวงมาลัยแบงก์พันที่บรรจงประดิดประดอยมากับมือ รวมแล้วหนึ่งหมื่นบาท เตรียมส่งให้นักร้องคนโปรดที่กำลังโปรยยิ้มหวานอยู่บนเวที

ด้วยความดีใจจึงไม่ทันระวังตัว ร่างผอมบางของคุณนายเบญญาวรรณก็ถูกร่างท้วมของคุณนายอุษณีย์เบียดจนเซไปทางหนึ่ง ส่วนตัวคุณนายอุษณีย์เองก็ชูพวงมาลัยแบงก์ร้อยพวงยาวที่รวมแล้วก็เป็นหมื่นบาทขึ้นหวังจะให้กฤษณะเห็นชัดๆ

ฝ่ายคุณนายเบญญาวรรณก็หายอมไม่ ทันทีที่ตั้งหลักได้ ก็ถลาเข้ามายืนบังหน้าคู่แข่งคนสำคัญ ซ้ำยังเหยียบลงไปบนเท้าที่สวมรองเท้าส้นตึกของคุณนายอุษณีย์เต็มแรง คุณนายอุษณีย์ไม่ทันระวังตัวก็กรีดร้องด้วยความตกใจและเจ็บปวด แล้วเสียงร้องนั้นก็ยิ่งโหยหวนขึ้นเมื่อแลเห็นคู่อาฆาตของตนบรรจงสวมพวงมาลัยแบงก์พันให้แก่ กฤษณะ ม้าศึก ด้วยทีท่ากระชดกระช้อย ทั้งๆที่ยังเหยียบอยู่บนเท้าของตน

 ไวเท่าความคิด คุณนายอุษณีย์รวบรวมเรี่ยวแรงสะบัดเท้าออกจากการเหยียบของคุณนายเบญญาวรรณเต็มแรง ทำให้อีกฝ่ายเสียหลัก กระเด็นไปตามแรงสะบัด ก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับที่คุณนายอุษณีย์ก็ชูพวงมาลัยแบงก์ร้อยสีสดสวยขึ้นคล้องคอ กฤษณะ ม้าศึก ได้สมความตั้งใจ

            ทันทีที่กฤษณะก้มตัวลงรับพวงมาลัยจากแม่ยกคนที่สอง เขาก็ส่งยิ้มหวานพร้อมส่งจูบอย่างงามให้แก่คุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณคนละที ก่อนจะลุกขึ้นยืดตัวตรงและเดินหายลับเข้าไปหลังเวทีโดยไม่สนใจอะไรอีก นอกจากคว้าพวงมาลัยที่คล้องอยู่บนคอลงมานับจำนวนธนบัตรทั้งหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะจับซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอกด้านในที่จัดทำไว้พิเศษเพื่อเก็บซ่อนเงินโดยเฉพาะ

            เสียงดนตรีจากเครื่องดนตรียุคใหม่เป็นเสียงระนาดดังขึ้นเพื่อเปิดตัวนักร้องอีกคนหนึ่ง ซึ่งชิงชัยกับกฤษณะมาตั้งแต่เริ่มการประกวดจนกระทั่งผลออกมาว่าเขาแพ้คะแนนโหวตกฤษณะไปเพียงไม่กี่คะแนน เขาคือ ฟ้าคราม แดนไชโย ผู้เป็นอดีตพระเอกลิเกที่มีเอกลักษณ์

ฟ้าคราม เดินสวนกับกฤษณะออกไปหน้าเวที  เขาเริ่มต้นร้องลิเกเพื่อแนะนำตัวอย่างที่ชอบทำเสมอในการปรากฏตัวต่อสาธารณะชนตามสไตล์ของเขา เสียงโห่ร้องจากผู้ฟังผู้ชมข้างล่างเริ่มดังขึ้น จากกลุ่มของคุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณ เพื่อเรียกร้องให้กฤษณะกลับออกมาร้องเพลงอีก ขณะเดียวกัน กลุ่มแฟนเพลงที่สนับสนุนฟ้าครามก็แสดงปฏิกริยาต่อต้านแฟนเพลงฝ่ายตรงข้ามทั้งสองกลุ่มนี้ด้วยความไม่พอใจเช่นกัน

