
สติลเลทโต (บุญญรัตน์)
ประหยัด: 52.50 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
คำนำ
สติลเลทโต.. เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่งของฮาโรลด์ รอบบินส์ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ฮาโรลด์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถสูง เขาใช้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองจริงมาผูกเป็นนิยายได้ ดังนั้นนิยายหลายเรื่องของเขา จะทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นเอกลักษณ์ ความเป็นตัวตนแท้จริงรวมไปไปถึงรูปแบบแนวทางของเรื่องที่ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน
จากชีวิตในวัยเยาว์ที่เปล่าเปลี่ยว เป็นลูกกำพร้า ฮาโรลด์ได้เอาชีวิตตอนนี้มาผูกเป็นนิยายเรื่อง “Never Love A Stranger” ซึ่งดิฉันได้แปลออกเป็นภาคภาษาไทยให้ชื่อว่า “ชีวิตนี้เป็นของเรา”
เมื่อหนุ่มขึ้นและเข้ารับราชการทหาร ประสบกับปัญหายุ่งเหยิงในครอบครัว ฮาโรลด์เกิดความบันดาลใจ จนถึงกับเขียนเป็นนิยายเรื่อง “Where Love Has Gone” ซึ่งเป็นนิยายขายดีที่สุด แปลออกเป็นภาษาต่างๆมากกว่าเรื่องอื่นๆ สำหรับภาษาไทยนั้นดิฉันได้แปลออกมาและให้ชื่อว่า “ดวงใจพ่อ”
ในสมัยทีเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกมาเฟียนั้นเองที่ฮาโรลด์ได้เขียนเรื่อง “Stiletto”ขึ้น สำหรับเรื่องนี้ เมื่อดิฉันนำมาแปลเป็นภาษาไทยนั้น คิดว่าใช้ชื่อของอาวุธชนิดนี้ตรงตัวเลยจะดีกว่า จึงใช้ชื่อ
“สติลเลทโต” ตามชื่อเรื่องที่ฮาโรลด์ตั้งไว้
ในตอนแปลครั้งแรกนั้น ดิฉันได้พยายามค้นคว้าอยู่พอสมควร จึงทราบว่า สติลเลทโตเป็นอาวุธขนาดเล็ก ที่มีรูปร่างคล้ายกริชแต่ไม่ใช่กริช ทำจากเหล็กเนื้อดี มีความแหลมคมเป็นพิเศษ ผู้ที่ต้องอาวุธชนิดนี้ ปากแผลจะเล็กเท่ารูเข็ม ดิฉันเชื่อว่า ฮาโรลด์ต้องการที่จะแนะนำผู้อ่านให้รู้จักกับอาวุธชนิดนี้ของชนเผ่าบอร์เจียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตนิยายของฮาโรลด์ รอบบินส์ จะเห็นว่าการดำเนินเรื่องของเขามักคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เขาหยิบช่วงชีวิตตอนใดตอนหนึ่งขึ้นมาเน้นเป็นพิเศษ นิยายของเขาจึงมักมีเรื่องของความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย การที่จะต้องเผชิญชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งขึ้นไว้ให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์ทั้งความรักและความใคร่กับผู้หญิงตระกูลสูง การผจญภัยในแก๊งมาเฟีย
แต่ในท่ามกลางสิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อผูกเป็นนิยายไม่ว่าเรื่องใด เราจะเห็นความเศร้าอันล้ำลึกประการหนึ่งในชีวิต ซึ่งนั่นก็คือ..ฮาโรลด์โหยหาความรักมาชั่วชีวิต
ฮาโรลด์ รอบบินส์ได้กล่าวไว้ว่า
แต่..คนที่มีจิตใจกล้าหาญและแข็งแกร่งพอที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ที่จะไม่มีวันฆ่าตัวตาย แม้ว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพราะวันแห่งชัยชนะย่อมต้องใช้เวลาในการรอคอยนานพอสมควร..
