จากฟ้าโลมดิน (เพ็ญศิริ) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

จากฟ้า…..โลมดิน

 

ประพันธ์โดย เพ็ญศิริ

 

บทที่ 1

           

ยามเช้าตรู่ ท้องฟ้ายังถูกหมอกสีเงินครอบงำทั่วทุกหนทุกแห่ง  ราวกับว่ายอดไม้สูงลิบทั้งหลายถูกโอบพันด้วยสายหมอกสีเดียวกันไปทั่วทั้งขุนเขา

            อากาศเช้าเช่นนี้ค่อนข้างเย็น ดอกไม้ป่าไหวระริกยามเมื่อต้องสายลมพัดโบกไหวเพียงเบาๆก็ทำให้ละอองน้ำค้างที่เกาะบนช่อดอกไม้กระเซ็นลงมาเกาะยอดหญ้าเหนือพื้นดินได้เสียแล้ว  ดูราวกับว่าไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้ เว้นเสียแต่หมู่นกกาที่โผผินบินตัดผ่านหมู่ยอดไม้หายลับไปทางลูกเขาไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว

            ถนนสายเล็กคดเคี้ยวยาวโค้งแบ่งป่าออกเป็นสองฝั่ง ทอดตัวลงมาจากบนเนินเหมือนหนอนสีเทาตัวเรียวเลื้อยหายเข้าไปในทิศทางเบื้องหน้า บรรยากาศยังคงอวลสายหมอกต่อไปจนฟ้าเริ่มจะขาวกระจ่างขึ้นทุกขณะ บนถนนสายนั้นจึงมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น กล่าวคือชาวบ้านใช้ถนนสายนี้เป็นที่สัญจรกันบ้างแล้วประปราย

รถสามล้อไม้ใช้ม้าลากห้อตะบึงจากถนนเนินเขาลงมาสู่เส้นทางลาดชันเบื้องล่าง ชายเจ้าของพาหนะผู้นั่งอยู่หน้ารถคอยกระชับบังเหียนม้าไม่ให้ห้อตะบึงเร็วเกินไป       ภรรยาเจ้าของรถและลูกสาววัยกำดัดนั่งอยู่ตอนหลังสุดในรถม้าคันนั้น นางทั้งสองช่วยกันจับกระบุงบรรจุสินค้าที่จะนำเข้าไปขายในเมืองไว้มั่นเมื่อม้าหนุ่มกระแทกกีบเท้ากับพื้นเร็วถี่ไร้จังหวะ จนกระทั่งผู้เป็นสารถีต้องบังคับมันให้ชะลอฝีเท้าลง หล่อนจึงได้คลายมือที่ยึดเหนี่ยวออกเสียบ้าง  ชุดยาวเข้ารูปสีฟ้าสดใสตัดลายด้วยดิ้นเงินดิ้นทองและเหลื่อมมุกทำให้ร่างของพวกนางดูระยิบระยับรับกับแสงแดดอ่อนตอนเช้าชะโลมลงมาอาบทุกสรรพสิ่งในรถม้าคันนี้

            ชายผ้าแพรโพกศีรษะสีขาวประดับพลอยส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงขาวอ่อนบนท้องฟ้าที่ถักทอลงมาให้แลดูวูบวาบ ไม่ต่างกับลูกประคำเพชรทองเส้นเทอะทะบนลำคอของสองแม่ลูก ต่างหูพวงโตห้อยกับหูนั้นก็ดูจะเลื่อมพรายไม่แพ้กัน ยามเมื่อทั้งสองยกมือขึ้นจับผ้าโพกผมของตนไว้ หัวแหวนเพชรเม็ดใหญ่ไร้รูปแบบการเจียรไนอันปราณีตใดๆก็จุดประกายหยอกเย้ากับแสงสีขาวแห่งสุริยาที่เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหมอกขาวหนาวเย็นถูกความร้อนจากท้องฟ้าขับสลายสูญหายไปเสียสิ้น

