จ้าวธรณี (เจเนต เดลีย์) (แปล บุญญรัตน์) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 195.00 บาท
ประหยัด: 105.00 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ทุ่งหญ้ากว้างไกลแห่งมอนตาน่าพลิ้วตัวอยู่ในสายลมแรง ดูอ้างว้างอย่างเหลือคณาอยู่ใต้แผ่นฟ้าเย็นยะเยือก รั้วกั้นอาณาเขตอันยืดยาว ไปจนสุดขอบฟ้านั้น มีหิมะพอกพูนอยู่เห็นเป็นเพียงเส้นสีขาว แรงแห่งสายลมพัดผ่านอยู่เหนือต้นหญ้าซึ่งเปรียบเสมือนผืนพรมสีน้ำตาลที่ปกคลุมอยู่บนเนื้อดินอันแข็งกระด้าง รากเล็ก ๆ ของพรมหญ้านั้นตรึงแน่นอยู่กับผืนแผ่นดินเบื้องล่าง

ณ แผ่นดินแห่งนี้ไม่มีที่อาศัยสำหรับบุคคลที่ไม่รู้จักการปรับตัวอย่างชาญฉลาดให้เข้ากับความทุรกันดารได้ แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจในมันแล้ว มันจะยังประโยชน์ให้เหลือคณาเช่นกัน แต่ใครก็ตามที่คิดจะเข้ายึดครองย่อมจะต้อง ถูกชดใช้ด้วยราคาค่าชีวิตอันโหดร้ายเสมอ

ความงามอันแฝงด้วยความทุรกันดารนั้นทอดตัวอยู่เหนือแผ่นดินอันแห้งกรังและความอ้างว้างเดียวดายก็ดูราวจะหาที่สิ้นสุดมิได้ ณ แผ่นดินแห่งนี้ ฤดูหนาวจะมาถึงในเวลาอันรวดเร็วและจะคงอยู่กับฝูงปศุสัตว์และมนุษย์อย่างเนิ่นนาน ปศุสัตว์ที่ยืนหยัดอยู่บนพื้นแผ่นดินนับล้านเอเคอร์แห่งนี้ส่วนใหญ่จะถูกประทับตราทริพพึล ซี. อันเป็นเครื่องหมายว่ามันเป็นสมบัติของไร่ คอลเดอร์ แคตเติ้ล คอมเปนี

รถปิกอัพคันหนึ่งวิ่งตามลำพังเดียวดายบนเส้นทางที่ทอดตัวเย็นเยือกอยู่ในอาณาเขตของไร่ มันเป็นเส้นทางส่วนบุคคลสายหนึ่งที่ตัดผ่านกันไปมา ในช่วงระยะ ๒๐๐ ไมล์เชื่อมโยงอาณาเขตของไร่ทริพพึล ซี.เข้าไว้ด้วยกัน ละไอร้อนจากท่อไอเสียลอยตัวขึ้นเป็นกลุ่มหมอกสีเทาอยู่เบื้องหลัง รถคันนั้นก็เช่นเดียวกันกับเส้นทางที่มันกำลังวิ่ง เนื่องด้วยราวกับไม่มีโอกาสจะรู้เลยว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปสู่ที่ใด ไม่มีจุดหมายปลายทางที่พอจะมองเห็นได้ จนเมื่อได้ไต่

 

ขึ้นสู่ยอดเนินเตี้ยที่เด่นขึ้นเหนือพื้นดินและไต่ลงตามช่วงลาดที่ธรรมชาติได้ช่วย เลือกสรรไว้ให้เป็นแนวหุบเขา ซึ่งมีพื้นที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างอีกครั้ง

แคมป์ที่พักซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาอันกว้างใหญ่นี้เป็นที่รู้จักกันในนามสาขาใต้ เป็น ๑ ใน ๖ ของจำนวนแคมป์แบบเดียวกันที่ถูกตั้งขึ้นตรงอาณาเขตรอบนอก ซึ่งล้อมรอบจุดศูนย์กลางอันเป็นที่ทำการของไร่ไว้ และทำลายความกว้างใหญ่ไพศาลลงด้วยการจัดตั้งขึ้นเป็นศูนย์บริหารงาน คำว่า ‘แคมป์’ นี้เป็นคำที่เรียกกันมาติดปากตั้งแต่สมัยแรกเริ่มเมื่อมีการก่อสร้างที่พักหยาบ ๆ ขึ้นสำหรับพวกโคบาลที่จะต้องออกไปทำงานไกลจากอาณาเขตของที่ทำการไร่