สติลเลทโต จึงเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ฮาโรลด์ รอบบินส์ ต้องการชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของจิตใจมนุษย์
ดิฉันเชื่อว่าเมื่อท่านได้อ่านนิยายเรื่องนี้ของเขาแล้วท่านจะชอบเขามากขึ้น
“บุญญรัตน์”
---------------------------------------
บทที่ 1
ค่ำคืนนั้นดูจะเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าเคย ทั้งที่เพิ่งจะ 4 ทุ่มกว่าเทานั้น แต่ทั้งบาร์มีแขกเหลืออยู่เพียงแค่ 4 คน บนเก้าอี้หมุนหน้าบาร์เป็นที่นั่งของ 3 คนแรก ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ประตูเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน ความหนาวเยือกเย็นพรูพรั่งตามเธอเข้ามาด้วย เธอกระชับเสื้อหนาวบางๆไว้แนบตัว เขยิบก้นไต่ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าบาร์
“ขอเบียร์สักแก้วสิ”
บาร์เทนเดอร์รินเบียร์ใส่แก้วให้ส่งให้ แล้วจึงหันไปหยิบแก้วค๊อกเทลใบน้อยขึ้นมาเช็ดต่อเงียบๆ
“ไม่มีอะไรเลยหรือจิมมี่” ดวงตาของเอสอดส่าย พยายามจะสบสายตากับคนใดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“คงไม่หรอกมาเรีย คืนนี้มันเป็นคืนวันอาทิตย์ พวกทัวร์คงเข้านอนกันหมดแล้วละ”
เธอยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบเงียบๆ บาร์เทนเดอร์เรียกเธอว่ามาเรีย สาวน้อยชาวปอโตริกันตัวเล็กๆ ผู้มีดวงตาสีดำสนิทสดใส ทรวดทรงองค์เอวเพียงดอกไม้แรกผลิเท่านั้น เขาเคยสงสัยอยู่บ่อยๆว่า เวลาออกไปนอนกับผู้ชาย เธอจะมีอะไรให้คนพวกนั้นบ้าง
ตอนนี้ดูเหมือนสาวน้อยจะลดความสนใจจากบรรดาผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าบาร์แล้ว เพราะดวงตาของเธอกำลังจับจ้องมองบุรุษที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง แม้เธอจะเห็นเขาเพียงแค่ด้านหลัง แต่เสื้อผ้าที่ตัดอย่างดี สวมใส่ได้เข้ารูปเข้าทรงนั้น บอกได้ทันทีว่าบุคลผู้นี้ไม่ธรรมดา เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามและบาร์เทนเดอร์ก็ยักไหล่แทนคำตอบ
ผู้ชายคนนั้นกำลังพิจารณาแก้ววิสกี้ขณะที่เธอเดินเข้าไปหยุดตรงหน้า..
“เหงาไหมคะ ซินยอร์?”
เพียงดวงตาของเขาที่เหลือบขึ้นมอง เธอก็รู้คำตอบได้ในทันที ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเยือกเย็นปานน้ำแข็ง ริมฝีปากที่บางเฉียบบอกความเด็ดขาดทำให้เธอชะงัก
“ไม่หรอก ขอบใจ
สาวน้อยยิ้มจืดๆให้ตัวเอง ก้มศีรษะให้เขานิดๆแล้วก็เดินกลับไปที่บาร์ ไต่ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หมุนอีกครั้งพร้อมกับล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบ
“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าคืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์” บาร์เทนเดอร์พูดเบาๆ
เธออัดบุหรี่เข้าปอด พ่นควันออกมาช้า..
“รู้แล้วน่า” แววตาสลดลงวูบหนึ่ง “แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องหางานทำนี่ มันช่วยไม่ได้”
เสียงกริ่งโทรศัพท์ข้างๆบาร์ดังขึ้น บาร์เทนเดอร์รีบวิ่งไปรับ
“โทรศัพท์ของท่านครับ ซินยอร์ซีซาเร่” เขาโค้งกายให้บุรุษผู้นั้นอย่างนอบน้อม
“กราเซียส..” ซีซาเร่ยิ้มบางๆขณะเดินไปรับโทรศัพท์
เฮลโล..!”
“ต้องเป็นตอนเช้าพรุ่งนี้นะ คุณลงมือได้เลยตอนที่เขามาปรากฏตัวในศาล” เสียงผู้หญิงกระซิบร้อนรนมาตามสาย
“ไม่มีที่อื่นอีกแล้วหรือ?” ซีซาเร่กระซิบถามด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“ไม่หรอก เราไม่มีทางจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกนำตัวมาจากที่ไหน รู้แต่เพียงว่าเขาจะต้องมาถึงศาลตอนสิบเอ็ดโมงเช้าเท่านั้น”
“แล้วคนอื่นๆล่ะ ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?”
“ใช่..ทั้งในลาสเวกัส ในไมอามี่ คุณวางแผนไว้หรือยังล่ะ?”
