แก้วตาดวงใจ (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742982249
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 200.00 บาท 50.00 บาท
ประหยัด: 150.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“ลูกจะใช้เวลาสองปีที่เหลือนี่อย่างไรดีคะ พ่อ" ลูกสาวตัวน้อยถามพ่อด้วยสีหน้าปรกติหากผู้เป็นพ่อดวงตาแดงก่ำด้วยความอาดูรอันล้ำลึก "อาจจะปีเดียว ปีกว่า หรือสองปี หรือกว่านั้นอีกนิดหน่อยก็ได้"

"ก็สุดแต่ลูกอยากจะทำ อะไรซีจ๊ะ ลูกอยากทำอะไรล่ะ พ่อยินดีจะสนองความปรารถนาทุกประการ" ผู้เป็นพ่อใช้สำนวนภาษาแสนอ่อนหวานกับลูกสาวคนเดียว อันเป็นสุดที่รักสิ่งเดียวที่ตนเหลืออยู่

 

"มันอาจจะสิ้นเปลืองเกินไปก็ได้นี่คะพ่อ พ่อควรจะมีเงินสักก้อนเก็บไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดหรือเผื่ออนาคต เขาว่าชีวิตตั้งต้นเมื่ออายุสี่สิบ พ่อก็เพิ่งสี่สิบกว่านิดเดียวเอง"

"เพราะพ่อเพิ่งสี่สิบกว่านิดเดียวเอง พ่อจึงยังมีเวลาจะทำงานหาเงินใช้เงินอีกมาก เงินที่พ่อมีก้อนนี้จะใช้อย่างไรก็ได้เพื่อลูก อีกอย่างมันเป็นเงินประกันชีวิตของแม่เขารวมอยู่ด้วย ลูกควรมีสิทธิ์จะใช้มันอย่างเต็มที่ ลูกไม่ต้องห่วงว่าพ่อจะไม่มีอนาคต"

พ่อเลิกคิดถึงอนาคตแล้ว ลูกจ๋า นับแต่สูญเสียแก้วตาดวงใจของพ่อคือแม่ของลูกไป แต่เขามิได้เอ่ยออกมาเป็นวาจา นอกจากแววตาสลดที่ลูกสาวสบตาแล้วก็พอจะเข้าใจดี

"ลูกไม่ทราบว่ามันจะสิ้นเปลืองแค่ไหน"

"ลูกคงไม่ได้ปรารถนาดวงดาว ดวงเดือนหรือเรือยอชท์ท่องทะเลกระมังจึงจะเกินกำลังพ่อ" พ่อฝืนยิ้มมองหน้าลูกสาวร่างบอบบาง เด็กหญิงค่อย ๆ แย้มริมฝีปาก

"ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ ลูกเพียงแต่อยากเห็นบ้านเกิดของพ่อ อยากเที่ยวเมืองไทยให้มากที่สุดเท่าที่ลูกจะไปได้ แต่ไม่ทราบว่าลูกพอจะสมบุกสมบันไหวไหม ลูกไม่ทราบว่าเมืองไทยน่ะ ถนนหนทางการคมนาคมเป็นอย่างไร เท่าที่เห็นในรูปเท่าที่ได้ยินก็ช่างสวยงามอะไรอย่างนั้น ทะเลสะอาด ไม่มีผู้คนหัวดำ ๆ แดงเหลือง เต็มไปหมดจนไม่มีที่จะนั่งจะเดินอย่างที่นี่”

"ถนนหนทางก็ไม่เลวนัก รถราเครื่องบินทุกอย่างก็ใช้ได้ ในกรุงเทพฯอาจจะรถติดหน่อย แต่ลูกคงไม่ได้ต้องการจะไปเผชิญรถติดในกรุงเทพฯใช่ไหม ลูกอยากเที่ยวทะเลหรือ พ่อนึกว่าลูก

 

อยากจะไปเที่ยวรอบโลกเสียอีก ถึงได้เป็นห่วงเรื่องเงิน ถ้ากลับเมืองไทย พักบ้านคุณย่า เที่ยวทั่วเมืองไทย พ่อก็พาลูกไปได้เสมอ ค่าใช้จ่ายที่นั่นถูกกว่าที่นี่หลายเท่า"

"ลูกไม่อยากเที่ยวอย่างเดียวหรอกค่ะ ลูกอยากเห็น อยากรู้จักบ้านเกิดของบรรพบุรุษ พ่อเป็นคนไทยใช่ไหมคะ ลูกเองก็เชื้อชาติไทยแม้จะเกิดที่นี่ก็ตามที"

พ่อฝืนยิ้ม พ่อตอบไม่ถูกดอกว่าลูกเชื้อชาติอะไรแน่ จริง ๆ แล้วบรรพบุรุษของพ่อเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ อพยพหนีความแห้งแล้งอดอยากมาจากประเทศจีน มาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ด แล้วก็มีลูกหลายคน ล้วนถือสัญชาติไทย รวมทั้งพ่อของลูกด้วย

แต่ลูกกลับมาถือกำเนิดในแผ่นดินสหรัฐฯ มีแม่ถือสัญชาติอเมริกัน แต่แม่ของลูกไม่ใช่ฝรั่งผิวขาว แม่ของลูกไม่ใช่คนผิวเหลืองอพยพจากอินโดจีนหรือจากดินแดนแห่งใดในโลกอื่น แม่ของลูกเป็นชาวอเมริกันแท้ ๆ เจ้าของแผ่นดินดั้งเดิม

เพราะแม่ของลูกเป็นคนผิวแดง เชื้อสายอินเดียนแดงมาแต่โบร่ำโบราณ บรรพบุรุษของแม่ของลูกเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นอย่างแท้จริงแต่หามีสิทธิอันใดในแผ่นดินที่ตนถือครองมาแต่โบราณ เพราะถูกผู้ที่ถือว่าตนเจริญกว่ามายึดไปเป็นของตนเสียแล้ว เสียงส่วนน้อยจึงไม่อาจเรียกร้องสิทธิอันใดได้แม้สมควรจะได้

เวรหรือกรรมอันใดที่พาพ่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาพบแม่ถึงที่นี่

พบแล้วพลัดพราก พบแล้วจึงได้รู้ได้เห็นได้ปลง

พ่อเคยน้อยใจที่ปูย่าไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินเพราะเป็นคนต่างด้าว ปู่ทำมาหากินจนพอมีฐานะ ปู่เซ้งตึกแถวเป็นที่อยู่ สัญญายี่สิบปีแต่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดิน ปู่ก็ใช้วิธีเซ้งตึกเช่นเดียวกับคนจีนอื่น ๆ ก็นับว่าพอเหมาะพอดีกับฐานะและกิจการค้าที่ทำอยู่

 


พี่ชายของพ่อซื้อที่ดินได้ ก็ขอเงินปู่ไปซื้อบ้านและที่ดินไว้เป็นของตน พี่ชายสามคนก็สามหลัง พอมาถึงพ่อ ปู่ก็ไม่มีเงินเหลือจะให้พ่อซื้อที่ซื้อบ้านได้เสียแล้ว พ่อก็ไม่ว่าอะไร เป็นลูกคนเล็กในครอบครัวชาวจีนจะมีสิทธิเหนือกว่าพี่ ๆ กระไรได้ พี่ชายใหญ่จึงได้กิจการค้าไป พี่ชายรอง ๆ ลงมาก็มีการงานทำดิบดี นอกจากพ่อ เพราะพ่อสติปัญญาด้อยกว่าพี่ ๆ ไม่อาจเรียนแพทย์ เรียนวิศวะ เรียนได้แค่พณิชยการ จบแค่วิชาชีพชั้นสูง ทำงานได้เพียงแค่เสมียนธนาคารไม่พอกิน บ้านช่องก็ต้องอาศัยอยู่ตึกแถวห้องเก่าของเตี่ยซึ่งตกเป็นของพี่ชายใหญ่

 

เมื่อเตี่ยตาย พี่ชายใหญ่มีครอบครัว น้องชายคนเล็กจึงเป็นเพียงผู้อาศัย กระทั่งมารดาก็เป็นผู้อาศัย แต่ป้าคนเก่งพี่สาวคนหนึ่งของพ่อมีฐานะเพราะร่ำเรียนเก่งเป็นแพทย์หญิงมีชื่อมารับแม่ผู้เฒ่าไปเลี้ยงดู เขาจะตามไปอยู่กับแม่และพี่สาวก็กระดากใจ เงินเดือนก็ไม่ค่อยจะพอใช้ เมื่อมีโอกาสเพื่อนชวนไปเผชิญโชคในสหรัฐฯเขาจึงไปในทันที

ยุคนั้นการเข้าเมืองไม่ยากเหมือนเดี๋ยวนี้ เขาจึงมาทำงานร้านอาหารไทยของพี่สาวเพื่อน ตอนเย็น ๆ ไปเรียนวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเพื่อจะได้นำมาใช้งานได้และขยับขยายไปทำงานในร้านสรรพสินค้าไทยซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำ


บัญชีเก็บข้อมูลต่าง ๆ เงินเดือนเงินดาวดีมีเงินเหลือจนตัวเขาเองสามารถตั้งร้านค้าเล็ก ๆ ของตนเองได้ขายสินค้าไทย ๆ

และเขาก็ได้พบกับแม่ของลูก เธอมาสมัครงานเป็นพนักงานขายชั่วคราว เขาติดใจเธอแต่แรกเห็น เธอผิดกับสาวอื่น ผิวขาวก็ไม่ใช่ผิวเหลืองก็ไม่เชิง เธอทำให้เขานึกถึงพระนางคลีโอพัตราสาวอียิปต์ เขาคิดว่าผิวของพระนางคงจะแดงอมเลือดฝาดเหมือนเธอผู้นี้แหละ

แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าเธอคงเป็นลูกผสมระหว่างคนขาวกับคนดำแต่พระเจ้าเข้าข้างทำให้เธอได้แต่ส่วนดี ๆ มา ปากจึงไม่หนา ผิวจึงไม่ดำจัด ผมไม่หยิกแต่เหยียดตรง หากรู้จักกันมานานเข้าเขาจึงรู้ว่าที่แท้เธอเป็นอินเดียนแดง แต่เธอก็เป็นอินเดียนแดงที่ทันสมัยพอใช้ ครอบครัวของเธอมีเลือดของคนผิวขาวปะปนอยู่ ย่าของเธอเป็นคนขาวแต่นอกนั้นเป็นอินเดียนแดง

แต่เธอก็มีปัญหาเพราะมีคนไม่ค่อยจะยอมรับเธอเหมือนที่พวกคนขาวไม่ยอมรับคนผิวเหลืองอย่างเขา แสดงความรังเกียจ พวกเรฟูจีหรือคนอพยพ การแสดงความรังเกียจของคนพวกนี้ รุนแรงกว่าคนไทยรังเกียจชาวจีนอพยพมากนัก คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ชาวจีนอพยพ แม้บางครั้งจะมีท่าทีดูหมิ่นถิ่นแคลนว่าเป็นพวกเจ๊ก แต่เมื่อพวกเจ๊กมีฐานะทัดเทียมกับตน ก็ยอมรับเป็นอันดีเหมือนที่เขาเคยได้รับการยอมรับมาแล้ว

แต่นั่นแหละนะคนไทยคนจีนผิวพรรณหน้าตาศาสนา วัฒนธรรมประเพณีไม่แตกต่างกันมากนัก การผสมปนเปแต่งงาน

ข้ามเชื้อชาติก็เป็นไปมาแต่โบราณ จนบางทีแยกไม่ออกว่าใครคนไหนเป็นไทยแท้หรือไม่แท้ เพราะนับไปนับมาก็จะมีบรรพบุรุษคนหนึ่งมีเชื้อจีนอยู่บ้าง แต่ที่สหรัฐฯการเหยียดผิวในบางถิ่นยังรุนแรงอยู่ ถึงจะไม่มากเหมือนในยุคก่อนก็ตามที

 

 

เขาเข้าใจเธอ เห็นใจเธอนักเมื่อเธอมีความทุกข์หรือถูกใครพูดจาถากถาง จากความเข้าใจก็กลายเป็นความรักและดำเนินต่อไปจนถึงการแต่งงานกันเงียบ ๆ มีความสุข

 

เธอไม่อยู่ช่วยเขาทำงานที่ร้านค้า เพราะลำพังเขากับผู้ช่วยคนเก่าก็พอจะดำเนินไปได้ดี เธอจึงไปทำงานโรงไฟฟ้า รายได้ดีกว่ามาก

แต่เธอกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิมของเธอ เพราะเป็นห่วงแม่แก่ ๆ ไม่มีใครดูแล วันเสาร์อาทิตย์เธอจะมาอยู่กับเขา

โรงงานอยู่ใกล้บ้านเดิมของเธอมากกว่า การเดินทางไปมาจากที่พักของเขาไปโรงงานนั้นเป็นไปไม่ได้เอาเลย เธอจึงตัดสินใจแยกกับเขาชั่วคราว

"เก็บเงินสักก้อน เผื่อมีลูกไงคะ เราจะได้มีเงินขยายร้าน พอมีเงินมาก ๆ แล้วความฝันอะไรก็เป็นไปได้หมดเลย ใช่ไหม"

เขากับเธอมิได้คุมกำเนิด

"งานไม่หนักค่ะ ทำไปได้จนใกล้คลอดแหละ สวัสดิการก็ดี ลาคลอดได้สามเดือน ได้เงินเดือนเต็ม แล้วยังลาเลี้ยงลูกได้อีกปี ได้เงินช่วยเหลือนิดหน่อย ไม่มีเงินเดือน แต่พอครบปีกลับไป ทำงานอีกได้ ดีนะคะ ลำพังเงินช่วยก็พอเลี้ยงลูกละค่ะ"

"ผมเลี้ยงลูกเองได้ถ้าคุณมีลูกออกมาอยู่ที่นี่ รายได้ของ

เราพอจะเลี้ยงดูกันไปได้ ถึงจะไม่มากมายอะไรนักแต่ก็ไม่ขาดแคลน" เขาบอกอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง

"แต่ฉันเป็นห่วงแม่ แม่อยู่คนเดียว เราเหลือกันแค่สองคนแม่ลูก แม่ช่วยเลี้ยงหลานได้ค่ะ แม่ไม่โบราณถึงขั้นจะเลี้ยงลูกแบบอินเดียนแดงหรอก"

"ให้แม่ย้ายมาอยู่กับเรา"

หล่อนส่ายหน้า

"เป็นไปไม่ได้ที่จะให้แม่ทิ้งถิ่นฐานดั้งเดิม แม่ติดที่มาก แม้เมืองจะรุกเข้าไปจนแถบนั้นกลายเป็นเมืองใหม่ไปแล้ว คนงานมากมาย แฟลตใหม่ ๆ เยอะแยะ แต่แม่ก็อยู่มาจนเดี๋ยวนี้ แต่ฉันก็จะกลับมาหาคุณทุกอาทิตย์นะคะ หลาย ๆ วันพบกันทีมีความสุขออก ตื่นเต้นดี”

เธอพยายามมองทุกสิ่งในแง่ดีเสมอ แม้แต่งงานกันมาหลายปีไม่มีลูกเธอก็ยิ้ม

"ลูกเขาคงจะรอให้เราตั้งตัวได้ดีกว่านี้ก่อน" หล่อนยิ้มให้กับความผิดหวัง เพราะเขารู้ว่าหล่อนอยากมีลูกสายใยรักต่างเชื้อชาติระหว่างเขากับเธอ

"ในสมัยโบราณกาลกระโน้นเราเป็นชาวเอเชียด้วยกัน เชื่อเถอะ ดูผิวเราซี คล้ายกันออก ฉันว่าแผ่นดินนี้กับเอเชียเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันมาก่อน" หล่อนว่า "ลูกเราไม่ต่างเชื้อชาติหรอก ถึงพ่อแม่จะต่างสัญชาติก็ตามทีแต่ลูกมีสิทธิจะเป็นคนอเมริกัน"

"ลูกจะมีสิทธิเป็นคนไทยด้วยเพราะผมไม่ได้โอนสัญชาติ" เขาว่า

"เมื่อเขาโตก็ให้เขามีสิทธิเลือกแผ่นดินที่เขาอยากอยู่เอง"

