อาญาสยอง (หงส์หยก)

อาญาสยอง (หงส์หยก)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: อาญาสยอง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอน 1

 สายฝนพรำยามบ่ายซาเม็ดลงแล้ว เหลือไว้เพียงความชุ่มฉ่ำ ให้เหล่าพืชพันธุ์ได้ซึมซับเก็บกักเอาไว้ ผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์หาได้ไม่ยากในประเทศไทย หากแต่อยู่ลึกเข้าไปจากตัวเมือง และห่างไกลความเจริญ

หมู่บ้าน“บางกระโดน” เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในแถบจังหวัดกาญจนบุรี อยู่ลึกเข้าไปจนเกือบติดชายแดนพม่า นอกจากห่างไกลความเจริญ ความคิดของชาวบ้านแต่ละคนยังล้าหลัง และยึดติดอยู่กับความคิดเดิมๆ

หลังจากสายฝนซา กระท่อมเล็กๆ ท้ายหมู่บ้าน กำลังกลายเป็นเป้าหมายหลักให้กับกลุ่มเด็ก 4-5 คนที่พากันเข้ามาสอดส่องดูความเป็นไป แต่ละคนอยู่ในวัย 12 ปี

 ไอ้โจ๊กหัวหน้าทีมสั่งแม็ก เอ็ม และน็อต ให้เก็บก้อนหินข้างทางมากองไว้รวมกัน พลางหันมาโอ้อวดกับเพื่อน

“พวกมึงอยากเห็นผียายจันทร์ใช่ไหม เดี๋ยวกูจัดให้ในพริบตา”

“ลูกพี่จะทำยังไง” แม็กถามแปลกใจ

โจ๊กหยิบก้อนหินปาเข้าไปที่กระท่อมอย่างสนุกมือ

“ผียายจันทร์!..ออกมาสิวะ”

“ทำอย่างนี้แล้วจะเห็นผีเหรอวะไอ้เอ็ม” น็อตที่มาด้วยกันถามขึ้นมา

“อยู่เฉยทำไมวะ ช่วยกันปา เดี๋ยวมันก็ออกมา แล้วพวกเอ็งก็เตรียมเผ่นนะโว้ย!..” โจ๊กปาก้อนหินหลายอันตามไป

 แม็ก เอ็ม และน็อต ช่วยกันปาเข้าไปซ้ำอีก พวกมันหัวเราะสนุกสนาน เมื่อก้อนหินที่ปาเข้าไปถูกข้าวของที่วางไว้ เสียงดังโป้กเป้กให้ได้ยิน

ระดมปาเข้าไปจนก้อนหินที่หยิบมากองรวมกันหมดเกลี้ยง เมื่อเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายยังไม่ออกมาสักที ก็หันหลังกลับจะไปหาก้อนหินมาเพิ่ม พลันก็พากันร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น

“อ๊ากกกกก!..ผียายจันทร์”

 ร่างหญิงชราเจ้าของชื่ออยู่ในวัย 80 เศษ รูปร่างผอมบาง ผมเผ้ารกรุงรังปกคลุมใบหน้า บริเวณคอพองโต ตาโปน หลังค่อม สวมเสื้อแขนยาวสีมอซอ หอบฟืนอยู่ในอ้อมแขนสองสามอัน จ้องเขม็งมองมาที่พวกเด็กๆ อย่างดุดัน

“ออกไปจากบ้านกู..ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!”

“ผียายจันทร์มาแล้วโว้ย!..กูเผ่นล่ะ”  โจ๊กหัวหน้าทีมสวมวิญญาณนักวิ่งลมกรด พาลูกน้องเผ่นแน่บออกไปแทบไม่ทัน

 เอ็มที่อยู่ท้ายสุดสะดุดล้มเข้าอย่างจัง แต่ความกลัวมากกว่าความเจ็บ จึงลนลานลุกขึ้นเร่งฝีเท้าตามกลุ่มเพื่อนไปเร็วรี่

เสียงเอะอะทำให้ดาวหลานสาวยายจันทร์ ที่กำลังเก็บผักอยู่ด้านหลังกระท่อมรีบเดินมาดู “เกิดอะไรขึ้นหรือยาย”

“ไอ้พวกเด็กทะโมนในหมู่บ้านน่ะ อย่าไปสนใจมันเลย”

ดาวมองยายจันทร์อย่างตำหนิ “ดาวบอกแล้วว่าอย่าออกมาเก็บฟืนก็ไม่เชื่อ เดี๋ยวล้มขึ้นมาจะทำไง”

“ยายพอช่วยเอ็งได้ก็อยากทำ”

“แต่ดาวไม่อยากให้ยายลำบาก ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย”

“โรคของยายมันไม่มีทางหายหรอก ยายรู้ แต่ถ้าจะให้ยายนั่งงอมืองอเท้า ไม่ช่วยอะไรเอ็งบ้างยายทำไม่ได้หรอก นี่ถ้าพ่อแม่เอ็งยังอยู่ เอ็งก็คงไม่ลำบากแบบนี้ ยายน่าจะตายไปก่อนมากกว่า แก่แล้วอยู่ไปก็รังแต่จะทำให้เป็นภาระคนอื่น”

“ยายอย่าพูดแบบนี้อีกนะ ดาวบอกแล้วไงว่าจะดูแลยาย เรามีกันแค่สองคนนะ ถ้ายายตายไปแล้วดาวจะอยู่ยังไงจริงมั้ย”

“ถ้าพ่อแม่เอ็งไม่ถูกรถชนตายไปก่อน ป่านนี้เอ็งก็คงเรียนจบปริญญาตรีไปเหมือนพวกเพื่อนๆ”