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว” เขาตอบเรียบๆ
“จำไว้นะ คนๆนั้นต้องตายก่อนจะนั่งลงในคอกพยาน” เสียงผู้หญิงกำชับมาอีก เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“เอาเถอะน่า บอกดอน อีมิลโล่เถอะว่า ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มันก็เท่ากับตายอยู่แล้วละ เท่านั้นนะ”
พูดจบเขาก็วางโทรศัพท์ ยกปกเสื้อโค้ทขึ้น ขณะก้าวออกไปสู่คืนที่เยือกเย็นในถนนอันเป็นย่านที่อยู่ของพวกสเปน
เมื่อเดินไปได้ประมาณสองช่วงตึกเขาจึงได้เรียกแท๊กซี่และสั่งให้คนขับไปส่งที่โรงแรม เอล มอรอคโค
เขาซุกร่างลงในเบาะด้านหลัง หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ความระทึกใจค่อยๆคืบคลานเข้าสู่ดวงจิต ความเป็นจริงเริ่มจะปรากฏขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสงคราม ที่เขาจะได้หวนกลับมาใช้อาวุธชนิดนี้อีกครั้ง และใช้มันอย่างจริงจังเสียด้วย
เขาหวนรำลึกไปถึงครั้งนั้น ผู้หญิงคนแรกกับความตายของเธอ..น่าแปลกนัก ที่มันมักจะเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอ ความเป็นจริงแห่งการมีชีวิตอยู่ดูจะไม่สลักสำคัญอะไรเลย เมื่อเทียบกับการที่เราได้ยึดถือความตายไว้ในมือ พร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับคนที่เป็นเหยื่อ
กาลเวลานั้นดูช่างผ่านมาเนิ่นนานนักแล้ว ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุได้ 15 ปี ซึ่งตรงกับปี 1935 ในท่ามกลางเทศกาลงานรื่นเริงของหมู่บ้านชาวซิสิเลี่ยน ซึ่งลงหลักปักฐานอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง งานเทศกาลเช่นนี้ ชาวซิสิเลี่ยนมักจะจัดขบวนแห่ให้ใหญ่โตสวยงาม รูปของอิล ดุช แผ่นใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำอยู่ในเวลานั้น จะถูกแห่แหนไปทั่ว ใบหน้าที่เคร่งขรึมกับแววตาที่เยือกเย็นของเขา ประหนึ่งจะประกาศว่า
“จงเป็นอิตาเลี่ยนกันเถิด เพราะคำว่าอิตาลี่ แปลว่าพลัง..”
ค่ำแล้วที่ซีซาเร่ผ่านเข้าไปในย่านนั้นขณะที่จะเดินทางกลับบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะแหงนมองขึ้นไปเหนือชะง่อนผา ที่ซึ่งมีปราสาทใหญ่ตั้งอยู่รูปลักษณ์ของปราสาทหลังนั้น ดูมีความขัดแย้งกันอยู่อย่างไรพิกล ทั้งสง่างามและน่าสะพรึงกลัว อาจจะเป็นเพราะมันถูกสร้างมาเกือบ 600 ปีแล้วก็ได้ นับตั้งแต่เค้าท์คาดินัลลิคนแรกมีชีวิตอยู่
ขณะที่เขาออกเดินทางเพื่อจะขึ้นไปบนภูเขาจะต้องผ่านไร่องุ่นของแกนดอฟโฟ กลิ่นเหล้าองุ่นที่หมักไว้ลอยอวลอยู่ในสายลม เขายังรำลึกได้ถึงเสียงกลองที่ตีกระหน่ำและความระทึกใจที่เกิดขึ้นกับตัวเองในค่ำคืนนั้น ที่เฝ้าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวที่พูดกันในกลุ่มนายทหาร เกี่ยวกับเรื่องราวของปราสาทอิล ดุช
“ผู้พัน” นายทหารคนหนึ่งเคยพูดกับเขา “ผมรับรองได้เลยว่า ไม่มีประวัติของนายทหารคนไหนที่เหมือนของอิตาลี่ ลองคิดดูสิครับ เขาสามารถเอาผู้หญิงถึงห้าคนเข้าไปนอนด้วยในคืนเดียว ..ผมรู้เรื่องนี้เพราะอะไรรู้ไหม..ก็เพราะผมเองนี่แหละ ที่จะต้องเป็นคนพาผู้หญิงพวกนั้นเข้าไปหาเขาทีละคน พอทุกคนออกมาหน้าตาแทบจำไม่ได้เลย แต่ตัวเขาเองกลับตื่นแต่เช้าตั้งแต่หกโมงแน่ะครับ สดชื่นกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม..จำไว้นะครับผู้พัน ถ้าคุณอยากได้ผู้หญิงคนไหน ใส่เครื่องแบบนายทหารอิตาเลี่ยนเข้าไปเป็นสำเร็จ เพราะผู้หญิงพวกนั้นมักคิดว่าตัวเองได้นอนกับอิล ดุช ทุกคน..!”
ขณะที่คิดมาถึงตอนนี้เอง ที่ซีซาเร่ได้มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังบ้านของแกนดอฟโฟ ที่จริงเขาก็เคยเห็นเธอมาก่อนเหมือนกัน แต่เลือดหนุ่มมันไม่แล่นพล่านเหมือนคืนนี้
ผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างค่อนข้างสูง ท่าทางแข็งแรง อกเต็ม เขาเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนั้นองว่าแกนดอฟโฟ เจ้าของไร่องุ่นเลื่องชื่อมีลูกสาวสวย ตอนนั้นเธอกำลังทูนเหยือกเหล้าไวน์ไว้บนบ่าและเดินไปทางลำธาร เขาได้ยินเสียงเธอหอบหายใจแรงๆตอนที่เดินผ่านกัน
เขาหยุดมองดูเธอ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังลามไหลลงจากหน้าผาก ได้ยินเสียงเธอถามเบาๆว่า
“”บางทีซินยอร์อาจจะอยากดื่มไวน์เย็นๆแก้ร้อนสักหน่อยละมังคะ?”
