เรือนทรายชายน้ำ (โบตั๋น)
ประหยัด: 87.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
"จบแล้วเรอะวะ ไอ้เฉียบ ในที่สุดเอ็งก็เรียนจบปริญญากะเขานิ พ่อบอกแล้วว่าไม่ต้องรีบร้อนไปสอบเทียบเข้ามหา’ลัย แล้วก็รีบจบออกมาตกงานหรอกวะ แล้วไง หางานได้รึยัง หรือว่ายังไม่ได้หา"
"กำลังหาอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไหม เรียนวิชาชื่อ มนุษยศาสตร์ยังงี้ ไม่รู้จะไปทำอะไร สมัครงานที่ไหนเขาก็ทำหน้าพิลึกว่าเรียนวิชาอะไร มนุษย์ ทำยังกะตัวเองไม่เป็นมนุษย์งั้นแหละ" เฉียบยิ้มแห้ง ๆ
เดี๋ยวนี้พ่อขี้เมา ไม่รู้จะเข้าใจคำว่ามนุษยศาสตร์แค่ไหน เฉียบรู้ว่าพ่อชองเขานั้นเรียนจบปริญญา มีความรู้สูงกว่าเพื่อนบ้านแถบนี้ แต่พ่อก็มักจะเมาเสียจนคิดว่าความรู้ไม่น่าจะเหลือสักเท่าไรแล้ว นอกจากอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น แล้วก็ทำมาหาเลี้ยงเขาได้ด้วยการขายของชำ ขายเหล้าขายเบียร์ บุหรี่ และสลากกินแบ่ง แต่จะขี้เมายังไงพ่อก็เป็นทั้งพ่อและแม่ของเขา
แม่หายสาบสูญไปนานแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 โน่น
หายไปในเดือนตุลาคม หลังจากออกจากบ้านไปตามหา น้องชายคนเดียวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนวันเลือดนองแผ่นดินหนึ่งวัน
วันนั้นพ่อก็ไม่อยู่บ้านเพราะพ่อทำงานเป็นตำรวจและไป เข้าเวรทำหน้าที่ที่สถานีตำรวจชนะสงคราม พ่อมียศแค่จ่าตำรวจ เพิ่ง เรียนจบปริญญากำลังขอเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งตามคุณวุฒิที่เพิ่ง พากเพียรเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเปิดแห่งเดียวของประเทศใน ขณะนั้น
เฉียบยังเด็ก อยู่บ้านกับยายสองคน จำได้ว่าเห็นยายนั่ง ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนอยู่หลายวันเพราะลูกสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งหายไปทั้งคู่