            บัดนี้  ทุกหนทุกแห่งแลเห็นได้ชัดเจน รถม้าวิ่งทะยานตัดผ่านเส้นทางป่าเขาเข้าสู่เมืองหลวง ถนนหินศิลาขยายกว้างขึ้นจนเมื่อถึงสี่แยกใหญ่ ชายเจ้าของรถลากระตุกสายบังเหียนบังคับลาหนุ่มวัยคึกคะนองหยุดเพื่อให้รถจากอีกแยกหนึ่งซึ่งมาด้วยความเร็วสูงกว่าพุ่งผ่านสี่แยกไปเสียก่อน  ยวดยานลักษณะเดียวกันหลายคันวิ่งสวนทางและขนานกันมาเพื่อจะบ่ายหน้าสู่จุดหมายนั่นคือเมืองใหญ่ภายใต้ป้อมปราการกำแพงเมืองโอบล้อมไว้แทบทุกด้าน ยกเว้นเพียงทางเข้าประตูเมืองซึ่งรถม้าทุกคันจะต้องหยุดเพื่อให้เจ้าของของมันพากันลงไปชำระล้างหน้าตาเนื้อตัวที่สระอโนดาษขนาดกว้าง น้ำพุรูปปั้นเทพธิดาวารีกำลังเงยพระพักตร์ขึ้นพ่นน้ำสู่นภากาศประดับอยู่กลางสระแห่งนั้น  ก่อนจะเดินทางต่อเข้าสู่ตัวเมืองซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในประตูเมืองอีกไม่ไกลนัก

            ผ่านกำแพงแห่งประตูเมืองเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนแปลงไปราวกับเป็นโลกอีกแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนความเจริญศิวิไลซ์ที่งดงาม ชาวเมืองแต่งตัวด้วยอาภรณ์อันวิจิตรสีสันสดใสเสียเป็นส่วนใหญ่ เสียงสนทนากันเป็นภาษาพื้นเมืองดังทักทายกัน ชาวเมืองหญิงชายใบหน้าแช่มชื่นเบิกบานต่างยิ้มแย้มและโอภาปราศรัยกันด้วยดี

            ถนนสายเดิมเริ่มมีบ้านเรือนของชาวเมืองบ้างประปรายและหนาแน่นขึ้นตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้หลังคาต่ำเตี้ยหลังกระทัดรัดตั้งเว้นระยะห่างกันเป็นแถวแนวยาว หน้าบ้านประดับด้วยทิวดอกไม้สีเหลือง ผลิดอกดกสวย ยามเมื่อต้องเปลวแดดแผดกล้ากลิ่นหอมระรื่นจะยิ่งหนักหน่วงกว่ายามเย็นแทบทุกหลังไป แทบจะนับจำนวนบ้านปูนปลูกสไตล์ยุโรปหรูหราทรงสเปนที่ปลูกแทรกกับบ้านไม้ทั้งหลายก็ว่าได้

            ตลาดสดยามเช้ากลางแจ้งอยู่ลึกจากบ้านเรือนทั้งหลายเข้าไปร่วมกิโลเมตร ที่แห่งนั้นมากมายด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่นำสินค้าหลากหลายมาวางแผงจำหน่าย ด้านหนึ่งจะเป็นสินค้าจำพวกเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับของสตรี ตั้งแผงเรียงแถวยาวเป็นพืดจนสุดความยาวของตลาด ส่วนล็อกฝั่งกลางถูกจัดให้เป็นที่ตั้งแผงของอาหารสดจำพวกผักหญ้า และดอกไม้หลากหลายสีสันสวยสดนานาพันธุ์ ฝั่งขวาสุดนั้นเป็นร้านแผงลอยจำหน่ายอาหารสดจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งไก่ กุ้งปลา วางตั้งแต่หัวตลาดเรื่อยไปจนถึงท้ายสุดของเขตตลาดเช่นกัน

แต่เช้านี้ดูเหมือนว่าสินค้าที่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์สากลซึ่งส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาเจริญรุ่งเรืองกว่าแคว้นเวียงฉานแห่งนี้ นอกเหนือจากผ้าไหมผ้าแพรทั้งหลายที่วางขายหลายจุดด้วยกัน เจ้าของร้านนำเสื้อผ้ารูปทรงแปลกตากว่าที่ชาวเมืองสวมกันอยู่ถูกใส่ไม้แขวนโชว์ประกวดประชันกันหลายต่อหลายร้าน

            กลุ่มสตรีแต่งกายบรรเจิดกว่าหญิงชาวเมืองไม่ต่ำกว่าห้า หกคนหยุดชี้ชวนกันชมสินค้าผ้าแพรพรรณ เสียงสนทนาของหญิงเหล่านี้ผิดแผกกับเหล่าหญิงชาวบ้านบ่งบอกฐานะที่แตกต่างเช่นกัน ดั่งเช่นเรือนร่างผิวพรรณที่เหลืองนวลสะอาดตากว่าอีกทั้งเครื่องแต่งกายก็ประณีตบรรจง ทรงผมเกล้าเป็นมวยสูงขึ้นไปบนศีรษะ มีผ้าแพรประดับเพชรเม็ดเล็กๆที่ปลายผืนพันล้อมรอบมวยผม ทิ้งปลายพลิ้วลงมาอวดแสงเพชรอร่ามตายามเมื่อสายลมพัดต้องน้ำเพชรทั้งหลายเหล่านี้จะแลดูวูบวาบยิ่งขึ้น  พวกพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายช่วงชิงกันเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ให้เข้ามาซื้อสินค้าของพวกตนน้ำเสียงอ่อนหวาน