เขาพยักหน้ารับทันที เดินตรงเข้าไปหาเธอรับเหยือกเหล้าไวน์ขึ้นกรอกใส่ปาก หยาดน้ำอมฤตไหลอาบลงมาเปื้อนคาง ความเย็นชื่นไหลหลั่งพรั่งพรูเข้าไปในร่างกาย และแล้วเขาก็คืนเหยือกให้เธอและต่างจ้องมองกันเงียบๆอยู่อย่างนั้น
เลือกฉีดซ่านขึ้นทันที แก้มของสาวน้อยดูเป็นสีชมพูสดใสน่ารัก ทั้งช่วงลำคอระเหิดระหงไปจนถึงเนินทรวง เธอหลบตาต่ำ สะท้อนสะท้านไปทั่ว สายตาเขาจับจ้องอยู่กลางเนินทรวงของเธอที่ปิดบังไว้ด้วยเสื้อผ้าเนื้อบางเบา
และโดยไม่พูดจา เขาหันหลังให้เธอเดินย้อนเข้าไปในราวป่า พลังอำนาจบางอย่างที่ได้รับสืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษที่รู้จักแต่การออกคำสั่ง ทำให้เขาหันไปบอกเธอเพียงว่า
“ตามมา..!”
ซึ่งเธอก็ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ประหนึ่งร่างกายเป็นเพียงเครื่องจักรอะไรสักอย่างหนึ่ง เธอเดินตามเขาไปเรื่อยๆจนเข้าไปในป่าลึก ที่ซึ่ง..แม้แต่แสงแดดก็ยังไม่อาจส่องลอดลงมาได้
และ ณ ที่นั้น เธอได้ทอดร่างลงเคียงข้างเขา..ไม่มีแม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ยามที่เขาถือสิทธิ์เปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายเธอ
เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าร่างที่เปล่าเปลือยนั้น พินิจพิจารณารูปร่างที่ที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้ออ่อนละมุนทุกสัดส่วน ระเรื่อยลงไปจนถึงต้นขาที่แข็งแรงของเธอ..และแล้วเขาก็โถมร่างลงไปบนตัวเธอ..
เขารู้สึกปวดร้าวไปทั่วทุกขุมขน แต่เธอกลับปวดร้าวยิ่งกว่า ร่างกายของเธอเหมือนกำลังถูกฉีกให้แหลกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงร้องของเธอบอกความตระหนกตกใจมากว่าความตื่นเต้นสุขสม
ดวงตาของเธอแทบแหลกลาญ ฉายแววสะพรึงกลัวอย่างเห็นได้ชัด ยามที่เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้านั้นขึ้น ก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเขาเอื้อมมือลงไปถึงทรวงอกทั้งสองข้างอย่างไม่อาจอาจสกัดกั้นอารมณ์รุนแรงช่วงสุดท้ายไว้ได้
พละกำลังบางอย่างกำลังแทรกเข้ามาในร่างกายของเขา เป็นพลังประหลาดที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นพลังอันโหดร้าย อาการที่เขารวบกระชับทรวงอกทั้งสองข้างของเธอนั้น เป็นสัญญาณที่เตือนให้หญิงสาวรู้ว่า เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายอันร้ายแรง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวดูจะโหยหวนยิ่งขึ้น และแล้ว..เขาก็ผละจากร่างของเธอทันที..
ค่ำมากแล้ว ขณะที่เขาละจากร่างที่ได้ดื่มกินอย่างกระหาย ความรู้สึกสุขสมช่วยให้สดชื่นขึ้นมาก ฟื้นหญ้าที่รองรับร่างทั้งสองนั้นดูราบเรียบราวกับพรม เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกเบาๆ
“ซินยอร์..”
เขาหันไปมองอย่างไม่สนใจนัก ขณะนี้เธอยืนขึ้นแล้ว ร่างนั้นเปลือยเปล่า งดงามประหนึ่งนางไม้ ดวงตาของเธอเปล่งแววประหลาด บอกความทระนง ความสมใจและชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด
เธอรู้ดีว่าถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูใครๆเข้า ทุกคนจะต้องอิจฉาเธอย่างแน่นอน เพราะบุรุษที่เพิ่งผละจากร่างเธอนั้น คือผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์..สายเลือดที่สืบทอดมาจากเค้าท์ คาดินัลลิในอดีต และเขาก็คือผู้ที่จะเป็นเค้าท์ คาดินัลลิในอนาคตอย่างแน่นอน..ช่างเป็นความกรุณาอะไรเช่นนี้ ดูเหมือนเธอจะแปลความหมายในสายตาของเขาออก ยิ้มละไมจึงฉาบขึ้นบนใบหน้า
“กราเซียส”
เขาผงกศีรษะรับคำขอบคุณนั้นเล็กน้อย ผละออกเดินและหายลับไปในราวป่าข้างทาง ก่อนที่เธอจะทันก้มลงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่เสียด้วยซ้ำ
หลังจากที่เหตุการณ์ในวันนั้นผ่านพ้นไปได้ประมาณ 6 สัปดาห์ วันหนึ่งขณะที่ซีซาเร่กำลังบริหารร่างกายอยู่ในห้องยิมนาสติก โดยมีอาจารย์ที่ฝึกสอนการฟันดาบให้อย่างขะมักเขม้น ประตูห้องยิมก็เปิดผางออก มีนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดห้าวหาญมาก
“คนไหนที่ชื่อซีซาเร่ คาดินัลลิ?”