“ดาวจบแค่ ม.6 ก็นับว่าดีถมเถ บอกแล้วไงว่าเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ชีวิตดาวเกิดมาได้อยู่กับยาย แค่นี้ดาวก็มีความสุขแล้ว” ดาวยิ้มภูมิใจ

ยายจันทร์ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ดาวเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือพลางพูดประกอบไปด้วย “ร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอาน่าเข้าบ้านดีกว่า เดี๋ยวดาวทำผัดผักให้กิน” บอกพร้อมประคองยายเข้าบ้านอย่างระมัดระวัง สีหน้าดาวเต็มใจกับการดูแลยาย

 ชีวิตดาวและยายจันทร์ผูกพันธ์กันมาแต่วัยเด็ก พ่อกับแม่ของดาวถูกรถชนเสียชีวิตตั้งแต่ดาวอายุ 12 ปี สองยายหลานปากกัดตีนถีบ เงินที่หาเลี้ยงชีพในแต่ละวันได้มาจากการปลูกผักหลังบ้าน เอาไปขายส่งที่ร้านในตลาด โรคคอพอกที่ยายจันทร์เป็นมานาน เมื่อไม่มีเงินรักษาอาการจึงมากขึ้นเรื่อยๆ

 แม้ว่าตอนนี้ดาวเป็นสาวสะพรั่งในวัย 20 เศษ สองยายหลานยังกลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจของคนในหมู่บ้าน สภาพของยายจันทร์ที่คอพองโต ตาโปน ผอมแห้ง ทำให้ชาวบ้านคิดว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง บางคนคิดว่ายายจันทร์อาจมีผีสิงอยู่ในร่าง  เด็กๆ ที่เห็นต่างพากันเรียกติดปากว่า “ผียายจันทร์”

  บ้านพักของสองยายหลานเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว รูปทรงคล้ายกระท่อมแต่ใหญ่กว่า ภายในไม่ใหญ่และเล็กจนเกินไป ปูพื้นด้วยไม้อย่างดีไม่ได้กั้นห้อง ในส่วนที่เป็นห้องครัวมีเพียงตู้กับข้าวและชั้นเก็บของเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นสัดส่วน ทั้งหมดทั้งมวลได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของบิดาที่เป็นช่างเก่า จึงเป็นคนออกแบบและสร้างไว้ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

 พายายเข้าไปนั่งพักในบ้าน เตรียมผัดผักที่เก็บเข้ามาจากท้ายไร่เมื่อครู่ ดาวนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ตายจริง น้ำมันหมดนี่นา ลืมไปสนิท” ดาวตะโกนบอกยายดังๆ “ยายรอเดี๋ยวนะ ดาวไปซื้อน้ำมันบ้านป้าบัวเดี๋ยวมา”

หญิงสาวเร่งรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

 ร้านป้าบัวที่ว่าอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากนั้น แต่กว่าจะเดินถึงร้านก็เรียกเหงื่อเม็ดโตไหลซึมข้างแก้ม แม้เป็นร้านของชำเล็กๆ แต่มีของที่ต้องการครบครัน ราคาก็สูงขึ้นอีกเท่าตัว เพราะการเดินทางไปซื้อของค่อนข้างไกล

ทันทีดาวบอกความประสงค์กับป้าบัวเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อน้ำมัน กลับได้รับคำตอบในแบบห้วนๆ กลับมา

“ไม่ขาย!..”

ดาวมองป้าบัวอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะจ้ะป้า”

“กูปิดร้านแล้ว”

ดาวยิ่งงง เพราะยังมองเห็นด้านหน้าร้านเปิดกว้างไม่ได้ปิดเหมือนที่บอก “ร้านยังเปิดอยู่นี่จ้ะ”

“แต่กูไม่ขาย..จะไปซื้อที่ไหนก็ไป”

เอ็มวิ่งออกมายืนข้างป้าบัวอย่างกลัวๆ ขณะป้าบัวยังอยู่ในอารมณ์โกรธ “ผียายเอ็งแกล้งหลอกลูกข้าจนหกล้มขาถลอก พวกมันบอกว่าแค่เดินผ่านหน้าบ้านก็ถูกไล่ออกมาจนวิ่งหนีไม่ทัน”

ดาวพอจะเข้าใจความเป็นไป จึงพยายามอธิบาย “ปกติยายไม่เคยทำร้ายใคร พวกเด็กๆ เอาก้อนหินไปปาใส่ที่บ้านก่อนนะป้า แล้วยายก็ไม่ได้ไล่ด้วย เด็กวิ่งล้มเอง”

“บ๊ะอีดาว!..นี่เอ็งเข้าข้างยายแล้วมาป้ายความผิดให้ลูกข้า ออกไปพ้นๆ บ้านข้าเดี๋ยวนี้” มือเท้าเอวเดินเข้าหาท่าทางโกรธจัด

“ฉันพูดความจริงนะจ้ะ”

“กูไม่เชื่อ แล้ววันนี้ก็ไม่ขายให้มึง จะไปซื้อที่ไหนก็ไป”

“นี่ก็ค่ำมืดแล้ว ฉันต้องรีบทำกับข้าวให้ยาย ยังไงวันนี้ขอซื้อสักขวดก่อนเถอะจ้ะ”

“เอ๊ะอีนี่..ใครอยู่แถวนี้ช่วยไปหาน้ำมาสาดไล่มันหน่อยไป๊ บอกว่ากูไม่ขาย”