                        “เชิญดูผ้าก่อนซิเจ้าคะ คุณท้าวทิพย์เกสร”

            เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคนร่างสันทัด ทรงผมหนาเป็นพุ่มดอกไม้แลดูแปลกตา ประกอบกับเครื่องหน้าที่เทอะทะทำให้หล่อนดูแก่กว่าอายุปีสักสี่ ห้าปีผละมือจากกองผ้าบนแผง ส่งเสียงแจ้วๆร้องเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ ประกายตาแจ่มใสในกรอบรีใหญ่ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่เสริมใบหน้าคนขายให้ชวนสนทนาด้วยกว่าสิ่งอื่น

                        “ร้านเรามีผ้าแพรและผ้าไหมใหม่ๆส่งมาจากเมืองไทยเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ”

            คำว่าเมืองไทยดูจะดึงดูดความสนใจจากลูกค้าซึ่งถูกหญิงแม่ค้าเรียกว่า”คุณท้าว”เอาการ สตรีมีวัยเหนือกว่าเหล่าสาวๆที่มาในกลุ่มเดียวกันจึงหันมาทอดสายตามองผ้าทั้งหลายบนแผงบ้าง ก่อนที่จะนำเหล่านางกำนัลเดินไปชมสินค้าร้านอื่นเสียก่อน

                        “จริงหรือจ๊ะ แม่ค้า ฉันเกรงว่าฉันจะถูกเธอหลอกเหมือนเมื่อคราวที่แล้วเข้าให้อีกรอบน่ะซิ”

            คำพูดหยอกเย้ามากกว่าจะถือเป็นจริงเป็นจังของคุณท้าวสาวใหญ่สามารถเรียกรอยยิ้มเล็กๆจากเหล่านางกำนัลใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มทั้งหลายได้ถ้วนหน้า บางรายส่งสายตาระยิบระยับมองดูกองผ้างดงามด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจใคร่จะได้แตะต้องเนื้อผ้าเหล่านั้นกับมือของตัวเอง เมื่อผู้นำพาหันมาพยักหน้าให้ นางกำนัลสาววัยกำดัดทั้งหลายก็เดินอ้อยอิ่งตามคุณท้าวย้อนกลับไปยังร้านผ้าแห่งนั้น ต่างก็กระจายกันยืนเรียงแถวเป็นแนวยาวแล้วหยิบพับผ้าขึ้นมาคลี่ดู

            คุณท้าวทิพย์เกสรหยิบผ้าไหมเนื้อดีลวดลายดอกไม้พับหนึ่งขึ้นมาคลี่ดูอย่างพินิจ ลายเส้นถี่หารอยตำหนิไม่เจอทำให้เธอยิ้มพึงพอใจออกมา

                        “ผืนนี้น่าจะใช้ได้นะ แม่บุลลา”

                        “อ๋อ แน่ล่ะเจ้าค่ะคุณท้าว ก็ฉันตั้งใจว่าจะเลือกมาให้คุณท้าวใช้สำหรับตัดสวมใส่งานเฉลิมฉลองแคว้นปีนี้ของเราโดยเฉพาะนี่เจ้าคะ”

            แม่ค้าหน้าตาติดจะขี้เหร่ลอยหน้าลอยตาพูดยิ้มระรื่น  นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บังคับให้นางกับสามีต้องดั้นด้นเดินทางผ่านเทือกเขาหลายลูกไปเมืองไทยเพื่อเลือกซื้อผ้าไหมงามๆเนื้อดีมาประดับแผงร้านของตัวเอง

            ไม่เพียงแต่เหล่านางกำนัลในรั้วในวังเท่านั้นที่พากันตื่นเต้นต่อหมายกำหนดงานสมโภชน์ประจำปีแห่งแคว้นซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในเดือนถัดไป แม้แต่ชาวบ้านอยู่นอกเขตนครโยธนาปุระออกไป ก็ยังไม่วายจะเตรียมตัวเตรียมใจจะร่วมเฉลิมฉลองงานสำคัญของพวกตนครั้งนี้กันถ้วนหน้า เจ้าปาณัสม์ ราชาแห่งแคว้น”เวียงฉาน”ทรงเริ่มพระราชองค์การรับสั่งเหล่าทหารให้ติดธงประจำชาติตามถนนสายต่างๆ เหมือนดั่งเช่นบ้านของชาวบ้านก็มีธงปักไว้ยังหน้าบ้านของตนกันทุกหลังไป