จะได้เลือกหรือมิได้เลือกก็อาจจะผิดหวังในแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่ ความผิดหวังอันเกิดจากผู้ปกครองแผ่นดินหรือเพื่อนร่วมแผ่นดิน ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เรานี้เอง

แต่เขาไม่อยากจะคิดมาก คิดแต่จะทำมาหากินให้พอมีฐานะ มีความสุขพอควรแก่อัตภาพ ลืมเลือนกระทั่งครอบครัวเดิม ลืมแม่ พี่สาว พี่ชาย จนมีจดหมายแจ้งข่าวมาจากเมืองไทยว่า พี่สาวตาย

เขางุนงง มันน่าจะเป็นข่าวแจ้งการตายของมารดาชรา มากกว่า แต่โลกไม่ค่อยจะยุติธรรมนักดอก แม่ออด ๆ แอด ๆ เพราะ แก่แล้ว แต่เมื่อลูกสาวเป็นแพทย์ดูแลรักษาอย่างดี แม่ก็มีชีวิตยืนยาวมาด้วยดี แต่พี่ลืมดูแลตัวเอง แพทย์หญิงผู้มีชื่อเสียงจึงกลับเสียชีวิตก่อนด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก พี่เป็นสาวแก่ทำแต่งาน แต่พี่เอาหลานสาวมาเลี้ยงคนหนึ่งรํ่าเรียนจนจบพยาบาล และอยู่บ้านเดียวกับย่าช่วยดูแลย่าแทนป้าของตน

เขากลับไปเมืองไทยตามลำพัง มิได้นำภรรยาไปด้วย เป็นการกลับเมืองไทยครั้งแรกในรอบสิบปี เยี่ยมแม่ เผาศพพี่สาวคนดี เห็นหน้าบรรดาพี่ชายสองสามแวบก็เท่านั้นเอง เขาพักอยู่บ้านพี่สาวซึ่งบัดนี้ตกเป็นของหลานสาวที่เอามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม หล่อนบอกเขาว่าจะเลี้ยงดูคุณย่าให้ดี

"อย่างนั้นอาก็หมดห่วง จะกลับไปอเมริกาเพราะครอบครัวของอาก็อยู่โน่น"

"อาคงตั้งรกรากที่โน่นเลยสินะคะ"

"อาจจะเป็นไปได้ ทำมาค้าขายก็ดีพอสมควรแหละจ้ะ ช่วยดูแลคุณย่าให้ดีด้วย"

"อามาเที่ยวเมืองไทยเมื่อไร พาอาสะใภ้กับหลานมาพัก ที่บ้านนี้ได้ทุกเมื่อนะคะ เพราะหนูก็อยู่กับย่าสองคนเท่านั้น"

"อีกหน่อยก็มีคนมาอยู่ด้วย อาจจะหมอหนุ่มหล่อ ๆ สักคนใช่ไหม คงไม่อยู่กันสองคนกับคนแก่หรอก"

แต่จนบัดนี้เขาก็ไม่เคยได้ข่าวว่าหล่อนแต่งงาน ได้ข่าวแต่ว่าหล่อนเป็นพยาบาลหัวหน้าตึก การงานก้าวหน้าดี และมารดาชราของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่

เขากลับมาทำงานของเขาต่อ พบภรรยาสัปดาห์ละสองวัน จากกันในวันทำงาน พบกันในวันสุดสัปดาห์ตื่นเต้นดีมีความสุข ไม่เคยคุยกันเรื่องงานของหล่อน มีแต่หล่อนถามเรื่องงานของเขา เพียงแค่ว่ากำไรดีอยู่หรือ เมื่อเขาบอกว่าดีเธอก็ไม่ซักไซ้ต่อ

แล้วเธอก็มีข่าวดีมาบอกเขา เธอจะมีลูก

ความปรีดาท่วมท้นเต็มหัวใจ เธอเป็นแก้วตาของเขา เมื่อมีลูกลูกย่อมจะเป็นดวงใจ บัดนี้เขาจะมีพร้อมแล้วทั้งแก้วตาและดวงใจ การงานก็พอไปได้ เขาบอกให้เธอลาออกจากงานมาอยู่บ้าน

"ไม่ได้หรอก ห่วงแม่ รออีกสักพักนะคะ เกลี้ยกล่อมแม่อีกสักหน่อยอาจจะสำเร็จ แต่เวลานี้คงยังไม่ได้ อีกอย่างงานไม่เป็นอุปสรรคที่จะมีลูกหรอกค่ะ งานไม่หนักอะไร งานนั่งโต๊ะ"

โรงงานไฟฟ้าแห่งนั้นอยู่นอกตัวเมืองใหญ่ในเขตดั้งเดิม ของอินเดียนแดง ช่างโง่เง่านักที่เขามิได้สนใจหรือเฉลียวใจ โรงงานแห่งนั้นไม่อาจอยู่ในเขตตัวเมืองหรือใกล้ตัวเมืองใด เพราะทาง

 

รัฐบาลของรัฐอาจถูกประท้วง ความที่เขาไม่เคยใส่ใจ อ่านหนังสือพิมพ์บ้างแต่ก็น้อยมาก ภรรยาของเขาก็ไม่เคยบอก เขาเข้าใจเพียงว่าเพราะบริเวณนั้นมีที่ว่างมาก ตั้งโรงงานใหญ่ ๆ ได้สะดวกไม่ต้องกังวลเรื่องมลพิษ คนงานก็มีที่พัก มีที่ทางให้สร้าง บ้านพักอาศัย สวัสดิการดี

เขาเพิ่งมารู้ภายหลังเกิดเหตุแล้วว่ามันเป็นโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์

ภรรยาของเขารู้แต่หล่อนไม่เคยบอกเล่าเขา หล่อนทำงานอยู่ที่นั่นหลายปีทำไมหล่อนจะไม่รู้เล่า แต่หล่อนไม่คิดว่าจะเกิดภัยอันตรายใด ๆ

เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าออกปานนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นได้ การป้องกันอุบัติภัยก็แสนจะวิเศษ หล่อนเชื่อมั่นในรัฐบาล ความ เจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตัวเขาเองก็เช่นกัน

เมื่อเกิดเหตุขึ้นนั้นเขาจึงตกใจแทบช็อก กระนั้นก็ยังหวังว่าจะไม่มีอะไรมาก

ดีเสียอีกที่เธอลาออกจากงานมาอยู่กับเขา หล่อนไม่มีห่วงอีกแล้วเพราะมารดาสิ้นชีวิต

ทางโรงงานพยายามปิดข่าวแต่ข่าวก็เล็ดลอดออกมาได้บ้าง

นิวเคลียร์รั่ว ทางโรงงานอพยพคนงานที่พักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงออกไปได้เกือบหมด หลงเหลืออยู่แต่พวกชนเผ่าดั้งเดิมที่ ไม่ยอมย้ายไปไหน และถึงจะยอมย้ายก็ไม่มีใครสนใจจะไปช่วยพวกเขาออกมา เพราะลำพังคนงานกับครอบครัวก็ช่วยออกมาได้ไม่หมดอยู่แล้ว

 

 

แม่ของหล่อนอยู่บ้านจึงรับรังสีเข้าไปเต็มที่ถึงแก่ชีวิต ตัวหล่อนนั้นอยู่ในรถโดยสารระหว่างการเดินทางมาหาเขา

 

 

นิวเคลียร์รั่วในคืนวันศุกร์ใกล้รุ่ง อาจจะนับว่าเช้าวันเสาร์ก็คงได้ หล่อนออกจากบ้านตั้งแต่ไม่ทันสว่าง นั่งรถโดยสารไปขึ้นรถใหญ่เดินทางระหว่างเมืองเพื่อกลับไปหาสามี

 

เขาเชื่อว่าหล่อนคงไม่ทันโดนรังสีมหาประลัยนั่นอย่างมารดาของหล่อนดอก

โรงงานนั่นตั้งอยู่ในเขตอินเดียนแดง ไม่มีใครประท้วง เพราะคนเหล่านั้นไร้ปากเสียง ชีวิตของพวกเขาไม่สำคัญ ทางการต้องการพลังงานไฟฟ้าไปบริการคนเมืองซึ่งสำคัญกว่า มีปากเสียงในการเลือกตั้ง ไหนเลยจะไร้ความหมายเช่นชนเผ่าล้าหลังไร้ ความหมาย

มารดาของหล่อนจึงตายแม้หล่อนผู้เป็นลูกจะได้รับเงินค่าตอบแทนมาก้อนหนึ่ง แต่ตัวหล่อนก็ได้รับรังสีมาด้วยโดยไม่รู้ตัว หล่อนนึกว่าหล่อนออกมาพ้นรัศมีแล้ว หล่อนหารู้ไม่ว่ารังสีนั้นรั่ว ตั้งแต่หล่อนยังนั่งอยู่ในบ้านของมารดาแล้ว แต่มันรั่วทีละน้อยจน แทบไม่รู้สึก

แม้จะรู้ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว

 

จดหมายติดต่อระหว่าง เมืองไทยกับสหรัฐฯกินเวลาไม่นานเลย หลานสาวหัวหน้าพยาบาลเขียนจดหมาย ให้ความกระจ่างมาเป็นอย่างดี

"ถ้าคุณอาจะมาพักที่นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ เรื่องโรคภัยของแอนนั้น ทางโรงพยาบาลที่หลานทำงานอยู่ช่วยได้ เรามีเครื่องมือทางการแพทย์ทุกอย่างพร้อมมูลเหมือนที่อเมริกานั้นแหละ แพทย์ผู้ชำนาญการก็มี ท่านเคยทำงานอย่างเดียวกันนี้ที่ สหรัฐฯมาแล้วด้วย หลานจะช่วยฝากฝังแอนให้อยู่ในความดูแลของท่าน


การเดินทางไปทะเลทั้งแถบตะวันออก แถบอันดามัน สะดวกทุกอย่าง กระทั่งเรือสำราญก็มี ถนนหนทางชั้นหนึ่ง มีบางแห่งเท่านั้นที่ต้องกางเต็นท์กัน แต่เกาะส่วนใหญ่ก็มีบ้านพัก หลานเองเวลาเหนื่อย ๆ ได้ลาพักร้อนยังเคยไปกับทัวร์ หลานจะหาทัวร์ดี ๆ ที่ราคาไม่แพงนักให้ ถ้าไม่ไปขึ้นดอยขึ้นภูที่รถราขึ้นไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ไฮเวย์เราก็ดี ๆ ทั้งนั้นนะคะ สะพานแขวนอะไรก็มีแล้ว ถึงจะไม่เหมือนสหรัฐฯแต่ก็พอใช้ได้ล่ะค่ะ ขอให้มีเงินเสียอย่างเท่านั้น เมืองไทยบันดาลให้ได้ทุกอย่างเลย

คุณย่าก็บ่นอยากเห็นหลานเพราะท่านไม่เคยเห็นหลานคนนี้เลยนะคะ ท่านคิดถึงคุณอามากด้วย บ่นว่าอาจจะตายก่อนได้เห็นหน้าลูกชายคนเล็กอีกสักหน คุณอากลับมาบ้านก็ดีเหมือนกัน แล้วร้านค้าทางโน้นล่ะคะ คุณอาคงมีคนทำงานแทนแล้วใช่ไหมคะ

ที่บ้านมีห้องพักค่ะ ห้องเก่าของคุณแม่แหละค่ะ กว้างมากเลยอยู่ได้สบาย ๆ ส่วนแอนอยู่ห้องของหนูได้ เพราะปรกติหนูนอนโรงพยาบาลมากกว่าอยู่บ้านอยู่แล้ว คุณอาไม่ต้องสงสัยนะคะ ว่าใครอยู่เป็นเพื่อนคุณย่า เราไม่ได้ทิ้งท่านไว้ลำพังหรอกค่ะ มีคนใช้ดูแลคนหนึ่งกับหลานสาวอีกคนหนึ่ง ลูกคุณลุงใหญ่ เขามาอยู่กับเราเพราะทนพี่สะใภ้ไม่ได้ แต่เขาอยู่ชั้นล่าง ห้องคุณแม่เลยว่าง เชิญคุณอามาพักได้ตามสบาย

ด้วยความเคารพ

           ชูศรี

 

 

คุณแม่ที่หล่อนเอ่ยถึงคงหมายถึงป้าแท้ ๆ ของหล่อนพี่สาวของเขาเอง ชูศรีบอกว่าให้แอนอยู่ห้องของหล่อนได้ แต่แอนจะได้นอนห้องนั้นสักกี่วันกี่คืน ลูกแอนต้องการท่องเที่ยวเมืองไทย ใช้ชีวิตให้สมกับความปรารถนา หล่อนจะเที่ยวไปนอนตามบังกะโล ริมหาด ตามบ้านพักเชิงดอยต่าง ๆ และนอกนั้นก็คงนอนในห้องโรงพยาบาล

คำว่าโรงพยาบาลก่อให้เกิดความอาดูรล้ำลึกจนก้อนสะอื้นจุกคอหอย น้ำตาปริ่มตา

ใครจะว่าลูกผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ก็ช่างเขาเถิด แต่เขาพร้อมจะร้องเมื่อนึกถึงความสูญเสีย ความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจที่ภรรยาของเขาได้รับ ที่ลูกของเขาได้รับ เจ็บปวดทั้งจากโรคภัยและจากการรักษา เข็มฉีดยา เข็มเจาะเลือด มันเจ็บปวดนัก เจ็บจนลูกแอนเคยร่ำร้องไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หากบัดนี้หล่อนชินชา เอ่ยถึงการรักษาพยาบาลและความตายอย่างไร้ความรู้สึก

แอนอายุน้อยนิดแต่หล่อนเห็นความตายความทรมานของคนเจ็บป่วยในโรงพยาบาลจนชาชิน หล่อนจำได้แม้กระทั่งร่างผอมบางมีแต่หนังหุ้มกระดูกของแม่ที่จากไป ตั้งแต่หล่อนอายุได้เพียงสี่ปี

สี่ปีแห่งความทุกข์ทรมาน แม่ของแอนนอนโรงพยาบาล รักษาตัวมาเกือบตลอด ไม่ได้เลี้ยงลูกเลย เขาต้องเลี้ยงลูกเอง จ้างเด็กสาวชาวไทยคนหนึ่งมาช่วย เด็กคนนั้นมาเรียนหนังสือ แต่เรียนเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมงนอกนั้นมารับจ้างเขาเลี้ยงแอน แอนจึงพูดไทยค่อนข้างคล่อง เพราะพี่เลี้ยงพูดภาษาไทยด้วยตลอดเวลา อยู่โรงเรียนโรงพยาบาลแอนพูดภาษาอังกฤษ อยู่บ้านพูดไทยกับพ่อ

 

และพี่เลี้ยง ไปเรียนหนังสือไทยในวันอาทิตย์ ไปวัดไทย อยู่ในชุมชนชาวไทย แอนไม่ชอบชุมชนที่มีแต่คนผิวขาวล้วน ๆ

"เขาไม่ค่อยรับหนูเท่าไหร่" แอนเคยบอก "หนูขี้โรค พวกเขาเบื่ออย่างหนึ่งละ แล้วบางคนเขาก็ว่าหนูเป็นพวกเรฟูจี แอนบอกว่าเปล่า พ่อหนูมาค้าขาย แม่หนูเป็นอเมริกันอินเดียน พวกเขาเลยยิ่งหัวเราะเยาะกันใหญ่ เวลาดูหนังคาวบอยเขาชอบใจกันแต่หนูเกลียดจัง"

แอนย่อมไม่ชอบหนังคาวบอยเพราะไม่ให้ความยุติธรรมกับบรรพบุรุษฝ่ายมารดาของหล่อน หล่อนเกลียดนักกับการเล่นอินเดียนแดง หนังคาวบอยที่พระเอกขี่ม้าไล่ยิงอินเดียนแดง

"โหดร้าย ป่าเถื่อน ไม่ใช่อินเดียนแดงป่าเถื่อน คนขาวป่าเถื่อน"

แอนบ่นเมื่ออยู่บ้านและเปิดพบหนังคาวบอยในโทรทัศน์ หล่อนจะบ่นและเปลี่ยนสถานีรับทันที แต่เมื่ออยู่โรงเรียนแอนจะนิ่ง ไม่พูดอะไรเลย คบแต่เด็กไทยด้วยกัน พูดภาษาไทยกัน หล่อนจึงใฝ่ฝันจะไปเมืองไทย