ตัวอาคารที่ปลูกสร้างขึ้นในบริเวณสาขาใต้แห่งนี้เป็นอาคารถาวรที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรง สามารถจะทนทานต่อดินฟ้าอากาศได้ และยังได้รับการดูแลอย่างดีจากผู้ที่อยู่อาศัยอีกด้วย สตัมพี่ นีลส์ซึ่งเป็นผู้บริหารงานในสาขาแห่งนี้ อาศัยอยู่ในบ้านไม้ซุงหลังใหญ่พร้อมด้วยภรรยากับลูก ๓ คน สำหรับเรือนพักของพวกคนงานซึ่งสร้างขึ้นด้วยปีกไม้นั้นเป็นเรือนแถวยาวที่ปลูกเรียงรายอยู่ตรงด้านเชิงเขา ไม่ไกลจากโรงนาและคอกปศุสัตว์ที่อยู่ในหุบเขาเท่าไรนัก

รถปิกอัพคันนั้นวิ่งไปหยุดลงเบื้องหน้าตัวอาคารที่ทำการของไร่ และเชส คอลเดอร์ก็ก้าวลงจากที่นั่งคนขับ ดึงปกเสื้อที่เป็นหนังแกะให้ยกสูงขึ้นเพื่อต้านสายลมแรงบาดผิวอย่างไม่รีบร้อน เฉกเช่นเดียวกันกับพ่อและปู่ที่อาณาจักรแห่งทริพพึล ซี.แห่งนี้อยู่ในอุ้งมือของเขา อุ้งมือนั้นจะต้องหนักแน่น ด้วยต้องปกครองดุจไม่มีกฎหมาย จะต้องมั่นคงพอที่จะบริหารงานด้วยความมั่นใจ และจะต้องเปี่ยมไปด้วยพลังใจที่จะต่อสู้กับแผ่นดินที่มีแต่ความทุรกันดารแห่งนี้

สำนึกแห่งความรับผิดชอบวางอยู่บนไหล่ของเขา และเขาก็จะต้องแบกภาระนั้นให้ดำเนินไปได้ด้วยดี ผืนแผ่นดินเป็นสมบัติแห่งตระกูลที่ได้ฝากร่องรอยไว้ในตัวเขาอย่างมากมาย ดินฟ้าอากาศประทับสีน้ำตาลคล้ำไว้บนใบหน้า ฝากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไว้ในสีหน้ากร้าวกระด้าง และสร้างประกายในดวงตาคู่สีน้ำตาลให้สามารถจะมองลึกซึ้งเข้าไปในปัญหาที่แม้จะอยู่ไกลแสนไกลสุดขอบฟ้าได้ เชสอยู่ในวัย ๓๐ เศษที่กำลังจะย่างขึ้น ๔o แล้ว และวันเวลาทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิต เขาใช้มันกับผืนแผ่นดินที่มีชื่อว่า ‘คอลเดอร์’ แห่งนี้ มันหยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ เช่นเดียวกันกับแม็กกี้ ภรรยาของเขา ที่ได้หยั่งรากแห่งความรักลึกลงถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ

 

เสียงประตูด้านที่นั่งข้างคนขับกระแทกปิดโครมใหญ่ เชสตวัดสายตามอง ไปทางเด็กหนุ่มรูปร่างสูงกร้องแกร้งที่เดินอ้อมรถเข้ามาสมทบ แต่แววในดวงตาคู่นั้นมิได้บอกความมาดหมายหรือตำหนิแต่อย่างใด เด็กหนุ่มวัย ๑๖ ผู้นี้คือ ลูกชายของเขาเอง ไทคือเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งตระกูลคอลเดอร์เพียงแต่มิได้ถูก อบรมมาแต่เล็กแต่น้อยเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เชสรู้สึกเศร้าเสียใจยิ่งเสียกว่า เหตุแห่งความยุ่งยากที่ทำให้เขากับแม็กกี้ต้องพลัดพรากจากกันไปเกือบ ๑๖ ปี