            หลังส่งเสียวโห่กันไปโห่กันมาได้พักใหญ่โดยไม่มีใครสนใจฟังเสียงร้องลิเกของฟ้าครามบนเวทีเลย  ความชุลมุนก็เริ่มขึ้นจากการปาขวดน้ำและตบมือตบต่างสีเข้าใส่กันจนไม่รู้ว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน ฟ้าครามเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งไปหลบหลังเวทีอย่างว่องไวด้วยความเคยชินเพราะบนเวทีตามงานวัดต่างๆ ที่ตนเองเคยร้องในอดีตนั้นก็มักมีการตีกันอยู่บ่อยๆ ครั้นเมื่อหลบไปแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามาดูความเคลื่อนไหวเบื้องล่างพร้อมกับร้องต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ

และแล้วรองเท้าของใครบางคนก็ถูกขว้างขึ้นไป และให้บังเอิญโดนไมโครโฟนที่ฟ้าครามยังคงถืออยู่เข้าอย่างจัง ส่งผลให้ไมโครโฟนนั้นกระแทกปากของอดีตพระเอกลิเกแล้วร่วงหลุดจากมือไป ทำให้เสียงร้องหยุดลงในทันที พร้อมกับเลือดสดๆเริ่มไหลซึมออกจากแผล บริเวณที่ปากกับฟันกระทบกัน เพราะถูกไมโครโฟนกระแทก

คุณนายแม่ยกทั้งสองที่เปิดศึกติดพันกันมาตั้งแต่เมื่อกฤษณะ ม้าศึก หลบเข้าหลังเวที ก็ยังมิได้เลิกราต่อกันแต่ประการใด

            “นี่แน่ะ หล่อนมาเหยียบตีนฉันทำไม”

คุณนายเบญญาวรรณร้องด้วยความแค้น ก่อนปรี่เข้ามาทึ้งผมที่ตีโป่งไว้ฟูฟ่องของคู่แค้นเต็มแรง

            “ก็หล่อนมาเหยียบตีนฉันก่อนทำไมเล่า”

คุณนายอุษณีย์หันมาเถียงขณะคว้าคอของคู่วิวาท ก่อนจะเหวี่ยงออกไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย

            “ก็แล้วแกมากระแทกฉันทำไมเล่า”

คุณนายเบญญาวรรณเถียงอย่างไม่ลดละมือก็ทึ้งเสื้อตัวสวยของคู่แข่งเต็มแรงจนเสียงขาดดังแคว่ก

            “ก็แล้วแกมาบังหน้าฉันทำไมหา…ยัยคุณนายแปดสาแหรก”

แล้ว คุณนายตัวอวบผู้มิได้ใส่ใจกับรอยขาดแนวยาวของเสื้อตัวสวยที่สวมใส่อยู่ นางเหวี่ยงมือตบสีขาวซัดโครมเข้าให้ที่แก้มพองๆของคู่ต่อสู้ด้วยความเจ็บใจ ฝ่ายคุณนายเบญญาวรรณไม่รอช้า เสือกมือตบสีดำทิ่มพรวดเข้าไปที่ท้องของคู่วิวาทเต็มแรง จนตัวงอลงไป

            “หยูดดด!...หยุ…ด!...บอกให้หยุด ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ สันติ และอหิงสา เดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนอย่างเฉียบขาดของสารวัตรทหารในเครื่องแบบลายพรางสีเขียว ที่คอยดูแลความเรียบร้อยดังขึ้นบนเวที แทนที่จะเป็นนักร้องคนใดคนหนึ่ง พร้อมกับร่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกหลายคนต่างก็เร่งกระจายกำลังกันโอบล้อมรอบคนที่ยืนชมคอนเสิร์ตเป็นจุดๆ จากด้านหลังเข้ามาถึงด้านหน้าเวที