            นครโยธนาปุระกำลังได้รับการบูรณาการอย่างอลังการที่สุดกว่าปีที่แล้วๆมา

                        “ฉันเข้าใจว่าปีนี้ราชาของเราจะทรงจัดงานยิ่งใหญ่กว่าทุกๆปี”

                        “อ๋อ  แน่นอนอยู่แล้วล่ะจ้ะ แม่บุลลาจ๋า ไหนๆปีนี้พระธิดาก็ทรงสำเร็จการศึกษาแล้วจะกลับมาประทับที่บ้านเราตลออไป  ยังจะเพื่อนสนิทขององค์ราชาที่มาจากเมืองไทย พระองค์จะไม่ทรงจัดงานใหญ่โตกว่าทุกๆปีได้อย่างไรจ๊ะ เธอ”

                        “พระธิดาทรงศึกษาจบแล้วหรือหรือเจ้าคะ คุณท้าว”

            เจ้าของร้านร้องอุทานเสียงดังอย่างลืมตน พลอยเรียกความสนใจจากสายตาผู้คนที่กำลังจับจ่ายเลือกซื้อของต้องใจให้เหลียวมามองยังร้านผ้าแห่งนี้กันมากมาย

            หลายคนพลอยเงี่ยหูฟังการสนทนาของสตรีเหล่านี้ด้วยบ้าง

            คุณท้าวทิพย์เกสรยิ้มพรายเมื่อภาพเจ้าหญิงองค์เดียวแห่งแคว้นกระจ่างขึ้นในสำนึก พระธิดาโยธิกาองค์โตขององค์ราชาเปรียบเสมือนดวงใจของเหล่าข้าราชบริพารและประชาราษฎร์แห่งรัฐเวียงฉานกันถ้วนหน้า นอกเหนือจากเจ้าชายฐากูร ผู้เป็นพระโอรสองค์เล็กอีกองค์หนึ่ง  นานแค่ไหนแล้วที่ทุกคนไม่ได้ยลพระพักตร์ของเจ้าหญิงองค์นี้ เนื่องจากองค์ราชาทรงส่งพระธิดาไปศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษมาตั้งแต่พระธิดาเพิ่งจะมีพระชนม์เพียงสิบกว่าชันษาเท่านั้นเอง

            นานครั้งเต็มทีที่องค์ธิดาจะทรงได้รับอนุญาตให้เสด็จกลับมาเยือนบ้านเมือง หากเวลาที่ทรงกลับก็น้อยนิดนักหนา

            คราวนี้ชาวเมืองหวังว่าจะได้ยลโฉมพระธิดาให้ชื่นใจสมกับที่พระองค์ทรงจากนครไปไกลเสียหลายปี

            ส่วนเรื่องสหายสนิทสาวชาวไทยขององค์ราชานั้นไม่ค่อยมีใครที่รู้รายละเอียดส่วนตัว นอกจากว่าองค์เหนือหัวปาณัสม์ทรงมีเพื่อนเป็นข้าราชการทหารยศผู้ใหญ่อยู่ฝั่งเมืองไทยซึ่งรักใคร่กันเหนือกว่าคำว่าเพื่อนอยู่ด้วย  มีบ้างที่องค์ราชาไปเยือนเมืองไทยเพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนรักผู้นั้น

                        “เอาล่ะจ้ะ ฉันเลือกผ้าได้แล้ว ฉันสรุปว่าจะซื้อผ้าสองชิ้นนี้ล่ะ พวกสาวๆล่ะเลือกได้ผ้าถูกใจพอหรือยัง”

            นางบุลลาหน้าบาน มิเสียเที่ยวที่คุณท้าวสาวใหญ่ให้เกียรติมาเป็นลูกค้าร้านผ้าของตนเอง เพราะนอกจากนางจะจำหน่ายสินค้าสั่งมาใหม่ได้หลายชิ้นแล้วยังทำให้นางได้รู้เรื่องวงในของในรั้วในวังหลายเรื่องอย่างบังเอิญ

 

                                                ---------------------------------------------------------

            เสาโคมไฟหลายสิบต้นที่ฝังอยู่ในหุ่นนกปั้นแก้วผลึกสีขาวกำลังสยายปีกโผขึ้นสู่ท้องฟ้า ขับไล่ความมืดสลัวแห่งรัตติกาลซึ่งกำลังจะกางแขนออกห่อหุ้มนครโยธนาปุระ ทำให้วังส่วนพระองค์ขององค์ราชาปาณัสม์สว่างเรืองรองอยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน

            รอบกำแพงศิลามีทหารยืนถือดาบติดปลายปืนวางท่าองอาจคุ้มกันความปลอดภัยแก่องค์ราชา ทั้งกำแพงชั้นนอกและชั้นใน ห้องต่างๆก็มีมหาดเล็กอยู่ยามอารักขาอย่างรัดกุมยากยิ่งที่ใครจะเร้นรอดเข้าไปก่อเหตุร้ายใดๆในวังได้สำเร็จ

            นางพระกำนัลไม่ต่ำกว่าห้าคนสวมผ้าแพรยาวกรอมเท้าสีเข้ม มีไหมถักประดับเพชรเม็ดเล็กๆแวววาวคาดเอวทิ้งสายยาวลงมาละสะโพก แต่ละนางล้วนประดับอัญมณีแก้วแหวนวูบวาบ พวกนางประคองถาดทองออกมาจากห้องเสวยพระกระยาหารชุดหนึ่ง ขณะที่นางกำนัลสวมอาภรณ์สีนวลอ่อนกว่าแต่ลักษณะการแต่งกายไม่ผิดแผกกันกำลังลำเลียงเครื่องเสวยของหวานเดินเข้ามา

            โคมไฟช่อแก้วระย้าบนฝ้าเพดานสาดส่องนำความสว่างตามเส้นทางเล็กๆปูพรมนุ่มสีน้ำเงินเข้มตลอดเป็นผืนเดียวกัน  นางพระกำนัลเหล่านั้นเดินเรียงแถวเลี้ยวเข้าสู่ประตูมุกของห้องปีกซ้ายซึ่งเปิดกว้างอยู่เข้าไปในห้อง ต่างก็พากันยอบกายถวายคารวะแก่องค์ราชาและราชินีตลอดทั้งพระโอรสหนุ่มน้อยซึ่งเสวยกระยาหารค่ำอยู่ในห้องนี้ร่วมกันทุกพระองค์

            มหาดเล็กผู้ถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดนำถ้วยกระยาหารหวานและผลไม้จากนางพระกำนัลชุดใหม่ขึ้นถวายองค์บนโต๊ะ แล้วถวายคำนับก่อนจะถอยห่างออกไปยืนคอยถวายการรับใช้หากองค์ใดทรงต้องการ

            ทุกพระองค์ทรงเสวยของหวานกันเงียบๆ  ขณะที่เจ้าชายฐากูรไม่ประสงค์จะทรงรับอะไรเลย

                        “ไม่ทานอะไรบ้างเลยหรือจ๊ะ ชายหล้า”

            “ชายไม่ค่อยหิวเท่าไรท่านแม่”

            พระพักตร์คมสันค่อนข้างโสภาดุจอิสตรีของเจ้าชายฐากูรเบือนมาสบเนตรกับพระมารดา ดวงเนตรคมกล้าหากมีแววไม่ทรงมั่นพระทัยในองค์เองฉายส่องสะท้อนออกมาจากหน่วยสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น  เมื่อพระบิดาทรงเบือนพักตร์มามองถ้วยของหวานของพระองค์ เจ้าชายก็บังเกิดความอึดอัดขึ้นมาอีกเช่นเคย

            ความรู้สึกประหนึ่งว่าทรงทำอะไรผิดพลาดลงไป ทำให้เจ้าชายก้มลงมองดูถ้วยของหวานอย่างลังเล  จนกระทั่งพระมารดาต้องตรัสขึ้นสุรเสียงนุ่มนวล

                        “ถ้าไม่หิวก็ไม่ต้องฝืนใจทานหรอกจ้ะ แม่เองก็ไม่ค่อยจะอยากแตะต้องอะไรนัก ยิ่งใกล้จะถึงวันงานเข้ามาทุกที แม่ก็ยิ่งมีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นเหมือนพวกนางกำนัลไปอีกคน”

            องค์มเหสีอัครมณีทรงสรวลดุจจะขบขันความรู้สึกขององค์เองออกมาจริงๆ พระพักตร์งามพริ้งประดุจหญิงสาววัยเพียงสามสิบชันษาแลดูอ่อนละมุนยามเมื่อทรงคลี่โอษฐ์แย้มสรวลออกมา

            องค์ราชาปาณัสม์พลอยทรงขบขันดุจดั่งมเหสีบ้างเมื่อนึกถึงวันแห่งความสุขสันต์ของนครใกล้จะมาเยือน ไม่เพียงแต่จะได้เห็นชาวเมืองสนุกรื่นเริงกับความบันเทิงรูปแบบต่างๆที่จะมีขึ้นในงานครั้งนี้แล้วเท่านั้น แต่สำหรับพระองค์เองแล้วยังมีความหมายลึกซึ้งสำคัญมากที่สุด เมื่อสาสน์ที่พระองค์ได้รับกลับมายืนยันว่าท่านนายพลทรงภพ สหายสนิทชาวไทยกับครอบครัวยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับการเชิญให้ร่วมงานเฉลิมฉลองแคว้นครั้งนี้ เขาพร้อมจะพาครอบครัวมาร่วมเป็นเกียรติงานสำคัญของแคว้นเวียงฉาน ก่อนงานจะเริ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