พ่อกลับบ้านในอีกสามวันต่อมา หน้าดำคร่ำเครียดไม่พูดไม่จา แล้วพ่อก็ลาออกจากราชการไม่เป็นตำรวจอีกแล้ว ตำแหน่งอะไรก็ไม่สนใจ หอบลูกกับแม่ยายกลับไปอยู่ที่บ้านสวนฝั่งธน เปิดร้านขายของชำ ขายเหล้าและสารพัดสินค้าอื่นแบบคนจีนขายของชำ สมัยนั้นซอยเข้าสวนแคบนิดเดียว รถยนต์วิ่งไม่ได้ อีกฟากยังเป็นคลองน้ำใส เดี๋ยวนี้น้ำขุ่นคลั่กดำปี๋ ยุงชุม ขยะเต็ม บ้านของพ่อเป็นเรือนไม้ ใหญ่พอสมควร เพราะฐานะทางบ้านไม่ถึงกับเลว มีที่สวนสองขนัด เนื้อที่แปดไร่เศษ ปลูกพืชผลหลายอย่างให้เก็บกินเก็บขาย พ่อปลูกเพิงขายของที่ริมทางเดินซึ่งบัดนี้เป็นถนนซอยรถวิ่งสวนกันได้สบาย ๆ ริมถนนมีตึกแถวปลูกขึ้นมาหลายสิบห้อง อีกด้านเป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดปานกลาง ราคาปานกลาง ที่ดินของพ่อเหลือแค่ไร่เศษ นอกนั้นพ่อขายไปเพราะค้าขายบางทีก็ขาดทุน ต้นทุนหายกำไรหมด กินเหล้า เล่นการพนัน แล้วก็ผู้หญิงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ชื่อจริงของพ่อคือฉลาด แต่พ่อบอกให้ทุกคนเรียกเขาว่า เฉิ่ม บางคนที่รู้ว่าพ่อเคยเป็นตำรวจก็เรียกพ่อว่า จ่าเฉิ่ม เฉียบเคยถามพ่อว่าชื่อฉลาดดี ๆ ทำไมให้คนอื่นเรียกเฉิ่ม ซึ่งมีความหมายไป ทางโง่ ๆ
"อยากให้เรียกไอ้จ่าโง่ งั่งงี่เง่าด้วยซ้ำไป ส่วนเอ็งพ่อให้ชื่อเฉียบ แล้วก็อย่าเสือกโง่อย่างพ่อแล้วกันวะ"
เฉียบถามพ่อว่าทำไมถึงคิดอะไรแบบนั้น พ่อมองหน้าลูกชายคนเดียวและว่า
"ตอนนี้อธิบายไปก็ไม่เข้าใจ ไว้โตอีกหน่อยเถอะ"
เขาถามยาย ยายเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมอธิบาย และตายไปก่อนจะได้อธิบายเรื่องราวให้เขาเข้าใจ แต่เฉียบก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง ได้เองเมื่อเขาโตขึ้น
พ่อถูกเรียกไปปราบจลาจล พ่อกำลังเลือดร้อน ใจร้อน และใช้ปืนไปหลายครั้งในวันนั้น น้าชายอยู่ในกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่า ก่อการจลาจล ยายขอร้องให้แม่ไปตามน้องชายกลับบ้าน แม่ก็ไป แล้วหายไปด้วยกันทั้งคู่
"เขาบอกว่าคอมมิวนิสต์ญวนอยู่ในนั้น ยิงได้ จับได้ อย่าไว้ชีวิต กูก็โง่พอจะเชื่อ" พ่อเคยเผลอพูดออกมาตอนเมา ๆ "ไม่รู้ ยิงเอาใครเข้ามั่ง"
พ่อขอร้องเฉียบว่าอย่าเรียนรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือ ทหาร ตำรวจ พ่อขอให้เขาเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง การปราบปรามหรือกฎหมาย เฉียบรู้ตัวว่าเรียนทางด้าน วิทยาศาสตร์ไม่ได้ จึงเรียนทางภาษา คิดจะเรียนวารสารหรือนิเทศฯ พ่อก็ว่า
