Customer Reviews

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเข้าใจยากอีกเล่มหนึ่ง (ผมเคยอ่านเวอร์ชั่นอังกฤษ) โดยหนังสือเล่มนี้จะตัดแบ่งจากหนังสือหลักมาให้เราแยกอ่านเป็นวันๆไป เนื้อหาหลักจะเป็นหนังสือที่บอกเราว่า เราคิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษาจากผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับตำนาน เช่น เฮนรี่ฟอร์ด โทมัส เอดิสัน อับราฮัม ลินคอล์น รวมทั้งหมดกว่าจะเขียนหนังืสือออกมาได้ก็ใช้เวลาไปซะ 20 ปี ก็อาจจะเป็นเครื่องรับรองถึงคุณภาพของแนวคิดที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเข้าใจยากอีกเล่มหนึ่ง (ผมเคยอ่านเวอร์ชั่นอังกฤษ) โดยหนังสือเล่มนี้จะตัดแบ่งจากหนังสือหลักมาให้เราแยกอ่านเป็นวันๆไป เนื้อหาหลักจะเป็นหนังสือที่บอกเราว่า เราคิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษาจากผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับตำนาน เช่น เฮนรี่ฟอร์ด โทมัส เอดิสัน อับราฮัม ลินคอล์น รวมทั้งหมดกว่าจะเขียนหนังืสือออกมาได้ก็ใช้เวลาไปซะ 20 ปี ก็อาจจะเป็นเครื่องรับรองถึงคุณภาพของแนวคิดที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

ถ้าพูดถึงหลักการ การลงทุนแบบ value investment แล้ว เราอาจจะนึกชื่อของนักลงทุนได้เพียง 2-3 คนเท่านั้น เฃ่น วอเร็น บัฟเฟต ปีเตอร์ลินช์ เบน เกรแฮม ... แล้วถ้าเราอยากรู้จักคนอื่นๆที่เก่งไม่แพ้กันล่ะ เราจะไปหาศึกษาได้จากที่ไหน คำตอบมันอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว คุณค่าของหนังสือเล่มนี้คือ มีนักลงทุนที่คุณต้องไม่รู้จักโผล่มาในเล่มแน่นอน ทำให้เราได้ความรู้จากพวกเขาด้วย นอกจากจะไปมัวแต่ศึกษาเรื่องของคนเดิมๆซึ่งบางทีก็เป็นหลักการที่ดีแต่อ่านซ้ำไปซ้ำมาทำให้ไม่ได้เปิดมุมมองและเรียนรู้จากคนอื่นบ้าง นักลงทุนระดับสูงในเล่มนี้ที่คุณต้องไม่เคยได้ยินชื่อแหงๆก็เช่น

1.Jean-marie Eveillard
2.Francisco Gracia Parames
3.Anthony Nutt
4.Teng ngiek Lian
5.Shuhei Abe
6.V-nee Yeh Value partner

ถามว่าพวกเขาเหล่านี้สู้กับระดับวอเร็นได้ไหม บอกได้เลยว่าหลักการนั้นคล้ายๆกันแต่เพื่อความรู้ที่มากขึ้นของเราควรต้องศึกษาประสบการณ์ของพวกเขาเอาใว้ด้วยย่อมดีกว่า

ถ้าพูดถึงหลักการ การลงทุนแบบ value investment แล้ว เราอาจจะนึกชื่อของนักลงทุนได้เพียง 2-3 คนเท่านั้น เฃ่น วอเร็น บัฟเฟต ปีเตอร์ลินช์ เบน เกรแฮม ... แล้วถ้าเราอยากรู้จักคนอื่นๆที่เก่งไม่แพ้กันล่ะ เราจะไปหาศึกษาได้จากที่ไหน คำตอบมันอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว คุณค่าของหนังสือเล่มนี้คือ มีนักลงทุนที่คุณต้องไม่รู้จักโผล่มาในเล่มแน่นอน ทำให้เราได้ความรู้จากพวกเขาด้วย นอกจากจะไปมัวแต่ศึกษาเรื่องของคนเดิมๆซึ่งบางทีก็เป็นหลักการที่ดีแต่อ่านซ้ำไปซ้ำมาทำให้ไม่ได้เปิดมุมมองและเรียนรู้จากคนอื่นบ้าง นักลงทุนระดับสูงในเล่มนี้ที่คุณต้องไม่เคยได้ยินชื่อแหงๆก็เช่น

1.Jean-marie Eveillard
2.Francisco Gracia Parames
3.Anthony Nutt
4.Teng ngiek Lian
5.Shuhei Abe
6.V-nee Yeh Value partner