ปกติคอนเสิร์ตกลางแจ้งแบบนี้ เหล่าผู้ชมระดับมืออาชีพมักจะมีที่นั่งมือถือ ชนิดที่นั่งแล้วทิ้ง มันคือหนังสือพิมพ์นั่นเอง ส่วนคอคอนเสิร์ตมืออาชีพบางกลุ่มจะมีเก้าอี้เล็กๆแบบพับได้ พร้อมกระติกน้ำหิ้วไปหาที่นั่งใกล้ไกลเวทีได้หมด พอเกิดเหตุโกลาหล ผู้ชมแบบแรกก็จะลุกฮือและพร้อมที่จะเผ่นหนี หรือวิ่งตัวเปล่าเข้าไปชมเหตุการณ์ใกล้ๆได้ง่ายๆ ส่วนพวกหลังลุกฮือพร้อมอุปกรณ์ กลุ่มนี้มักจะถอยหนีไปตั้งหลักก่อน

            เสียงตะโกนนั้นได้ผล!!

ความชุลมุนวุ่นวายทั้งหมดสะดุดหยุดลงในบัดดล ทุกคนยืนนิ่งอยู่กับที่ราวหยุดหายใจ ยกเว้นคุณนายสองคนที่ยังคงยื้อยุดกัน  ตำรวจและทหารส่งสัญญาณให้ผู้ชมด้านหลังนั่งลงกับพื้น ขณะที่ตำรวจสามสี่นายตรงไปหาคุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณซึ่งยังคงยืนหยัดสู้กันเป็นพัลวันท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้สนิทชิดใกล้ของทั้งสองฝ่ายที่รายล้อมอยู่รอบตัว

 ภาพของคู่ต่อสู้ที่ต่างกำลังใช้มือตบประจำตัวคือมือตบสีขาวของคุณนายอุษณีย์และสีดำของคุณนายเบญญาวรรณตบกันไปมา ขณะที่ตำรวจคนแรกที่เข้ามาก็พลันเจอลูกหลงมือตบของคุณนายอุษณีย์เข้าไปเต็มๆ เพราะยั้งไม่ทัน ส่วนคนที่สองซึ่งพยายามจะรวบแขนของคุณนายเบญญาวรรณก็โดนมือตบสีดำเข้าที่หูเช่นกัน เนื่องจากคุณนายเป็นโรคบ้าจี้อยู่แล้ว และไม่ว่าใครที่แตะต้องตัวโดยคุณนายไม่รู้ตัวก็จะต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยๆเนื่องจากอาการชักกระตุกที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของคุณนายนั่นเอง

            ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ สารวัตรทหารผู้ยืนนิ่งขึงอยู่บนเวทีแลเห็นโดยตลอด เขาจึงร้องบอกให้ตำรวจที่กำลังจู่โจมเข้าจับตัวคุณนายทั้งสองคน จัดการควบคุมแม่ยกสองรายนี้เพื่อพาไปสอบสวนที่สถานีตำรวจฐานก่อเหตุทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะต่อไป ส่วนคนอื่นๆนั้นสลายตัวถอยหนีไปตั้งหลักตั้งแต่ได้ยินเสียงนกหวีดครั้งแรกแล้ว

            คุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณ ซึ่งต่างก็เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง และผมเผ้าที่ทำไว้อย่างสวยงามก่อนมาชมคอนเสิร์ตกลายสภาพเป็นรังนกกระจอกถูกพายุ ถูกตำรวจต้อนไปขึ้นรถขังนักโทษที่มีตาข่ายโปร่งกั้นไว้รอบคัน ก่อนจะขับพาไปยังสถานีตำรวจ โดยมีบุญหล้าสาวใช้คนสนิทของคุณนายอุษณีย์ และ นายขลุ่ยคนขับรถของคุณนายเบญญาวรรณ ติดสอยห้อยตามไปด้วย  