"มันก็ต้องทำข่าว เข้าไปเกี่ยวกะเรื่องพวกนั้นอีก ขอร้องเถอะวะ เฉียบ"
เฉียบมีพ่ออยู่กับเขาคนเดียว ถึงจะขี้เมาไปหน่อยแต่พ่อก็รักเขามาก มากกว่าผู้หญิงทั้งสวยและไม่สวยทุกคนที่มาเป็นแม่ เลี้ยงของเฉียบ แม่เลี้ยงคนไหนแตะต้องเฉียบละก็กระเด็นออกจากบ้านไปทุกคน พ่อไม่เคยจดทะเบียนกับเมียคนไหนอีก ได้มาก็เอามาอยู่ในบ้าน ช่วยกันค้าขาย ช่วยกันทำมาหากิน แต่อย่าได้คิดว่าพ่อจะให้มีอำนาจเหนือลูกชายกับยาย จนยายเสียชีวิตไปแล้ว เฉียบก็ยังเป็นหนึ่งในบ้าน เป็นหนึ่งในดวงใจของพ่อเสมอ เมื่อพ่อขอร้องว่าอย่าเรียนวิชาวารสาร เขาก็รับฟัง เลือกเรียนพวกอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสอบเข้าได้อันดับสามคือวิชามนุษยศาสตร์นี่แหละ เอกภาษาอังกฤษกันโทประวัติศาสตร์
วิชาโทที่ไม่เห็นจะทำให้เขาได้รู้ประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาที่แม่กับน้าหายสาบสูญไปเพิ่มขึ้นเลย แม้แต่เท่าขี้เล็บ มีแต่จะยิ่งสับสน เพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์พูดกันไปคนละอย่างสองอย่าง
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ แม่กับน้าเดินทางเข้าป่าไปกับเพื่อน ๆ เฉียบสู้ตามไปสอบถามจากผู้คนที่เข้าป่าไปแล้วกลับออกมาอยู่ในเมืองอีกว่ารู้บ้างไหมว่าแม่กับน้าของเขาหายไปข้างไหน
"นารีเขาไม่ค่อยแข็งแรง อยู่ได้ไม่นานก็เป็นไข้ป่าตาย ส่วนนาวาเขาไปกับพวกที่เดินทางเข้าคุนหมิง แล้วไม่รู้ไปอยู่ซะที่ไหน ก็คงตายไปแล้วละ ไม่งั้นเขาคงกลับออกมาแล้ว"
เฉียบกลับมานั่งร้องไห้ว่าแม่ช่างทิ้งเขาไปได้ลงคอ ลูกชายคนเดียวอายุแค่สี่ขวบกว่า
"สิ่งที่แม่เขาได้พบได้เห็นในวันนั้นทำให้แม่เขาไม่อาจกลับมาอยู่ร่วมในสังคมนี้ได้อีก อยู่กับพ่อก็ไม่ได้ เพราะเขาจะต้อง นึกอยู่ตลอดเวลาว่าพ่ออยู่ในกลุ่มคนที่มีอาวุธปราบปรามเด็ก ๆ นักศึกษาพวกนั้น มือของพ่อเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์"
พ่อพูดเท่านั้น และเฉียบก็เข้าใจ ไม่ร้องไห้น้อยใจแม่อีก
แต่พ่อกินเหล้ามากขึ้น กินจนฟุบหลับคาโต๊ะให้เฉียบต้องลากเข้าห้องนอนทุกคืน
"ถ้าพ่อกินเหล้าหนักขนาดนี้ คงไม่ได้อยู่จนเห็นเฉียบรับปริญญาหรอก ตับแข็งตายซะก่อน" ลูกชายว่า