ผู้คนที่เดินผ่านมาแถวนั้นต่างหยุดยืนมอง ทำเอาดาวเริ่มประหม่า

“ใครไม่เคยเห็นก็ดูหน้ามันไว้ นี่แหละหลานสาวผียายจันทร์ ที่ข้าไม่ขายของให้มัน ก็เพราะว่าเมื่อคืนยายจันทร์หลอกลูกข้า จนต้องวิ่งหนีหกล้มหกลุกออกมาแทบไม่ทัน”

 สายตาแต่ละคนที่มองมา ทำเอาดาวต้องรีบเดินออกมาจากที่นั่น

 กลุ่มโจ๊กที่แอบดูอยู่มุมหนึ่งพากันหัวเราะพอใจ เอ็มกระเถิบเข้าไปรวมกับพวกมัน แต่กลับสะดุดล้มเจ็บแผลเข้าไปอีก

“อูย...เจ็บ เจ็บใจนัก เพราะผียายจันทร์นั่นทีเดียว ทำให้ข้าเจ็บตัวแบบนี้”

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาทางเอาคืน” ไอ้โจ๊กบอกเป็นจริงเป็นจัง

“เอาคืนยังไงลูกพี่”

“ก็มันทำเอ็งเจ็บตัว คืนนี้ก็ทำให้มันเจ็บตัวเหมือนกับเราสิวะ” 

เอ็มเอามือเกาหัวงงๆ “ทำยังไงให้มันเจ็บตัว”

“เรากลัวมันจนต้องวิ่งหนี เราก็ต้องทำให้มันกลัวเราแล้ววิ่งหนีบ้าง”

แม็กมองคนนั้นทีคนนี้ที “ไม่เข้าใจ”

“คืนนี้มีของเล่นสนุกๆ เราจะปลอมเป็นผีเข้าไปหลอกยายจันทร์กันบ้าง”

แต่ละคนหันมองหน้ากันอย่างเริ่มนึกสนุก 

 กลางดึกสงัดของค่ำคืนนั้น โจ๊กเอาผ้าขาวคลุมหัวจนมิดปลอมเป็นผี ส่วนเอ็มเอาหน้ากากผีใส่หน้าแล้วคลุมทับด้วยผ้าสีดำ แม็กและน็อตติดตามคอยดูความเรียบร้อย พวกมันพากันมุ่งหน้าเข้าไปที่บ้านยายจันทร์

เมื่อถึงที่หมาย ต่างก้าวเท้าช้าๆ เข้าไปจนถึงประตู เหลียวมาสบตากันอีกครั้ง แล้วเขย่าประตูบ้านดังๆ อย่างเสียมารยาท 

 ดาวที่นอนหลับได้ลืมตาช้าๆ นอกจากเสียงเขย่า ยังมีเสียงกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์ หญิงสาวหยิบไฟฉายที่หัวเตียงทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ไม่วายฉุกคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ยายจันทร์เอื้อมจับข้อมือหลานสาวพลางบอก

“เอ็งจะไปไหนค่ำๆ มืดๆ”

“ดาวได้ยินเสียงเขย่าประตู”

“อย่าออกไปเลย ดึกแล้ว ช่างมันเถอะ”

 ดาวครุ่นคิด ก่อนค่อยเดินไปแอบดูตรงรอยช่องไม้ที่แตก เห็นพวกโจ๊กกำลังนัดแนะกันอยู่ที่ด้านหน้า พอจะเดาออกว่าเสียงที่ได้ยินมาจากไหน หน้ากากผีและผ้าขาวที่พวกมันถือมา ทำให้ดาวนึกรู้ เธอเดินกลับเข้ามาที่ยาย

“พวกลูกป้าบัวจ้ะ คงจะแต่งตัวเป็นผีมาหลอกเรา”

“เด็กพวกนั้นเล่นไม่รู้จักพอ นี่ดึกดื่นแล้วยังไม่นอน”

“อย่างพวกมันต้องเจอกับดาว อยากเป็นผีดีนัก” ดาวฉายแววตามาดหมายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 เสียงเขย่าประตูด้านนอกยังเร่งเร้า แต่ไม่มีใครเปิดออกมา พวกเด็กๆ เริ่มหงุดหงิดที่แผนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สักครู่ก็หันหลังเตรียมจะกลับออกไป

“ทำไมไม่มีใครออกมาเปิดวะ”

“กลับกันเถอะ แถวนี้โหวงๆ เหวงๆ ชอบกล กูกลัว!”

แม็กเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ “แล้วถ้าเกิดยายจันทร์เป็นผีขึ้นมาจริงๆ มากลางคืนแบบนี้ พวกเอ็งคิดว่า..คิดว่า..”

ต่างเหลียวมองหน้า แล้วตกใจกันเอง “เฮ้ย!...ไอ้แม็ก ทำไมไม่เอาหน้ากากผีออกวะ ตกใจหมด”

“ข้าว่า..กลับกันเถอะ”

บรรยากาศเงียบงัน เริ่มทำให้พวกมันหวาดหวั่นขึ้นมา ต่างพากันเกาะกลุ่มหันหลังเดินออกไป

พ้นจากกระท่อมยังไม่ทันถึงทางแยก ก็ได้ยินเสียงหมาหอนขึ้นมาดื้อๆ

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ้ง ๆๆๆๆๆๆ”

ต่างเริ่มเดินเบียดเข้ามาแนบชิดกัน จู่ๆ โจ๊กที่ตัวโตกว่าวิ่งเผ่นนำหน้าด้วยความกลัว แม็กหันมองไปรอบทิศทาง ก่อนจะเห็นหญิงในชุดขาวยืนโบกมือเรียกอยู่ข้างต้นไม้