                        “ปีนี้เราจะได้ฉลองงานกันอย่างพร้อมเพียงสักครั้ง  ลูกหญิงใหญ่คงดีใจเหมือนกันที่จะได้กลับมาร่วมสมโภชน์งานสำคัญของบ้านเมืองเรา”

                        “หม่อมฉันติดต่อกับลูกหญิงใหญ่แล้วล่ะเพคะ หญิงใหญ่ดีใจมากพอทราบว่าจะได้กลับมาร่วมฉลองงานกับพ่อแม่”

                        “พี่มีอะไรที่สบายใจมากกว่าเรื่องที่เราจะได้ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก  ช่างสมความปรารถนาของพี่จริงๆนะน้องหญิง”

            สีพระพักตร์ขององค์ราชาที่สดชื่นเบิกบานขึ้นมานั้นคลายความเครียดขรึมเป็นนิจสินของพระองค์ลงไปเป็นอันมาก เมื่อความปรารถนาที่พระองค์ทรงวางเอาไว้เป็นไปตามเป้าหมายหมดทุกประการ

“เสร็จจากงานฉลองแคว้นแล้ว พี่จะชวนท่านนายพลออกท่องป่าสักสี่ ห้าวัน นานเหลือเกินที่ไม่ได้ออกชมป่าชมเขาอย่างเต็มอิ่มเสียบ้าง”

                        “ครั้งก่อนยังไม่ทรงเข็ดอีกหรือเพคะ หม่อมฉันว่าเจ้าพี่ไม่น่าจะเข้าไปข้องแวะกับมันอีกแล้ว”

                        “ที่ท้วงนี่กลัวว่าพี่จะโดนดีเหมือนคราวที่แล้วอีกหรือไรจ๊ะ  น้องหญิง”

            พระมเหสีทรงชำเลืองดวงเนตรคมปลาบตวัดมองพระพักตร์เจือรอยยิ้มของพระสวามีดั่งไม่สบพระทัยสักเท่าไร  เหตุร้ายในอดีตคอยท้วงติงพระองค์เสมอว่าเหตุนั้นพร้อมจะย้อนกลับมาเล่นงานพระสวามีได้เสมอมา

            จริงอยู่ บ้านเมืองแคว้นเวียงฉาน เป็นแคว้นอิสระประชาชนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุข ราชาแห่งแคว้นไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือยทันสมัย  ทรงมีนโยบายปกครองประเทศบนทางสายกลางที่ยึดรูปแบบการดำเนินชีวิตดั้งเดิมเป็นแบบแผนเสมอมา แต่นั่นก็ใช่ว่าเวียงฉานจะปลอดภัยจากการมุ่งร้ายของศัตรูชายแดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน

            บางครั้งที่เวียงฉานต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับทหารกระเหรี่ยง หรือกองกำลังชนกลุ่มน้อย ทหารพม่าที่แยกตัวออกมาเรียกร้องสร้างอำนาจใหม่เป็นของตัวเอง นอกเหนือจากกลุ่มนายพลอรัมผู้ผลิตยาเสพย์ติดรายใหญ่ของโลกก็มุ่งหวังจะยึดแคว้นเวียงฉานเป็นฐานกำลังใหม่ของพวกเขาทั้งสิ้น

            ยังไม่มีใครลืมอดีตที่น่าใจหายใจคว่ำครั้งนั้น  นับว่าโชคดีที่องค์ราชาปาณัสม์ทรงรอดชีวิตกลับมาได้  หากไม่มีนายทหารใหญ่ชาวไทยที่ชื่อนายพลทรงภพช่วยชีวิตเอาไว้  ราชินีอัครมณีก็ยังทรงเดาชะตากรรมของพระสวามีไม่ถูกเหมือนกัน

                        “หรือเจ้าพี่คิดว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิมอีกไม่ได้เพคะ”

                        “น้องหญิงอย่าห่วงเลย พี่จะชวนท่านนายพลไปไม่ไกลจากเมืองเรานักหรอก พี่บอกตรงๆนะ พี่รู้สึกว่าถ้ามีเขาไปด้วยจะไม่มีใครมาทำอะไรพี่ได้อีกแล้ว  น้องอย่าลืมว่านอกจากนอกจากท่านนายพลแล้วก็ยังมีลูกชายของเขาอีกคน  คงจะสนุกกันใหญ่ล่ะคราวนี้”