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาต่างจ้องมองนายทหารที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบของอิล ดุชสมัยเก่าอย่างประหลาดใจ ขณะที่ครูฝึกสอดดาบลงฝัก ซีซาเร่ผละจากบาร์เดี่ยวที่กำลังฝึกอยู่เดินเข้าไปหานายทหารคนนั้น
“ผมเอง”
ทหารหนุ่มจ้องมองหน้าเขาอย่างเคียดแค้น
“ผมเป็นคู่หมั้นของโรซ่า”
ซีซาเร่มองหน้านายทหารคนนั้นอย่างประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ก็แล้วเธอเป็นใครล่ะ?”
“ก็โรซ่า แกนดอฟโฟไงล่ะ จำไม่ได้หรอกรึ?” เขากระแทกเสียงอย่างโกรธจัด “ตอนนี้ผมถูกเรียกตัวด่วนมาจากโรมให้มาแต่งงานกับเธอ เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้เธอท้องขึ้นมา”
ซีซาเร่จ้องมองหน้านายทหารคนนั้นอยู่ เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้างแล้ว ความทระนงเย่อหยิ่งในสายเลือดเริ่มแผ่ซ่านขึ้นมาในกาย
“เท่านั้นใช่ไหม..ถ้าอย่างนั้นผมก็จะบอกพ่อให้จ่ายเงินให้บ้างก็แล้วกัน” กล่าวจบ เขาก็หันหลังให้นายทหารตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง
“เงินรึ..?” นายทหารตวาดเสียงดัง “คุณคิดว่าเงินหรอกรึคือสิ่งที่คนอย่างผมต้องการ..เงิน..เงินเท่านั้นรึ..ไม่มีทางหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะเอายังไงก็ได้นี่ ผมจะได้ไม่ต้องไปพูดกับพ่อ” เสียงพูดของเขาเยียบเย็น แต่แล้วขณะที่ยังไม่ทันระวังตัว ฝ่ามือของนายทหารก็กระทบใบหน้าเขาฉาดใหญ่
“นี่ละสิ่งที่ผมต้องการ...เกียรติยศของผมยังไงล่ะ”
รอยนิ้วทั้งห้าประทับอยู่บนใบหน้าที่งามสง่านั้น เสียงพูดของซีซาเร่แข็งกร้าวขณะตอบว่า
“คนในสกุลคาดินัลลิไม่เคยต่อสู้กับคนถ่อยๆอย่างคุณ”
“ใช่สิ ก็เพราะไอ้คนในสกุลคาดินัลลิมันขี้ขลาดตาขาวนี่ จะทำได้ก็แต่หลอกข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงเท่านั้นโดยเฉพาะแก ลูกอี..แกนั่นแหละที่เหมือนกับบรรพบุรุษของแกอย่างที่สุด สืบสายเลือดชั่วช้าต่ำทรามลอกเลียนกันมาได้ทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น ถูกต้องแล้วที่ตระกูลของแกจะต้องเสื่อมสลายลงเพราะไอ้พวกนักโทษนั้น”
มือของซีซาเร่ตวัดอย่างรวดเร็วราวสาบฟ้า ร่างของนายทหารที่น้ำหนักตัวมากกว่าเขาไม่น้อยกว่า 20 ปอนด์ กลิ้งลงไปนอนอยู่กับพื้น ซีซาเร่ก้มลงมองดูร่างนั้น ดวงตาส่อแววแปลกๆ พลังประหลาดที่เคยเกิดเริ่มคืบคลานเข้ามาประชิดจิตวิญญาณของเขาอีกแล้ว มันเริ่มส่งประกายออกมาทางใบหน้า และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มเกือบดำ
“เอาดาบให้มัน ฉันจะสู้กับมันเอง” เขาหันไปสั่งพี่เลี้ยงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ
“อย่า..ซินยอร์ ซีซาเร่..อย่า” พี่เลี้ยงร้องอย่างตกใจ “ท่านเค้าท์..คุณพ่อของคุณ..จะ..”