พ่อจึงเพลา ๆ ลงบ้าง แต่ติดเสียแล้วก็เลิกไม่ได้ เอะอะก็กินเหล้า อย่างวันนี้ลูกชายมาบอกว่าเรียนจบแล้วนะ ได้ปริญญาแล้วพ่อก็ชวนฉลอง ให้ไปซื้อเป็ดย่างกับพวกยำ ๆ มาสามสี่อย่าง ชวนเพื่อนบ้านสนิท ๆ มากินเหล้าฉลอง เฉียบร่วมวงด้วย เพราะเขาก็ดื่มเป็น อยู่มหาวิทยาลัยก็เคยร่วมดื่มกับรุ่นพี่จนตัวเป็นรุ่นพี่เองก็ยังดื่มกันอยู่ แต่ไม่ถึงกับติดเหล้าอย่างพ่อ เพื่อนพ่อที่มาดื่มด้วยกันไม่ใช่เพื่อนตำรวจเก่า หรือคนมีความรู้ แต่เป็นเพื่อนชาวสวนเก่าข้างเคียง คนขับรถส่งของที่พ่อสั่งของจากเขาบ่อย ๆ ตาเทิ้ม สัปเหร่อ ตาวงคนท้ายวัด ตาพลขับแท็กซี่ เสมียนขายประกันเช่าห้องแถวใกล้ ๆ เจ๊กฮงขายข้าวสาร แล้วก็ยายผ่องคนรับจ้างซักผ้า
พ่อว่าคบคนพวกนี้สบายใจได้ เขาไม่คุยเรื่องการบ้านการเมือง คุยกันแต่เรื่องหวย มวยตู้ นินทาคนนั้นคนนี้ไปตามเรื่อง บางครั้งก็คุยเรื่องดี ๆ เหมือนกัน อย่างการทำบุญสร้างโบสถ์วิหาร อะไรของวัดใหม่ท้ายซอย การจัดงานมหรสพ ฉายหนังกลางแปลง จัดตลาดนัดในวัดเป็นครั้งคราว ยายผ่องก็เล่าเรื่องละเม็งละครอะไรของแกไป
ในที่สุดเจ๊กฮงก็เอ่ยขึ้นว่า
"ที่โรงพิมพ์ไอ้จักรเขารับคนเพิ่ม พวกทำงานหนังสือน่ะ ไม่ใช่ช่างอย่างไอ้จักรมันนะ ไม่ลองไปถาม ๆ ดูล่ะ เผื่อเขาจะรับ"
จักรลูกชายเจ๊กฮงทำงานเป็นช่างแท่น ตอนแรกฝึกงานอยู่กับโรงพิมพ์คนจีนแซ่เดียวกัน ตอนหลังย้ายไปท่างานโรงพิมพ์ใหญ่มีมาตรฐานทีเดียว เฉียบหูผึ่ง แต่ไม่ทันพ่อขี้เมา
"เขาทำหนังสืออะไร พวกรายวันน่ะอย่าไปทำเลย มันต้องทำข่าว ข้าไม่ชอบ"
"ไม่ใช่รายวันแน่ ๆ เคยเห็นไอ้จักรมันเอากลับมาอ่านเหมือนกัน เป็นเล่ม ๆ นี่ พวกการ์ตูนก็มี พวกสวย ๆ มีรูปสาว ๆ แต่งตัวเปิดสะก๊าดก็มี" เจ๊กฮงตอบ
"โรงพิมพ์นั้นเขาทำหนังสือความรู้ด้วยนะ พ่อ แบบเรียน กึ่งแบบเรียน หนังสือเด็ก การ์ตูน หนังสือผู้หญิง อะไรพวกนี้ละพ่อ" เฉียบรู้ เขารู้จักกับจักรดี ตอนเด็กๆ เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่จักรหันไปฝึกวิชาชีพในขณะที่เฉียบเรียนวิชาสามัญ
“งั้นก็ลองไปสมัครดูสิ เผื่อเขาจะรับ ช่วยเขียน ช่วยตรวจคำผิดอะไรไปก่อนก็ยังดี เรียนมาทางภาษานี่นะ ทำหนังสือแบบเรียน หนังสือเด็กอะไรก็น่าจะได้ ทำด้านวิชาการไง” พ่อสนับสนุน