วันเวลานั้นอาจจะเนิ่นนานมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ ได้สร้างความสูญเสียให้กับทั้งเขาและเธอ ความตายของพ่อเธอนั้นได้สร้างความเจ็บช้ำเกลียดชังกับแม็กกี้แก่ทุกคนที่ใช้สกุลคอลเดอร์ เชสเองมิได้พยายามยับยั้งเลยเมื่อเธอจากไปและมิได้ออกติดตามค้นหาด้วยว่าเธอไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลไหน เพราะไม่มีเหตุผลที่จะใช้ความพยายามอันนั้น...อันเป็นความคิดของเขาตลอดช่วงเวลานั้น แต่เขาก็มิได้ล่วงรู้ว่าขณะนั้นเองที่ลูกชาย ของเขาได้ถือกำเนิดขึ้น จนเมื่อเด็กหนุ่มวัย ๑๕ คนนี้บากบั่นมาหาและอ้างว่า เขาคือพ่อ แม้ความรักที่เขามีต่อแม็กกี้จะท่วมท้น แต่เขาก็ตำหนิโทษว่าเป็นความผิดของเธอที่มิได้บอกเรื่องไทให้เขารู้ ตลอดช่วงระยะเวลาที่แยกกันอยู่ ไท เติบโตขึ้นจนเกือบจะเป็นหนุ่ม ด้วยการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมด้วยบรรยากาศ ของแคลิฟอร์เนียตอนใต้

สักวันหนึ่ง แผ่นดินผืนนี้จะต้องตกเป็นสมบัติของไท แต่ระยะเวลาอันลํ้าค่าที่จะได้รับการฝึกฝนอบรมได้สูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย เชสจึงบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเขาจะต้องบรรจุช่วงระยะเวลา ๑๕ ปีนั้นลงไปในตัวตนของไท โดยใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ลูกชายของเขามีสายเลือดอยู่แล้ว และเขาก็ได้ใช้ความพยายามอยู่ แต่มันก็ดูจะยังไร้ผล ไทเปรียบเสมือนม้าหนุ่มที่ยังไม่มั่นใจในตัวผู้ขี่ที่นั่งอยู่บนหลังหรือแผ่นเหล็กที่คาดอยู่ในปาก...ว่าจะหวังอะไรจากสิ่งนั้นได้

เมื่อการฝึกอบรมจำต้องยุติลงด้วยถึงฤดูที่แม่วัวจะตกลูก เชสจึงถือโอกาสที่จะให้ความรู้แก่ไทในการบริหารงานอีกรูปแบบหนึ่งของไร่ คือการทำคลอดลูกวัว สำหรับโคบาลซึ่งเป็นลูกจ้างประจำแล้ว มันเป็นงานหนักที่จะต้องทำถึงสัปดาห์ละ ๗ วันจนกว่าแม่วัวตัวสุดท้ายของไร่ทริพพึล ซี.จะตกลูกเรียบร้อย และเนื่องจากสตัมพี่ นีลส์กำลังขาดคนอยู่พอดี เชสจึงพาไทออกมาให้ช่วยงานด้านนี้ ขณะเดียวกันก็เพื่อที่จะให้ลูกชายได้เรียนรู้งานที่นอก

 

เหนือไปจากการบริหารด้วย

เมื่อเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างตัวผู้เป็นบิดา ไทก็ถึงกับห่อไหล่ด้วยความหนาวจากสายลมเดือนมีนาคมที่พัดกรรโชกอยู่เหนือยอดหญ้าที่แห้งกรัง ด้วยความรู้สึกของความเป็นเพื่อน เชสตบลงบนไหล่ของลูกชายที่ห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อโค้ทกันหนาวตัวหนาแรง ๆ

“แกเคยรู้จักกับพวกโคบาลส่วนใหญ่ที่นี่ตอนที่ออกมาต้อนวัวเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีกลายอยู่แล้ว” เชสมองลูกชายด้วยแววตาที่ซ่อนความชื่นชมไว้ ไม่เชิงจะจับสังเกตสายเลือดของคอลเดอร์ที่ทำให้เรือนผมของเด็กหนุ่มเป็นสีดำ ใบหน้าค่อนข้างเรียบกร้านเท่าใดนัก มันเป็นแววแห่งความเด็ดเดี่ยวมากกว่าที่เขาได้เห็น กับแนวคางที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายของลูกชาย

แต่ความทรงจำของไทเกี่ยวกับเรื่องการออกต้อนวัวในครั้งนั้นมิใช่เรื่อง น่าชื่นชมอะไรนัก ดังนี้เด็กหนุ่มจึงเพียงแต่พยักหน้ารับมิได้ปริปากแสดงความคิดเห็นในเรื่อง ‘โคบาลพวกนั้น’ ของพ่อแต่อย่างใด เพราะคนพวกนั้นที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องทนทุกข์ยิ่งนัก ม้าตัวพยศที่สุดถูกผูกขึ้นให้ขี่ถ้าโคบาลพวกนั้น ไม่โยนหมวกใส่มัน ก็จะส่งเสียงไชโยโห่ร้องให้ม้าตื่นผกหน้าโผนหลัง หรือไม่เช่นนั้นก็จะเอาเชือกบ่วงบาศฟาดใส่มือเขา ซึ่งถ้าไทลืมตรวจตราสายรัดอานอีกครั้งก่อนที่จะขึ้นนั่งบนหลังม้า ก็พนันได้เลยว่าสายนั้นจะต้องถูกผูกหลวม ๆ แถมพวกโคบาลยังเล่าเรื่องโลดโผนใจทะยานต่าง ๆ เกี่ยวกับอุบายที่จะใช้ในการจับเจ้าวัวหนุ่ม ซึ่งทำให้ไทมีความรู้สึกว่าถ้าพวกนั้นจะบอกให้เขาซัดเกลือใส่หางของมันไทก็อาจจะโง่พอที่จะเชื่อและทำตามด้วย