“เอาดาบให้มัน พ่อของฉันคงไม่ต้องการให้ใครเอาสกุลของท่านมาเหยียบย่ำเล่นอย่างนี้หรอก”
“นั่นสิ..”นายทหารที่เพิ่งหยัดกายขึ้นยืน ยิ้มเหี้ยมเกรียม “ในกองทัพอิตาลี่ เราทุกคนก็ถูกฝึกให้รู้จักกับการใช้ดาบ แต่ก็ได้รับการสั่งสอนมาว่า..ดาบนั้นจงถือไว้ในมือขวาแต่ให้ถือไอ้นี่ไว้ในมือซ้าย”
เขาชูอาวุธ ลักษณะเป็นเหล็กแหลมคมปลาบ รูปร่างคล้ายเข็มขนาดใหญ่ขึ้นมาชูล่ออยู่ต่อหน้าซีซาเร่
“แกเห็นสติลเลทโตนี่แล้วสินะ คราวนี้แกตายแน่” เขาร้องอย่างเหี้ยมโหด
“เออ..เอายังไงก็ได้” ซีซาเร่พยักหน้ารับเคร่งขรึม แววในดวงตาไม่ปรากฏความหวาดหวั่นแต่อย่างใด นายทหารคนนั้นถอดเสื้อคลุมออก
“เอ้า..ส่งคนไปตามพระมาได้แล้ว ไอ้นักหลอกลวงผู้หญิง แกตายแน่”
ซีซาเร่ไม่ตอบ กระชากเสื้อคลุมออกจากตัวเช่นกัน
“พร้อมหรือยังล่ะ?”
นายทหารพยักหน้ารับ ซีซาเร่หันไปเรียนพี่เลี้ยงให้เข้ามาทำหน้าที่กรรมการ ร่างกายของเขาเมื่อถอดเสื้อคลุมออกนั้นขาวผ่อง ดูสะอาดสะอ้าน ตัดกับผิวสีคล้ำของนายทหารผู้นั้น เป็นภาพที่ชวนมองไม่น้อย
“ระวัง..!”
ปลายดาบของทั้งสองฝ่ายตวัดเข้าใส่กันเหนือศีรษะ ซีซาเร่เอี้ยวตัวหลบขณะที่คมดาบของนายทหารเฉียดสะเอวด้านขวาไปอย่างหวุดหวิด เขาเปล่งเสียงหัวเราะกึกก้อง พลังประหลาดในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นมาในสายเลือด นายทหารเอี้ยวตัวหลบคมดาบของเขาเช่นกัน ซีซาเร่เริ่มเป็นฝ่ายรุกเข้าประชิด ตวัดปลายดาบเป็นวงกลมแล้วก็ฟาดลงบนดาบของนายทหาร สะบัดจนตกลงบนพื้น ปลายดาบของซีซาเร่จ่ออยู่บนยอดอกของฝ่ายนั้น
“เกียรติยศอย่างนี้ใช่ไหมล่ะครับที่นายต้องการ”น้ำเสียงนั้นแฝงแววเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด
นายทหารพยายามปัดป้องดาบน้ำด้วยเข็มเหล็กที่ถืออยู่ในมือข้างซ้ายหาจังหวะเหมาะที่จะพุ่งเข้าใส่ร่างซีซาเร่ ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะไปให้ถึงดาบของตนที่ตกอยู่
เสียงหัวเราะของเค้าท์หนุ่มดังก้องไปทั้งห้อง เขารู้สึกสนุกกับเกมที่กำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนี้อย่างที่สุด เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย ซีซาเร่โยนดาบของตัวเองลงบนพื้นข้างๆดาบของนายทหารผู้นั้น ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่นายทหารพุ่งเข็มเหล็กที่ถืออยู่ในมือข้างซ้ายเข้าใส่ตรงใบหน้า..
แต่ทว่า..เข็มเหล็กอันนั้นกลับลอยเข้าสู่อุ้งมือของซีซาเร่..!
เขาเขยิบเข้าประชิด ขณะที่นายทหารเริ่มถอยหลังและแล้ว..ร่างของคนทั้งสองก็กระโดดเข้าคลุกวงใน เพียงชั่วพริบตาเดียวมือของนายทหารก็ตกจากไหล่ของซีซาเร่ ร่างนั้นสั่นระริก ขณะค่อยๆทรุดลงราวจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าเค้าท์หนุ่มคู่ต่อสู้
“เรียกหมอเร็ว..”เสียงของพี่เลี้ยงที่เป็นกรรมการร้องขึ้นอย่างตกใจ ร่างของนายทหารลงไปนอนกองอยู่บนพื้นห้องแล้ว..
“อย่าให้หมอต้องลำบากเลย เขาตายแล้วละ” ซีซาเร่เดินไปหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น หย่อนเข็มเหล็กลงในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตอย่างใจลอย
โรซ่าออกมาดักรอเขาอยู่ก่อนแล้วบนเส้นทางที่จะขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของปราสาท เขาหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอเข้า
สายตาที่เขาจ้องมองเธอนั้นเหมือนงูพิษที่มองเห็นเหยื่อ และแล้ว..เขาก็เดินนำเข้าไปในราวป่าข้างทางเงียบๆ และสาวน้อยก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย..