ระหว่างทางที่นั่งกันไปในรถ คุณนายแม่ยกทั้งสองต่างนึกสงสารตัวเองที่ต้องมาโดยสารรถกรงขัง ในสภาพที่ต่างก็อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง จึงต่างนั่งกันนิ่งๆสงบสติอารมณ์  ภาพนี้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนตลอดสาย สมุนทั้งสองของคุณนายแม่ยก ซึ่งมองหน้ากันไปมา ต่างก็เกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมา  จึงเปิดฉากวิวาทะกันอีกรอบ ด้วยเสียงอันดังและด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วไม่สบายหู จึงถูกคุณนายทั้งสองพร้อมใจกันตวาดใส่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างหนัก บริวารทั้งสองจึงสงบปากสงบคำกัน แต่กระนั้นบุญหล้าก็ยังไม่วายจะต่อว่าคู่อริอีกจนได้

            “เพราะพวกแกแท้ๆ เชียว ฉันกับคุณนายเลยต้องถูกจับมาเข้าซังเตเนี่ย”

สาวใช้วัยยี่สิบห้าผู้จงรักภักดีต่อคุณนายอุษณีย์เสมอด้วยชีวิตพูดจบก็ค้อนขวับไปที่นายขลุ่ย คนขับรถผู้ติดตามคุณนายเบญญาวรรณราวกับเงาตามตัว ฝ่ายชายเมื่อถูกกล่าวโทษก็หันมาจ้องหน้าฝ่ายหญิงอย่างอาฆาตแค้นเช่นกัน

            “แกจะมาโทษพวกฉันได้ไง ก็พวกแกเริ่มอาละวาดก่อน”

นายขลุ่ยเถียงพร้อมชายตาไปมองเสื้อคุณนายอุษณีย์ที่ถูกเจ้านายตนฉีกทึ้งจนขาดรุ่งริ่ง ดีแต่ว่าสวมใส่เสื้อชั้นในตัวหนา จึงพอปกปิดได้

            “หยุด…หยุดเถียงกันเดี๋ยวนี้” คุณนายอุษณีย์ซึ่งบังเอิญหันมาเห็นสายตาของนายขลุ่ยตวาดอย่างเกรี้ยวกราด

            “โอ๊ย คนยิ่งอารมณ์เสียอยู่ จะเถียงกันไปทำไม ฮะ!”

คุณนายเบญญาวรรณขึ้นเสียงเอาบ้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองก็มีอำนาจไม่แพ้คู่แข่ง ซึ่งก็ได้ผล เพราะลูกสมุนทั้งสองต่างสงบปากสงบคำและหันไปมองลอดลูกกรงรถออกไปสบตาคนบนท้องถนน

เมื่อถึงสถานีตำรวจ  ทั้งหมดถูกต้อนลงจากรถกรงขังผู้ต้องหา คุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณเดินตามกันเข้าไปพบร้อยเวรซึ่งรอพิมพ์คำให้การอยู่ แต่ด้วยต่างคนต่างต้องการจะบอกว่าตนนั้นเป็นฝ่ายถูกและอีกฝ่ายผิด จึงแย่งกันพูดแย่งกันให้การกับร้อยเวรแบบไม่มีใครยอมใคร ทำให้ร้อยเวรถึงกับเกาศีรษะด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า จนท้ายที่สุด ก็ยื่นคำขาดว่า

            “หยุดนะ!!ทั้งสองนั่นแหละ ถ้าป้ายังไม่หยุดทะเลาะกันล่ะก็ ผมจะจับขังหมดทั้งคู่เลยนะ ห้ามเยี่ยมห้ามประกันด้วยเอ้า ดูซิว่า ถ้าเข้าไปอยู่ในกรงแล้วเนี่ย ยังจะมีแรงทะเลาะกันอีกมั้ย”

            “นี่…คุณตำรวจ อย่ามาขู่ฉันซะให้ยากเลย ฉันรู้หรอก ข้อหาทะเลาะวิวาทเนี่ย ยังไงก็ต้องได้ประกันตัวย่ะ แล้วคุณตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์จะขังฉันด้วยเพราะยังไม่มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความอะไรเลย” คุณนายอุษณีย์ ซึ่งถือตัวว่าเป็นภรรยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รีบส่งเสียงคัดค้านตำรวจ พร้อมกับค้อนปะหลับปะเหลือกไปทั่วห้องสอบสวน ขณะที่คุณนายเบญญาวรรณหันมาพยักพเยิดเป็นเชิงสนับสนุนว่า