"เขาว่าเมืองไทยไม่ดีหรอกนะ ยุงชุม นํ้าเน่า นํ้าท่วม รถติด ตามบ้านนอกก็มีแต่ฝุ่นดินแห้งแล้ง" เพื่อนไทยคนหนึ่งบอก "ที่ร้ายก็คือคนว่างงานเยอะ ผู้ร้ายเยอะ"

"แต่ไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช่ไหม"

เพื่อนรุ่นพี่อึ้งไปเพราะรู้ดีอยู่ว่าแม่ของแอนตายเพราะอะไรและแอนป่วยเพราะอะไร

"ใช่ ไม่มี"
"แล้วเขาก็คงไม่ตั้งโรงงานอันตรายในเขตคนชาวบ้าน ๆ ที่ไม่มีปากมีเสียงหรอกนะ"

"เรื่องนี้ไม่แน่หรอก" เพื่อนผู้สูงวัยกว่าเชื้อชาติเดียวกัน ทำท่าครุ่นคิด "ไม่ว่าบ้านไหนเมืองไหน คนด้อยความรู้ในท้องถิ่น ด้อยความเจริญย่อมตกเป็นเหยื่อของคนเมืองผู้กระหายอำนาจ"

แต่แอนก็ยังอยากไปเมืองไทย ถ้าไปแล้วไม่สมใจก็กลับมาที่นี่ได้หรือไปพักที่อื่นได้

"แอน ถ้าเมืองไทยเขาเกิดฟิตตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาบ้างล่ะ"

"โอ ถึงเวลานั้นแอนก็คงไม่ได้อยู่เห็นหรือรู้เรื่องหรอกนะ พี่ตา" คำตอบของแอนทำให้ตุ๊กตาอึ้งไป

"งั้นก็กลับไปเถอะ ไปดูซะว่าดีหรือไม่ดีแล้วกลับมาเล่าให้เราฟัง พ่อแม่เราเขาก็ร่ำ ๆ อยากจะกลับเมืองไทยอยู่เหมือนกัน แต่กลัวว่าจะไม่มีงานทำ ไม่รู้จะกลับไปทำอะไรดี เฮ้อ ทำไมปัญหาเรื่องงานการมันยุ่งยากจังเลยนะ เป็นผู้ใหญ่นี่ไม่ดีเลย ภาระแยะ แล้วยังมีปัญหามากมาย"

"แต่ทุกคนก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ พี่ตาต้องรับสภาพความเป็นจริงแล้วล่ะ คงมีแต่แอนเท่านั้นที่จะไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องรับรู้ภาระปัญหาอะไร ๆ ที่ว่า แต่แอนก็ต้องรับอย่างอื่น เช่น เข็มฉีดยา เลือด แล้วก็ห้องในโรงพยาบาลไง"

"แอน” ตุ๊กตาเสียงเครือด้วยความเวทนาเด็กหญิงรุ่นน้อง "ไม่เป็นไรหรอก พี่ตา แอนชินกับสภาพนี้แล้วและแอนจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ พ่อสัญญากับแอนแล้วว่าจะพาแอนไปเที่ยว


เมืองไทยให้ชุ่มเลย แอนจะไปทะเล ไปภูเขา อยู่กับอากาศอบอุ่น แอนไม่ชอบอากาศหนาว ๆ"

อากาศหนาว ๆ ทำให้แอนยิ่งไม่สบาย เจ็บปวดทุกข์ทรมาน มันเสียดเข้าไปถึงกระดูก

"พ่อพี่ตารับปากพ่อแล้วใช่ไหม"

ตุ๊กตาพยักหน้า พ่อของหล่อนจะดูแลร้านค้าไว้ให้ โดยได้รับค่าจ้างพอสมควร ช่วยดูแลลูกจ้างอีกสองสามคนให้ทำงานให้ดีด้วย

"พ่อทิ้งรากฐานที่นี่ไปไม่ได้ อีกหน่อยพ่อจะต้องกลับมาทำงานต่อ ถ้าไม่ทำก็ขายเสีย เอาเงินไปลงทุนทำอะไร ๆ อย่างอื่น แต่ตอนนี้ต้องเอาไว้ก่อนเพราะพ่ออาจจะเสียเวลาไปกับแอนปีเดียวเท่านั้น อาจจะไม่ถึงก็ได้ ที่จะเกินถึงสองปีน่ะคงยาก"

"โธ่ แอน”

"ไม่ต้องปลงกับแอนหรอกค่ะ พี่ตา แอนทำใจได้ แอน สบายกว่าพี่ตานะคะ เพราะแอนจะไม่ต้องรับรู้ปัญหาของผู้ใหญ่เมื่อโตขึ้นอย่างพี่ตา แอนสบายกว่าเป็นกอง"

ตุ๊กตาน้ำตาซึมแต่พยายามกลั้นไว้ แอนไม่ชอบให้ใครมาร้องไห้สงสารเธอ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยสองพ่อลูกก็เดินทางกลับเมืองไทย ชูศรีอุตส่าห์มารับที่สนามบินทั้งที่เขาบอกว่าไม่จำเป็น แม้สภาพบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปแต่เขาคิดว่าเรียกรถแท็กซี่ไปบ้านได้

"ไม่สะดวกหรอกค่ะ หนูมารับดีกว่า แหมนาน ๆ ที คุณอากับหลานจะแวะมาเมืองไทย คุณย่าดีใจใหญ่"

 

"คุณแม่สบายดีหรือ"

"ก็ประสาคนแก่ เดินไม่ค่อยไหวแล้ว นอนก็ไม่ค่อยหลับ หูไม่ค่อยได้ยิน อ่านหนังสือเข้าแว่นแล้วก็ยังมองไม่ชัด ลำบากนะคะ ดีที่ท่านชอบดูโทรทัศน์ เลยนั่ง ๆ นอน ๆใช้ชีวิตอยู่หน้าจอ รายการหมดแล้ว วัน ๆ ยังไม่รู้จะทำอะไรหนูเลยซื้อวิดีโอให้ดูหนังจีน แหม เปิดซะดังลั่นบ้านเพราะท่านไม่ได้ยิน คนในบ้านงี้ส่ายหน้าแต่ก็จนใจ หนูต้องปิดห้องให้ทึบแล้วติดแอร์ ให้ท่านนอนดูหนังให้สบาย วันละสิบกว่าชั่วโมง"

"นั่ง ๆ นอน ๆ ดูหนังทั้งวันก็เดินไม่ไหวซี ไม่ได้ออกกำลัง"

"ไม่ใช่ค่ะ ท่านเดินไม่ไหวก่อนถึงได้นั่งๆ นอนๆ ดูหนังทั้งวัน ไม่รู้จะทำยังไงนี่คะ ท่านก็บ่นว่าอยู่ไปวัน ๆ ซังกะตายอยู่ ลูก ๆ หลาน ๆ บ้านอื่นเขาก็ไม่เหลียวแล ท่านน้อยใจ"

"อะไร เขาไม่มาเยี่ยมท่านบ้างหรือ ก็อยู่กันแค่นั้น"

ชูศรีหัวเราะ

"ท่านไม่หลงนะคะ ยังรู้วันรู้คืน พอตรุษจีนท่านก็เฝ้าคอยเผื่อลูกหลานจะมาเยี่ยม ก็เจอแต่หน้านังชูกับนังแต๋วทุกวัน คนอื่นไม่เคยเห็น ปีนึงจะมาเยี่ยมถึงสองหนเรอะเปล่าก็ไม่รู้ พอชูว่าเขาก็บอกว่าแหมไม่รู้จะมาทำไมท่านก็หลง ๆ ลืม ๆ แล้ว ธุระการค้าเขามาก วันหยุดก็อยากใช้ชีวิตกับครอบครัวมั่ง เขาไม่เห็นจะต้องห่วงท่านเพราะอยู่ใกล้หมอใกล้พยาบาล สบายดี อ้วนท้วน มีความสุข นอนห้องแอร์ พวกเขาซะอีกยังไม่ได้นอนห้องแอร์เลย สู้ค่าไฟไม่ไหว"

"แล้วทำไมชูสู้ไหวล่ะ"

"ก็ไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ แต่มันจำเป็น" ชูศรีหัวเราะ "ขืน ไม่ติดแอร์ใหัคุณย่าคนทั้งบ้านก็ไม่ต้องนอนเพราะท่านเปิดทีวีดัง ขนาดแปดหลอดสามบ้านแปดบ้านได้ยินหมด คนอื่นด่าตาย คนใช้ จะลาออกหมดน่ะซีคะแต่แต๋วเขาทำงานก็ช่วยค่าไฟ"

ชูศรีหมายถึงญาติซึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย ลูกสาวพี่ชายใหญ่ของเขา

"แต๋วเขาทำงานอะไร"

"แต๋วเขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาเรียนเก่งจบ ปริญญาโททางชีวเคมี เขาทำงานในห้องทดลองด้วย ปีก่อนยังได้วิจัยดีเด่นเลยแต่ไม่ได้คนเดียวนะคะ ได้ทั้งคณะ"

"สาว ๆ ครอบครัวเรานี่เก่ง ๆ ทั้งนั้น คุณแม่เธอไงก็เป็น หมอชั้นเยี่ยม"

"กระนั้นก็ยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเหมือนลูกชาย"

"ก็คนจีนนี่นา แต่จริง ๆ แล้วเขาก็คงภูมิใจหรอกที่เก่งกันทุกคน ครอบครัวเราน่ะยังดีนะไม่กีดกันเรื่องเรียน ไม่เหมือนบางบ้านให้ลูกชายเรียนเท่านั้น ลูกสาวน่ะไม่ได้เรียนหรอก เอาไว้ทำงานบ้านแล้วก็ให้แต่งงานไปรับใช้แม่ผัวต่อ"

"ก็จริงหรอกค่ะ แต่ถึงยังงั้นก็ชอบหาว่าอยู่คาบ้าน ไม่มีใครเอา โธ่เอ๊ย ที่จริงถมเถไปแต่เราไม่ต้องการเองต่างหาก หาห่วงผูกคอมาทำไม ดูแต่คุณแม่ซิ ทำงานตั้งแต่สาวจนแก่ไม่เห็นต้องง้อผู้ชาย"

"อ๊ะ พูดอะไรยังงั้น อาก็ผู้ชายนา"

"แหม ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ อาเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยจะ

 

 

หลงความเป็นผู้ชายของตัวนี่นา ดูซี เลี้ยงลูกก็ได้ทำงานบ้านก็ได้"

"คงเพราะอาน่ะไม่ค่อยเก่งเรื่องหน้าที่ของผู้ชาย ทำงานก็ไม่เก่งเรียนก็ไม่ได้เรื่อง ไม่จบปริญญา ก็อาจบแค่ ป.ว.ส. ไปนอกก็แค่ประกาศนียบัตรคอมพิวเตอร์มาใบ ทำอะไรได้เล่า นี่เพราะทำมาค้าขายพอได้ แต่ที่โน่นสมัยสิบกว่าปีก่อนนั่นมันก็ง่ายกว่าเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ลองไปซีลำบาก เข้าเมืองก็ยาก หางานทำก็ยาก คนตกงานเยอะแยะ คนอพยพก็เยอะแยะ"

ตลอดเวลาที่เขาคุยกับชูศรี แอนนอนหลับมาในรถ แอน เพลียเพราะสุขภาพไม่ดีอย่างหนึ่งและเพราะผิดเวลาด้วย เวลาเมืองไทยกับสหรัฐฯต่างกันหลายชั่วโมง

"แอนคงเพลีย พักสักสองสามวันค่อยไปเช็คร่างกายกับหมอจินต์นะคะ"

"พักนี้เขาสบายดี คงเพราะสบายใจจะได้มาเมืองไทย นี่ผิดเวลามากกว่า ตอนมาบอกว่าให้แวะโตเกียวจะพาเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่นั่นเขาไม่เอา จะรีบมาเมืองไทย เขาว่ามันคงไม่ต่างกับดิสนีย์แลนด์ที่โน่นเท่าไหร่ เขาเคยไปมาแล้ว"

"เท่าที่ทักกันสองสามคำที่สนามบิน รู้สึกแกจะพูดไทยได้พอสมควร คงคุยกับคุณย่ารู้เรื่องนะคะ"

"แกพูดคล่องเทียวละ อ่านเขียนได้ด้วยเพราะเขามีพี่เลี้ยง เป็นคนไทย วันอาทิตย์ก็ไปเรียนภาษาไทย ไปวัดไทยด้วย แก เหมือนเด็กไทยทั่วไปแหละ มีบางคำเท่านั้นที่อาจจะไม่ชัดนัก"

"ดีจริง หน้าตาแกก็ไทย ไม่มีเค้าฝรั่งเลย"

"แอนมีเชื้อฝรั่งไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์"

 

"หือ ทำไมงั้นล่ะคะ" ชูศรีงง หล่อนไม่ทราบเรื่องของอาสะใภ้มากนัก

"แม่ของแอนไมใช่คนขาว เป็นคนอินเดียนแดง แต่ย่า เอ้อ ทวดซีนะทวดของแอนน่ะ ย่าทวดเป็นฝรั่งนอกนั้นผิวแดงทั้งนั้น”

"มิน่า แกถึงตัวเล็ก นึกว่าแอนจะตัวโตกว่านี้ เห็นเด็กฝรั่งโตกว่าเด็กไทยทั้งนั้นเลย"

"แอนตัวเล็กกว่าอายุมาก" เสียงของเขาชักเครือ "เพราะสุขภาพมากกว่าเชื้อชาติ"

"แต่เทียบกับเด็กไทยแล้วแอนก็ไม่เล็กมากหรอกค่ะ" ชูศรี ปลอบใจอาของหล่อน "อย่าไปเปรียบกับพวกลูกเศรษฐีกินดีอยู่ดีแล้วกัน พวกนั้นเขามาตรฐานฝรั่งกันแล้ว มาตรฐานไทย ๆ น่ะค่ะ”

ชูศรีชำเลืองมองลูกผู้น้อง แอนบอบบาง ผิวพรรณซีดเซียว น้องเอ๋ย น่าสงสารแท้ ๆ เข้า ๆ ออก ๆโรงพยาบาลอย่างนี้แกจะมีอายุยืนยาวไปได้อีกกี่ปีกัน

แม่ของแกอยู่ได้เพียงสี่ปีเมื่อรับรังสีมรณะนั้นมา แล้วแอนล่ะ แกอยู่มาได้สิบสองสิบสามปีแล้ว จะอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด แกคงเจ็บปวดทุกข์ทรมานไร้เรี่ยวแรง อายุน้อยนิดเท่านี้ต้องผจญกับความทุกข์อันใหญ่หลวง ขาดแม่แล้วยังเจ็บป่วยแต่พ่อของแก บอกว่าแอนไม่เคยปริปากบ่นมาหลายปีแล้ว แกรับสภาพของแกแต่โดยดี

ชูศรีถอนใจใหญ่ ไม่เหมือนคนบางคนสบายแล้วยังไม่พอใจสักที หล่อนชำเลืองมองหน้าอา ยังเป็นหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีอายุก็เพียงสี่สิบกว่า ๆ อาครองความเป็นม่ายมานานเกือบสิบปี

 

แล้วเพราะเห็นแก่ลูกคนนี้ เขาจะทนไปได้อีกนานเท่าไร จะมีผู้หญิง คนไหนอยากได้เขาบ้างนะ ถ้ารู้ว่าเขามีภาระในการเลี้ยงดูลูกสาวขี้โรค เจ็บออด ๆ แอด ๆ และค่ารักษาพยาบาลที่เมืองนอกก็คงแพงมาก

"คุณอาคะ ค่ารักษาหลานแอนที่โน่นคงแพงมากใช่ไหมคะ"

"อาไม่ได้จ่ายหรอก กองทุนโรงไฟฟ้าจ่าย เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันไม่คุ้มกับสภาพจิตใจและความสูญเสียของเราเลย บางครอบครัวเขาฟ้องร้องกันเป็นเงินล้าน ๆ แต่อาไม่ ได้ฟ้องอะไรหรอกถือเสียว่ากรรม เขาก็จ่ายแล้วนี่นะ"