“ผีหลอก!...” เสียงตะโกนดังขึ้น

ไม่คิดชีวิต ต่างเร่งฝีเท้าราวกับอยู่ในสนามแข่งขัน แม็กล้มลงอีกครั้ง คราวนี้แผลเดิมที่ขาเลือดอาบแต่ก็พยายามวิ่งหนีออกไปไม่หยุดยั้ง  ความกลัวมากกว่าความเจ็บเป็นหลายร้อยหลายพันเท่า

ร่างในชุดขาวที่ยืนโบกมือ สักครู่ก็หัวเราะพอใจ ก่อนเอาผ้าขาวออกจากศีรษะ เผยให้เห็นว่าคือดาว ที่กำลังถอนหายใจอย่างปลงๆ

“อยากให้พ่อแม่พวกเอ็งมาดูจัง จะได้รู้ว่าลูกเป็นยังไง”

                                                              ***********

 แสงแดดยามเช้าตกกระทบกับกิ่งไม้ เห็นเป็นเงาจางๆ มอเตอร์ไซค์คันเล็กของป้าบัว กำลังขับพาแม็กนั่งซ้อนท้าย จุดมุ่งหมายคืออนามัยประจำหมู่บ้าน เสียงแม็กร้องไห้ไม่หยุด เพราะแผลระบมอักเสบจนบวมเป่ง แม้อนามัยจะยังไม่เปิด แต่ป้าบัวก็ร้องเรียกดังๆ เข้าไปที่บ้านพัก

“หมอ..หมอ ทำแผลให้ไอ้แม็กหน่อยเถอะจ้ะ”

สักครู่หมอสาวเปิดประตูออกมาตามคำเรียกร้อง ป้าบัวเร่งบอกพัลวัน

“เร็วเถอะหมอ ทำแผลให้ไอ้แม็กมันหน่อย”

วิสาในวัย 30 ปีเศษ หมอสาวที่เพิ่งย้ายมาไม่นาน ยิ้มมองป้าบัวและแม็กอย่างอารีย์ เมื่อเห็นแผลแม็กบวมแดงก็ให้รีบพาเข้าไปที่ห้องทำแผล และลงมือปฐมพยาบาล เสียงแม็กร้องระงมเป็นระยะ ขณะที่ป้าบัวก่นด่าประกอบไปด้วย

“เป็นเพราะผียายจันทร์แท้ๆ หรือว่ามันจะแกล้งทำให้ไอ้แม็กข้าบวมจนเดินไม่ได้ ถ้าลูกฉันเป็นอะไรไป ฉันจะไล่มันอกจากหมู่บ้านเลยคอยดู”

วิสาทำแผลไปพูดไป “แผลอักเสบจากการถูกกระทบกระเทือนค่ะ เดี๋ยวล้างแผลแล้วก็เอายาแก้อักเสบไปกิน อีกสองสามวันน่าจะดีขึ้น”  

“ไอ้แม็ก เอ็งเอาแผลไปถูกอะไรมาเพิ่มหรือเปล่า” ป้าบัวถามลูก

“ไม่แม่ เมื่อคืนก็ช่วยหลวงตาล้างจานอยู่ที่วัด ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” แม็กบอกอ้อมแอ้มก้มหน้างุด

“เห็นมั้ยหมอ ลูกฉันกตัญญูจะตายไป บอกว่าเจ็บขาให้นอนพักก็ไม่เอา อยากจะช่วยหลวงตา คุณหมอเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้เรื่องอะไร”

“เรื่องอะไรหรือคะ” วิสาแปลกใจ

“ก็ยายจันทร์ที่ท้ายหมู่บ้านน่ะสิ เขาว่าน่าจะมีผีสิง ใครๆ แถวนี้พากันเรียกว่าผียายจันทร์กันทั้งนั้น”

“ผียายจันทร์!..” วิสาทำท่างุนงง

“ผมเคยเข้าไปดูที่บ้านยายจันทร์ แต่จู่ๆ ยายจันทร์ก็เข้ามายืนข้างหลังได้ยังไงก็ไม่รู้ น่ากลัวมากครับ”

“เรื่องแบบนี้ยังมีด้วยเหรอคะ” วิสาแปลกใจ

“คุณหมอลองถามเพื่อนๆ หมอด้วยกันที่อยู่มาก่อนสิคะ เขาน่าจะรู้กันดี”

ความค้างคาใจในเรื่องยายจันทร์ตามที่ป้าบัวเกริ่นมาให้ฟัง แม้เป็นแค่ลมปากแต่ทำให้วิสาสนใจไม่น้อย วิสาเป็นหมออนามัยที่รักในอาชีพและหน้าที่ การย้ายเข้ามาในถิ่นทุรกันดารอย่างหมู่บ้านบางกระโดน เป็นเป้าหมายหลัก เพราะต้องการช่วยเหลือคนยากจนที่เจ็บป่วย แต่ไม่ได้รับความรู้ทางด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง

 หลังจากป้าบัวกับลูกพากันกลับไปแล้ว วิสาจึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากชาวบ้านที่เข้ามารักษา ซึ่งก็ได้คำตอบคล้ายๆ กัน

“ยายจันทร์แกอยู่กับหลานแค่สองคนที่ท้ายหมู่บ้าน เขาว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงนะหมอ แถมยังไม่มีทางรักษา ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูหรอก กลัวจะติดโรคมาด้วย บางคนก็ว่าผีปอบสิงอยู่ในตัวยายจันทร์”