            “ใช่ๆ ไม่เห็นมีใครมาแจ้งความกล่าวหาพวกเราเลย แล้วเราก็ไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย แค่ซ้อมใช้มือตบเพื่อจะเชียร์นักร้องขวัญใจของเราเท่านั้นเอง จริงมั้ยจ๊ะ เธอ”

            “อ้าว…อ้าว…เดี๋ยวจะโดนข้อหาให้การเท็จอีกกระทงนะ ป้า…ซ้อมเซิ้มอะไรกัน ดูสภาพป้าทั้งสองคนซะก่อนเถอะ หัวหูผมเผ้ากระเซอะกระเซิงซะขนาดนี้เนี่ยนะ แถมยังเสื้อผ้าฉีกขาดกะรุ่งกะริ่งหยั่งงี้ ใครที่ไหนเขาจะเชื่อป้าว่าไม่ได้ทะเลาะตบตีกัน”

            ยังไม่ทันที่ผู้ต้องหาซึ่งถูกเรียกว่าป้าทั้งสองจะได้โต้ตอบอะไรต่อ ร่างของหนุ่มสาวคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนสถานีตำรวจในเวลาไล่เลี่ยกัน

วาสุ ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี หล่อเหลาจนสะกดสายตาของคนที่เตร่ๆอยู่แถวนั้นให้หันมามองซ้ำเพื่อจะดูว่าเขาคือดาราหรือไม่ เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของคุณนายเบญญาวรรณ ชายหนุ่มอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่าก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายของโรงพักขึ้นมาได้ก่อน เขาเอ่ยถามตำรวจคนแรกที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องด้านใน

“คุณตำรวจครับ คือ ผมมาหาแม่ของผม คนชื่อเบญญาวรรณที่ถูกตำรวจจับมาจากเวทีคอนเสิร์ตน่ะครับ”

ขณะเดียวกัน ปรวีร์ หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว ในชุดเสื้อแขนกุดสีชมพูหวานกับกางเกงเอวสูง สีดำสนิทเนื้อผ้าพลิ้วไหวตามแรงลม ผิวขาวสะอาดสะอ้าน แถมยังสวมแว่นกันแดดสีดำสนิท เรียวปากสีแดงตัดกับสีดำของแว่นนั้นทำให้เธอดูสวยสะดุดตา และคนที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ลุ้นว่าเธอคือดาราคนไหน

แต่ความจริงเธอคือบุตรสาวคนเดียวของคุณนายอุษณีย์ ที่เดินตามชายหนุ่มมาติดๆ เธอถามขึ้นบ้างว่า

“คุณตำรวจคะ แม่ของดิฉัน คุณอุษณีย์ที่ถูกตำรวจจับมาจากเวทีคอนเสิร์ตน่ะค่ะ อยู่ไหนคะ”

ยังไม่ทันที่ตำรวจนายนั้นจะตอบ นักข่าวสายโรงพักที่กำลังรอทำข่าวทะเลาะวิวาทแม่ยกของนักร้องดังก็กรูกันเข้ามาถ่ายภาพหนุ่มสาวอย่างไม่ยอมให้ทั้งสองตั้งตัว

“โอ๊ย คุณ….จะถ่ายไปไหนเนี่ย เราไม่ใช่ผู้ต้องหานะ เราแค่จะมาประกันตัวแม่ของเรา พวกคุณจะถ่ายไปทำไม”

วาสุซึ่งปกติก็เลือดร้อนไม่แพ้คุณนายเบญญาวรรณผู้เป็นแม่หันไปเปิดศึกกับนักข่าวอย่างไม่หวั่นเกรง ส่วนปรวีร์ สาวสวยผู้มีฤทธิ์เดชไม่แพ้มารดาคือคุณนายอุษณีย์ ชี้นิ้วกราดไปทางนักข่าวที่มะรุมมะตุ้มอยู่ พร้อมกับตะโกนออกไปว่า