"แล้วมาเมืองไทยนี่ล่ะคะ คุณอาต้องจ่ายเองหรือเปล่าคะ" เขาสั่นหน้า

"โรงไฟฟ้าจ่ายนั่นแหละ อาส่งบิลไปเก็บได้"

"คุณอาคิดอย่างชาวพุทธหรือคะว่ากรรมเก่าที่จริงต้องฟ้อง ต้องเรียกร้อง มันไม่ถูกต้องนี่คะ"

"อาเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอเมริกันเรื่องซู เอ้อ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันเป็นเรื่องใหญ่ต้องทำกันเป็นกิจจะลักษณะ แต่อาไม่อยากทำ มันรบกวนจิตใจเราให้ไม่ได้พบกับความสงบเสียบ้างเลย อาต้องการความสงบ เงินทองที่ได้มาถึงอย่างไรก็ไม่คุ้มกับความสูญเสียของเรา กี่ล้านก็ไม่คุ้ม อาไม่ต้องการเป็นเศรษฐีจากความตายของลูกเมีย"

"งั้นพวกนักธุรกิจก็เคยตัวแย่ นึกจะทำอะไรก็ทำ ถ้ามีคนคิดอย่างคุณอามาก ๆ ล่ะก็”

“คนอื่นเขาไม่คิดหรอก เขาก็ฟ้องกันไป ที่ฟ้องรวมก็มีชื่ออากับแอนด้วยเพราะเป็นผู้เสียหายด้วยนี่ แต่ที่เขาฟ้องแยกอา

 

ไม่เอาหรอก”

“ค่อยยังชั่วหน่อย ยังมีชื่อฟ้องรวม แต่ข่าวเรื่องนิวเคลียร์รั่วนี่ไม่เห็นเคยได้ยินใครพูดถึง ไม่เหมือนคราวก่อนที่รัสเชีย พูดกันซะทั่วโลก"

"เธอลืมไปละมังว่ามันนานแล้ว สมัยนั้นกลไกของการข่าวไม่เหมือนสมัยนี้ การปิดข่าวอะไรก็ง่ายกว่า มันโรงแรก ๆ นะ ความเสี่ยงมันมาก การปิดข่าวก็เข้มงวดกว่ากัน ทุกอย่างมันก็เลยเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ไง"

ชายหนุ่มใหญ่มองลูกสาวตัวน้อย ฝืนยิ้ม

"แต่จะเงียบหรือไม่เงียบ อาก็สูญหมดแล้วทั้งแก้วตา และดวงใจ เงินทองช่วยอะไรอาไม่ได้หรอก ชู"

ชูศรีน้ำตาซึม

"อาปลงได้ ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ ผิดหวัง ทุกข์ทรมาน เมื่อมีเวลาเหลืออยู่แค่นี้ก็รีบหาความสุขใส่ตัวเสีย ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแอนเขา"

ชูศรีมองอาอีกครั้ง เขายังหนุ่มหล่อ แต่แววตาของเขามันฟ้องว่าผจญกับความทุกข์ความสูญเสียอย่างหนัก ดวงตาคู่นั้นเศร้าสร้อยโศกสลด

เหมือนดวงตาลูกสาวของเขาไม่ผิดเพี้ยน

 

 

 

 

คุณย่ามองหลานสาว ด้วยสีหน้าและแววตาไม่ยินดียินร้ายนัก ท่านยินดีที่ลูกชายกลับมาเยี่ยมเยือนมากกว่า สำหรับหญิงจีนชราแล้ว ลูกหลานผู้หญิงไม่ใช่สิ่งน่าชื่นชมเท่าไร

"อายุเท่าไรแล้ว เออ แล้วทำไมมากันพ่อลูกเอง แม่ล่ะ พูดไทยได้ไหม เราน่ะ"

"ได้ค่ะ" เด็กหญิงตอบเรียบๆ เริ่มรู้สึกมึนงงกับอากาศร้อนระอุของประเทศไทย พอเข้าไปในห้องคุณย่าซึ่งปรับอากาศไว้เย็นฉํ่า ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ทำให้เด็กหญิงรู้สึกปวดศีรษะ

 

 

 

 

 

 


"อายุเท่าไหร่ ชื่ออะไร ทำไมแม่ไม่มาด้วย เขาไม่อยากมาเมืองไทยใช่ไหมล่ะ อยู่โน่นมันเจริญกว่ากันใช่ไหม ย่าเห็นในโทรทัศน์"

"แอนอายุสิบสามแล้วค่ะ"

"อาไรนะ สิบสาม ทำไมตัวเท่าลูกแมว สิบสามน่ะเป็นสาวจนมีผัวได้แล้ว นี่เท่าเด็กแปดเก้าขวบ"

ชูศรีว่าท่านไม่หลงแต่ลูกชายรู้สึกว่าท่านมีอาการเลอะ เลือนแล้ว พูดจาไม่นึกถึงนํ้าใจใครอันเป็นอาการของคนแก่เริ่มหลง ท่านเกิดเมืองไทยแต่ได้รับการอบรมแบบคนจีนและแต่งงานกับจีนนอก คิดอะไรผิดยุคผิดสมัยอยู่เสมอ

"แอนเขาสุขภาพไม่ค่อยดีครับ แม่ เลยตัวเล็กกว่าอายุหน่อย"

"เมียแกทำไมเขาไม่มาล่ะ หรือรังเกียจบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่จริงเมืองไทยตอนนี้ก็อยู่สบายแล้วนี่นา” "แม่คงลืมไปละมังว่าเขาเสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้ว" ลูกชายพูดช้า ๆ "แอนไม่มีแม่"

"เอ แม่จำไม่ได้ งั้นรึ แล้วมีแม่แอนนี่คนเดียวเรอะ แล้วแกไม่มีเมียใหม่เรอะ เกือบสิบปีแล้ว เออ น่าจะหาเมียใหม่ มีลูกอีกซักสามสี่คนได้แล้ว เผื่อได้ลูกชายสักคน อาไร มีแต่ลูกผู้หญิง เจ้าสามคนพี่แกก็เหมือนกันลูกชายน้อยจริง ๆ มีแต่ลูกผู้หญิง สมัยนี้เขาอะไรกันไม่ยอมมีผัวกันสักคน อยู่แก่ขึ้นคาน คาขวางประตูบ้านกันทั้งนั้น ตั้งแต่เจ๊แกเชียว"

เขาหัวเราะ พยายามอารมณ์ดีกับมารดาชรา

 

 

"อ้าว แม่ก็ ถ้าเขาแต่งงานไปกันหมดแล้วแม่จะอยู่กับใคร" "หนอย มันย้อน ใช่ซี พวกแกมันก็ทิ้งฉันไปหมด หนีไปอยู่เมืองนอก หนีไปอยู่คฤหาสน์ พ่อแม่ไม่สนใจ ไปหาความสุขส่วนตัว ทิ้งไปกันหมด"

"ก็เราต้องทำมาหากินนี่ครับ ผมอยู่เมืองไทยเงินเดือนนิดเดียวไม่พอกินก็ไปตั้งตัว เรื่องปกติ ดูแต่เตี่ยยังอพยพหนีมาอยู่เมืองไทย ทิ้งพ่อแม่เมืองจีนเหมือนกัน แต่แม่โชคดีนะครัน เจ๊เป็นหมอ เรียนเก่ง ทำงานเก่ง หลานสาวก็ดี เป็นหัวหน้าพยาบาล ชูเขาเป็นหัวหน้าตึกแล้วนะครับ แต๋วก็อาจารย์มหาวิทยาลัย เขาไม่แต่งงานซีครับดี ได้อยู่เป็นเพื่อน อยู่ปรนนิบัติแม่"

"มันอยู่กันที่ไหน วัน ๆ"

"ก็ไปทำงานกัน แต่ก็มีเงินจ้างคนใช้มาปรนนิบัติแม่ไงครับ" หญิงชราถอนใจ

"มันก็ทิ้งฉันไว้ตรงนี้แหละทั้งวัน มันไม่ยอมมาคุยอะไรกับฉันหรอก"

"ก็เขาทำงานบ้าน แต่แม่ก็เรียกเขาได้เสมอไม่ใช่หรือครับ"

นางพยักหน้า มองหลานสาวอีก

"เสียดาย เป็นลูกผู้หญิงซะหมด สายแกมันจะกุดเอา พอตายแล้วใครจะเซ่นไหว้ แต่งงานไปก็เป็นของแซ่อื่น แกกลับมาอยู่บ้านเถอะ สี่ หาเมียสักคน แล้วมีลูกสักสองสามคน ยังไม่ช้าไปหาสาว ๆ หน่อย"

"ไม่ล่ะครับ แม่ ผมจะอยู่เมืองไทยซักปีเท่านั้น พาแอนมาเที่ยว"

 

 

 

"เที่ยวอะไรเป็นปี ๆ ไม่ต้องเรียนหนังสือเรอะ”

"พักไว้ก่อนได้นี่ครับ"

"แล้วงานอะไรของแกล่ะ" แม่สงสัย "ทิ้งได้เรอะ”

 "ผมทำร้านค้า ฝากเพื่อนไว้ได้ครับ อยากพาแอนมา เมืองไทย ดูอะไร ๆ สักปีแล้วค่อยกลับ เรื่องเรียนน่ะหยุดได้"

เขาไม่อธิบายเรื่องการเรียนของแอน ปีหนึ่ง ๆ แอนได้ เรียนหนังสือไม่กี่เดือน เพราะเจ้าหล่อนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก หนังสือไทยก็เรียน ๆหยุด ๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าหล่อนจะไม่มีวันหายเขาก็ให้แอนหยุดเรียน เมื่อตกลงกันว่าจะใช้ชีวิตช่วงที่เหลืออยู่นี้ให้เต็มที่แอนก็ไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือแล้ว

"สมองของแอนมีไว้รับรู้ความเจ็บปวดเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่สองปีที่เหลือนี้แอนจะพยายามซึมซับความสุขที่พอจะหาได้ไว้บ้าง" แอนบอก

พ่ออยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของแอน มาบ้างแต่ก็เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นสิ่งใดไม่เหลือบ่ากว่าแรงพ่อจะพยายามสรรมาให้ลูกก่อนการพลัดพรากชั่วนิรันดร์

"ผมจะพาแอนไปนอนล่ะครับ แม่ ผิดเวลามาก เวลานี้ที่โน่นเป็นกลางดึก ท่าทางจะง่วง"

"พาลูกไปไหว้เตี่ยซะมั่งนะ ที่สุสานสระบุรี" หญิงชราไม่วายเตือน "แกก็เหมือนกันไปหลายปี ไม่ได้ไหว้เตี่ยเลย เช็งเม้งหนนี้ต้องไปนา"

เขาสะกิดลูกให้กราบย่าแล้วถอยออกมา สีหน้าของแอนบอกให้เขารู้ว่าหล่อนปวดศีรษะ

 

 

"แอนปวดหัวหรือ"

"แอนมึนมากกว่า" เด็กหญิงกดขมับสองข้าง "ร้อน ๆ หนาว ๆ น่ะคะ ไม่ดีเลยในห้องคุณย่าเย็นมากแต่ข้างนอกร้อนมาก"

"ห้องของหนูมีแอร์เหมือนกัน พ่อจะเปิดให้แต่ไม่ให้หนาวมากเอาแค่พอสบาย ๆ ซักกี่องศาดี ยี่สิบดีไหม"

แอนพยักหน้า ปากว่าชอบอากาศร้อน แต่หล่อนก็ชินกับอากาศเย็น หากหนาวจัดก็ไม่ถูกกัน อากาศขนาดหน้าหนาวเมืองไทยคงกำลังดี

"หนูนอนซะ แอน พ่อจะนั่งเป็นเพื่อน กลางคืนอย่าล็อกห้องล่ะ พ่อจะได้เข้ามาดูหนูได้ เผื่อไม่สบาย อ้อหนูกินยาสักหน่อยดีกว่า แก้ปวดนะ ลูก"

แอนมียาหลายชนิดที่หมอให้มาไว้กินประจำ เด็กหญิงกินยาแต่โดยดี ขณะก้าวขึ้นเตียงหล่อนก็ถามข้อสงสัย

"พ่อเป็นจีนหรือเป็นไทยกันแน่คะ"

"ทำไมล่ะ ก็ลูกจีนเกิดเมืองไทย ปนๆ กันน่ะลูก ทำไมหรือ หนูสงสัยอะไร"

"ก็คุณย่าพูดเรื่องเซ่นไหว้ เรื่องสุสาน หนูก็สงสัย แล้วทำไมคะเป็นผู้หญิงไม่ดียังไง"

"ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่คนจีนนิยมมีลูกชายไว้สืบสกุล กลัวว่าตายไปแล้วจะไม่มีคนเซ่นไหว้สุสาน แต่โลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แอนไม่ต้องกังวล คุณย่าท่านอยู่ในยุคห้าสิบปีที่แล้ว ความคิดความอ่านของท่านก็คือคนยุคก่อน อย่าสนใจหรือถือสาอะไรเลย"

"แล้วพ่อจะแต่งงานใหม่ไหมคะ ที่จริงแอนเป็นตัวถ่วง

พ่อแท้ ๆ ถ้าไม่มีแอนพ่อคงแต่งงานใหม่กับสาวสวย ๆสักคน แล้วมีลูกชายอย่างคุณย่าต้องการ"

"พ่อมีแอนก็พอแล้ว พ่อมีแม่คนเดียวก็พอแล้วลูก"

"แต่อีกไม่นานพ่อจะไม่มีใครสักคน"

แอนกุมมือบิดาไว้ น้ำตาซึมทั้งพ่อทั้งลูก

"พ่อจะไม่มีแม่ ไม่มีแอน พ่อจะเหงาแย่ พ่อแต่งงานใหม่ อย่างที่ย่าแนะนำซีคะ"

"พ่อไม่คิดอะไรตอนนี้หรอกลูก เวลาสองปีนี่พ่อให้แอนทั้งหมด พ่อไม่ต้องการใคร ไม่มีใครแทนแม่แทนแอนได้หรอกจ้ะ พ่อต้องการอยู่กับแอนให้มากที่สุด ให้แอนมีความสุขบ้าง"

เด็กหญิงถอนใจยาว หลับตา

"นอนเสียเถอะลูก ถ้าหนูสบายดี พ่อจะพาไปชายทะเล ในอีกสองสามวันนี่แหละ"

"ไม่ไปไหว้เตี่ยของพ่อหรือคะ เตี่ยนี่คือปู่ใช่ไหมคะ"

"เตี่ยแปลว่าพ่อ" เขาอธิบาย "ยังไม่ต้องไปหรอก สุสานน่ะ เรายังมีเวลาอีกนาน รอไว้เช็งเม้งโน่นไปพร้อมญาติ ๆ ดีกว่า ไปกันลำพังไม่สะดวก อาจจะรบกวนพี่ชูเขา เพราะพ่อไม่มีรถ ถึงมีพ่อก็ขับรถในเมืองไทยนี่ไม่ได้หรอก เวียนหัวตาย รถแยะ ขับคนละข้างกันด้วย"

"แล้วเราจะไปทะเลยังไงกันคะ"

"พี่ชูบอกว่ามีทัวร์รับจัดการพาไปหลายบริษัทเราไปรถทัวร์ เขาบริการเราทุกอย่างแหละ ชูจะเลือกทัวร์ดี ๆ ให้ หาที่มีพนักงานบริการเป็นผู้หญิงด้วย แอนจะได้มีเพื่อนคุยเวลาเหงา ๆ ไม่งั้นต้องคุยแต่กับพ่อแล้วพ่อเองก็ไม่รู้จักเมืองไทยเท่าไหร่ จะได้มีคนอธิบายเรื่องเมืองไทยไง"

แอนยิ้มทั้งนัยน์ตาหลับ ครู่เดียวก็เงียบไป ลมหายใจสม่ำเสมอ ผู้เป็นพ่อจึงออกจากห้องนั้นลงไปชั้นล่าง ชูศรีกลับไปทำงานโรงพยาบาลแล้วแต่หลานสาวอีกคนเพิ่งกลับเข้าบ้าน

แต๋วยกมือไหว้อาคนเล็กของหล่อน

"น้องแอนล่ะคะ"

"หลับ ผิดเวลา นี่คงอีกหลายวันกว่าจะปรับตัวได้ เออ อยู่กันลำพังผู้หญิงแถวนี้คงไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ขับรถกันเอง ทันสมัยดี สะดวกนะ อาคงขับไม่ได้หรอก"