“ไม่ได้ก็ไปฝึกขายประกันกับพี่” วินัยชวน
“มันไม่ช่างพูดจะขายได้หรือวะ เฮ้ย ไปฝึกงานสัปเหร่อกับลุงดีกว่า ชวนคนไหนเปิดหมด มึงกลัวผีเรอะเปล่าวะไอ้เฉียบ คนมันตายกันทุกวันต้องอาศัยสัปเหร่อนะเว้ย อย่าดูถูกเชียวมึง เดือน ๆ ได้หลาย มากกว่าคนจบปริญญา ตกงานกันเยอะแยะ เลือกงานสบาย ๆ " ตาเทิ้มชวน
“จะบ้าเรอะ ลูกจ่าเขาจบปริญญา" ยายผ่องด่าอีกหลายคำ "เสือกชวนลูกเขาไปเป็นสัปเหร่อ”
"หน็อย ดูถูก ถ้ากูไม่กินเหล้า เล่นหวย เล่นมวยตู้ พนันบอล เดือน ๆ ก็หาได้มากกว่าไอ้ครูใหญ่โรงเรียนที่จัดอีกวะ คนมันตายกันทุกวัน แต่ไม่มีใครอยากฝึกเป็นสัปเหร่อ อีกทั้งได้บุญได้กุศล บ้านไหนมั่งวะไม่ต้องพึ่งสัปเหร่อน่ะ แถวนี้ถ้าไม่มีกูซะคนใครจะมัดตราสัง ใครจะตอกโลง ใครจะสะกดผีไม่ให้ขึ้นมาหลอกหลอนพวกชาวบ้าน กูทั้งนั้น ไอ้เทิ้มคนนี้แหละวะ ไม่รู้จักไอ้เทิ้มซะแหล่ว”
เฉียบหัวเราะ
"ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ดูถูกสัปเหร่อว่าหากินกะน้ำเหลืองผี ตอนตายซี ไม่มีกูซะคน พวกมึงก็เน่าหาคนทำพิธีไม่ได้ วิชาดีไม่มีคนสืบทอด คาถาอาคมมีดหมอของข้าน่ะ สืบทอดมาจากอาจารย์ใหญ่ ไม่มีใครสู้"
“เออ รู้หรอกวะว่าวิชามึงดี แต่ลูกกูเขาเรียนมนุษยศาสตร์มา เรียนภาษา ก็ให้มันไปทำงานกะคนเป็นๆ เถอะรอให้ไอ้วิชามนุษย์ของมันเข้าหม้อ ไม่มีทางไปค่อยคิดมาฝึกงานกะมึง ตาเทิ้ม” จ่าเฉิ่มสรุปความ ตาเทิ้มบ่นอุบอิบต่อ
“เด็กวัดถมเถ ทำไมไม่ไปชวนมันมาฝึก”
“ไอ้ตาขาวพวกนั้น ดีแต่ล้อเลียนกู” ตาเทิ้มบ่น
ยายผ่องไม่ฟังตาเทิ้มบ่น พูดกับเฉียบขึ้นว่า “ทำงานแล้วซื้อรถสวย ๆ ซักคัน ปลูกบ้านใหม่ให้สมฐานะ ที่ทางแถวนี้เดี๋ยวนี้แพงนะ ตัดขายไอ้ไร่หนึ่งนั้นไปซะได้หลายล้าน ตอนนี้ในซอยนี่วาละตั้งสี่หมื่นกว่า ริมถนนใหญ่น่ะหกเจ็ดหมื่นเชียวนา ไร่นึงตั้งกี่ล้านล่ะ ตอนพ่อเอ็งขายไปน่ะได้ไร่นึงไม่กี่แสน มันยังไม่เจริญ น่าเสียดาย ถ้าเก็บไว้ป่านนี้เป็นเศรษฐีร้อยล้านแล้วละเฉียบ รับรองผู้หญิงตอมเกรียว”
“ยายผ่อง แกจะเอาค่านายหน้าละซี ใครให้มาพูดล่ะหนนี้” เจ๊กฮงรู้ทัน
“เหลืออยู่แค่หนึ่งไร่หนึ่งงาน เก็บเอาไว้ก่อนเถอะ ขายหมดก็กลัวละลายไปกับของโก้ ๆ ซะหมด พอดีไม่มีที่จะอยู่” จ่าเฉิ่มไม่เห็นด้วย