ยิ่งกว่านั้น พวกโคบาลยังสร้างเรื่องให้เห็นว่าเขาเป็นตัวตลกอีกมากมาย จนเกินกว่าจะจำได้หมด ที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่งและได้พบกับงูหางกระดิ่งที่ขดตัวอยู่บนหน้าอก ความหนาวเย็นทำให้เจ้างูเกียจคร้าน เกินกว่าจะอยากทำอะไร แต่ไทมิได้รับรู้ด้วย เขากระโดดขึ้นจนกางเกงแทบจะหลุดจากตัว และบรรดาโคบาลซึ่งยืนกันอยู่รอบ ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะกัน เฮฮาด้วยความขบขัน

เขาตกอยู่ในสภาพของเด็กใหม่ที่ถูกต้อนรับ แต่ไทก็ไม่เคยให้เรื่องเหล่านี้ล่วงรู้ไปถึงหูพ่อ เพราะเชสมีความเห็นอยู่ว่าชีวิตในเมืองทำให้ผู้ชายทุกคนอ่อนแอ ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ไทต้องการจะพิสูจน์ให้พ่อได้เห็น ว่าเขามิใช่คนอ่อนแอแต่อย่างใด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทานทนกับสภาพที่เป็นอยู่

 

 

ได้ขนาดไหน เนต มัวร์หนึ่งในสองของคนเก่าแก่เคยพูดกับเขาไว้ว่า คนใหม่ที่เข้ามาทุกคนจะผ่านพิธีกรรมเหล่านี้กันไปได้ทั้งนั้น แต่ในความรู้สึกของไทแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรงเป็นพิเศษกว่าใคร

ฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่กระชับแน่นเข้า เมื่อเสียงพ่อดังขึ้น

“สตัมพี่น่าจะอยู่ในคอกวัวนะ เราไปหาเขาดีกว่า เขาจะได้จัดที่ทางให้แกพัก”

“โอเคครับ” ไทเพิ่งตื่นจากภวังค์ เหลือบตามองไปทางคอกซึ่งพ่อบอกว่าเป็นสถานที่ที่เขาจะต้องฝึกงานอย่างไม่เต็มใจนัก

แม่หนูวัยประมาณ ๑๐ ขวบคนหนึ่งเล่นอยู่ระหว่างแผ่นกระดานที่ตีกั้นแนวรั้วตรงเข้ามาหา มีเสื้อกันหนาวตัวหนาสวมไว้ กระดุมที่กลัดไว้ผิดรัง ทำให้ตัวเสื้อดูรุ่มร่ามผิดกับเรือนร่างแบบบางของเจ้าหล่อน เช่นเดียวกับกางเกงยีนตัวค่อนข้างใหญ่ซึ่งสอดปลายขาลงไว้ในรองเท้าบู๊ต มีผ้าพันคอพันอยู่รอบหมวกแบบโคบาลที่เธอสวมไว้ ผมเปียสีน้ำผึ้งชี้ออกมาข้างหน้า

“สวัสดีค่ะ มิสเตอร์คอลเดอร์” แม่หนูส่งเสียงทักทายเชสด้วยมรรยาทอันถูกต้อง แต่เป็นในลักษณะของเด็กที่ทักผู้ใหญ่มากกว่าจะเป็นเพียงคนที่อยู่ใต้อาณัติ

“เฮลโล เจส” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากซึ่งทำให้ใบหน้ากร้าวกระด้างอ่อนโยนลง เมื่อเชสทักทายลูกสาวคนโตของสตัมพี่