จนเมื่อไม่สามารถจะมองเห็นเส้นทางนั้นได้อีกแล้ว ซีซาเร่จึงได้หันมาหาเธอและเธอก็ก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้าออกจากร่างและลูบคลำทรวงอกที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ
และแล้ว เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของเธอก็แผ่วลงจนหายไปในที่สุด..ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้าเหนือศีรษะพอดี ตอนที่เขาลุกขึ้นควานหาเสื้อผ้าในความสลัวลาง
“ซินยอร์..”เสียงแผ่วเบาเรียกเขาอยู่
เขาไม่ตอบ เดินไปหยิบกางเกงขึ้นมาสวมโดยไม่ แม้แต่จะหันไปมองเธอ
“ซินยอร์..ฉันมานี่เพราะอยากจะเตือนคุณนะคะ..ญาติของฉัน..”
“รู้แล้ว”
“แต่เขาบอกว่า..เขาจะไปฆ่าคุณ” เธอพูดเสียงสั่น
“ก็ฉันยังอยู่นี่ไงเล่า”
“แต่ซินยอร์..เขาอาจจะหาคุณพบเมื่อไรก็ได้นะคะ แม้แต่ที่นี่ เขาเป็นคนขี้หึงแล้วก็เย่อหยิ่งมากด้วย”
“ก็คงไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้วละ..เขาตายแล้ว”
“ตาย..ตายแล้วหรือคะ?” เธอร้องอย่างตกใจ “คุณฆ่าเขาหรือคะ?”
“ใช่” นิ้วมือของเขาไต่ไปตามกระดุมเสื้อ เสร็จแล้วจึงได้หันกลับมาทางเธอ
และตอนนั้นเองที่เธอกระโจนเข้าใส่เขาราวแม่เสือ มือทั้งสองตะกุยลงไปบนร่างเขาพร้อมกับร้องไห้และพ่นคำผรุสวาทอยู่ไม่ขาดปาก
“คุณ..ไอ้คนระยำ..แล้วยังมีหน้ามานอนกับฉันอีกทั้งๆที่มือยังเปื้อนเลือดเขาอยู่ คุณมันใจร้ายยิ่งกว่าสัตว์ แล้วทีนี้ฉันจะไปแต่งงานกับใครที่ไหนล่ะ ฉันจะทำยังไงกับไอ้สิ่งที่คุณเอามายัดใส่ไว้ในท้องฉันนี่..?”
“ก็แกอยากเอามันไว้หรือเปล่าล่ะ” เขาบีบมือเล็กๆที่ทำร้ายเขาอยู่ จนเธอร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“ตอนนี้ฉันไม่ต้องการมันแล้ว ฉันไม่อยากได้เลือดของไอ้มนุษย์ปิศาจอย่างคุณ..ไม่ต้องการสัตว์ระยำเหมือนพ่อมัน..!”
ร่างของเธอทรุดฮวบลงทันที ก่อนที่เขาจะลดเข่าที่กระแทกเข้าตรงหน้าท้องของเธอ และควานมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต เข็มเหล็กแหลมคมเล่มนั้นติดมือขึ้นมา
เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขา ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาทางดวงตา ริมฝีปากคู่นั้นกำลังเหยียดยิ้มอย่างโหดร้าย
“เมื่อแกไม่อยากเก็บมันไว้ ก็กระซวกมันออกมาเสียด้วยไอ้นี่..” เขาโยนเข็มเหล็กเล่มนั้นลงข้างตัวเธอ “คราวนี้อาจจะพอใจละมัง เลือดไอ้นั่นยังติดอยู่ด้วย”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกจากราวป่าแห่งนั้น ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
เช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้พบศพหญิงสาวนอนเหยียดยาวอยู่ในราวป่า มือทั้งสองข้างกระชับเข็มเหล็กไว้แน่น หน้าท้องเกรอะกรังด้วยเลือด ร่างของเธอแข็งเหมือนท่อนไม้
อีก 2 วันต่อมา ซีซาเร่ได้ออกเดินทางไปเรียนต่อในอังกฤษ เขาไม่ได้กลับมาอิตาลี่อีกเลย..จนอีก 5 ปีต่อมา
ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่แกนดอฟโฟ ขยายโรงกลั่นเหล้าไวน์อันเลื่องชื่อของเขาออกไปไปจนกว้างใหญ่ด้วยเงินหนึ่งแสนเหรียญลีร์ ที่เค้าท์ คาดินัลลิ ผู้พ่อมอบมาให้
แท็กซี่คันนั้นจอดลงตรงหน้าโรงแรม เอล มอรอคโค คนเปิดประตูร่างยักษ์รีบวิ่งมาต้อนรับถึงรถ
“อา..ท่านเค้าท์ คาดินัลลิ กู๊ดอิฟนิ่งขอรับ..ผมกำลังคิดว่าตัวเองจะไม่ได้กล่าคำสวัสดีกับท่านคืนนี้เสียอีก”
ซีซาเร่พยักหน้ารับ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้5ทุ่มครึ่งแล้ว เขายิ้มให้ตัวเอง ความคิดที่ว่าขณะนี้กำลังมีผู้หญิงคนหนึ่ง รอคอยเขาอยู่ในห้องอาหารของโรงแรม ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นใจอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ร่างเล็กๆที่น่าอบอุ่นช่วยให้ตระหนักถึงความเป็นจริงแห่งการดำรงชีวิตอยู่..