ถามว่าพวกเขาเหล่านี้สู้กับระดับวอเร็นได้ไหม บอกได้เลยว่าหลักการนั้นคล้ายๆกันแต่เพื่อความรู้ที่มากขึ้นของเราควรต้องศึกษาประสบการณ์ของพวกเขาเอาใว้ด้วยย่อมดีกว่า

เป็นหนึ่งในหนังสือหุ้นที่เขียนโดยคนไทยที่ดีมากๆเล่มหนึ่งที่ได้รวบรวมหลักการของนักลงทุนระดับแนวหน้าของเมืองไทยและต่างประเทศมาใว้ภายในเล่มเดียว เช่น ดร นิเวศน์ และ วอเร็น บัฟเฟต (ตัวอย่างเด่นๆเท่านั้น จริงๆแล้วมีอีกหลายคนมากๆ) โดยจะแบ่งออกเป็น 5 บทหลักๆคือ

1.คนธรรมดาๆก็รวยได้
2.เทคนิคที่จะทำให้รวยขึ้น
3.บทเรียนหุ้นและการสร้างความมั่งคั่ง
4.เคล็ดลับการลงทุนจากกูรู
5.วอเร็นบัฟเฟตสุดยอดกูรูนักลงทุน

โดยบทแรกจะเป็นเรื่องของนักลงทุนไทยในบ้านเราที่ลงทุนแล้วสามารถสร้างพอร์ตให้เติบโตในระดับถึง ร้อยล้าน และ พันล้านได้ ส่วนบทที่ 2-4 ก็จะเป็นหลักการสำคัญต่างๆที่นักลงทุนควรรู้ซึ่งบอกได้เลยว่าอ่านเข้าใจได้ง่ายมากเพราะได้แบ่งออกเป็นหัวข้อๆ และมีการ quote จากคนที่เก่งๆหลายๆคนมากๆ(ไม่ใช่แค่นักลงทุนอย่างเดียวแต่มีคนอื่นด้วย)โดยเป็น quote ภาษาอังกฤษและมีแปลไทยทำให้ผู้ที่ชื่นชอบแนวคิดเจ๋งๆสามารถอ่านเล่มเดียวแต่ได้แนวคิดแบบรวมใว้ในที่เดียว สุดยอดมั่ก และบทสุดท้ายพลาดไม่ได้กับนักลงทุนที่ผมชื่นชอบเป็นอันดับ 1 ใน 5 ในใจของผมซึ่งก็คือ วอเร็นนั่นเองเองเองเอง วะฮ่าๆๆๆ

เป็นหนึ่งในหนังสือหุ้นที่เขียนโดยคนไทยที่ดีมากๆเล่มหนึ่งที่ได้รวบรวมหลักการของนักลงทุนระดับแนวหน้าของเมืองไทยและต่างประเทศมาใว้ภายในเล่มเดียว เช่น ดร นิเวศน์ และ วอเร็น บัฟเฟต (ตัวอย่างเด่นๆเท่านั้น จริงๆแล้วมีอีกหลายคนมากๆ) โดยจะแบ่งออกเป็น 5 บทหลักๆคือ

1.คนธรรมดาๆก็รวยได้
2.เทคนิคที่จะทำให้รวยขึ้น
3.บทเรียนหุ้นและการสร้างความมั่งคั่ง
4.เคล็ดลับการลงทุนจากกูรู
5.วอเร็นบัฟเฟตสุดยอดกูรูนักลงทุน

โดยบทแรกจะเป็นเรื่องของนักลงทุนไทยในบ้านเราที่ลงทุนแล้วสามารถสร้างพอร์ตให้เติบโตในระดับถึง ร้อยล้าน และ พันล้านได้ ส่วนบทที่ 2-4 ก็จะเป็นหลักการสำคัญต่างๆที่นักลงทุนควรรู้ซึ่งบอกได้เลยว่าอ่านเข้าใจได้ง่ายมากเพราะได้แบ่งออกเป็นหัวข้อๆ และมีการ quote จากคนที่เก่งๆหลายๆคนมากๆ(ไม่ใช่แค่นักลงทุนอย่างเดียวแต่มีคนอื่นด้วย)โดยเป็น quote ภาษาอังกฤษและมีแปลไทยทำให้ผู้ที่ชื่นชอบแนวคิดเจ๋งๆสามารถอ่านเล่มเดียวแต่ได้แนวคิดแบบรวมใว้ในที่เดียว สุดยอดมั่ก และบทสุดท้ายพลาดไม่ได้กับนักลงทุนที่ผมชื่นชอบเป็นอันดับ 1 ใน 5 ในใจของผมซึ่งก็คือ วอเร็นนั่นเองเองเองเอง วะฮ่าๆๆๆ