ผู้ที่มาด้วยกันสมทบ “บางคนก็ว่าจริงๆ แล้วยายจันทร์ตายไปตั้งนานแล้ว แต่ที่อยู่ในตัวคือผีปอบ ที่คอยายจันทร์พองโต ตาโปนเหมือนจะถลนออกมานอกเบ้า หึ๋ย..นึกแล้วสยอง”

“บ้านยายจันทร์ไปทางไหนหรือจ้ะ” วิสามีท่าทีสนใจ

“ท้ายหมู่บ้านโน่น..อุ้ย..หมอจะไปดูเหรอจ้ะ อย่าไปเชียวนะ เดี๋ยวได้ติดโรคมาไม่รู้ตัว”

“เอาเถอะจ้ะ ฉันก็แค่อยากรู้” วิสานิ่งเงียบครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

 สายแล้วสำหรับวันนี้...กิจวัตรประจำวันสำหรับดาวยังคงดำเนินไปเหมือนเช่นทุกวัน หลังเอาอาหารเช้าให้ยาย ดาวออกไปดูผักท้ายไร่แล้วกลับเข้ามาเพื่อพักเหนื่อย บรรยากาศที่บ้านวันนี้ดูแปลกๆ เพราะไม่เห็นยายจันทร์มานั่งรอใต้ร่มไม้หน้าบ้านอย่างเคย

“ยาย..ยายจ๋า..” ส่งเสียงเรียกพร้อมกับกวาดสายตามองหา มือตักน้ำจากกระติกเล็กๆ ขึ้นมากระดกดื่มกิน

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากยาย ทำให้รับรู้ถึงความผิดปกติ ดาวรีบเดินเข้าบ้าน ปากไม่วายร้องเรียก  “ยาย..ยายจ๋า ดาวกลับมาแล้ว”

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาดาวใจหายวาบ เมื่อเห็นยายจันทร์นอนฟุบหน้าอยู่ที่พื้น

“ยาย!..ยายเป็นอะไร ยาย” ดาววิ่งเข้ามาเขย่าตัวร้องเรียกเป็นการใหญ่

หลังจากเอามือจับไปตามตัว รับรู้ว่าร้อนจี๋ “ยาย..ยาย” สีหน้าดาวเต็มไปด้วยความกังวล

หญิงชราค่อยลืมตาช้าๆ เห็นภาพเบลอไปหมด หายใจเหนื่อยมือสั่น ดาวผละจากยายไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าและตามเนื้อตัวให้อย่างห่วงใย ปากเรียกยายเป็นระยะ กลัวว่ายายจะจากไป

เช็ดตัวให้ยายไปได้สักครู่ความร้อนค่อยลดเรื่อยๆ ดาวเริ่มยิ้มได้  

“ยายดีขึ้นแล้วใช่มั้ยจ้ะ”

ยายจันทร์พยักหน้ารับ บอกเบาๆ “ยายกำลังจะกลับเข้ามานอนพัก ไม่รู้ว่าวูบไปได้ยังไง”

“เดี๋ยวดาวเอายาลดไข้ให้กิน จะได้ดีขึ้น” ดาววิ่งไปหยิบยาแก้ไข้มาให้ยายพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว “กินก่อนนะยาย”

ยายจันทร์ยอมกินอย่างว่าง่าย ดาวค่อยๆ ประคองยายนอนลงกับเสื่ออย่างเบามือ  

“เมื่อไหร่มันจะตายให้พ้นๆ ซะทีนะ” เสียงบ่นเบาๆ จากหญิงสูงวัย

“เอาอีกแล้วยาย บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดเรื่องตาย เรามีกันแค่สองคนนะ” ดาวปรามพร้อมเอาผ้าเช็ดหน้า แขน และคอ เพื่อให้คลายจากความร้อน

“มีใครอยู่บ้างจ้ะ” เสียงเรียกดังขึ้นที่หน้าบ้าน

ดาวชะงักแปลกใจ  เนื่องจากร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครเข้ามาเรียกหา รีบลุกเดินออกไปหน้าบ้าน มองเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ชะเง้อชะแง้ ข้างกันมีจักรยานคันเล็ก พร้อมกับกระเป๋าร่วมยาตรงตะกร้าหน้ารถ

“มาหาใครหรือจ้ะ” ดาวมองผู้มาเยือนอย่างไม่คุ้นตา

“ที่นี่บ้านยายจันทร์หรือเปล่าจ้ะ” วิสายิ้มให้อย่างมิตรไมตรี

ดาวอึกอักเหมือนไม่อยากบอกออกไป ด้วยคาดเดาว่าการมาคราวนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก ที่แน่ๆ เธอไม่เคยเห็นหน้าวิสามาก่อน

“คุณเป็นใครหรือจ้ะ”

“ฉันชื่อวิสา..เพิ่งย้ายมาเป็นหมออนามัยที่นี่”

ดาวระบายยิ้มดีใจเมื่อได้ยินว่าเป็นหมอ แต่ยังลังเลไม่กล้าสอบถามอะไรออกไป วิสาบอกบรรยายเพิ่มอีกว่า “ฉันเพิ่งมาอยู่ได้แค่หนึ่งอาทิตย์ ว่าแต่..ที่นี่บ้านยายจันทร์ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ ตอนนี้ยายกำลังไม่สบายมาก”

“งั้นให้ฉันเข้าไปดูนะ” วิสาหยิบกระเป๋าร่วมยาหน้ารถทำท่าจะเดินเข้าบ้าน

“เดี๋ยวค่ะ..” ดาวท้วงเอาไว้เหมือนไม่แน่ใจ

“ทำไมหรือจ้ะ”

“คุณหมอ..ไม่กลัว..เอ่อ..”