"ค่ะ กลับมาใหม่ ๆ บ่นกันทุกคน แต่ไม่มีรถก็ไม่ไหว ไปทำงานไม่สะดวก พึ่งรถเมล์ละก็ตายแน่ มันแน่น เช้า ๆ งี้ห้อยโหนกันยังกะลูกสมุนพระราม"

"ไม่เปลี่ยนเลยละซี ตั้งแต่อายังเด็ก"

"เปลี่ยนนิดนึงค่ะ ตรงรถแยะเวียนหัวมากขึ้นไงคะ รถติดกว่าเดิม รถเมล์แน่นเหมือนเดิม คุณย่าคงดีใจซีคะ คุณอากลับมาเยี่ยม"

"ก็งั้น ๆ แหละ ดีใจเหมือนกันแต่ไม่มาก จากกันนานแล้ว อีกอย่างอาไม่ใช่ลูกชายคนที่ท่านภูมิใจ เป็นคนล้มเหลว เข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ จนก็จน ลูกชายก็ไม่มี"

แต๋วหัวเราะแค่น ๆ

"ยังดีกว่าพวกแต๋วน่า ลูกหลานผู้หญิงไม่มีความหมาย สืบตระกูลไม่ได้ ตั้งแต่แก่น้อยจนแก่มากก็พึ่งพาแต่ลูกสาวหลาน

 

สาวยังไม่วาย" ท่าทางแต๋วน้อยใจคุณย่าของตนอยู่มาก "พ่อก็เหมือนกันค่ะ โฮ้ย อย่างแต๋วจะทำอะไรได้แค่ไหนก็ไม่มีความหมาย"

"เลยหนีมาอยู่นี่"

"เปล่า แต๋วมันนิสัยไม่ดี เข้ากับพี่สะใภ้ไม่ได้ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันรำคาญ แล้วก็ไม่สะดวกด้วย อย่างคนใช้ในบ้าน จะเรียกใช้มันก็ไม่ได้ คนของเขาให้ซักผ้าขัดรองเท้าหน่อยมันก็ไม่ยอมทำ บอกนายจ้างให้ทำอย่างอื่น ไอ้เราจะจ้างอีกคนมาก็เปลืองอาหารของเขา จะทำเองก็ไม่มีเวลา"

"ครอบครัวใหญ่ อยู่รวมกันก็งี้แหละ ขัดแย้งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องเล็กก็เป็นเรื่องใหญ่"

"แต๋วเลยย้ายมาอยู่นี่ พ่อเขาว่าแก๊งสาวแก่ เขาจะให้แต๋วแต่งงาน แต๋วไม่เอา ขี้เกียจไปปรนนิบัติแม่ผัว" ท่าทางของแต๋ว ออกจะนักเลง ๆอยู่สักหน่อย "ครอบครัวคนจีนเหมือนกัน ทำมาค้าขาย ขืนแต่งไปแต๋วก็ไม่ต้องทำงานกัน โฮ้ย ไม่เอา ร่ำเรียนมาแทบตายให้ไปนั่งหน้าร้านขายเพชร พ่อว่าขายวันเดียวกำไรมากกว่าเงินเดือนแต๋วครึ่งปี แต่แต๋วทำงานครึ่งปีเงินเดือนนิดเดียวแค่พอกิน ทีนี่ได้วิจัยอะไรดี ๆ ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ไม่มีค่ากว่าไปนั่งขายหินขายถ่านเรอะ แหม ไอ้เพชรนี่มันก็ถ่านแปรรูปแท้ ๆ เห่อกันไปได้"

"ความเห็นไม่ตรงกันงั้นเถอะ"

แต๋วพยักหน้า

"โดนด่าซะไม่มีดีที่ไม่ยอมแต่งงาน คุณย่างี้ตัวดี” แต๋วนึกอะไรขึ้นมาได้ "อาสี่ล่ะคะ ไม่แต่งงานใหม่เรอะ รับรองว่าคุณย่าต้องถาม"

เขาหัวเราะหึ ๆ

"อามาอยู่แก๊งขึ้นคานกะพวกเธอไง"

"เปรียบกันได้ไงล่ะคะ อย่างอาสี่น่ะพ่อม่ายเนื้อหอมละมัง มีร้านรวงอยู่เมืองนอก ต้องมีสาวไทยสนใจแน่ ๆ จะได้ไปอยู่อเมริกา โธ่ ไปชุบตัวไง"

"สมัยนี้น่ะยากแล้ว กระทั่งหมอหรือพยาบาลยังลำบาก เขาไม่ได้ต้องการมากมายเหมือนก่อน พวกอพยพก็แยะ บางเมืองน่ะเขาไล่คนตะวันออกกันยังกะอะไร ถูกลอบทำร้ายก็มาก เขาว่าไปแย่งงานพวกเขา คนตกงานมาก คนผิวเหลืองผิวดำน่ะถูกรังเกียจยังกะอะไร”

"แต่คนไทยก็ยังอยากไปอยู่ดี ไปเห็นอะไร ๆ มั่งไงคะ ไปดูโลก ไปเรียนต่อ มีปริญญาเมืองนอกกลับมา ทำงานเงินเดือนดีกว่าปริญญาเมืองไทย"

"ไปเรียน ไปดูโลกก็พอไหว แต่อย่าคิดไปตั้งตัว ไป ทำงาน หรือไปตั้งรกรากอยู่โน่น แต่อย่างอาน่ะกลับตัวไม่ไหวแล้ว อยู่โน่นเกือบยี่สิบปีได้แล้ว"

"หมายความว่าอาสี่จะกลับไปอีกรึคะ" แต๋วมองหน้า

"แอนเขาอยากมาเที่ยวเท่านั้น ให้เวลาแอนเขากลับมา อยู่นี่อาจะมาทำงานอะไรได้ล่ะ แต๋ว อยู่โน่นอายังมีร้านขายของของไทย นี่ก็ฝากเพื่อนไว้ ให้ค่าแรงเขาแพง ๆ ให้เขาดูแลไว้ให้"

"กลับไปจะไม่มีปัญหารึคะ เดี๋ยวเพื่อนอม"

"ไม่หรอก หลักฐานเรียบร้อย มีทนายความดูแล แต่ระหว่างที่อยู่นี่อาคงต้องบินกลับไปดูอะไร ๆ มั่ง ซักห้าหกเดือนครั้ง
แล้วก็ต่อใบอะไรต่อมิอะไร แต่แอนน่ะไม่มีปัญหาหรอกเพราะถือสัญชาติอเมริกันอยู่แล้ว ไปกลับเมื่อไหร่ก็ได้"

"อาสี่ให้เวลาแอนเขาตลอดไปรึคะ" แต๋วทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แม้นิสัยนักเลงแค่ไหนแต่หล่อนก็เป็นผู้หญิง ซาบซึ้งกับนํ้าใจของพ่อคนนี้

"มันไม่ได้นานอะไรหรอก อย่างมากก็สองปี น้อยไปด้วยซ้ำ อาไม่มีเวลาอยู่กับเขานานนักหรอก ถ้าพระเจ้ามีจริง อามีเวลาอยู่ในโลกนี้อีกสักยี่สิบปี อาอยากจะแบ่งให้แอนสักครึ่ง เราจะได้อยู่ด้วยกันและตายพร้อมกัน อาคงมีความสุขกว่านี้ แต่พอนึกอีกที แอนเขาจะต้องอยู่อย่างคนป่วย เข้าโรงพยาบาล รักษาตัว ถ่ายเลือด เจาะเลือด กินยา อาต้องการให้เขาทรมานไปอีกสิบปีทำไมกัน เพียงเพื่ออาจะได้ไม่เหงาจะได้มีเพื่อน เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว เวลาแห่งความทุกข์ทรมานความเจ็บป่วยน่ะสองปีก็มากเกินไปแล้ว ชีวิตสิบห้าปีที่แอนอยู่ในโลกนี้ก็ทุกข์ทรมานเกินพอแล้ว สิบห้าปีเชียวนะ แต๋ว แล้วอายังอยากจะเฉือนเวลาของอาให้เขาอีกสิบปี เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน มันไม่ถูกต้องจริง ๆ"

แต๋วน้ำตาไหลพราก

"แต๋วไม่คิดว่าจะมีพ่ออย่างอาสี่อยู่ในโลกนี้ พ่อที่จะยอมอายุสั้นอีกสิบปีเพื่อลูก มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวนะคะ มันคือความรัก"

"ความรักที่เรียกร้องให้ลูกอยู่ทุกข์ทรมานเพื่ออยู่เป็นเพื่อนตัวในโลกมนุษย์อีกสิบปีนี่คือความเห็นแก่ตัวนะแต๋ว ความรักที่เรียกร้องให้ตัวเองคือความเห็นแก่ตัว ความรักที่แท้จริงจะต้องเป็นการให้ ให้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตของตัว แต่อาช่วยเขาไม่ได้เลย

 

 

 

ทั้งแม่และลูก"

เขาถอนใจยาว กลั้นน้ำตา

"อย่าร้องไห้ไปเลย เดี๋ยวคุณย่าจะมาเห็นเข้า อาไม่ได้บอกใครหรอกนะเรื่องนี้ นอกจากชู"

"อาไม่ต้องการให้แต๋วบอกใครใช่ไหมคะ"

"อาไม่ต้องการความสังเวชจากผู้คน หรือคำถามไม่จบสิ้น ที่อาต้องการบอกชูก็เพราะต้องพึ่งพาชูเขาเรื่องหมอเรื่องโรงพยาบาล ส่วนแต๋วอยู่กับชูก็ต้องรู้อยู่ดี อีกอย่างอาไม่ต้องการคำสรรเสริญ หรือคำเยาะเย้ย แอนก็ไม่ชอบให้ใครมาซักมาถามมาสังเวชเขา แต๋ว ช่วยคุยกับน้องเหมือนไม่รู้อะไรเลยจะดีที่สุด เพราะพูดไปพูดมา แอนจะโทษตัวเองว่าเป็นตัวถ่วงให้พ่อไม่ได้แต่งงานใหม่ ที่จริงมันไม่ใช่ เพราะไม่ว่าใครก็มาแทนที่แม่ของแอนกับแอนไม่ได้ อาไม่ต้องการให้แอนสะเทือนใจ"

"ค่ะ แต๋วเข้าใจ"

"ขอบใจ หลาน"

 

 “เที่ยวไปค้างวันค้างคืน มันดีที่ไหนยะ แม่แป๋ม ไปทีห้าคืนสามวันเดือนนึงกี่ครั้ง นอนค้างอ้างแรม บริการคนทั้งรถ หางานอย่างอื่นทำไม่ได้เรอะ หรือขอเขานั่งประจำสำนักงาน ถึงกลับค่ำกลับมืดก็ไม่ต้องค้างอะไร เป็นสาวเป็นนาง เที่ยวตะลอน ๆ ไปทำงานจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าไปเที่ยวกะแฟน"

มารดาบ่นเสียงไม่ค่อยนัก หญิงสาวเจ้าของนามแป๋มยักไหล่ หล่อนฟังกรอกสองหูอยู่แทบทุกวันที่อยู่บ้าน เบื่อแสนเบื่อแต่หล่อนไม่คิดจะปฏิบัติตาม น้องชายแอบกระซิบขึ้นว่า

"หาสำลีอุดซะ พี่แป๋ม”

"ไม่อุดหรอก บ่นได้บ่นไป ก็จะทำยังไง พ่อเขาก็หนีไป หาความสุขของเขา เราก็ต้องช่วยตัวเอง ขืนนั่งประจำสำนักงาน ก็ได้อดตาย เงินเดือนสองพัน ทำงานจนสี่ทุ่ม ล่วงเวลาก็ไม่กี่ร้อย ได้ไม่ถึงสามพัน ทำแบบนี้อดนอน เหนื่อยหน่อยแต่มันคุ้ม ปิดเทอมนี้แกไปช่วยมั่งนะ จะได้มีเงินค่าเล่าเรียน ทำงานชั่วคราวก็ยังดี โตแล้วเกาะแม่เกาะพี่มันไม่ถูก"

"พ่อเขาคงเบื่อเสียงบ่นน่ะซี" ป๋องเปรยเข้าข้างพ่อ พี่สาวค้อนขวับ

"อ๋อ ผู้ชายเหมือนกันเลยเข้าข้างกัน อย่ามาอ้างหน่อย เลยเรื่องเสียงบ่นน่ะ เมื่อก่อนแม่เขาก็ไม่ขี้บ่นอย่างนี้หรอก อีกอย่างถึงแม่จะขี้บ่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างเรื่องความรับผิดชอบ ถ้าพ่อเขาไปมีเมียใหม่หาเสียงหวาน ๆใส่หูแทนเสียงบ่นน่ะ เราก็คงไม่คิดมากหรอกถ้าพ่อเขาจะยังคิดถึงเราสองคนมั่ง นี่ไม่เคยเลย ไม่ได้เรียนหนังสือก็ไม่สนใจ อดตายก็ไม่สนใจ กระทั่งไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนเขายังไม่แลเลย แกจำไม่ได้เรอะไง ที่แกอุตส่าห์ถ่อสังขารไปหาเขาน่ะ"

ป๋องน้องชายย่นจมูก

"ก็จริงหรอก แต่แม่เราก็ขี้บ่นขึ้นทุกวันเลยนะ เรื่องพี่แป๋ม ทำงานทัวร์น่ะ"

"แกจะหางานอะไรที่เงินดีเท่านี้แล้วเป็นเงินบริสุทธิ์ล่ะ เบี้ยเลี้ยงสองร้อยห้าสิบเวลาออกต่างจังหวัดน่ะ คืนละร้อยห้าสิบกับอีกวันละร้อย เงินเดือนต่างหาก ถูกล่ะมีงานที่เงินดีกว่านี้อีก อย่างงานเพื่อนเที่ยว งานอบนวดไง หรืองานนั่งชั่วโมงตามผับตามร้านเหล้า

แต่พี่ทำได้เรอะมันน่าสะอิดสะเอียน"

"อ๋อ ยังยึดมั่นในเรื่องรักนวลสงวนตัว เชื่อนี่ วันก่อนเห็นกอดกะพี่ดุล"

"เอ๊ะ นายป๋อง มันเหมือนกันเรอะ นั่นแฟนฉันนะยะ กอด กะแฟนเต้นรำกะแฟนมันเรื่องนึง แต่หากินน่ะมันอีกเรื่อง แกนี่โตแต่ตัวหัวสมองหามีไม่ ฉันรักกะแฟนฉัน กอดกะแฟนฉัน มันหนักกบาลแกเรอะไง ไม่มีมารยาท มาแอบดูเขา แต่ไอ้อบนวดหรือเพื่อนเที่ยวหรือนั่งชั่วโมงตามเล้าจน์น่ะมันอีกอย่าง มีเพื่อนฉันเขาทำเหมือนกัน เงินดี ได้ทีเป็นพันๆ แต่ฉันไม่เอาหรอก ยอมเหนื่อย อย่างน้อยก็มีศักดิ์ศรี เราทำงานหาเงิน เป็นงานบริการแต่บริการทัวร์ ไม่ได้บริการเซ็กส์ พอฉันเรียนจบได้ปริญญา ฉันจะไปสอบเข้าบริษัทการบิน ไปทำงานแอร์ งานก็คล้าย ๆ กัน แต่ถ้าไม่จบ มีเงินสักก้อนจะไปเรียนภาษาเพิ่มเติมแล้วไปสอบ"

"มันจะจบเรอะ มัวแต่ทำงานงก ๆ อดหลับอดนอน”

“มหาวิทยาลัยเปิดมันก็ยังงี้ พี่เหลืออีกสองปีเท่านั้นนะ อีกไม่กี่วิชาหรอก แต่ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นเขา เพราะเรามัน ทำงานไปด้วย สองปีหรือสามปีแล้วแต่มีเวลา แต่คนที่เขาเรียนจริง ๆ จัง ๆ น่ะ ไม่กี่วิชาเขาลงเรียน

แค่ปีเดียวเอง ลองดู จบก็จบ ไม่จบก็ ไม่จบ ว่าแต่แกเถอะเป็นผู้ชาย ถ้าเรียนไม่จบแกจะทำอะไรกิน อีก หน่อยต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว หรือแกจะเอาอย่างพ่อ มีครอบครัวแล้วไม่รับผิดชอบ"