penny stocks หมายถึงหุ้นราคาต่ำ (เช่นต่ำกว่า 1 บาท) แต่ได้หมายความว่าเป็นหุ้นที่ตัวธุรกิจมี "มูลค่า" ต่ำแต่อย่างไร แล้วทำไมเขาถึงให้ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำ แต่อาจจะเป็นบริษัทที่ดีล่ะ นี่หมายความว่าเทคนิคนี้มันใช้ได้จริงหรือ?ต้องติดตามได้ในเล่มและกรุณาใช้ความคิดให้มากก่อนที่จะทำตามสิ่งที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มีไม่ค่อยแน่น และเป็นหนังสือหุ้นแนวอ่านเอาสนุก มากกว่าที่เอาความรู้ โดยความเห็นส่วนตัวของผมที่ชอบอ่านหนังสือแปลมากกว่าทำให้อาจจะมองต่างจากท่านอื่นก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ถ้ามองในแง่ความมันส์ความสนุกเป็นที่หนึ่ง (เล่มนี้ก็เป็นหนังสือแนวเดียวกับหนังสือที่คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม เขียน ซึ่งก็อาจจะเป็น เพราะมาจาก สนพ เดียวกันนั่นเอง)ให้ 5 ดาวกับความสนุก และ 3 ดาวสำหรับเนื้อหาครับ = 4 ดาว ละกันครับ

penny stocks หมายถึงหุ้นราคาต่ำ (เช่นต่ำกว่า 1 บาท) แต่ได้หมายความว่าเป็นหุ้นที่ตัวธุรกิจมี "มูลค่า" ต่ำแต่อย่างไร แล้วทำไมเขาถึงให้ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำ แต่อาจจะเป็นบริษัทที่ดีล่ะ นี่หมายความว่าเทคนิคนี้มันใช้ได้จริงหรือ?ต้องติดตามได้ในเล่มและกรุณาใช้ความคิดให้มากก่อนที่จะทำตามสิ่งที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มีไม่ค่อยแน่น และเป็นหนังสือหุ้นแนวอ่านเอาสนุก มากกว่าที่เอาความรู้ โดยความเห็นส่วนตัวของผมที่ชอบอ่านหนังสือแปลมากกว่าทำให้อาจจะมองต่างจากท่านอื่นก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ถ้ามองในแง่ความมันส์ความสนุกเป็นที่หนึ่ง (เล่มนี้ก็เป็นหนังสือแนวเดียวกับหนังสือที่คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม เขียน ซึ่งก็อาจจะเป็น เพราะมาจาก สนพ เดียวกันนั่นเอง)ให้ 5 ดาวกับความสนุก และ 3 ดาวสำหรับเนื้อหาครับ = 4 ดาว ละกันครับ

ไม่ค่อยจะมีหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเงินสดในตลาดมากนัก(เท่าที่ผมเห็น)แต่เล่มนี้แบนมากแต่กลับเต็มไปด้วยหลักสำคัญๆที่เน้นๆเรื่อง
การบริหารเงินสดของบริษัท (สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำธุรกิจก็อ่านได้แต่อาจจะไม่ได้นำไปใช้จริงนะจ้า)มีหมดทั้งเงินสดย่อย การทำงบกระแส
เงินสด การทำประมาณการกระแสเงินสด การทำกระแสเงินสดของโครงการอสังหา โดยเนื้อหาเขียนแบบค่อนข้างเป็นหลักการแต่กลับอ่าน
เข้าใจได้ไม่ยากเลย เหมาะกับเจ้าของกิจการผู้อ่านหนังสือยาวๆไม่ค่อยได้อย่างยิ่ง

ไม่ค่อยจะมีหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเงินสดในตลาดมากนัก(เท่าที่ผมเห็น)แต่เล่มนี้แบนมากแต่กลับเต็มไปด้วยหลักสำคัญๆที่เน้นๆเรื่อง
การบริหารเงินสดของบริษัท (สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำธุรกิจก็อ่านได้แต่อาจจะไม่ได้นำไปใช้จริงนะจ้า)มีหมดทั้งเงินสดย่อย การทำงบกระแส
เงินสด การทำประมาณการกระแสเงินสด การทำกระแสเงินสดของโครงการอสังหา โดยเนื้อหาเขียนแบบค่อนข้างเป็นหลักการแต่กลับอ่าน
เข้าใจได้ไม่ยากเลย เหมาะกับเจ้าของกิจการผู้อ่านหนังสือยาวๆไม่ค่อยได้อย่างยิ่ง