“เอาเถอะ ให้ฉันเข้าไปดูยายก่อน”

ดาวจำต้องพาวิสาเข้าไปถึงด้านใน ภาพที่เห็นคือยายจันทร์นอนอยู่บนเสื่อท่าทางอ่อนแรง ลักษณะที่เห็นตรงตามชาวบ้านบอกบรรยาย คอพองโต ตาโปน ผอมบาง ผมเผ้ารุงรังจนดูน่ากลัว วิสานั่งลงใกล้ๆ ตรวจจับชีพจรสักครู่พร้อมกับใช้หูฟังแนบอก ก่อนวิเคราะห์อาการ

“ยายมีไข้ ความดันขึ้น ใจเต้นเร็ว เดี๋ยวฉันจะจัดยาให้”

“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ” ดาวยกมือไหว้ “แต่ว่า..ฉันไม่มีเงินค่ายาหรอกนะคะ”

วิสาหันมายิ้มกับความใสซื่อของดาว

“เอาไว้ฉันจะไปทำงานชดใช้ค่ายาให้คุณหมอได้มั้ยคะ”

อีกฝ่ายแค่นยิ้มแล้วบอกอย่างใจเย็น “ยาเนี่ยยาหลวง เอาไว้สำหรับบริการคนเจ็บป่วยทั่วไปที่ไม่มีเงินค่ารักษา ฉันคิดค่ายาก็ถูกจับเข้าคุกน่ะสิ”

“จริงเหรอคะคุณหมอ” ดาวยิ้มดีใจ “คุณหมอใจดีจังเลยค่ะ”

“เอายาให้ยายกินทุกวันตามที่ฉันเขียนบอกเอาไว้ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไปตามฉันที่อนามัยได้ตลอดเวลา”

“แล้ว..คุณหมอมาที่นี่ได้ยังไงคะ”

“มีคนพาลูกไปรักษาที่อนามัย แล้วพูดถึงยายจันทร์”

ดาวชะงักเงียบไป รู้ว่าคงไม่ได้เป็นเรื่องดีนัก “ผียายจันทร์...”

“อาการของยายเท่าที่ดูไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ง่ายๆ อย่างที่คนพูดกัน” วิสาอธิบาย

“ยายเป็นโรคอะไรคะหมอ”

“คอพอก”

“คอพอก?..” ดาวย้ำถามพร้อมทำหน้าฉงน

“เกิดจากภาวะไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมา อยู่เหนือการควบคุมของต่อมใต้สมอง อาการก็อย่างที่เห็น บางครั้งถ้าเครียดมากๆ อาการอาจกำเริบขึ้นมา”

“ฉันต้องทำยังไงบ้างคะ”

“ทางเดียวคือต้องพายายจันทร์เข้าไปรักษาในเมือง”

ได้ยินอย่างนั้นยายจันทร์ที่นอนอยู่ค่อยบอกเสียงเบา “ฉันไม่ไปหรอกหมอ จะอยู่ที่นี่ ฉันจะตายที่นี่”

ดาวบอกปนเศร้า “เราไม่มีเงินรักษาขนาดนั้นหรอกค่ะคุณหมอ”

“ฉันทำเรื่องส่งตัวยายจันทร์เป็นคนไข้อนาถาได้ ยังไงฉันก็อยากให้ยายได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อย่างน้อยผู้คนแถวนี้ก็ไม่เอาไปพูด หรือเข้าใจในแบบผิดๆ”

“ช่างพวกมันเถอะ ฉันกับหลานถูกมองข้ามมานานแล้ว หาว่าเป็นผีบ้าง  มีโรคติดต่อร้ายแรงบ้างล่ะ ยังไงฉันก็ไม่เข้าไปรักษาในเมืองหรอก เพราะรู้ว่ารักษาไปก็ไม่มีทางหาย ฉันจะตายที่นี่แหละหมอ”

“ยายกับหลานลองตัดสินใจกันดูนะจ้ะ เอาเป็นว่าฉันจะสั่งยาเฉพาะทางมาบรรเทาอาการให้ไปก่อน ก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่”

ยายจันทร์ยกมือท่วมหัว “เป็นบุญของฉันกับหลานแท้ๆ ที่มีหมอใจดีอย่างนี้มารักษา ขอให้คุณหมอเจริญๆ เถอะนะจ้ะ”

“ฉันจะแวะเข้ามาดูยายบ่อยๆ” วิสาเตรียมเก็บอุปกรณ์พร้อมจะกลับ  

“คุณหมอคะ รอเดี๋ยวนะคะ”

วิสาทำท่าแปลกใจ

“ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณหมอ พอดีผักที่ปลูกเอาไว้หลังบ้านกำลังงามเลยค่ะ ฉันจะไปตัดมาให้”

“ปลูกผักด้วยเหรอ” วิสายิ้มอย่างสนใจ “ถ้างั้นพาฉันไปดูหน่อยได้มั้ย”

“ได้สิคะ” เธอหันมาบอกยาย “ยายนอนรออยู่ที่นี่ก่อนนะจ้ะ ฉันจะพาคุณหมอไปดูแปลงผัก”

ยายจันทร์พยักหน้ารับคำ ดาวยิ้มภาคภูมิใจ เดินนำหน้าวิสาออกไปไม่รอช้า

เดินนำวิสามาถึงหลังบ้าน มองเห็นแปลงผักหลายแปลงปลูกเรียงกันไว้  มีทั้งผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกาด และผักชี ใกล้กันมีมะนาวสี่ห้าต้น ที่ออกผลพอสำหรับการรับประทาน ต้นพริกสองสามต้นมีเม็ดชูสลอน  หากมองไกลออกไปทางท้ายไร่ เห็นเป็นต้นมันสำปะหลัง ที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้หลายแปลงด้วยกัน