“อย่าขายหมดซี ขายแค่ไร่เดียว บ้านน่ะร้อยตารางวาก็เหลือจะอยู่ บ้านคนอื่นเขาแค่ซุกหัวนอน แมวดิ้นตาย นี่ตั้งแยะ ปล่อยหญ้ารกท่วมหัวน่ากลัวงูเงี้ยวมันเลื้อยเข้าบ้าน”
“ให้มันถึงที่สุดเสียก่อนเถอะวะ ขายเป็นเงินเสียหมดพอดี ใช้เรียบ กลัวอดใจไว้ไม่อยู่ แล้วปลูกบ้านสวย ๆ น่ะก็ขายของแบบนี้ไม่ได้เพราะมันบังบ้านใช่ไหมล่ะ ร้านอยู่ติดถนนซอย บ้านปลูกข้างหลัง ทุเรศ จะเลิกขายของก็เหงา ไม่รู้จะทำอะไร พอดีพอร้าย ล่อเหล้าทั้งวัน บ้านเราตอนนี้ก็ยังอยู่ได้"
พ่อหมายถึงเรือนไม้หลังเก่าแก่ ไม้เนื้อแข็งอย่างดี ใต้ถุนสูง พื้นล่างเป็นซีเมนต์ขัดเรียบ ชั้นบนกั้นห้องพออยู่สบาย ติดมุ้งลวดเหล็กดัดตามสมัย เมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าน้ำประปา เดี๋ยวนี้มีครบทุกอย่าง บ้านเก่าแบบเชยแต่อยู่สบายพอสมควร รกรุงรังอยู่บ้าง ตามธรรมดาของบ้านที่ไม่มีแม่บ้านดูแล ไม่ถึงกับสกปรกเพราะพ่อจ้างยายผ่องนี่แหละมาดูแลทำความสะอาด และซักผ้าให้วันเว้นวัน ยายผ่องเป็นแม่ม่ายผัวทิ้ง มีลูกสองคน เช่าห้องแถวใกล้ ๆ อยู่ ยังชีพด้วยการรับจ้างซักผ้าและทำความสะอาดบ้านคนพอมีเงินแถว ๆ นั้น
ยายผ่องคงหวังจะมาเป็นแม่บ้านให้พ่ออยู่เหมือนกัน แต่รสนิยมของพ่อสูงกว่าผู้หญิงระดับยายผ่อง ผู้หญิงที่พ่อเคยพามาอยู่แต่ละคนขนาดคนที่ว่าไม่สวยที่สุดแล้วก็ยังดูดีกว่ายายผ่อง และพ่อไม่มีวันจีบผู้หญิงที่มีลูกติด
“เดี๋ยวจะมามีปัญหากับเฉียบ”
พ่อเลิกกับผู้หญิงคนล่าสุดมานานสองปีแล้วและไม่คิดจะหาใหม่
“เบื่อแล้ว หมดอารมณ์ บ้านช่องก็รอให้เฉียบมีเมีย หาเมียมาดูแลกันเองแล้วกัน”
เฉียบดูสภาพของบ้านของพ่อ และสิ่งแวดล้อมแล้วก็ยังไม่คิดจะหาแฟน รสนิยมของเขามองผู้หญิงสมัยใหม่ หน้าตาดี แต่งตัวหรูดูเท่ และไม่คิดว่าผู้หญิงแบบนั้นจะอยากมาอยู่บ้านในซอยนี้กับพ่อสามีขี้เมาขายของชำ เพื่อนบ้านแวดล้อมประเภทยายผ่อง ตาเทิ้ม เจ๊กฮง อาจจะเป็นไปได้ถ้าเขาไม่อยู่บ้านนี้กับพ่อแต่ไปซื้อบ้านจัดสรรในหมู่บ้านข้าง ๆ นี่สักหลัง หมู่บ้านราคาปานกลาง ไม่มีสโมสรไม่มีสระว่ายน้ำ ไม่มีสวนสวย ๆ มีแต่ถนนทางเข้าธรรมดา ๆ กับต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น บ้านทุกหลังหน้าตาเหมือนกันหมด