เป็นหนังสือที่เก่าเล่มหนึ่ง(ของต่างประเทศ)แต่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆเล่มหนึ่งในโลกมนุษย์ โดยเนื้อหาหลักๆจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องราวของชาวบาบิโลนที่ร่ำรวยเพราะพวกรู้จักเรื่องของ "เงิน" อย่างแท้จริง โดยจะนำเอาเรื่องของพวกเขามาเปรียบเทียบเพื่อที่จะได้สอนเรื่องการใช้เงินให้กับพวกเรา ว่าควรจะทำอย่างไรในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเราเอง อ่านได้สนุกเพราะไม่ใช่หนังสือวิชาการที่จะมาสอนเราแบบทำให้หลับคร่อก แต่หนังสือเล่มนี้จะสอนเราด้วยนิทานที่อ่านแล้วไม่เบื่อ อ่านแล้วไม่หลับ ชัวร์!

เป็นหนังสือที่เก่าเล่มหนึ่ง(ของต่างประเทศ)แต่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆเล่มหนึ่งในโลกมนุษย์ โดยเนื้อหาหลักๆจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องราวของชาวบาบิโลนที่ร่ำรวยเพราะพวกรู้จักเรื่องของ "เงิน" อย่างแท้จริง โดยจะนำเอาเรื่องของพวกเขามาเปรียบเทียบเพื่อที่จะได้สอนเรื่องการใช้เงินให้กับพวกเรา ว่าควรจะทำอย่างไรในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเราเอง อ่านได้สนุกเพราะไม่ใช่หนังสือวิชาการที่จะมาสอนเราแบบทำให้หลับคร่อก แต่หนังสือเล่มนี้จะสอนเราด้วยนิทานที่อ่านแล้วไม่เบื่อ อ่านแล้วไม่หลับ ชัวร์!

เพิ่งเคยอ่านหนังสือของ สนพ ตลาดหลักทรัพย์เป็นเล่มแรกครับ โดยเล่มนี้เป็นการรวบรวมศัพท์เกี่ยวกับการเงินและการลงทุนมาให้นักลง
ทุนได้ศึกษากันทั้งหมด 365 คำด้วยกันพร้อมด้วยคำอธิบายว่ามันหมายความว่าอย่างไร โดยจำนวนคำศัพท์ที่มากถึง 365 คำก็จะครอบ
คลุมทั้งศัพท์ขั้นต้นและขั้นสูงด้วยกัน โดยคำอธิบายจะอธิบายจบใน 1 หน้าเท่านั้น จึงกระชับและตรงประเด็นเป็นอย่างมาก โดยรวมแล้ว เหมาะสำหรับมือใหม่อย่างมากครับ (ข้างหลังเล่มมี index ทำให้หาศัพท์ไม่ยากจ้า)

เพิ่งเคยอ่านหนังสือของ สนพ ตลาดหลักทรัพย์เป็นเล่มแรกครับ โดยเล่มนี้เป็นการรวบรวมศัพท์เกี่ยวกับการเงินและการลงทุนมาให้นักลง
ทุนได้ศึกษากันทั้งหมด 365 คำด้วยกันพร้อมด้วยคำอธิบายว่ามันหมายความว่าอย่างไร โดยจำนวนคำศัพท์ที่มากถึง 365 คำก็จะครอบ
คลุมทั้งศัพท์ขั้นต้นและขั้นสูงด้วยกัน โดยคำอธิบายจะอธิบายจบใน 1 หน้าเท่านั้น จึงกระชับและตรงประเด็นเป็นอย่างมาก โดยรวมแล้ว เหมาะสำหรับมือใหม่อย่างมากครับ (ข้างหลังเล่มมี index ทำให้หาศัพท์ไม่ยากจ้า)

เป็นอีกเล่มของคุณภาววิทย์ที่เล่าเรื่องราวและประสบการณ์การลงทุนของเขาได้อย่างสนุกและมีรสชาติ แต่ในความคิดของผมที่เป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์พอสมควรแล้ว (ประมาณ 6 ปี)ก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับวิธีการลงทุนของเขาซักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ต้องการที่จะให้ความรู้ด้านการลงทุนเป็นหลัก แต่อาจจะพูดถึงเรื่องกว้างๆซะมากกว่า ทำให้ผมไม่ได้ให้คะแนนเรื่องประโยชน์ของเนื้อหาเป็นหลัก แต่ให้คะแนนในเรื่องของความสนุกในการอ่าน ก็อาจจะได้ซัก 3-4 ดาวครับ (ถ้าผู้ที่เคยอ่านเล่มก่อนๆก็แน่ใจได้เลยว่าเนื้อหาคล้ายๆกันครับไม่ต่างกันเท่าไหร่)