หล่อนไม่วายแขวะถึงบิดาผู้ใหักำเนิดแต่ไม่ยอมรับผิดชอบในชีวิตลูก ๆ


 

"อย่าเอ่ยถึงพ่อเลย ว่าแกมากก็บาปปากเพราะไง ๆ เขาก็เป็นพ่อเราให้ชีวิตเรามา" น้องชายเตือนสติพี่สาว "เออ พี่แป๋ม พี่ว่าจะให้ป๋องไปช่วยงานปิดเทอมนี้น่ะ ขอทำแค่เดือนเมษายนได้ไหม”

"แล้วต้นพฤษภาล่ะ กว่าวิทยาลัยจะเปิดมีเวลาอีกตั้งสอง เที่ยวสามเที่ยว ทำไมถึงจะไม่ทำเสียล่ะ" พี่สาวสงสัย "เงินหลายพันเชียวนา แกจะเอาเวลาไปทำอะไร หนุ่ม ๆแน่น ๆแข็งแรง อดนอน ไหวต้องรีบทำเสียนะ ไง ๆ ดีกว่าช่วยแม่ขายขนม"

มารดาเลี้ยงลูกสองคนมาได้จากการทำขนมส่งตามร้าน นางทำขนมกลีบลำดวนอร่อย ตะโก้ก็ดี มีคนมารับสินค้าถึงบ้าน ป๋องช่วยแม่ขี่จักรยานส่งขนมตามร้านใกล้ ๆ บ้านด้วย แป๋มเคยช่วยทำมาตั้งแต่เด็ก แต่พอได้งานบริษัทนำเที่ยวหล่อนจึงเลิก ขอให้มารดาหาคนมาช่วยทำแทนเพราะเงินเดือนรวมเบี้ยเลี้ยงจากงานทัวร์เป็นเงินก้อน เป็นกอบเป็นกำมากกว่าสำหรับหล่อน แต่แม่ไม่ชอบใจเลยเพราะลูกสาวต้องเดินทางไปกับรถค้างวันค้างคืน

งานนี้ดุลวิทย์เป็นผู้ชวนแป๋มไปทำ บางทีก็ไปในรถคัน เดียวกันเพราะรถโค้ชใหญ่ บริการนักท่องเที่ยวสี่สิบกว่าคนต้องมี พนักงานบริการถึงสามคนจึงจะสู้กับงานไหว แม่ไม่วางใจดุลวิทย์ เกรงว่าจะเลยเถิดล่วงเกินลูกสาว โธ่ ไปนอนค้างอ้างแรมตามเกาะแก่ง ล่องแพ ขึ้นเขาลงห้วยอย่างนั้น

แต่แม่ห้ามลูกไม่อยู่ แป๋มยังชวนน้องชายให้ไปช่วยอีกด้วย ป๋องเคยตามพี่สาวไปกับรถมาสองสามครั้งแล้วเพื่อดูงานแต่ยังไม่ได้ทำจริงจังอะไร ท่าทางเขาสนุกกับงานอยู่เพราะได้เที่ยวทั่วเมือง

ไทยเลยทีเดียว ภาคไหนไปบ่อยเบื่อก็ขอเปลี่ยนไปภาคอื่นได้

"คืองี้นะพี่แป๋ม ปีนี้เราครบยี่สิบแล้ว เราจะบวช" ป๋องบอก แป๋มมองหน้าน้องชายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

"อะไรนะ บวชเรอะ”

"ฮื่อ โครงการธรรมทายาท เดือนเดียวเอง แต่ก็ยังดี ถึงไม่ครบพรรษาก็เถอะ แม่เขาจะได้ชื่นใจ หายบ่นไปได้มั่งไง แต่งานก็ทำน่า เดือนเมษานะ ก็ได้หลายเที่ยว วันธรรมดาก็ท่องที่จะต้องบวชน่ะ ไปวัดมั่งฝึกสมาธิ เตรียมตัวบวช จิตใจจะได้สงบ กรรมเก่าเรามันคงแยะถึงได้ถูกพ่อทิ้ง"

"ถ้าแกจะบวชเพราะอยากให้แม่ชื่นใจ อยากสงบจิตตัวเอง พี่ก็สนับสนุน แต่ถ้าบวชเพราะจะชดใช้กรรมเก่าที่ถูกพ่อทิ้งพี่ไม่เห็นด้วย" แววตาของแป๋มกร้าว

"ทำไมล่ะ"

"อ้าวพ่อทิ้งเราเพราะเราทำกรรมไว้แยะแต่ชาติก่อนงั้นเรอะ แล้วความรับผิดชอบในหัวกะโหลกพ่อเขาไม่มีเรอะไง จะได้ มาอ้างว่าเพราะเราทำบาปทำกรรมไว้แต่ชาติก่อนน่ะ โทษตัวเองยังงี้ไหวเรอะ คนไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเลยลอยลำสบายองค์ไปน่ะซี งั้นเด็กที่ถูกทิ้งไว้ตามโรงพยาบาลน่ะเพราะกรรมเก่าทั้งนั้นงั้นซี"

"มันก็มีส่วน"

"อ้าว แล้วพ่อแม่ที่ทิ้งลูกชาตินี้ ชาติหน้าถูกทิ้งมั่งเรอะไง จะให้คิดสมน้ำหน้าเด็กน่าสงสารพวกนั้นว่า เออดี สม ชาติก่อนแกทิ้งลูกนี่หว่า ชาตินี้ถึงได้ถูกพ่อแม่ทิ้ง งั้นเหรอ นายป๋อง แกคิดแบบนี้เราก็สมน้ำหน้าพวกเด็กเคราะห์ร้ายนั่นได้แล้วก็ช่วยกัน


 

ทับถมให้มันรุนแรงขึ้นด้วยการไม่ช่วยเหลือ ให้พวกเขารับกรรมกันไปงั้นเหรอ"

ป๋องยกมือเคาะขมับตนเอง

"โฮ้ย คิดแล้วปวดหัว"

"นายป๋องเอ๊ย อายุยี่สิบแล้ว ไตร่ตรองซะให้ดีนะเรื่องนี้ ทั้งเหตุและผล คนเรามันต้องรับผิดชอบในหน้าที่และความเป็นคน ของตัวเองน่ะ จะมาอ้างกรรมเก่ากรรมใหม่ได้ยังไง มันคนละเรื่อง งั้นคนจนก็มีกรรมเก่าแยะ คนรวยบุญเก่าแยะเหรอ ที่โกงที่กินไป เสวยสุขน่ะ”

"แล้วพี่ว่าชาตินี้ชาติก่อนชาติหน้า บุญกรรมน่ะไม่มีเรอะ”

ป๋องสงสัย

"ก็คงมีละมัง แต่พี่ไม่อยากสนใจให้เกินไป พี่คิดแต่ว่า ประพฤติตนพอสมควร รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวให้ดี ไม่เบียดเบียนใคร มีเมตตาจิต มีความคิด มีเหตุผล แค่นี้พอแล้ว พี่เป็นผู้หญิงบวชไม่ได้นี่ แค่นี้พอแล้ว"

"บวชชีได้" น้องชายแกล้งว่า

"หนอย ขืนไปบวชคนเขาก็หาว่าพี่อกหักหนีโลกซี ไม่มีวัน สังคมมันยุติธรรมที่ไหน ผู้ชายบวชละแหมดี สืบพระศาสนา พ่อ แม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ ถ้าผู้หญิงบวชล่ะ ทั้งเย้ยทั้งเยาะ หาว่าอกหักแหง ๆ ไม่ก็หาว่าเพี้ยนมั่งล่ะ อายุมากหน่อยก็ว่างานการคงไม่เจริญเลยหนีไปบวชแก้กลุ้มใจ อาศัยวัดกิน ไม่เอา"

"เขาบวชกันถมไป มีคนนับถือแยะด้วย วัดที่มีชีแยะ ๆ ก็มี”

 

"นั่นแหละ สาว ๆ อย่างพี่ไปบวชชีถูกว่าแน่ แกจะบวช ก็บวช แม่เขาคงชอบหรอก บอกแม่ยัง"

"ยังเลย"

"อ้าว ทียังงี้ไม่บอก บอกเสียทีซียะ แม่เขาจะได้เลิกบ่น เรื่องพี่เพราะมีเรื่องอื่นในสมองมั่ง"

แป๋มดึงมือน้องชายเข้าไปในครัวทันทีแม่หันมาค้อนลูกสาว

"อะไร จะมาชวนกันไปไหน ชวนป๋องมันไปทัวร์กะแกด้วยงั้นซี แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนแม่"

"ก็ยายน้อยที่จ้างมา กลางวันยังมียายชื่นอีกคน" แป๋ม ตอบเหมือนจะยวน

"อ้อ ดีนะ ทั้งบ้านมีแต่อีแก่กะเด็กบ้านนอกสองคน ผู้ร้ายมันจะได้เช้ามาบีบคอตาย ส่วนแกสองคนไม่รู้อยู่ดอยหรืออยู่เกาะตะรุเตา" แล้วแม่ก็บ่นต่ออีกยาวเหยียด

"อยู่วัด แม่" แป๋มพูดยิ้ม ๆ "ไม่อยู่ดอยหรืออยู่เกาะหรอก"

"แกอย่ามาพูดบ้า ๆ อยู่วัดอะไร อยู่ทำไม" แม่แหว แป๋ม หัวเราะ ป๋องอ้าปากจะพูดแต่ไม่ทันพี่สาว

"ป๋องเขาจะบวชให้แม่ ปิดเทอมนี้ แม่ไม่ชอบเรอะ” แป๋ม พูดเร็วปรื๋อตามนิสัย "เขาอายุครบบวชแล้วนะ เขาจะบวชหมู่กับเพื่อนที่วิทยาลัยโครงการธรรมทายาทนั่นไง เดือนนึง เดือนพฤษภา”

 แม่ตะลึง พอได้สติก็ปล่อยโฮ น้ำตาน้ำมูกเต็มหน้า แม่คว้าผ้าเช็ดมือมาเช็ดหน้าเช็ดจมูก พลางสะอื้น

"แม่จ๋า นั่นผ้าเช็ดเตานะ ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า เดี๋ยวหน้าดำ หมดหรอก ลูกสาวร้องบอก เพราะผ้าที่แม่ถือเช็ดหน้าอยู่นั่นแสนจะ

ดำปี๋เพราะใช้เช็ดลังถึงนึ่งขนม เช็ดเตาอบ

แม่รู้สึกตัว ทิ้งผ้าลง มองหาผืนใหม่ แป๋มเดินไปหยิบผ้าสะอาดที่แขวนไว้ที่ฝาครัวส่งให้

"เอ้า เช็ดซะ แม่ หน้ามอมหมดแล้ว"

ป๋องมองแม่กับพี่สาวอย่างงุนงง

"แม่ แม่ไม่อยากให้ผมบวชหรือ ร้องไห้ทำไม"

"โธ่ ตาป๋องปัญญานิ่ม แม่เขาอยากให้แกบวชน่า แม่เขาซาบซึ้งตะหากที่ร้องไห้นี่น่ะ” แป๋มว่าพลางหัวเราะ "มีที่ไหน แม่ไม่ดีใจที่ลูกชายจะบวชแล้วก็อยากบวชเองน่ะ ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ"

แม่ดึงป๋องเข้าไปกอดไว้แน่น แป๋มพูดต่อ

"นี่ แม่จ๋า น่าชื่นใจนาแม่นา ป๋องเขาเด็กมีปัญหาครอบครัว แตกแยก ลูกชายบ้านอื่นที่บ้านแตกแยกยังงี้นะเขาหนีไปติดยา ติดทินเนอร์ ไม่ก็เที่ยวเกาะตามศูนย์การค้า ไถเงินแม่แล้วเที่ยวเธค นี่ลูกชายแม่รักเรียนแล้วยังคิดจะบวชให้แม่อีก เขาจะหัดนั่งวิปัสสนาทำสมาธิให้จิตใจสงบจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”

 "แกมันพล่าม" แม่หันมาเอ็ด

"หาว่าพล่ามอีกแน่ะ แป๋มชมน้องนะ"

"เออ รู้ละ แต่แกมันพูดมาก ว่าแต่แกล่ะเมื่อไหร่จะอยู่บ้านอยู่ช่องให้แม่ชื่นใจมั่ง"

"แม่ก็ แป๋มไม่อยู่แป๋มก็ไปทำงาน ไม่ได้หนีเที่ยว งานก็บริสุทธิ์ ไม่เชื่อไปถามบ้านคุณพงษ์ศักดิ์ดู เขาชอบยกครอบครัว ไปเที่ยวกะรถแป๋มตอนปิดเทอมใหญ่ เขาก็บอกแม่แล้วว่าแป๋มไปทำงานจริงๆ ไม่ได้ไปเหลวไหล" แป๋มอ้างเจ้าของร้านค้าใหญ่

 

 

 

 

ใกล้บ้านผู้ชอบเที่ยวทะเลเป็นที่สุด "สมัยนี้นักท่องเที่ยวเขา เที่ยวเมืองไทย แป๋มก็ไปเป็นไกด์ แล้วก็บริการในรถ เหมือนพวกทำงานแอร์ ทีเป็นแอร์ล่ะว่าเป็นนางฟ้า นางเดินรถประจำรถทัวร์ล่ะ ถูกค่อนว่า งานก็แบบเดียวกันแหละ แม่ เอาเหอะ ไว้แป๋มเก่งภาษาอังกฤษอีกหน่อย แป๋มจะไปสอบเข้าบริษัทการบินมั่ง บอกใคร ๆว่าลูกสาวไม่อยู่เพราะบินน่ะฟังดูดี โก้กว่าเป็นไหน ๆใช่ไหมล่ะ แม่ ลูกสาวไม่อยู่บ้านจ้ะ เป็นแอร์ บินไปยุโรป เที่ยวนี้เขาซื้อเสื้อหนาวจากปารีสมาฝากตัวนึงจ้ะ อ๋อ ได้กินเสมอล่ะจ้ะ ลูกพลับ ลูกแพร์ สาลี่ ลูกสาวซื้อมาฝาก เขาซื้อไม่ต้องเสียภาษี วิทยุเทป นี่หรือจ๊ะ โอ๊ย สบายมาก ซื้อได้ถูกจ้ะเพราะถือเข้ามาเอง"

"ตากแดดซะตัวดำเหมือนด้วงมะพร้าวใครเขาจะเอา”

แป๋มมองผิวตัวเอง หล่อนประจำรถท่องเที่ยวลงใต้เพราะ หล่อนชอบทะเล ตากแดดตากลมเล่นน้ำทะเลจนตัวดำปี๋จริง ๆ เหนื่อย แต่ก็สนุก หากแม่ว่าหล่อนเหมือนด้วงมะพร้าวนั้นแป๋มขำจนต้อง หัวเราะกิ๊กเพราะหล่อนไม่เคยเห็นด้วงมะพร้าว

"ด้วงมะพร้าวเหรอ แม่ มันเป็นไง"

"ป๋องเคยเห็น เหมือนตัวกว่างแต่ดำปี๋เลย ขาหน้าเล็ก หน่อย" น้องชายอธิบาย แป๋มแลบลิ้น

"ฝรั่งเขาชอบคนดำ ๆ เขาว่าผิวสีแทน ผิวสีน้ำผึ้ง แล้วก็สูง ๆ อย่างแป๋มนี่แหละ" แป๋มเป็นคนรูปร่างสูงเพรียว หุ่นดี ใบหน้า ของหล่อนอาจไม่สวยนักแต่ก็คมคายดี แต่คนไทยไม่ชอบผู้หญิงตัว ดำ ๆ ต้องผิวขาวผ่องจึงจะเห็นว่าสวย ที่จริงแป๋มไม่ใช่คนดำ ผิวใน ร่มผ้าของหล่อนก็ผ่องดีอยู่แต่หล่อนตากแดดตากลมทะเลมากไป

 

 

 

 

 