เป็น ตึกก่ออิฐฉาบปูน หลังคากระเบื้องสีแสด รั้วสีขาว ตัวบ้านประกอบด้วยสองห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องครัว ห้องคนใช้ ด้านหน้ามีห้องอเนกประสงค์ใช้กินข้าว รับแขก นั่งเล่น มีโรงรถเล็ก ๆ กันบริเวณนิดหนึ่งพอปลูกต้นไม้พุ่มเล็ก ๆ สักสองสามพุ่ม หรือไม้กระถางกับทำสนามแคบ ๆ พอถีบจักรยานแล้วหมุนตัวได้ ด้านหน้าหมู่บ้านมีตึกแถวร้านค้าพอประมาณ ด้านข้างมีตึกแถวเก่า ๆ กับร้านขายของชำของจ่าเฉิ่ม ห้องแถวให้เช่า ถัดไปเป็นวัด มีบ้านไม้เก่า ๆปลูกในบริเวณอยู่กันสิบกว่าครอบครัว ก็ไม่ถึงกับเลว
แต่พ่อจะอยู่อย่างไรคนเดียว เฉียบไม่อยากทิ้งพ่อไปมีครอบครัวใหม่ พ่อก็คงไม่อยากเปลี่ยนความเป็นอยู่เอาตอนอายุปูนนี้แล้ว เฉียบจึงไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานทำการอะไรเลย
วงเหล้าแตกเมื่อได้เวลาละครตอนหัวค่ำ ยายผ่องขอตัวกลับไปดูละครก่อนใคร เจ๊กฮงเป็นคนต่อมา วินัยเริ่มพล่ามถึงคุณภาพ
ชีวิตกับการประกันชีวิตประเภทต่าง ๆ ตาเทิ้มพูดเรื่องสัจจะของชีวิต ความตายกับความไม่แน่นอน อนิจจังของสังคมไปโน่น
เพื่อนโทรศัพท์มาชวนไปเที่ยว เฉียบตอบรับ ฉลองกันหน่อยสิ วัยขนาดเขาการไปนั่งดื่มและดูสาว ๆ ในแหล่งแสงสีมันก็สนุกดีเหมือนกัน พ่อไม่ว่าอะไรพยักหน้าอนุญาต นานทีปีหน ลูกชายก็อยู่ในกรอบอันดีงามเสมอมา มันจะกินเหล้าเที่ยวผับมั่งก็ปล่อยมันไปเถอะ เรียนจบแล้วด้วยซ้ำไป ได้ยินมาว่าเด็กเที่ยวแถว ๆ นั่นน่ะ เด็กมัธยมต้นก็ยังมี แล้วขนาดเฉียบจะไปว่ามันทำไม ควักเงินให้มันไปอีกพันด้วยซ้ำไปนอกเหนือจากเบี้ยเลี้ยงรายเดือนที่ให้อยู่แล้ว รายได้มีมาก็กินไปใช้ไป เกินกำไรที่ได้เป็นไหน ๆ แต่จ่าเฉิ่มขี้เกียจจะคิด เงินที่ขายที่ดินได้ยังพอมีเหลืออยู่ในธนาคารให้ถลุงได้อีกนานโขหรอกน่ะ ถ้าไม่เล่นการพนันจนหมดตัว
พ่อไม่เคยปิดบังเรื่องการเงินกับลูกชายสมุดบัญชีอยู่ที่ไหน เฉียบก็รู้เห็นทุกอย่าง พ่อยอมทำบัตรเอทีเอ็มให้เฉียบกดเงินใช้เองจากบัญชีนั่นด้วยซ้ำไป
"ขืนเอ็งกดใช้เกินตัว หมดก็หมดด้วยกันซีวะ ไอ้เฉียบ"
"พ่อยังมีบัญชีฝากประจำอีกบัญชีหนึ่งไง" ลูกชายว่า
"เออ ยังมี แต่ถ้าไอ้บัญชีนี้หมดต้องไปถอนประจำออกมาใช้ พอดีพอร้ายเกลี้ยง เจ็บป่วยฉุกเฉินไปจะทำยังไงวะ"