เป็นอีกเล่มของคุณภาววิทย์ที่เล่าเรื่องราวและประสบการณ์การลงทุนของเขาได้อย่างสนุกและมีรสชาติ แต่ในความคิดของผมที่เป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์พอสมควรแล้ว (ประมาณ 6 ปี)ก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับวิธีการลงทุนของเขาซักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ต้องการที่จะให้ความรู้ด้านการลงทุนเป็นหลัก แต่อาจจะพูดถึงเรื่องกว้างๆซะมากกว่า ทำให้ผมไม่ได้ให้คะแนนเรื่องประโยชน์ของเนื้อหาเป็นหลัก แต่ให้คะแนนในเรื่องของความสนุกในการอ่าน ก็อาจจะได้ซัก 3-4 ดาวครับ (ถ้าผู้ที่เคยอ่านเล่มก่อนๆก็แน่ใจได้เลยว่าเนื้อหาคล้ายๆกันครับไม่ต่างกันเท่าไหร่)

หนังสือขายดีอีกเล่มในซีรี่ส์ rich dad poor dad ที่ควรมีใว้ในครอบครอง ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆอย่างไร ก็อาจจะตอบได้ว่าต่างกันตรงที่เล่มนี้จะเน้นในเรื่องการเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยจะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเงินสี่ด้านแล้ว เพราะมีในเล่มอื่นไปแล้ว ทำให้เนื้อหาในภาคนี้จะเจาะลึกเรื่องการทำธุรกิจได้มากกว่าหนังสือเล่มอื่นๆของ rich dad ส่วนเนื้อหาอย่างอื่นที่อาจจะมีการทับ ซ้อนกันบ้างก็ยังคงทำให้ผู้อ่านสนุกได้เหมือนเดิม ถ้าเราสามารถจินตนาการตามไปได้ถึงแม้ว่าอาจจะมีซ้ำบ้าง แต่เพราะข้อมูลมันก็เยอะอยู่ทำให้ค่อนข้างคุ้มที่จะซื้อมาอีกซักเล่มครับ

หนังสือขายดีอีกเล่มในซีรี่ส์ rich dad poor dad ที่ควรมีใว้ในครอบครอง ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆอย่างไร ก็อาจจะตอบได้ว่าต่างกันตรงที่เล่มนี้จะเน้นในเรื่องการเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยจะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเงินสี่ด้านแล้ว เพราะมีในเล่มอื่นไปแล้ว ทำให้เนื้อหาในภาคนี้จะเจาะลึกเรื่องการทำธุรกิจได้มากกว่าหนังสือเล่มอื่นๆของ rich dad ส่วนเนื้อหาอย่างอื่นที่อาจจะมีการทับ ซ้อนกันบ้างก็ยังคงทำให้ผู้อ่านสนุกได้เหมือนเดิม ถ้าเราสามารถจินตนาการตามไปได้ถึงแม้ว่าอาจจะมีซ้ำบ้าง แต่เพราะข้อมูลมันก็เยอะอยู่ทำให้ค่อนข้างคุ้มที่จะซื้อมาอีกซักเล่มครับ

หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงหลักการสำคัญ 5 ประการที่ ผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะได้สามารถทำธุรกิจส่วนตัวให้สำเร็จลุล่วง โดย ปัจจัยทั้ง 5 เปรียบได้ดั่งกับ นิ้วทั้ง 5 ของเรา โดยมีดังนี้
1.นิ้วโป้ง(บุคลิกอันเข้มแข็ง)
2.นิ้วชี้(ความมุ่งมั่น)
3.นิ้วกลาง(แบรนด์)
4.นิ้วนาง(ความสัมพันธ์)
5.นิ้วก้อย(สิ่งเล็กๆแต่มีความหมาย)
โดยแต่ละหัวข้อได้เจาะลึกไปถึงเรื่องสำคัญทุกเรื่องที่เราต้องมีในการสร้างความมั่งคั่งให้กิจการของเราโดยเนื่องจากเรื่องนี้เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนทั้งสองคน จึงทำให้เราแน่ใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาหลอกเราให้ทำตามแบบมั่วๆอย่างแน่นอน

หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงหลักการสำคัญ 5 ประการที่ ผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะได้สามารถทำธุรกิจส่วนตัวให้สำเร็จลุล่วง โดย ปัจจัยทั้ง 5 เปรียบได้ดั่งกับ นิ้วทั้ง 5 ของเรา โดยมีดังนี้
1.นิ้วโป้ง(บุคลิกอันเข้มแข็ง)
2.นิ้วชี้(ความมุ่งมั่น)
3.นิ้วกลาง(แบรนด์)
4.นิ้วนาง(ความสัมพันธ์)
5.นิ้วก้อย(สิ่งเล็กๆแต่มีความหมาย)
โดยแต่ละหัวข้อได้เจาะลึกไปถึงเรื่องสำคัญทุกเรื่องที่เราต้องมีในการสร้างความมั่งคั่งให้กิจการของเราโดยเนื่องจากเรื่องนี้เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนทั้งสองคน จึงทำให้เราแน่ใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาหลอกเราให้ทำตามแบบมั่วๆอย่างแน่นอน

หนังสือการลงทุนสุดยอดคลาสสิคที่แม้ตัวอย่างทุกตัวอย่างจะล้าสมัยมากๆ แถมยังเป็นตัวอย่างของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศอีกต่างๆหาก แต่หากไม่นับรวมถึงเรื่องพวกนี้ กลับพบว่าไอเดียหลักๆในเล่มนั้นกลับมีเพียงไม่กี่ไอเดียที่ เป็นไอเดีย "ขั้นเทพ" ผมเห็นว่ามีอยู่ 2 อันที่น่าสนใจคือ "Margin of Safety" กับ "Mr. Market" ไอเดียสองอันนี้เข้าใจง่ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่กลับนำไปใช้จริงได้ยากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันแรกเนื่องจากว่านักลงทุนสมัยนี้ในประเทศไทยนั้นลงทุนแต่หุ้นโตเร็ว ซึ่งหุ้นประเภทนี้ไม่เคยมีราคาถูกทำให้ไม่รู้จะคำนวนหา ส่วนลด 30% จากมูลค่าที่แท้จริงอย่างไร ส่วน ไอเดีย "Mr. Market" ก็ต้องใช้ความใจเย็นอย่างมาก ซึ่งถ้าตลาดในปัจจุบันซึ่งผมคิดว่าเป็นตลาดกระทิง ( หมายความว่า Mr. Market อารมณ์ดีสุดขีด ) ก็คงไม่มีใครกล้าถือเงินสด มีแต่จะไปซื้อหุ้นที่ดูอย่างไรก็ค่อนข้างแพง ( PE หุ้น growth หลายตัวขึ้นไปสูงถึง 40-50 เท่า ) หรือ บางทีไอเดียเหล่านี้อาจจะไม่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้... สำหรับผมให้ 4 ดาวละกัน เพราะหลักการ "Margin of Safety" ยืดหยุ่นน้อยไปหน่อย แต่ให้ 100 คะแนนสำหรับเรื่อง "Mr. Market" ครับ

หนังสือการลงทุนสุดยอดคลาสสิคที่แม้ตัวอย่างทุกตัวอย่างจะล้าสมัยมากๆ แถมยังเป็นตัวอย่างของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศอีกต่างๆหาก แต่หากไม่นับรวมถึงเรื่องพวกนี้ กลับพบว่าไอเดียหลักๆในเล่มนั้นกลับมีเพียงไม่กี่ไอเดียที่ เป็นไอเดีย "ขั้นเทพ" ผมเห็นว่ามีอยู่ 2 อันที่น่าสนใจคือ "Margin of Safety" กับ "Mr. Market" ไอเดียสองอันนี้เข้าใจง่ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่กลับนำไปใช้จริงได้ยากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อันแรกเนื่องจากว่านักลงทุนสมัยนี้ในประเทศไทยนั้นลงทุนแต่หุ้นโตเร็ว ซึ่งหุ้นประเภทนี้ไม่เคยมีราคาถูกทำให้ไม่รู้จะคำนวนหา ส่วนลด 30% จากมูลค่าที่แท้จริงอย่างไร ส่วน ไอเดีย "Mr. Market" ก็ต้องใช้ความใจเย็นอย่างมาก ซึ่งถ้าตลาดในปัจจุบันซึ่งผมคิดว่าเป็นตลาดกระทิง ( หมายความว่า Mr. Market อารมณ์ดีสุดขีด ) ก็คงไม่มีใครกล้าถือเงินสด มีแต่จะไปซื้อหุ้นที่ดูอย่างไรก็ค่อนข้างแพง ( PE หุ้น growth หลายตัวขึ้นไปสูงถึง 40-50 เท่า ) หรือ บางทีไอเดียเหล่านี้อาจจะไม่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้... สำหรับผมให้ 4 ดาวละกัน เพราะหลักการ "Margin of Safety" ยืดหยุ่นน้อยไปหน่อย แต่ให้ 100 คะแนนสำหรับเรื่อง "Mr. Market" ครับ