จึงดำจนแก้แทบไม่ไหว แม่เคยว่าหล่อนนั้นดำจนเข้าเนื้อไปแล้ว

"ที่จริงก็แก้ง่ายจะตาย ขอย้ายไปอยู่สายเหนือแทน ไปบ่มผิวบนดอยไง ตากลมหนาว ขัดผิว ทาครีมเข้าก็ขาวเองแหละ ใส่เสื้อใส่หมวกบังแดดซะ รอไว้จวนจะจบก่อนหรือเรียนภาษาให้ คล่องกว่านี้” แป๋มบอกแผนของหล่อน แป๋มเป็นคนคล่องทำอะไรว่องไว พูดเก่ง หล่อนคุยหรือพูดได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว หล่อนชอบงานทัวร์เพราะได้คุยได้รู้จักใครต่อใครมากมาย อาชีพต่าง ๆ กัน บางคนก็กรุ้มกริ่มชีกอ บางคนสุภาพ ตอนกลางวันเวลารถวิ่งเพื่อพานักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ แป๋มจะหาเรื่องพูดเรื่องคุย เรื่องตลกบ้าง แนะนำสถานที่บ้าง เล่นกับเด็กที่พ่อแม่พามาเที่ยวด้วยบ้าง ไมโครโฟนในรถนั้นแทบจะไม่ได้ว่างเพราะคารมของแป๋ม ดุลวิทย์ กับเพื่อนร่วมงานถึงกับเคยว่าแป๋มนั้นเป็นโรค ‘ไมโครโฟนอิสซึ่ม’

 "แล้วถ้าแกสอบแอร์ไม่ได้ล่ะ'' แม่ถาม

"ก็ทำทัวร์นี่แหละ แต่จะขอไปทัวร์เมืองนอกมั่ง หัวหน้าเขาว่าแป๋มทำงานดีจะให้ใป แต่ต้องฝึกภาษาให้ดีกว่านี้ ดีนา แม่ ไปเที่ยวยุโรปอเมริกา ไปทีสิบวันยี่สิบวัน สนุกดี''

"นอนค้างอ้างแรมยิ่งกว่าเก่า บ้านช่องไม่ต้องอยู่กัน ถ้าแต่งงานก็ครอบครัวพัง"

"แม่อยู่บ้านทั้งวันครอบครัวยังพังเลย" ลูกสาวย้อน "มัน อยู่ที่คนนำไม่ได้อยู่ที่งาน"

มารดาหน้าซีด ริมฝีปากสั่น น้ำตาคลอ

"แม่ แป๋มขอโทษ แป๋มไม่ได้ตั้งใจ" แป๋มตกใจกับสีหน้าเจ็บปวดของมารดา หล่อนเข้าไปกราบแม่ที่ต้นแขน ป๋องถอยออกมา

 

 

 

 

 

"แป๋มจะไม่พูดอย่างนี้อีก แม่ แป๋มสัญญา แป๋มเสียใจจ้ะ แม่ แป๋มขอโทษ"

"มันก็จริงของแก ยายแป๋ม มันอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่งาน" แม่เสียงสั่น "แม่ควรจะดีใจที่ลูกบ้านแตกอย่างแกสองคนมีความประพฤติดีขนาดนี้ ไม่ไปติดยาหรือติดเที่ยวกลางคืน ลูกบ้านแตกคนอื่นเขาเที่ยวจนเสียคน แกไปทำงาน ป๋องจะบวช แม่ควรจะพอใจแล้ว"

"แม่เข้าใจแป๋มแล้วนะจ๊ะ แป๋มชอบเที่ยวต่างจังหวัด แป๋ม สนุกกับงานของแป๋ม สนุกด้วย ได้เงินด้วย ไม่ได้ไปเที่ยวเสียเงิน เงินที่ได้มาแป๋มก็เอาไว้เรียน ให้น้องมั่ง ไม่ได้เอาไปฟุ่มเฟือยอะไรที่ไหน"

แม่พยักหน้า เช็ดน้ำตา

"รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีแล้วกัน อย่าให้ใครมาดูถูกเอาได้ ลูกผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ทำงานอย่างนี้มันเสี่ยงกับการที่คนจะคิดไม่ดีเอา"

"คนใจสกปรกมันก็มีแหละจ้ะ แม่ คนดี ๆ ก็เยอะแยะ คนที่เขาเข้าใจเรื่องงานดีก็ถมไป อย่าไปสนใจว่าใครเขาจะคิดอย่างไรเลย งานบริสุทธิ์ น้ำพักน้ำแรงของแป๋ม แป๋มไม่ได้ขายตัว นี่ขายบริการเป็นไกด์ประจำรถทัวร์แบบเดียวกับพนักงานโรงแรมดี ๆ อีกหน่อยคนก็ยอมรับ เมื่อก่อนบอกทำงานโรงแรมคนตกใจแย่ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคิดอกุศลกับงานโรงแรมแล้ว งานของแป๋มก็เหมือนกันจ้ะแม่ คนเข้าใจขึ้นมากแล้ว อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ว่า แป๋มยังได้ลูกค้าเป็นพวกอาจารย์แยะเลย พ่อแม่เพื่อน ๆ ที่ฐานะดี ๆ ก็มาก

 

ข้าราชการสูง ๆ เขาไปเที่ยวกันเพราะขี้เกียจขับรถเอง จองโรงแรมเอง ไปกับเราเราบริการทุกอย่างเสร็จ แม่ก็เหมือนกัน หาเวลาพักไป เที่ยวกะเรามั่งซิจ๊ะ"

"เอ้า มาหาลูกค้ากันตรงนี้เองนะ พี่แป๋ม” น้องชายล้อ "ได้ค่าหัวเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์จ๊ะ"

พี่สาวหันมาค้อน แม่ยิ้มออกมาได้ ค่อยสบายใจขึ้นมาก

 

“รายการของเรามีทุกภาคเลยครับ ทางเหนือก็ขึ้นเขา พัก

รีสอร์ทชมดอกไม้ ทางอีสานก็มีทั้งเขาทั้งแม่น้ำ ทางใต้เที่ยวเกาะ อ่าวต่าง ๆ ดำนํ้า ชมปะการัง อาบน้ำแร่ ล่องเรือ หรือทางภาคตะวันออก ค้างคืนเดียว สองคืน หรือเช้าไปเย็นกลับ มีทุกประเภทเลยครับ" ดุลวิทย์ โฆษณารายการท่องเที่ยวของบริษัท อย่างคล่องปาก มือก็เปิด หนังสือรายการนำเที่ยวให้ชม

ชี้แนะรายละเอียดและภาพประกอบงาม ๆ

"เอ ผมสังเกตดูรายการท่องเที่ยวของคุณนี่คนทำงานจะไปได้ยังไง ออกวันศุกร์กลับวันจันทร์ วันศุกร์ก็เป็นวันทำงาน แล้ววันจันทร์ก็ทำงาน แต่คุณบอกว่าคนเต็มแทบทุกเที่ยว" ผู้ต้องการใช้บริการสงสัย

"ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นครับ แต่ไม่มีปัญหา กรุณาดูใน รายละเอียดเราออกรถคํ่าวันศุกร์ครับ ทุ่มครึ่ง กลับถึงกรุงเทพฯ ถนนสนามม้าประมาณหกโมงเช้าครับผม ไปทำงานทันครับผม หรืออาจจะสายนิดหน่อยเท่านั้น แต่วันศุกร์ไม่มีปัญหาเลย คือรายการบริษัทเราเป็นที่ทราบกันว่าวันเดินทางหมายถึงตอนหัวค่ำ กลับเช้ามืดครับผม"

"อ้อ อย่างนี้เอง ผมเข้าใจผิด"

"แต่มีบางรายการออกพฤหัสก็มี เป็นรายการเล็ก ใช้ บริการเครื่องบินก็มีครับ สำหรับนักธุรกิจหรือพ่อค้าประชาชนที่ไม่มีปัญหาเรื่องวันหยุด อีกอย่างช่วงปิดภาคฤดูร้อนหรือปิดภาคเรียนกลางปีจะมีแม่บ้านพาลูกไปเที่ยวมากครับ พ่อบ้านก็ไปทำงาน เพราะเราบริการทุกอย่างคุณแม่ ๆ ทั้งหลายไม่ต้องลำบากใจอะไรเลย อาหารพร้อม ทุกรายการนี่อาหารที่พักพร้อมนะครับ มีบางมื้อเท่านั้นที่ต้องซื้อหารับประทานเอง อย่างหัวค่ำในตัวเมืองเชียงใหม่ เราพาไปไนท์บาซาร์ ก็จ่ายข้าวของหาอาหารรับประทานตามอัธยาศัย เพราะช้อปปิ้งนี่เราตามตัวไม่ไหวครับ ต้องนัดเวลากัน คนไทยเดี๋ยวนี้ดีมากนะครับเรื่องตรงต่อเวลา แต่ตรงเฉพาะเรื่องเที่ยว เดี๋ยวทัวร์ทิ้ง" ดุลวิทย์หัวเราะแหะ ๆ

"แล้วคุณเคยทิ้งลูกทัวร์หรือ" ผู้ฟังย้อนถาม

 

"ไม่เคยครับ ใครจะกล้าทิ้ง แต่เราตามจนถึงที่สุดเลยครับ เคยแต่กรณีนัดรถออกทุ่มครึ่ง สองทุ่มกว่าแล้วยังไม่มาเราก็ต้องทิ้ง แต่ไม่ได้ทิ้งเลยนะครับ เราให้ไปรถคันหลังที่นัดออกสองทุ่ม เสริมเข้าไปก็ลำบากหน่อย นั่งไม่ค่อยสบาย แล้วไปสถานที่นัดพบตอนเช้า เคยหนนึงตอนไปเชียงใหม่ เราก็รอจนสองทุ่มสิบห้าแล้วไม่มาก็ออกรถ ปรากฏว่าลูกค้ามาเอาสองทุ่มครึ่ง แต่ยังทันรถเที่ยวสอง รถคันสองก็พาไปส่งที่โรงแรมที่เราแวะรับประทานอาหารเช้า เราก็รอ ๆ อยู่ ก็ทันกันครับเพราะคันสองเขาก็พาไปด้วยไม่ได้ รถเขาเต็ม เราต้องให้เขานั่งที่นั่งของไกด์แทน ส่วนไกด์ก็ต้องนั่งกับพื้นท้ายรถพวกเราก็ต้องยอมลำบากเพื่อลูกค้าแหละครับ ขากลับใครช้าก็ตามกันชนิดประกบตัวเลย เราก็ดูออกครับว่าใครยอดช้า เพราะไปด้วยกันห้าวันสี่วันก็รู้แล้วว่าใครช้า นัดสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ เราต้องให้คนของเราคนหนึ่งคอยประกบตัวไว้ แล้วเตือนเมื่อถึงเวลา แต่ส่วนใหญ่ดีมากครับ"

"แล้วใครว่าคนไทยไม่ตรงต่อเวลา" ชายหนุ่มใหญ่สงสัย "แต่ผมก็เห็นไม่ค่อยตรงเวลา ไม่ค่อยกระตือรือร้นนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผมไปติดต่องาน"

ผู้พูดหยุดไว้แค่นั้นทั้งที่พูดไม่จบว่าติดต่องานอะไร ทิ้งไว้ ในฐานเข้าใจ

"งานเอกชนไม่เป็นไม่ใช่รึครับ อย่างพวกผมนี่ใครขืนเก หรือโอ้เอ้เสร็จแน่ เจ้านายเอาเรื่องตายเลย"

"ลูกลาวผมอยากเที่ยวทะเล คุณว่าแถวไหนดี"

"ท่านมีเวลาสักแค่ไหนครับผม ค้างได้กี่คืน ชอบแวะหลาย ๆ
แห่งหรือว่าแวะน้อยแห่งแต่ค้างนาน" เขาซักพลางอธิบาย "คืออย่างนี้นะครับ ถ้าไปทางตะวันออกแถวระยอง เสม็ด ไม่ต้องค้างก็มี เช้าไปเย็นกลับหรือค้างคืนเดียว ทุกรายการอาหารพร้อมครับ ค่าเรือ ค่าตั๋วอะไรหมด"

"ก็ได้ชมทะเลแผล็บเดียวซีคุณ"

"ทางใกล้ก็อย่างนี้แหละครับ ถ้าจะชมทะเลเต็มที่ คนไม่ พลุกพล่านก็ต้องแถบอันดามัน"

"ไหน รายการไหนบ้าง"

"มีหลายรายการครับ ล่องใต้สิบจังหวัด หมู่เกาะสุรินทร์ สมุย อ่างทอง พีพี ภูเก็ต รายการนี้น่าสนใจนะครับ พีพี ถ้ำลอด พังงา กระบี่ ภูเก็ต แวะชมสุสานหอย 75 ล้านปี พักบังกะโลที่พีพีคืนนึง ที่ภูเก็ตคืนนึงหรืออย่างค้างสามคืนก็มี พีพีสองคืน ค้างภูเก็ตอีกคืน"

"เด็กจะเหนื่อยเกินไป มีไหมที่พักแห่งเดียวสองสามคืน แล้วได้เล่นน้ำทะเลเต็มที่ ไม่ต้องนั่งรถตระเวนมากนัก"

ดุลวิทย์ชี้ไปที่หมายเลขสิบแปด

"รายการนี้ครับ นั่งรถคืนนึงถึงกระบี่ ลงเรือไปพักที่พีพี สองคืน นั่งเรือรอบเกาะ เล่นน้ำตามอ่าวต่าง ๆ แถบนั้นดำน้ำชม ปะการัง"

"ถ้าพวกคุณไปนั่งเรือรอบเกาะแต่ผมอยู่ที่เกาะล่ะจะได้ไหม"

"จะไม่สนุกซีครับ อดชมอ่าวงาม ๆ ทะเลสวย ๆ เพราะเราพาไปชมถ้ำรังนกนางแอ่น ไปดำน้ำดูปะการัง"

"ผมเผื่อว่าลูกสาวผมเกิดเหนื่อยเกินไปหรืออะไรทำนองนั้น
เพราะแกสุขภาพไม่ดีนัก หมอให้พักมากๆ แต่แกอยากเห็นทะเล เมืองไทย"

"ไม่มีปัญหาครับ เพราะสี่ห้าโมงเย็นเราก็พานักท่องเที่ยว กลับเกาะแล้ว ถ้าท่านกับลูกรออยู่ที่เกาะก็ได้ เพียงแต่ว่าท่านจะได้รับบริการไม่เต็มที่ รายการนี้เหมาะมากนะครับ ขาไปก็นอนไปในรถ รถของเราเป็นรถโค้ชชั้นหนึ่ง มีห้องสุขภัณฑ์ด้วย ตอนเช้าเราพาไปอาบน้ำที่โรงแรมในเมืองกระบี่ ก่อนลงเรือไปเกาะก็ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันไปรับประทานที่เกาะ เรือที่วิ่งจากท่าเรือกระบี่ไปเกาะพีพีก็เรือใหญ่ไม่กระเทือนมาก บ้านพักที่เกาะก็อยู่ในชั้นดี ไม่ใช่เต็นท์ ถ้าไปหมู่เกาะเปิดใหม่ทะเลจะสวยมากแต่ที่พักไม่สะดวก ต้องใช้เต็นท์กัน ก็อาจจะไม่เหมาะกับลูกสาวท่านที่ว่าสุขภาพไม่ดีนัก วันรุ่งขึ้นขากลับเราพาแวะชมสุสานหอย ชมถ้ำลอดตอนเช้าครับ แล้วกลับไปขึ้นรถไปสุราษฎร์ ขากลับก็นอนหลับไปในรถ ช่วงเวลาที่จะเหนื่อยหน่อยก็วันกลับเท่านั้น นอกนั้นพักได้ตลอด เช้ามืดถึงกรุงเทพฯ แล้ว ค่าบริการสองพันเจ็ดเท่านั้น อาหารสิบเอ็ดมื้อ รวมเครื่องดื่มในรถด้วย เด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบลดยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์"

"งั้นตกลงผมเลือกรายการนี้ สองคน"

"ขอประทานโทษ ชื่อท่านกับคุณหนูลูกสาวท่านครับ อ้อ แล้วเด็กอายุเท่าไร เรื่องส่วนลด"

"ลูกผมอายุเกินแล้ว เสียเต็ม" ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาควักเงินจ่ายให้เต็มราคาสำหรับสองคน