"เอาแต่ดอกเบี้ยมาใช้ซี พ่อ"
"เอามาซื้อของเข้าร้านบ่อยไป" พ่อบอก "แล้วก็ขายไป จนของหมด เงินไม่รู้อยู่ไหนว่ะ"
เฉียบก็ได้แต่หัวเราะ มันจะไปอยู่ไหนล่ะ มันก็ลงขวดกับที่เขาเอาไปซื้อกางเกงยีนส์ตัวละสามพันนั่นแหละ รองเท้าแอร์แบ็ก คู่ละสี่พันกว่านั่นด้วย ก็มันอดใจไม่ไหว ตอนหลังซื้อของมือสองแถวสะพานพุทธย่อมเยาลงไปหน่อย แต่พอมันไม่แพงก็เลยซื้อบ่อยขึ้น แถมด้วยขอรถเครื่องอีกหนึ่งคัน พ่อก็ซื้อให้"
"ถ้าซิ่งเอ็งตาย พ่อไม่รู้จะอยู่กับใครว่ะ หรือไม่ตายมา นอนพะงาบ ๆ พิการ ข้าไม่มีปัญญาดูแลเอ็งหรอกนะ เพราะฉะนั้นต้องระวังตัวเอง"
เฉียบจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความระมัดระวังพอสมควร เคยประสบอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว และไม่ถึงกับเจ็บตัวมากนัก
นี่ยังไม่รู้จะตกงานไปอีกนานเท่าไรเสียด้วย สมัครงานที่ไหนก็ยังไม่ได้สักแห่ง ทุกแห่งล้วนแต่อยากได้คนมีประสบการณ์แล้วทั้งนั้น แล้วคนจบใหม่ ๆ อย่างพวกเขาจะทำอย่างไรกัน
ลองอีกทีน่ะ ไปสมัครแล้วปิ๋วครั้งไรก็ท่องประโยคนี้ทุกที คืนนี้ไปเที่ยวสนุกก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยแวะไปหาจักรถามเรื่องงาน
"อย่ากลับดึกนักล่ะ ข้าขี้เกียจตื่นกลางดึก"
"ไม่กลับดึกหรอกพ่อ กลับเช้าเลย ค้างกับไอ้ฝางมัน ไม่ก็กลับบ่ายโน่น"
ลูกชายพูดหน้าตาเฉย ผู้เป็นพ่อด่าว่าไอ้บ้า
"ไปเที่ยวน่ะได้ แต่ระวังเอดส์นะมึง ติดมาละตายลูกเดียว อีกอย่างก็คือยาเสพติด"
พ่อไม่วายเป็นห่วง แม้จะเลี้ยงปล่อยแต่ก็เตือนทุกครั้ง
"ไม่ติดหรอกยาเสพติดน่ะ แต่เหล้าน่ะไม่แน่ ตัวอย่างมัน มีอยู่" ลูกชายลากเสียงยาวล้อเลียน หนนี่พอไม่พูดเล่น
"พ่อมันคนไม่มีอนาคตแล้ว กินไปวัน ๆ ให้มันหลับสบาย แต่เฉียบอายุเพิ่งยี่สิบสอง ยังต้องอยู่อีกนาน คิดให้ดี ๆ แล้วกันว่า สมควรจะทำตามตัวอย่างที่มีอยู่นี่ไหม"
ลูกชายอึ้ง
"ถ้ายังหางานไม่ได้ก็หาทางเรียนต่อปริญญาโท เงินทองเรายังพอมีให้อยู่สบาย ๆ ได้ หรือเรียนไปทำงานไปก็ดี เงินก็เอาไว้เผื่อฉุกเฉิน"
ลูกชายรับคำ พ่อกระดกเหล้าแก้วสุดท้ายลงคอ เข้าบ้านปิดประตู ส่วนเฉียบขี่รถไปหาฝางเพื่อนสนิท สลัดความกังวลทั้งมวลไว้ที่บ้าน