            องค์ราชาทรงสรวลขึ้นด้วยความสุข  พระมเหสีกับโอรสนิ่งงันดุจจะคล้อยตามพระเสาวณีย์นั้น  หทัยของพระโอรสหนุ่มหาได้หยุดนิ่งอยู่กับบทสนทนาของพระบิดามารดาไม่ กลับล่องลอยไปอยู่กับเสียงดนตรีอันไพเราะรื่นรมย์  เจ้าชายพยายามเงี่ยพระกรรณฟังว่าเพลงนั้นเล่นจังหวะอะไร ใช้โน๊ตตัวใดบ้าง

            ภายในห้องสันธนาการคือโลกส่วนตัวอันงดงามที่พระองค์ทรงประทับในนั้นได้ทั้งวี่ทั้งวัน มีความลับมากมายที่เจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่ทรงทราบเลยว่าอะไรคือพลังดึงดูดพระโอรสองค์หล้าให้ขลุกอยู่ในนั้นได้โดยไม่ทรงเบื่อหน่ายแม้เพียงน้อย

                        “น้องหญิงคงจะจำพีรวัส ลูกชายคนโตของท่านนายพลได้นะ เวลานี้เขาคงจะเติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ พร้อมจะเป็นผู้นำแห่งวงศ์ตระกูลสืบจากพ่อของเขาต่อไป แต่น่าเสียดาย ที่ลูกไม้กระเด็นจากต้นไกลเกินไป”

            สุรเสียงที่ตรัสออกมาแผ่วหายไปในพระศอ  ทรงหันไปมองพระโอรสด้วยแววพระเนตรผิดหวังล้ำลึกอยู่บ้าง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นพระมเหสีก็หาเรื่องบ่ายเบนไปหาเรื่องอื่นแทน

                        “พีรวัสคนนี้หรือเพคะ ที่เจ้าพี่ทรงสัญญิงสัญญากับท่านนายพลเอาไว้”

                        “ใช่แล้ว  พี่คิดว่าพี่มองคนไม่ผิดหรอกนะ น้องหญิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนายทหารยิ่งใหญ่เดินตามรอยพ่อของเขา แต่พี่ก็เชื่อว่าเขาจะสามารถปกป้องลูกหญิงของเราให้ดูแลปกครองแคว้นเวียงฉานได้ในอนาคต”

            องค์ราชาตรัสถึงตรงนี้ เจ้าชายฐากูรก็เปลี่ยนพระทัยมาเงี่ยกรรณฟังพระบิดาสนทนากับพระมารดาอย่างเงียบเชียบ  แน่แล้ว จริงดั่งคำซุบซิบของพวกอำมาตย์เล็กนางพระกำนัลทั้งหลาย อนาคตราชาแห่งแคว้นองค์ต่อไปจะไม่ใช่เจ้าชายองค์น้อย

            เจ้าชายไม่เคยทราบพระดำริของพระบิดาจริงๆเลยสักที หากบัดนี้  องค์เธอทรงแน่ใจเต็มเปี่ยม  ด้วยความเป็นรัชทายาทเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง มุ่งมั่นในการศึกษาและห้าวหาญเจ้าหญิงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งนอกเหนือจากทรงเป็นพระธิดาองค์โต  ขณะที่เจ้าชายฐากูรทรงมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายเลือดน้อยกว่าพระเชษฐภคินีนักหนา

                        “พี่ว่าเป็นโอกาสดีที่หนุ่มสาวจะได้ใกล้ชิดกันอยู่ในสายตาของเรา อีกเรื่องหนึ่งที่พี่ต้องการ พี่อยากให้พีรวัสฝึกฝนชายหล้าให้ออกผจญภัยในป่ากว้างเฉกเช่นบุรุษกล้าพึงกระทำบ้าง”

                        “ท่านพ่อ”

            เนตรสีน้ำตาลเข้มในกรอบรีใหญ่พลันเบิกขยายกว้าง แต่กิริยานั้นผ่านขึ้นมารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ เจ้าชายหนุ่มก็ก้มพักตร์ลงทรงตักของหวานใส่โอษฐ์บ้าง หทัยนึกถึงพระภคินีองค์เดียวของพระองค์ ความรู้สึกบางอย่างกรุ่นขึ้นมาในอุระที่รุ่มร้อนโดยไร้สาเหตุ  เป็นเช่นนี้เสมอยามเมื่อมีเรื่องทำนองนี้เข้าพระกรรณเสมอ

            หลังเสวยกระยาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามพระองค์ก็ทรงย้ายที่ประทับจากห้องเสวยไปสู่ห้องโถงซึ่งเป็นห้องกระทัดรัดปูพรมอย่างดีสีเทาผนังติดพรมเรียบสีฟ้าบรุโคมไฟกลมดวงเล็กทั้งสี่ด้านส่งผลให้ห้องนั้นเกิดแสงสว่างนวลนอกเหนือจากประกายน้ำเพชรเม็ดเล็กๆที่แพรวพราวแทรกอยู่แทบทุกหนทุกแห่งภายในห้องนั้น

            เก้าอี้มุกเคลือบทองคำตัวเทอะทะที่มหาดเล็กส่วนพระองค์ขยับเลื่อนให้สามพระองค์ทรงประทับ สีเหลืองอร่ามแห่งทองคำแท้สะท้อนรับกับแสงของโคมไฟทั้งหลายฉายวูบวาบตลอดเวลา

            นางกำนัลสาวหน้าแฉล้มสองนางนำพระสุธารสชามาถวายองค์ราชาและราชินี ชามเครื่องต้นและเครื่องถ้วยชาจีนสลักลวดลายอ่อนช้อยงดงามบ่งบอกฝีมือช่างอันเลอเลิศถูกจัดเตรียมไว้รับใช้ทุกพระองค์อยู่ก่อนแล้ว กลิ่นหอมจรุงของชาจีนกรุ่นจากปากถ้วยม้วนตัวขึ้นสู่แสงเหลืองนวลของโคมไฟ เสียงดนตรีจากส่วนใดส่วนหนึ่งในห้องนี้ขับกล่อมเบาๆ

                        “พี่จะเริ่มสั่งท่านจอมพลเทพฤทธิ์ให้เริ่มฝึกซ้อมขบวนกองทหารเกียรติยศนับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป น้องหญิงจะไปดูการซ้อมกับพี่หรือเปล่า”

                        “หม่อมฉันอาจจะไปบ้างเพคะหากว่ามีเวลาว่าง แต่หม่อมฉันก็มีงานต้องดูแลความเรียบร้อยในวังและเขตพระราชฐานหนักเหมือนกันนะเพคะ”

                        “ถ้าไม่ว่างจริงๆน้องไม่ต้องไปก็ได้ พี่จะพาชายหล้าไปตรวจการซ้อมของกองทหารเขาเอง”

            เจ้าชายฐากูรสะดุ้งแปลบกลางใจเหมือนมีเข็มลนไฟเข้าไปจี้เต็มแรง สีพระพักตร์ซีดขาวขณะที่ทรงก้มพักตร์เงียบกริบ องค์เธอลอบกำหัตถ์เข้าหากันแน่นรู้สึกอึดอัดประหนึ่งว่าอากาศในห้องนั้นลดน้อยลงไปแทบจะไม่มีเหลือ

                        “ชายหล้าก็เหมือนกัน เราเป็นลูกราชาจะต้องเข้มแข็งสมกับมีเลือดสีน้ำเงินอยู่ในตัว วันข้างหน้าชายจะต้องมีหน้าที่ช่วยพี่เราบูรณะปกครองบ้านเมืองต่อจากพ่อ”

            สุรเสียงก้องกังวานทรงอำนาจของเจ้าพ่อลอยผ่านกรรณของพระโอรสเสมือนสายลมพัดหอบออกไปที่หน้าต่างสี่เหลี่ยมมีม่านปักดิ้นเงินดิ้นทองเสียจนหมดสิ้น  เจ้าชายมัวแต่พะวงเรื่องจะต้องออกไปตรวจการฝึกซ้อมของกองกำลังทหารเกียรติยศร่วมกับพระบิดาเสียจนสมองแทบจะไม่รับรู้อะไรมากไปกว่านั้น

            คงไม่มีผู้ใดหรอกจะรู้ว่าทุกครั้งที่องค์เธอต้องประทับต่อหน้าทหารอาชาไนยทั้งหลาย เจ้าชายต้องทรงอดกลั้นต่อความรู้สึกประหม่าขัดเขินดุจพระองค์ทรงเป็นเด็กชายตัวกระจ้อยร่อยถูกผู้ทรงพลังเลิศล้ำกว่าห้อมล้อมมากเพียงไร และยิ่งประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะถูกพระบิดาสบประมาทในความสามารถอันเล็กน้อยของพระโอรสต่อหน้าเหล่าทหารทรงเกียรติเหล่านั้น

            หากเป็นไปได้ เจ้าชายใคร่วิงวอนต่อเทพธิดาวารีแห่งสระอโนดาดหน้าประตูเมือง  ขอพระองค์ได้โปรดส่งพระภคินีกลับสู่โยธนาปุระโดยเร็ว.

                                

                                                            ----------------------------------


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024