"อ้อ โตแล้ว เอ เดี๋ยวครับ ท่านจะให้แยกห้องกับท่าน
ไหมครับ แต่ห้องของเราน่ะมีทั้งสำหรับสองคน สามคน สี่คน เพราะ เป็นบังกะโลไม่ใช่โรงแรม ถ้าแยกก็ต้องให้จับคู่กับคนอื่น เป็นต้นว่าท่านพักกับแขกอื่น แล้วลูกสาวท่านก็พักกับเพื่อนนักท่องเที่ยวหญิงอื่นๆ"

"อ๋อ ไม่ต้องหรอก ผมพักกับลูกห้องเดียวกันได้ แกยังตัวเล็กไม่โตจนพักห้องเดียวกับพ่อไม่ได้" เขายิ้มพอจะเข้าใจความหมายของดุลวิทย์ "คงไม่มีใครคิดเป็นอื่น"

"ขอประทานโทษครับผม ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น เพียงแต่ เรียนถามเพื่อจะได้บริการให้ถูกใจท่าน ถ้าเป็นครอบครัวก็มักจะขอ พักห้องเดียวกันพ่อแม่ลูก เราก็หาห้องใหญ่สองเตียงคู่ให้ครับผม ทีนี้ท่านมาพ่อกับลูกสาวออกจะแปลกกว่าเขาอื่น มีแต่แม่กับลูกสาวเที่ยวปิดเทอมน่ะครับ พ่อกับลูกสาวไม่เคยมี”

"ผมเข้าใจ คนไทยพ่อกับลูกสาวมักจะไม่ค่อยไปไหนต่อ ไหนด้วยกันลำพัง" รับตั๋วเดินทางจากพนักงาน "ผมต้องเก็บบัตร โดยสารนี่ไว้แสดงตอนจะเดินทางใช่ไหม"

"ใช่ครับ"

"มีเบอร์ที่นั่งหรือเปล่า ผมเลือกที่นั่งได้ไหม หรือว่าคนอื่นเลือกไปหมดแล้ว"

"มีครับ ท่านอยากได้ช่วงไหนครับ ถ้าท้ายรถกระเทือน กว่าแต่ใกล้ห้องน้ำ บางคนที่เข้าห้องน้ำบ่อยก็ชอบ แต่ตอนหน้าใกล้วิดีโอ อาจจะหนวกหูถ้าจะนอนแต่หัวค่ำ ธรรมดาเราก็เปิดวิดีโอบริการจนสี่ทุ่มถึงปิด ถึงไม่ดังหนวกหู อาจจะมีแสงรบกวนนิดหน่อย"


 

"งั้นซักแถวที่สามตอนหน้าดีกว่า ขอด้านซ้าย ถ้ามีให้เลือก แสงรบกวนจากวิดีโอคงไม่มาก เรื่องห้องน้ำคงไม่เป็นไร หัวค่ำจัดการให้เรียบร้อยก็หมดปัญหา ลูกผมเขาไม่ลุกเข้าห้องนํ้าตอนดึก ๆ หรอก แล้วตอนหน้าคงไม่กระเทือนมากนัก ผมไม่อยากให้กระเทือน"

"รถใหญ่ถึงกระเทือนก็ไม่มากครับ ไม่ค่อยรู้สึก" เขา สำรวจหมายเลขที่นั่งและจดให้ตามต้องการ

"ตกลงได้อย่างที่ผมต้องการนะ"

"ครับผม ถึงเวลานัดหมายท่านไปตามที่นัดในบัตรเลยครับ หมายเลขทัวร์สิบแปดเราจะมีป้ายข้างรถให้สังเกต ที่หน้ารถข้างคนขับด้วย แล้วรายละเอียดครับ ของที่ควรเตรียมไปในการท่องเที่ยว" ส่งกระดาษโรเนียวสองสามแผ่นให้ลูกค้าของตน "เดี๋ยวครับ ท่าน กรุณาใช้ชื่อนามสกุลเต็ม ๆ ครับท่าน เพราะเราประกันชีวิตให้ด้วย ท่านใส่ไว้แต่ชื่อเท่านั้นไม่พอครับ"

"อ้อ งั้นหรือ ผมนึกว่าแค่จดไว้ว่ามีใครบ้างเท่านั้น ทำอย่างต่างประเทศหรือพวกเรือบินเชียวนะ ประกันให้ด้วย ผมชื่อ คมกริบ ลือสิริสวัสดิ์ ลูกผมชื่อแอน ชื่อจริงนะ แอนคำเดียว ไม่มีชื่ออื่น"

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มใหญ่ก็ขยับลุกขึ้น ดุลวิทย์ ยิ้มให้ผู้ที่เปิดประตูสำนักงานเดินเข้ามา

"อ้อ แป๋มมาพอดี ท่านครับ ทัวร์ท่านน่ะโฮสเตสคือแป๋ม คนนี้ครับ" ดุลวิทย์แนะนำ แป๋มยกมือไหว้ด้วยกิริยานุ่มนวล แม้ปกติหล่อนจะเป็นคนค่อนข้างกระโดกกระเดก แต่เรื่องบริการเอาใจแขกแป๋มก็ทำท่ากุลสตรีผู้แสนเรียบร้อยเป็นเหมือนกัน "กับอีก

 

สองหนุ่ม หนุ่มหนึ่งคือผมด้วยครับ ผมชื่อดุล แล้วพบกันคืนวันศุกร์นะครับ"

คมกริบก้มศีรษะให้แป๋มเป็นเชิงรับไหว้ก่อนจะลุกออกไปจากสำนักงาน แป๋มนั่งลงที่โต๊ะทำงานอีกตัวหนึ่ง

"เต็มยัง เที่ยวนี้"

"ขาดอีกแปดคน แต่คงเต็มเพราะมีคนจองมาแยะเหมือน กัน หน้าร้อน ใคร ๆ ก็อยากไปทะเล แต่ตอนสงกรานต์ขึ้นเหนือแยะหน่อย รายนี้พ่อลูก"

"หลายคนซี เป็นครอบครัวเลยใช่ไหม"

"เปล่า พ่อกับลูกสาวเท่านั้น แม่ไม่ยักไปด้วย ชื่อดีแฮะ คมกริบ ทีแรกก็บอกแกชื่อคมเฉย ๆ ท่าทางไม่ค่อยชอบชื่อตัวเองเท่าไหร่"

"ก็น่าหรอก ชื่ออะไรไม่ชื่อชื่อคมกริบ แต่หน้าแกคมซะ เมื่อไหร่ออกเจ๊กด้วย แล้วขาวจ๊วกเชียว ชื่อแบะแฉะแหละเหมาะกว่า" แป๋มย่นจมูก "แป๋มเองก็เกลียดชื่อตัวเองจะตาย ตัวก็ดำ หน้าก็ยาว ดันชื่อพักตร์เพียงจันทร์ ฉันละอยากเปลี่ยนวันละพันครั้ง"

ดุลวิทย์หัวเราะ

"นวลพักตร์ผ่องเพียงจันทร์ฉาย"

"บ้า ผ่องเฉพาะคืนเดือนวายน่ะซี วันแรมสิบห้าคํ่า เดือน มืดตึ๊ดตื๋อไง ตัวแป๋มดำเข้าเนื้อออกยังนี้แล้ว"

"ดำแต่นอกในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณ" ดุลวิทย์เจ้าบทเจ้า กลอน พอดีจรัสพงศ์เพื่อนร่วมงานเดินออกจากห้องด้านในมา ได้ยินเข้าพอดี ปากไวเท่าความคิด

"อ้อ ดำแต่นอกในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณ เอ็งเคยเห็นในแผ้วผ่องเนื้อไอ้แป๋มเรอะวะ บังอาจพูดออกมาได้"

"ปากหมา"

เสียงด่าสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน แป๋มคว้าหนังสือนำเที่ยวตรงหน้าปาไปที่จรัสพงศ์แต่ไม่ถูก

"อ้าว อย่าทำร้ายร่างกายกันซีวะ ถ้าจะปาต้องปาไอ้ดุลซีถึงจะถูก มันเป็นคนพูดให้คิดนี่หว่า ข้าไม่ได้พูดนะเว้ย ไอ้แป๋ม"

ทั้งสามคนสนิทสนมกันมากเพราะทำงานมาด้วยกันเป็น เวลานาน แป๋มจึงไม่เป็นสุภาพสตรีที่เขาทั้งสองจะต้องระมัดระวังวาจา หากพูดกันอย่างเพื่อนผู้ชายได้

"ก็เอ็งมันใจตํ่าปากตํ่านี่หว่า คิดเลยเถิด" แป๋มด่าอีกสองคำ "อ้าวก็มันว่าดำแต่นอกในแผ้วนี่หว่า รู้ได้ไงถ้าไม่เคย

เห็นน่ะ ฮิ ๆ" จรัสพงศ์ไม่วายล้อต่อ แป๋มเงื้อมือ

"เอาล่ะน่า เลิกทะเลาะกันเสียที" ดุลวิทย์ปราม "ไอ้พงศ์ เอาตั๋วไปส่งลูกค้า รายนี้เขาให้ไปรับเงินแล้วก็ส่งตั๋วที่ทำงานเขา เอา มอเตอร์ไซค์ไปนะ จะได้กลับมาเร็ว ๆ"

"คืนนี้อยู่เวรให้ด้วย แป๋มขอกลับแต่วัน อยู่แค่ห้าโมงเย็นพอ" แป๋มพูดเสียงดัง

"เฮ้ยคืนนี้เวรแกนะ ยายแป๋ม" จรัสพงศ์ค้าน "ข้าจะได้ กลับแต่วันมั่ง"

"อยู่แทนทีไม่ได้เรอะ แม่ด่าเรื่อยว่าตะลอน ๆ ทั้งกะปี ยังไม่พอ ไม่ได้ออกทัวร์ยังจะกลับดึกอีก ตั้งห้าทุ่ม ขอกลับแต่วัน ๆ ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่มั่งไม่ได้เรอะ ค่าโอเอ็งก็เอาไป"
"ก็งานมันเลิกสี่ทุ่ม ก็ต้องผลัดกันอยู่"

"ผู้ชายอะไรก็ได้ กลับสว่างก็ได้นี่ สองเดือนนี่ขอไม่อยู่ กลางคืนไม่ได้เรอะ ดุลเขารับจะอยู่ให้สิบคืน แกช่วยอยู่อีกสิบไม่ได้ เรอะ ตอนไม่ได้ออกทัวร์"

"นึกยังไงจะอยู่บ้านอยู่ช่องหือ" จรัสพงศ์สงสัย ปรกติแป๋มไม่เคยปฏิเสธเรื่องการอยู่ทำงานตอนหัวค่ำ สำนักงานปิดสี่ทุ่ม เพื่อรอลูกค้าเลิกงานแล้วมาติดต่อ พนักงานต้องผลัดกันอยู่ทำงาน แป๋มได้ชื่อว่าเป็นคนงกงานที่สุด หล่อนต้องการเงินค่าล่วงเวลา เพราะมีภาระต้องช่วยแม่เลี้ยงน้องชาย ช่วยเรื่องเบี้ยเลี้ยง ค่าเล่าเรียน งานทำขนมขายของแม่นั้นแค่ผ่อนบ้านก็ยํ่าแย่แล้ว

"ไอ้ป๋องมันจะบวชเดือนนึง มีแต่ลูกจ้างผู้หญิงคนเดียว อยู่เป็นเพื่อนแม่มันก็ซื่อบื้อจะตาย เอาใจแม่แกหน่อย พักนี้แกไม่ค่อยบ่นเรื่องทำงานค้างวันค้างคืนแล้ว"

"ก็ชินละน่า"

"เขาดีใจเรื่องลูกชายจะบวชน่ะ เขาเข้าโครงการธรรม ทายาทไง บวชเดือนนึง ก็ดีเหมือนกัน"

"เข้านิกายใหม่เรอะ” จรัสพงศ์นิ่วหน้า

"นิกายไหนก็พุทธเหมือนกันล่ะน่า หนุ่ม ๆ ใจร้อนบวชซะก็ดี" ดุลวิทย์ว่า "เอ็งรีบ ๆ ไปซะที อย่ามัวมาซักเรื่องคนอื่น"

"แหม พ่อคนเอาการเอางาน" จรัสพงศ์แลบลิ้นให้เพื่อน แต่ก็ปฏิบัติตามโดยดี เพราะแม้ดุลวิทย์จะเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเปิดอยู่ด้วยกัน จบมัธยมปลายมาพร้อมกันจากโรงเรียนเดียวกัน แต่หน้าที่การงานในบริษัทนี้ดุลวิทย์มาทำก่อน
เขา และเป็นหัวหน้างานของเขาด้วย เวลาออกทัวร์ไปด้วยกัน ดุลวิทย์จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เขากับแป๋มเป็นผู้ช่วย หัวหน้าทัวร์มีหลายคนแต่จรัศพงศ์ชอบไปกับดุลวิทย์มากกว่าคนอื่น เพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก

"แปลกแฮะ เที่ยวนี้ไม่มีเด็กเลย" ดุลวิทย์ตรวจรายละเอียดทัวร์ที่เขารับผิดชอบอยู่

"อ้าว ก็เมื่อกี้ว่าพ่อลูกไง ก็ต้องมีเด็กคนนึงซี"

"แต่เขาเสียเต็มราคานะ เห็นว่าเกินสิบขวบแล้ว ทุกทีมีเด็กเล็ก ๆ สามขวบห้าขวบเป็นพรวนเลย เที่ยวนี้หนุ่มสาวมากที่สุด เป็นคู่ ๆ เลย ที่เป็นครอบครัวก็ลูกโต ๆ ทั้งนั้น เสียเต็มราคาหมด"

"ดี สบาย เด็กแยะ ๆ เราเหนื่อย" แป๋มว่า "เวลาขึ้นเขาชมวิวที่พีพีน่ะแทบตาย ต้องช่วยแบก เดินแป๊บ ๆ ร้องไห้แล้ว เดินไม่ไหว"

"อะไรไม่ร้ายเท่าอีตอนแกอ้วกในรถในเรือ เหม็นฉึ่ง" ดุลวิทย์ส่ายหน้า "เอาเหอะ งานนี่หว่า ไง ๆ ก็ต้องบริการ เรากินเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงจากเงินของลูกค้านี่นะ"

แป๋มหัวเราะ

"ไม่ได้เท่านั้นนา คราวก่อนยายหนูคนหนึ่งแกปวดอึ ตอนกินข้าว เลยต้องพาไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างก้นให้ด้วย พ่อแม่เขากินข้าวอยู่ จะให้เขาลุกไปได้ไง เราก็ต้องบริการเพราะเรามันกินทีหลังอยู่แล้ว ต้องคอยดูแลพวกคนเสิร์ฟ ไม่งั้นลูกค้าเราจะว่า บริการไม่ดีพอ"
"อ๋อ จำได้ ยายหนูนั่นเลยติดเธอหนับ ขากลับแทบจะมานอน

ด้วย ไม่เอาพ่อเอาแม่เลย หาแต่พี่แป๋ม”

"ดีที่น่ารักนะ คุยสนุก แกตลก แซวคนก็เก่ง ฉลาดเป็นยอดเลย แค่สี่ห้าขวบ พูดจายังกะเด็กโต ๆ ร้องเพลงงี้จบไม่รู้กี่เพลง เต้นตอนเล่นแคมป์ไฟงี้พวกเราหัวเราะกันซะไส้เขยื้อน"

"ลูกคนมีอันจะกินมันสมองดีกว่าลูกคนจน คนมันอุดม สมบูรณ์" ดุลวิทย์ว่า "มีโอกาสมากกว่าเด็กอื่น เข้าโรงเรียนสมัยใหม่ ครูให้แสดงออก"

"อย่างว่า" แป๋มเห็นด้วย

 

 “พ่อไปจองตั๋วให้แล้ว คืนวันศุกร์นี้เราจะไปเที่ยวทะเลกัน" คมกริบบอก ลูกสาว แอนนั่งเล่นอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน แววตาของหล่อน เป็นประกายขึ้นทันที

"แอนจะได้ดูถ้ำลอดที่พังงาอย่างในรูปไหมคะ เขาว่าสวย กว่ากร็อตโตที่เกาะคาปรีอีก"


"ยังหรอกลูก เพราะเที่ยวนี้เราจะไปเกาะพีพีกันก่อน ค้างที่เกาะสองคืน ได้ไปดูถํ้าลอด กระบี่ ถ้ำลอดแห่งนี้


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (93 รายการ)

www.batorastore.com © 2024