“นี่พวกคุณ จะมาถ่ายฉันทำไมเนี่ย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ แล้วก็ไม่ชอบเป็นข่าวด้วย ถ้าใครเอารูปฉันไปลงหน้าหนึ่งหรือออกทีวีล่ะก็ ฉันจะฟ้องกลับให้หมดทุกสื่อเลย”

จากนั้น ปรวีร์ก็รีบเดินแซงหน้าวาสุเข้าไปในห้องสอบสวน

“คุณแม่!!” ปรวีร์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของคุณนายอุษณีย์ซึ่งไม่เหลือภาพลักษณ์ของคุณนายมาดเนี้ยบอยู่อีกเลย

“แม่!!” วาสุซึ่งเดินตามปรวีร์มาติดๆ ร้องออกมาเต็มเสียงทันทีที่เห็นสภาพของคุณนายเบญญาวรรณ

แต่แล้ว ขณะที่วาสุจะเข้าไปหาแม่เขา ปรวีร์ซึ่งยืนขวางอยู่ก็หันขวับมาต่อว่าชายหนุ่มหน้าคมเข้มผู้นี้ทันที

“เพราะแม่คุณแท้ๆ เลยนะเนี่ย ทำให้แม่ฉันต้องกลายสภาพเป็นแบบนี้ ดูซิ คุณนายอุษณีย์ผู้แสนสวย อดีตเทพีดงองุ่น ต้องกลายยายเพิ้งแบบนี้”

“หนูปอ แม่น่ะ เป็นอดีตเทพีไร่องุ่นนะจ๊ะ ไม่ใช่ดงองุ่น” คุณนายอุษณีย์หันมามองหน้าลูกสาวพร้อมกับค้านเสียงอ่อยๆ

“นั่นแหละค่ะ จะเป็นดงหรือเป็นไร่ คุณแม่ก็เคยเป็นมาแล้ว” ว่าแล้วปรวีร์ก็หันกลับมา ตั้งท่าจะต่อว่าวาสุให้สะใจอีกรอบ ซึ่งฝ่ายชายก็ไม่ยอมแพ้ เขาจ้องหน้าสาวสวยที่ยืนประจันหน้าอยู่อย่างท้าทาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า

“นี่คุณ คุณจะมาโทษแม่ผมฝ่ายเดียวได้ไง ดูสภาพแม่ผมซะก่อนซิ ยังกะถูกหมาไล่ฟัดมาซะขนาดนี้ คุณยังมีแก่ใจจะโทษว่าแม่ผมเป็นต้นเหตุอีกเหรอ”

“เรื่องอะไรมาว่าแม่ฉันเป็นหมาไล่ฟัดแม่คุณฮึ”

“คุณคิดไปเองนะผม เอ่ยชื่อหรือยัง”

“ก็แม่คุณกับแม่ฉันฟัดกันอยู่สองคน...คุณพูดว่าแม่คุณถูกหมาไล่ฟัดก็หาว่าแม่ฉันเป็นหมาน่ะสิ”

“นั่นไง คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าแม่คุณฟัดแม่ผม คนอะไร ช่าง...“

วาสุยังพูดไม่จบประโยค นายร้อยเวรผู้กำลังสอบสวนก็เอ่ยสวนขึ้นมาทันทีอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า

“นี่ถ้าคุณสองคนจะเปิดศึกกันอีกคู่ล่ะก็ ผมจะจับเข้าห้องขังให้หมดทั้งสองครอบครัวเลยนะ…แค่แม่คุณสองคนผมก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว คุณสองคนมาถึงก็ทะเลาะกันแบบนี้ ผมว่าส่งเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องขังกันซักคนละคืน ดีมั้ย”

“ไม่ดี!!” หนุ่มสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“ขังเธอคนเดียวเถอะ”

“ขังนายคนเดียวสิ”

“หยุด หยุดเลยคุณสองคน โอ๊ยหัวผมจะระเบิดอยู่แล้ว”