วิสายืนทอดสายตายาวไกลอย่างชื่นชมกับธรรมชาติ “แถวนี้บรรยากาศดีจัง แล้วก็สวยด้วย”

“คุณหมอชอบก็มาบ่อยๆ ได้นะคะ..ว่าแต่คุณหมอจะรับผักอะไรไปกินบ้างจ้ะ”

วิสานิ่งมองดาวอย่างรู้สึกถูกชะตา “ปลูกผักเอาไว้เยอะแบบนี้ กินไหวเหรอ”

“ฉันเอาไปขายที่ตลาดด้วยค่ะ มีเงินพอซื้อกับข้าวกลับมาให้ยาย”

“เธอเก่งจัง..จริงสิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร”

“ฉันชื่อดาวค่ะ” ดาวยิ้มบอกเสียงใส

“ฉันเห็นที่อนามัยกำลังหาคนทำความสะอาด รายได้ก็เดือนละสองพัน เธอสนใจจะหารายได้เพิ่มมั้ยล่ะดาว”

ดาวทำท่ายินดี “จริงเหรอคะคุณหมอ”

“จริงสิจ้ะ ถ้าเธอสนใจฉันจะบอกให้เขาพิจารณาเธอเป็นพิเศษ”

“สนใจสิคะ แต่..ฉันกลัวว่าเขาจะไม่รับฉันเข้าทำงานน่ะสิ” สีหน้าหม่นเศร้าบ่งบอกความกังวล

“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน จะช่วยพูดให้”

“ขอบคุณคุณหมอมากเลยค่ะ”

วิสายิ้มให้แล้วบอก  “ผักเนี่ย เอาไว้ถ้าฉันอยากกินจะแวะเข้ามาขอแบ่งแล้วกันนะ ตอนนี้เธอตัดไปขายก่อนเถอะ แค่ได้เห็นแปลงผักสวยๆ แบบนี้ฉันก็อิ่มแล้ว อีกอย่างตอนนี้เพิ่งมาอยู่ ยังไม่มีอุปกรณ์ทำครัวเลย”

“ถ้างั้นก็ตามใจคุณหมอค่ะ”

“ฉันคงต้องขอตัวกลับจริงๆ ซะที” วิสายิ้มให้ดาวอีกครั้งก่อนจะเดินผละออกไป ดาวเดินตามไปส่งที่หน้าบ้าน

หลังจากส่งวิสากลับไปแล้ว ดาวเข้าไปดูยายในบ้านอีกครั้งเห็นว่าดีขึ้นเป็นลำดับ เธอจับมือยายแล้วบอกเบาๆ

“ยายจ้ะ เดี๋ยวฉันเข้าไปซื้อเม็ดผักเพิ่มที่ตลาด ยายอยู่คนเดียวก่อนนะ”

“รีบกลับมาแล้วกัน ยายเป็นห่วงเอ็ง”

“ดาวจะรีบกลับมาจ้ะยาย ว่าแต่ยายดีขึ้นแล้วจริงๆ นะ”

“ยาที่หมอให้ช่วยได้เยอะ ไม่คิดว่าจะเจอหมอใจดีแบบนี้”

“ยายจ้ะ หมอบอกว่าที่อนามัยรับคนเก็บกวาดที่นั่น ดาวเลยอยากไปทำ เขาให้รายได้ตั้งสองพันแน่ะ”

“ยายกลัวเอ็งจะเหนื่อย ไหนจะแปลงผัก ไหนจะต้องมาดูแลยายอีก เอ็งจะทำไหวเหรอดาวเอ้ย”

“แปลงผักแค่เราดูแลเช้าเย็น ตอนกลางวันดาวก็จะขอคุณหมอกลับมาดูยายที่บ้าน ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ”

“เขารับทำงานแล้วเหรอ”

“ยังจ้ะ แต่คุณหมอบอกว่าจะช่วยพูดให้”

“ตามใจเอ็งก็แล้วกัน”

“ถ้างั้นดาวรีบไปตลาดดีกว่า จะได้รีบกลับมา”

“รีบไปเถอะ”

ดาวลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายเล็กๆ แล้วเดินออกไปทันที

                                                              *********

 บรรยากาศในตลาดบางกระโดนยามบ่าย ผู้คนไม่มากนัก ร้านค้าที่รวมกลุ่มกันอยู่กว่าสิบร้าน มีข้าวของขายเกือบทุกอย่าง หากแต่พวกเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ อาจไม่ทันสมัยเท่าในเมือง

 ดาวเดินเข้าไปที่ร้านขายพันธุ์ผักแล้วบอกคนขายถึงสิ่งที่ต้องการ เมื่อได้เสร็จสรรพจึงเดินกลับออกมา ระหว่างเก็บเงินทอนเข้ากระเป๋า ตาไม่ทันมองเห็นถังน้ำแข็งตรงหน้าจึงชนเข้าอย่างจัง เล่นเอาเซถลาทำท่าจะล้ม พลันก็มีมือหนึ่งเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ้ะ” เสียงบอกเบาๆ ข้างหูอย่างจงใจ

ดาวตกใจเมื่อรู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดใครบางคน เธอรีบผละออกอย่างระวังตัว “ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”