เป็นหนังสือที่แปลมาจากหนังสือที่ชื่อ The Magic of Thinking Big ที่นับว่าเป็นหนังสือที่ขายดีอีกเล่มในต่างประเทศ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เก่ามากแล้ว หลายสิบปีเลยทีเดียว แต่เนื้อหาภายในเล่มก็ยังคงสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน โดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่าเนื้อหาจะตามชื่อเรื่องนั่นเองคือ คำเราสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการเริ่มจากการ คิดใหญ่ ซะก่อน โดยผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจาก ความฉลาด ผลการเรียน หรือฐานะ แต่กลับขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อที่เรามีต่อความสำเร็จ โดยแม้ว่าแนวคิด เรื่องการคิดใหญ่จะมีผลดีอย่างไรก็ตาม แต่หลายๆคนก็กลับไม่ได้ทำตามคำแนะนำนี้ ทำไมน่ะหรือ ต้องติดตามในเล่มเอาเองนะจ้า

เป็นหนังสือที่แปลมาจากหนังสือที่ชื่อ The Magic of Thinking Big ที่นับว่าเป็นหนังสือที่ขายดีอีกเล่มในต่างประเทศ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เก่ามากแล้ว หลายสิบปีเลยทีเดียว แต่เนื้อหาภายในเล่มก็ยังคงสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน โดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่าเนื้อหาจะตามชื่อเรื่องนั่นเองคือ คำเราสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการเริ่มจากการ คิดใหญ่ ซะก่อน โดยผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจาก ความฉลาด ผลการเรียน หรือฐานะ แต่กลับขึ้นอยู่กับความคิดและความเชื่อที่เรามีต่อความสำเร็จ โดยแม้ว่าแนวคิด เรื่องการคิดใหญ่จะมีผลดีอย่างไรก็ตาม แต่หลายๆคนก็กลับไม่ได้ทำตามคำแนะนำนี้ ทำไมน่ะหรือ ต้องติดตามในเล่มเอาเองนะจ้า

เป็นเรื่องราวของสองคู่รักที่เลิกร้างกันไปเพราะไม่เชื่อใจกัน แต่ดันมีคิวปิดตัวหนึ่งดันถูกทำโทษให้ต้องมาทำให้มนุษย์มารักกันให้ได้โดยห้ามใช้ศรยิง คิวปิดจะใช้วิธีไหนนะ แล้วคู่รักจะกลับมารักกันอีกรอบโดยที่มีความเชื่อใจกันยิ่งกว่าเดิมได้หรือไม่? โปรดติดตามได้ในเล่ม

เป็นเรื่องราวของสองคู่รักที่เลิกร้างกันไปเพราะไม่เชื่อใจกัน แต่ดันมีคิวปิดตัวหนึ่งดันถูกทำโทษให้ต้องมาทำให้มนุษย์มารักกันให้ได้โดยห้ามใช้ศรยิง คิวปิดจะใช้วิธีไหนนะ แล้วคู่รักจะกลับมารักกันอีกรอบโดยที่มีความเชื่อใจกันยิ่งกว่าเดิมได้หรือไม่? โปรดติดตามได้ในเล่ม

การเขียนเป็นแนว ไดอารี่จริงๆ อ่านแล้วก็เหมือนอ่านไดอารี่ธรรมดาๆนั่นแหละ แล้วพออ่านไปถึงครึ่งเล่มผู้เขียนก็แท้ง หลังจากนั้นก็แทบไม่มีเนื้อเรื่องอะไรที่น่าสนใจเลย

การเขียนเป็นแนว ไดอารี่จริงๆ อ่านแล้วก็เหมือนอ่านไดอารี่ธรรมดาๆนั่นแหละ แล้วพออ่านไปถึงครึ่งเล่มผู้เขียนก็แท้ง หลังจากนั้นก็แทบไม่มีเนื้อเรื่องอะไรที่น่าสนใจเลย