ทันใดนั้น ข้างนอกห้องก็มีเสียงฮือฮา พร้อมเสียงรัวแฟลชไลท์ดังแทรกขึ้น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของนักร้องลูกทุ่งชื่อดังจะโผล่เข้ามา พร้อมกองทัพช่างภาพและนักข่าวที่ล้อมหน้าล้อมหลังมะรุมมะตุ้มจนแทบมองไม่เห็นตัวนักร้อง

ทั้งวาสุและปรวีร์ก็ตื่นตะลึงกับนักร้องขวัญใจแม่ยก เพราะหนุ่มสาวไม่เคยเห็นตัวจริงของกฤษณะมาก่อน คุณนายอุษณีย์และคุณนายเบญญาวรรณถึงกับลุกพรสดขึ้นจากเก้าอี้ราวถูกเข็มแทง ต่างโผเข้ากอดกฤษณะด้วยความดีใจจนดูเหมือนจะลืมความบาดหมางและขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อกันไปเสียสิ้น

“คุณแม่ที่รักของกฤษณะ...โธ่...โถ...โถ” กฤษณะโอบกอดแม่ยกเอาไว้แนบแน่นข้างละคน ขณะที่ช่างภาพกลุ้มรุมถ่ายภาพที่นักร้องหน้าใสยืนกลางขนาบข้างด้วยหน้ามันๆ ผมยุ่งๆ เสื้อผ้าฉีกขาด ของแม่ยกสองคน

คุณนายทั้งสองมีอารมณ์ชื่นมื่นขึ้นเพราะนักร้องหนุ่มขวัญใจของตนอุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมถึงสถานีตำรวจ

“ปรองดองนะครับ ปรองดอง...แม่ๆของกฤษณะ ไม่โกรธกันแล้วนะครับ”

”ไม่โกรธแล้วจ้ะ” คุณนายอุษณีย์รับปากอย่างหวานหยด

“ดีกันแล้วจ้ะ ดีกัน” คุณนายเบญญาวรรณก็เออออตาม

“เจ๊จูครับ” กฤษณะหันไปหาเจ๊จู หรือชูศักดิ์กะเทยแต่งแมนวัย๓๐ที่พูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับนายตำรวจคนหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากนักร้องหนุ่มมากนัก

ชูศักดิ์รีบโผมาหาศิลปินของเขา จีบปากจีบคอบอกว่า

“เจ๊คุยกับตำรวจเรียบร้อยแล้วจ้ะ กฤษณะ โถ โถ โถ ห่วงใยแม่ยกขอตามมาดูใจ...เอ๊ยมาดูว่าเคลียร์กันได้มั้ย...น้องน่ารักมากเลยนะฮ้าคุณพี่นักข่าวขา”

เขาหันไปอ้อนนักข่าวแทนตัวศิลปิน มีแสงแฟลชวูบวาบขึ้นอีกครั้ง

วาสุและปรวีร์จะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เห็นมารดาของตนเองไปเกาะกอดอยู่กับผู้ชาย...แม้จะเป็นนักร้องดังที่ใครๆก็อยากเข้าใกล้ แต่เพราะต่างเป็นลูกคนเดียวทำให้ทั้งคู่ถลาเข้าไปหมายจะฉุดแม่ตนเองออกมา

แต่...ทั้งสองก็ต้องเบรคเท้าของตนเองไว้เพราะฝ่ามือพิฆาตของชูศักดิ์ที่ยกขึ้นยืนจับไหล่ของหนุ่มสาวไว้

“เดี๋ยวค่ะคุณน้องขา...รีบไปจ่ายค่าปรับให้คุณแม่เถอะค่ะ ชักช้าเดี๋ยวตำรวจเปลี่ยนใจนะจ๊ะ”

ทั้งสองต่างกุลีกุจอไปจ่ายค่าปรับฐานทะเลาะวิวาทให้แก่มารดาของตนจนแทบจะเปิดศึกกันอีกรอบเพราะความที่ต่างฝ่ายต่างก็ใจร้อน ต้องการจะจัดการเรื่องของมารดาให้ได้เร็วที่สุด และต่างก็อยากเสร็จธุระก่อน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024