‘คม’ชายหนุ่มวัย 30 เศษ ลูกชายเจ้าของโรงน้ำแข็งนิ่งมองหน้าดาวตาค้าง ตกตะลึงกับความสวยสมวัย ด้วยนิสัยเจ้าชู้ที่มีเป็นทุน ประกอบกับการเป็นนักเลงโตเจ้าถิ่นและไม่เกรงกลัวใคร คมยกมือที่โอบกอดดาวเมื่อครู่ขึ้นมาดมคล้ายคนละเมอ

“หอมจริงๆ ทั้งสวย..ทั้งหอม”

เสียงหัวเราะของพวกลูกน้องสองสามคนจากในร้านดังขึ้นอย่างรู้หน้าที่ ดาวเริ่มมองทางนั้นทีทางนี้ทีหวาดกลัวกับเหตุการณ์ ทำท่าจะเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบไปไหน ฉันยังไม่รู้จักชื่อเลย” พูดพร้อมก้าวเดินเข้ามาหา ส่งสายตากรุ้มกริ่มถูกใจ

“ฉันต้องรีบไป” ดาวบอกแค่นั้นก่อนรีบวิ่งออกไปทันที

คมมองตามอย่างนึกเสียดาย พลางหันไปทางลูกน้อง “ใครวะ..ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้ามัน”

“หลานสาวยายจันทร์ที่ท้ายหมู่บ้าน”

“ยายจันทร์..” คมทวนคำแปลกใจ

“อย่าไปสนใจเลยลูกพี่ เขาว่ายายมันเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่แน่หลานอาจจะติดโรคมาก็ได้”

คมนิ่งเงียบครุ่นคิดแล้วยิ้มออกมา “เอ็งก็รู้ว่าคนอย่างข้า..โรคไม่กลัว..กลัวไม่ได้มากกว่าว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”

“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงพวกลูกน้องหัวเราะรับประจบเอาใจขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

 ดาววิ่งออกมาจากตลาดก่อนจะหยุดเหนื่อยหอบที่มุมหนึ่ง ภาพสายตาคมที่มองลวนลามยังติดตา พาให้ตื่นกลัว ยังไม่ทันจะเดินต่อไปก็มีก้อนหินหลายก้อนปาเข้ามาที่ร่าง ดาวยกมือปัดป้องพัลวัน

“โอ้ย!..อย่านะ”

“หลานผียายจันทร์! เขวี้ยงมันเลย!..” โจ๊กกับพวกกำลังปาก้อนหินเข้าใส่อย่างจงใจ ส่งเสียงหัวเราะสนุกสนาน

“หยุดนะ..พอเดี๋ยวนี้” ดาวตะโกนบอก

ดูเหมือนไม่เป็นผล แถมก้อนหินยังถูกเข้าที่หน้าผากเลือดซึม

“โอ้ย!..”

เสียงหัวเราะดังต่อเนื่อง มือหยิบก้อนหินอีกหลายอันในถุงขว้างตามมา

“ขว้างมันเข้าไป ฮ่าๆๆๆ”

“หยุดเดี๋ยวนี้!..”  เสียงดุดันดังขึ้นทางด้านหลัง “ไม่เห็นเหรอว่าเขาหัวแตกแล้ว”

 กลุ่มเด็กๆ หยุดมือแล้วหันไปมอง เห็นว่าเป็นชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน สะพายเป้ไว้ทางด้านหลังเหมือนเพิ่งเดินทางมา สายตาจ้องมองเด็กๆ อย่างตำหนิ

“รังแกคนไม่มีทางสู้แบบนี้ สนุกนักหรือไง” น้ำเสียงที่พูดเป็นจริงเป็นจัง

“เฮ้ยพวกเรา เผ่นเถอะวะ เร็วเข้า” เด็กๆ ต่างเฮโรพากันวิ่งออกไปทันที

ชายดังกล่าวเดินเข้ามาจับแผลที่หน้าผากดาว เห็นมีเลือดซึมออกมา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาเช็ดให้อย่างเบามือ

“เจ็บมากมั้ย”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ดาวหันมาสบตา  

เมื่อเห็นใบหน้าในระยะประชิด ทำเอาอีกฝ่ายชะงักงัน นิ่งมองดาวอยู่อย่างนั้นไม่วางตา ดาวอยู่ในอาการประหม่าปรับสีหน้าไม่ถูก ขยับออกห่างอย่างไว้ตัว

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยห้ามเด็กพวกนั้น”

ชายหนุ่มค่อยตื่นจากภวังค์ ขยับปรับสีหน้าเล็กน้อย

“เอ่อ..ผมชื่อภาคิน เพิ่งย้ายมาเป็นครูใหม่ที่นี่..แล้ว..คุณ..”

“ฉันชื่อดาวค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ดาวทำท่าจะเดินกลับออกไป

“เดี๋ยวก่อน บ้านคุณอยู่ทางไหน ผมจะได้เดินไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้”

“แต่หัวคุณมีเลือดออก”

“เล็กน้อยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ดาวยิ้มให้อย่างขอบคุณแล้วรีบเดินไป

ภาคินยิ้มค้างมองตาม ถูกใจดาวตั้งแต่แรกเห็น

                                                         **************

รายละเอียด

เรื่องราวความเชื่อแบบผิดๆ กับความลี้ลับที่นำมาซึ่งความน่าสะพรึงกลัว

ผิดบาปที่ก่อไว้....ถูกตามเอาคืนอย่างสยดสยอง

ชีวิต..ล้างด้วยชีวิต คนแล้วคนเล่า!..

พวกมัน!!!...จะหนีรอดจากการตามไล่ล่าของผีร้ายได้หรือไม่

ดาวน์โหลดติดตามความสยองกันได้แล้ววันนี้!..


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024