เจสสี นีลส์นั้นมีลักษณะเป็นทอมบอยตั้งแต่วัยเด็ก สตัมพี่มักจะพูดอยู่เสมอว่าที่ลูกสาวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าเมื่อแม่หนูเริ่มฟันขึ้น พวกเขาก็ให้แกเคี้ยวสายบังเหียนหนังสัตว์เล่น ของเล่นเจสสีคือเชือกบ่วงบาศในขณะที่เด็กหญิงคนอื่นเล่นตุ๊กตา และแม่หนูชอบที่จะติดสอยห้อยตามพ่อออกไปข้างนอก มากกว่าที่จะช่วยแม่ในครัวเรือน หรือเลี้ยงน้องชายตัวเล็ก ๆ อีก ๒ คนซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมาและเอาอย่างเธอ

ท่าทางของแม่หนูแทบจะมิได้มีลักษณะของเด็กหญิงที่รักสวยรักงามเลย แขนขาเก้งก้างเรือนร่างโปร่งบาง จากศีรษะจดปลายเท้า และมิใช่เด็กที่ชอบอยู่แต่ในบ้านเท่าไรนัก แต่ใบหน้าของเธอบอกถึงความเป็นคนจิตใจเข้มแข็ง โหนกแก้มสูงเด่น สันคางเรียวงาม ผิวพรรณนวลนุ่ม เรือนผมเป็นสีน้ำตาล ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายฉลาดเฉลียว และเมื่อมองผู้ใดก็มักจะมองตรง ๆ บางครั้งจ้องเขม็งเอาเสียด้วยซ้ำ

 

 

 

“หนูเห็นคุณขับรถเข้ามาแล้วล่ะค่ะ” เจสสีบอก ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไท “หนูยังบอกพ่อเลยว่าคุณมาที่นี่ เดี๋ยวพ่อก็ออกมาค่ะ”

ไทรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวกับการจ้องมองเขม็ง แม้ว่าเขาจะเคยคุ้นกับการที่ พวกเด็กวัยรุ่นจะจับตามองเหมือนเปรียบเทียบเขากับพ่ออยู่ แต่มันน่าหงุดหงิดใจกว่ากับการที่เด็กหญิงเล็ก ๆ คนนี้จะมามองเขาอย่างพินิจพิจารณาเช่นนี้ เขาขบกรามแน่น รู้สึกอึดอัดที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนที่ได้พบเห็น

“แกยังไม่เคยรู้จักกับลูกสาวของสตัมพี่เลยใช่ไหม?” เชสนึกขึ้นมาได้จึงได้เอ่ยแนะนำขึ้น “นี่เขาชื่อ เจสสี นีลส์ แล้วก็รู้จักไว้นะ นี่คือ ไท ลูกชายฉัน”

“ฉันรู้เรื่องคุณแล้วล่ะ” แม่หนูว่า และไทก็อดคิดอย่างระแวงไม่ได้ว่าที่ เธอพูดออกมานั้นหมายความว่าอย่างไร รู้สึกว่ามันหายใจไม่ใคร่สะดวกนัก ถ้าคิดว่าเด็กหญิงไว้หางเปียคนหนึ่งจะมาหัวเราะเยาะเล่นกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป “ปีนี้เรามีวัวท้องสาวตั้งหลายตัวแน่ะ เพราะฉะนั้น ถึงยังไงก็ต้องการความช่วยเหลือแน่” เจสสีพูดหน้าเฉยเหมือนกับเธอคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบเช่นนั้น “แล้วคุณรู้วิธีทำคลอดลูกวัวหรือเปล่าล่ะ?”

ดูเหมือนทั้งพ่อของเขาเองและสาวน้อยคนนี้ต้องการจะฟังคำตอบจากเขาโดยตรง ไทรู้ดีเกินกว่าที่จะอวดอ้างในความรู้ที่ตนไม่มี

“ไม่รู้หรอก แต่ก็เคยช่วยทำตอนม้าตกลูกมาแล้ว” เขาตอบเสียงกระด้าง

สีหน้าของแม่สาวน้อยมิได้บอกความพึงใจเลย

“มันไม่เหมือนกันหรอก แม่ม้าน่ะมันแข็งแรงกว่าแม่วัวมาก เพราะฉะนั้นเวลามันตกลูกมันถึงได้ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” แม่หนูให้ความรู้อย่างคล่องปาก ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะต้องรู้อยู่แล้ว

“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะ?” เชสถามขึ้น

“ตอนนี้เราเพิ่งจะเสียลูกวัวไปตัวเดียวเท่านั้นค่ะ” เจสสียักไหล่ราวกับจะบอกว่ามันเร็วเกินไปที่จะทำนายกันล่วงหน้า และแล้วอารมณ์ขันก็จุดประกายขึ้นในดวงตาของเธอ “โคบาลตั้ง ๓ คนนะคะรีบมาบอกพ่อว่าขอลาออกสิ้นเดือนนี้แล้วก็ขอเบิกเงินค่าแรงด้วย เขาว่าจะลงไปทางใต้กัน รู้สึกว่าครั้งนี้เร็วกว่าปีที่แล้วอีกค่ะ”

เชสหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ รู้ดีว่าพวกโคบาลนั้นพร้อมที่จะลาออก ในฤดูวัวตกลูกมากกว่าฤดูไหน ๆ แต่ทว่าที่จะลาออกไปจริง ๆ นั้นมีเพียงไม่กี่

 

คนเท่านั้น และแล้วเขาก็มองผ่านร่างของเด็กหญิงไปเมื่อเห็นสตัมพี่เดินออกมาจากคอกที่จัดไว้สำหรับให้แม่วัวตกลูก เสียงฝีเท้ากระแทกอยู่กับพื้นดินแข็ง ๆ ดังก้อง

“นั่นไงพ่อมาแล้ว” เจสสีเบือนหน้าไปมองบิดา

สตัมพี่ นีลส์เป็นคนรูปร่างล่ำสันค่อนข้างเตี้ย จะต้องเสริมส้นรองเท้าอีกประมาณ ๒ นิ้วจึงจะถึงระดับมาตรฐานคือ ๕ ฟุต ๗ นิ้วได้ แต่ส่วนสูงที่ขาดไปนั้นเขาเติมมันลงด้วยพละกำลังแห่งความอดทนและความสามารถในงาน เป็นคนที่พร้อมจะหัวเราะแต่ขณะเดียวกันก็เอาจริงเอาจังกับงานและภาระความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกันกับเชส  สตัมพี่เกิดและเติบโตขึ้นมาในไร่แห่งนี้ ปู่ของเขาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มากับปู่ของเชส และเป็นประหนึ่งธรรมเนียมที่เลือดเนื้อเชื้อไขจะต้องทำงานอยู่เคียงข้างกันต่อ ๆ มา มีอยู่หลายครอบครัวในไร่แห่งนี้ที่ไม่เคยรู้จักบ้านแห่งอื่นของตน ไม่เคยมีใครลาออกแม้จะแก่เฒ่าลง เพียงแต่ได้งานเบาลงทำเท่านั้น

ในวัยเพียงแค่ ๑๐ ขวบ เจสสีก็สูงเทียบเท่าไหล่พ่อแล้ว แต่ทว่าพ่อลูกคู่นี้แทบจะไม่มีอะไรคล้ายคลึงบอกให้รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันเลยแม่หนูเป็นคนแขนขายาวค่อนข้างแบบบาง ขณะที่พ่อของเธอร่างเตี้ย เรือนผมของสตัมพี่เป็นสีเข้มเกือบดำเช่นเดียวกับสีตา พละกำลังดูจะเขม็งเกลียวอยู่ในทุกสัดส่วนของกล้ามเนื้อบนเรือนกายและพร้อมที่จะแสดงให้ปรากฏ ขณะที่แม่หนูออกจะเคร่งขรึมกว่ามาก

หลังจากแลกเปลี่ยนคำทักทายกันแล้ว สตัมพี่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“เรากำลังต้องการคนช่วยอยู่พอดี ไม่มีเวลาไหนที่จะเหมาะสำหรับเด็กหนุ่ม ๆ ที่จะออกมาใช้เวลาในฤดูใบไม้ผลิให้เป็นประโยชน์กว่านี้อีกแล้ว”

“ลูกชายของโคบาลทุกคนในไร่ทริพพึล ซี.จะต้องออกมาฝึกงานในคอกวัวตอนฤดูนี้กันทั้งนั้น” เชสเสริมขึ้น “เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ไทจะได้รับการยกเว้น แกก็บอกเขาเพียงว่าจะให้เขาไปไหนให้ทำอะไรเท่านั้นก็พอ”

สตัมพี่หันมามองไท

“ตอนนี้เอาสัมภาระนั่นไปไว้ที่เรือนพักคนงาน แล้วก็พักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ในคอกวัวน่ะ เราแบ่งเวรกันทำเป็น ๒ กะ เริ่มอยู่เวรกลางคืนก็แล้วกัน เวรกลางคืนเข้าตั้งแต่ ๕โมงเย็นจนถึง ๖ โมงเช้า”

นี่คือการประเมินอีกแล้ว...ไทคิดอยู่ในใจ แต่เขาก็เก็บงำความคุมแค้น

 

 

 