เทคนิคที่ผมแทบจะไม่รู้จักคนใกล้ตัวที่ใช้วิธีนี้ในการลงทุนเลยก็คือการทำอาบิทราจ การทำอาบิทราจก็คือการหาช่องว่างของความแตกต่างในราคาสินทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด และในไม่ช้าราคาก็จะกลับสู่จุดที่มันควรจะเป็น หลายๆท่านนักลงทุนอาจจะไม่รู้ว่าวอเรนบัฟเฟ็ตก็มีการทำอาบิทราจอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนใว้ที่ไหน แต่อาจจะเพราะว่ายังไม่เคยมีหนังสือของวอเรนที่เกี่ยวข้องกับการทำอาบิทราจของเขา หลายคนจึงไม่มีโอกาศได้ศึกษาหาความรู้ถึงอีกด้านหนึ่งของเทคนิคการลงทุนในช่วงที่หาโอกาศการลงทุนในหลักทรัพย์คุณภาพดีที่จำเป็นต้องถือใว้เป็นระยะเวลายาวนานได้ ผมซึ่งเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ไม่เคยสนใจที่จะทำอาบิทราจเลย (อาจจะเพราะขี้เกียจที่จะศึกษา หรือบางช่วงก็มีเงินสดเหลือน้อยเพราะถือหุ้นบางตัวใว้นานมาก พอเงินเหลือน้อยแล้วต้องไปทำอาบิทราจซึ่งได้ผลตอบแทนไม่ค่อยเยอะ(แต่ชัวร์)ก็ไม่ค่อยจะมีกำลังใจในการทำเท่าไหร่)แต่จริงๆแล้วการทำอาบิทราจก็คือการลงทุนประเภทหนึ่งที่ถ้าสามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ก็จะให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจด้วยระดับความเสี่ยงที่ต่ำ ในหนังสือจะแยกสถานการณ์ที่สามารถทำอาบิทราจออกเป็นหลายๆเคส เช่น การควบรวมแบบเป็นมิตร, แบบไม่เป็นมิตร, การซื้อหุ้นคืนของบริษัท, การชำระบัญชีเพื่อเลิกบริษัท, การปรับโครงสร้างบริษัท, การสปินออฟบริษัทลูก, การกู้เงินมาเพื่อทำอาบิทราจ, และเคสพิเศษการควบรวมระหว่างเบิร์กไชร์กับ BNSF (บริษัทรถไฟ)

เทคนิคที่ผมแทบจะไม่รู้จักคนใกล้ตัวที่ใช้วิธีนี้ในการลงทุนเลยก็คือการทำอาบิทราจ การทำอาบิทราจก็คือการหาช่องว่างของความแตกต่างในราคาสินทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด และในไม่ช้าราคาก็จะกลับสู่จุดที่มันควรจะเป็น หลายๆท่านนักลงทุนอาจจะไม่รู้ว่าวอเรนบัฟเฟ็ตก็มีการทำอาบิทราจอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนใว้ที่ไหน แต่อาจจะเพราะว่ายังไม่เคยมีหนังสือของวอเรนที่เกี่ยวข้องกับการทำอาบิทราจของเขา หลายคนจึงไม่มีโอกาศได้ศึกษาหาความรู้ถึงอีกด้านหนึ่งของเทคนิคการลงทุนในช่วงที่หาโอกาศการลงทุนในหลักทรัพย์คุณภาพดีที่จำเป็นต้องถือใว้เป็นระยะเวลายาวนานได้ ผมซึ่งเป็นนักลงทุนระยะยาวก็ไม่เคยสนใจที่จะทำอาบิทราจเลย (อาจจะเพราะขี้เกียจที่จะศึกษา หรือบางช่วงก็มีเงินสดเหลือน้อยเพราะถือหุ้นบางตัวใว้นานมาก พอเงินเหลือน้อยแล้วต้องไปทำอาบิทราจซึ่งได้ผลตอบแทนไม่ค่อยเยอะ(แต่ชัวร์)ก็ไม่ค่อยจะมีกำลังใจในการทำเท่าไหร่)แต่จริงๆแล้วการทำอาบิทราจก็คือการลงทุนประเภทหนึ่งที่ถ้าสามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ก็จะให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจด้วยระดับความเสี่ยงที่ต่ำ ในหนังสือจะแยกสถานการณ์ที่สามารถทำอาบิทราจออกเป็นหลายๆเคส เช่น การควบรวมแบบเป็นมิตร, แบบไม่เป็นมิตร, การซื้อหุ้นคืนของบริษัท, การชำระบัญชีเพื่อเลิกบริษัท, การปรับโครงสร้างบริษัท, การสปินออฟบริษัทลูก, การกู้เงินมาเพื่อทำอาบิทราจ, และเคสพิเศษการควบรวมระหว่างเบิร์กไชร์กับ BNSF (บริษัทรถไฟ)