------------------------------------------
รายละเอียด
คำนำ
สติลเลทโต.. เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่งของฮาโรลด์ รอบบินส์ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ฮาโรลด์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถสูง เขาใช้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองจริงมาผูกเป็นนิยายได้ ดังนั้นนิยายหลายเรื่องของเขา จะทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นเอกลักษณ์ ความเป็นตัวตนแท้จริงรวมไปไปถึงรูปแบบแนวทางของเรื่องที่ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน
จากชีวิตในวัยเยาว์ที่เปล่าเปลี่ยว เป็นลูกกำพร้า ฮาโรลด์ได้เอาชีวิตตอนนี้มาผูกเป็นนิยายเรื่อง “Never Love A Stranger” ซึ่งดิฉันได้แปลออกเป็นภาคภาษาไทยให้ชื่อว่า “ชีวิตนี้เป็นของเรา”
เมื่อหนุ่มขึ้นและเข้ารับราชการทหาร ประสบกับปัญหายุ่งเหยิงในครอบครัว ฮาโรลด์เกิดความบันดาลใจ จนถึงกับเขียนเป็นนิยายเรื่อง “Where Love Has Gone” ซึ่งเป็นนิยายขายดีที่สุด แปลออกเป็นภาษาต่างๆมากกว่าเรื่องอื่นๆ สำหรับภาษาไทยนั้นดิฉันได้แปลออกมาและให้ชื่อว่า “ดวงใจพ่อ”
ในสมัยทีเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกมาเฟียนั้นเองที่ฮาโรลด์ได้เขียนเรื่อง “Stiletto”ขึ้น สำหรับเรื่องนี้ เมื่อดิฉันนำมาแปลเป็นภาษาไทยนั้น คิดว่าใช้ชื่อของอาวุธชนิดนี้ตรงตัวเลยจะดีกว่า จึงใช้ชื่อ
“สติลเลทโต” ตามชื่อเรื่องที่ฮาโรลด์ตั้งไว้
ในตอนแปลครั้งแรกนั้น ดิฉันได้พยายามค้นคว้าอยู่พอสมควร จึงทราบว่า สติลเลทโตเป็นอาวุธขนาดเล็ก ที่มีรูปร่างคล้ายกริชแต่ไม่ใช่กริช ทำจากเหล็กเนื้อดี มีความแหลมคมเป็นพิเศษ ผู้ที่ต้องอาวุธชนิดนี้ ปากแผลจะเล็กเท่ารูเข็ม ดิฉันเชื่อว่า ฮาโรลด์ต้องการที่จะแนะนำผู้อ่านให้รู้จักกับอาวุธชนิดนี้ของชนเผ่าบอร์เจียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตนิยายของฮาโรลด์ รอบบินส์ จะเห็นว่าการดำเนินเรื่องของเขามักคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เขาหยิบช่วงชีวิตตอนใดตอนหนึ่งขึ้นมาเน้นเป็นพิเศษ นิยายของเขาจึงมักมีเรื่องของความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย การที่จะต้องเผชิญชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งขึ้นไว้ให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์ทั้งความรักและความใคร่กับผู้หญิงตระกูลสูง การผจญภัยในแก๊งมาเฟีย
แต่ในท่ามกลางสิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อผูกเป็นนิยายไม่ว่าเรื่องใด เราจะเห็นความเศร้าอันล้ำลึกประการหนึ่งในชีวิต ซึ่งนั่นก็คือ..ฮาโรลด์โหยหาความรักมาชั่วชีวิต
ฮาโรลด์ รอบบินส์ได้กล่าวไว้ว่า
แต่..คนที่มีจิตใจกล้าหาญและแข็งแกร่งพอที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ที่จะไม่มีวันฆ่าตัวตาย แม้ว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพราะวันแห่งชัยชนะย่อมต้องใช้เวลาในการรอคอยนานพอสมควร..
สติลเลทโต จึงเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ฮาโรลด์ รอบบินส์ ต้องการชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของจิตใจมนุษย์
ดิฉันเชื่อว่าเมื่อท่านได้อ่านนิยายเรื่องนี้ของเขาแล้วท่านจะชอบเขามากขึ้น
“บุญญรัตน์”