ไว้เพียงลำพัง ถ้ามีงานต่ำช้าซึ่งต้องทำในชั่วโมงที่น่าเบื่อหน่ายแล้วละก็ เขาเป็นต้องได้รับ พ่อก็เคยเตือนเขาแล้วว่าเหตุการณ์มันจะต้องดำเนินไปเช่นนี้ จนกว่าเขาจะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ แต่ไทไม่เคยฝันไกลไปถึงว่าการทดสอบความสามารถจะยุติลงโดยรวดเร็วนัก และเขาถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะต้องทนทำไปโดยจะอุทธรณ์ใด ๆไม่ได้ทั้งสิ้น แต่ความคุมแค้นดูจะเพิ่มทวีขึ้นในใจ รวมทั้งแรงกดดันจากภายนอกยิ่งจะทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดในโลกนี้ ไทต้องการทำให้พ่อภาคภูมิใจในตัวเขา แต่วันนั้นช่างอยู่ไกลเสียเหลือเกิน

“หนูจะพาเขาไปที่เรือนพักคนงานเองนะพ่อ” เจสสีอาสา “แล้วจะบอกเขาด้วยว่าอะไรอยู่ตรงไหน”

“เอาเลยลูก” สตัมพี่ยิ้มให้ลูกสาวพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

“เครื่องเคราของคุณอยู่ที่ไหนล่ะ?” เจสสีหันไปหาไทแล้วมองเขาด้วยสายตาของคนที่เท่าเทียมกัน แม้กระนั้นก็ยังมีแววบางอย่างที่มิได้ฉายชัดออกมา เจสสีชอบใบหน้าที่บอกถึงความเข้มแข็ง และเรือนกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเด็กหนุ่ม แม้เขาจะคิดว่าการเหวี่ยงบ่วงบาศจะเหมือนกับการที่ขี่รถจักรยานยนต์อยู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าอาย เพราะเขาคือคอลเดอร์คนหนึ่ง

“อยู่ท้ายรถ” ความหนาวเย็นของอากาศกระมังทำให้ไทต้องพูดออกมาทางไรฟัน...เจสสีคิด...มิได้นึกไปถึงว่าความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจนทำให้กรามของเด็กหนุ่มขบกันเป็นสัน “ฉันจะไปเอามา”

หลังจากที่ไทดึงถุงทะเลกับถุงนอนออกมาจากที่เก็บของท้ายรถปิกอัพแล้ว เจสสีก็ออกเดินนำไปทางเรือนพักคนงานที่สร้างด้วยปีกไม้ พลางหันมามอง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาเดินตามมา

“พ่อจะกลับมารับแกบ่ายวันอาทิตย์นะไท” เชสร้องบอกตามหลังลูกชาย และได้เห็นเขาผงกศีรษะรับรู้ มองตามร่างลูกชายกับเจสสีที่เดินไปทางเรือนพักคนงาน แต่เอ่ยปากพูดกับสตัมพี่ “คนส่วนมากมักจะคิดกันว่าเจ้าของไร่ปศุสัตว์น่าจะปล่อยให้แม่วัวตกลูกเองตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นจะต้องจัดที่ทางให้มันอย่างเหมาะสม คอยระแวดระวังให้พ้นจากไอ้พวกที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร หรือคอยปลอบโยนให้พ้นจากความรู้สึกสับสนเวลาที่มันตกลูก”

นั่นคือคำกล่าวทางอ้อมแทนที่จะพูดตรง ๆ ว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของไท จนกระทั่งเชสได้อธิบายให้ฟังว่าจริง ๆ แล้วมันแตกต่างกว่านั้นมาก นั่น

 

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยปีมาแล้วไม่ใช่ในเวลานี้แน่

“ไอ้แม่วัวกับลูกของมันน่ะอ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะฝากไว้ในมือของธรรมชาติได้ ๘ ใน ๑๐ ครั้งน่ะ แม่วัวมันไม่ก่อปัญหาเท่าไหร่นักหรอก แต่ไอ้ ๒ ครั้งที่เหลือนั่นสิที่ตัวสัตว์สองขาจะต้องเข้าช่วยมันอีกแรงหนึ่ง” สตัมพี่พูด และแล้ว ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ลมหายใจของเขาลอยขึ้นเป็นควันสีขาว “ห่า...ไอ้พวกคนในเมืองน่ะมันคิดว่าเจ้าของไร่หรือพวกโคบาลทำอะไรง่าย ๆ ปล่อยให้แม่วัวกับพ่อวัวผสมพันธุ์กัน แล้วก็ปล่อยให้มันออกลูกเอง จากนั้นก็ต้อนไอ้ลูกวัวมาประทับตราในฤดูใบไม้ผลิ พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ต้อนไปขายในตลาด มันไม่รู้เรื่องที่ว่าจะต้องตอนจะต้องตัดเขาออก จะต้องคอยฉีดยาป้องกันโรค ต้องให้การรักษาพยาบาล ต้องให้อาหาร คอยดูแล ยังไม่พูดถึงอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นนะ”

“นั่นสิ เรามันใช้ชีวิตกันง่ายมาก สตัมพี่ ก็เลยไม่รู้สึกกัน” มุมปากของ เชสเหยียดออกเป็นแนวตรง ยังคงจับตาอยู่ที่ร่างของลูกชายกับเด็กสาวที่เดินใกล้เรือนพักคนงานเข้าไปทุกที “แกนี่มีลูกเก่งจริง ๆ รู้สึกหน้าตาจะเหมือนแม่ นะแกว่าไหม?”

มันไม่เชิงจะเป็นคำถามเสียทีเดียว ทั้งนี้เพราะเชสรู้จักจูดี้ นีลส์มานานพอ ๆ กับสตัมพี่ เธอเป็นคนร่าเริงมีอัธยาศัยไมตรี เรือนผมสีทรายร่างสูงกว่าสามี ๒ - ๓ นิ้ว และเป็นคนแคล่วคล่องกระฉับกระเฉง

“แกต้องเห็นมันเวลาอยู่ในคอกตอนวัวตกลูก มันสามารถเอาลูกวัวออกจากท้องแม่ ขณะที่อากาศต่ำกว่าศูนย์ด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของสตัมพี่บอกความภาคภูมิใจ “ไอ้ลูกชาย ๒ คน เบนกับไมค์น่ะใช้เวลาอยู่บนหลังม้ามากกว่าจะช่วย เพราะว่ามันยังเล็กอยู่ แต่เจสสีน่ะ มันเข้าไปอยู่ในนั้นเลยโดยไม่ต้องเรียก ตราบใดที่มันอยากทำผมก็ไม่ห้ามมันหรอก น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นละก้อมันจะต้องเป็นมือดีคนหนึ่งทีเดียว”

“เจสสีมันจะยังเป็นทอมบอยไปอย่างนี้แหละจนกว่าจะรู้จักว่าผู้ชายจริง ๆ เป็นยังไง” เชสพูดปนหัวเราะ

“นั่นสิ” สตัมพี่คล้อยตาม ท่าทางของเขาออกจะไม่แน่ใจถึงวันข้างหน้าที่จะมาถึง “ผมก็รู้ว่าแม่มันน่ะอยากจะให้ช่วยทำงานอยู่ในบ้านมากกว่า เออ...พูดถึงเรื่องแม่...” เขาหยุดเว้นระยะเงยหน้าขึ้นมองเชสอย่างใคร่รู้ “แม็กกี้ ล่ะเป็นไงบ้าง?”

 

“เห็นหมอบอกว่าสุขภาพดีนี่ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” แววในดวงตาคู่สี น้ำตาลเป็นประกายขึ้นทันทีด้วยพลังแห่งความภาคภูมิใจ

“จวนจะใกล้เวลาคลอดแล้วใช่ไหมนี่?” สตัมพี่ถาม ขมวดคิ้วบาง ๆ เหมือนจะเรียกความทรงจำ

“ก็ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม” ยังเหลือเวลาอีก ๒ เดือนกว่าเด็กจะเกิด แต่ลึกลงไปในใจ เชสมิได้รู้สึกสงบเยือกเย็นเหมือนท่าทางที่แสดงออก “ตอนนี้ท่านวุฒิสมาชิกกับพรรคพวกอีก ๒ - ๓ คนกำลังจะมาถึง ฉันจะต้องไปรับ เห็นจะต้องกลับเดอะ โฮมสเตดเสียทีก่อนล่ะ”

ขณะที่ไทเดินตามสาวน้อยข้ามธรณีประตูเข้าไปในเรือนพักคนงาน เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ารถคันนั้นกำลังกลับอยู่และวิ่งออกไปตามถนนสายโดดเดี่ยวอันเป็นทางเข้าแคมป์ และเขาก็รู้ว่าบัดนี้ตนจะต้องอยู่ตามลำพังอีกแล้ว ความตึงเครียดกระจายไปทั่วทุกปลายประสาทขณะที่เขาปิดประตูและกวาดสายตามองเข้าไปในห้อง

เขากำลังยืนอยู่ในห้องเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง มีโต๊ะเก้าอี้ชุดตั้งอยู่ตรงมุมพร้อมด้วยโซฟากับเก้าอี้นวมอีก ๒ ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีร่องรอยขีดข่วน ด้วยความอยู่ไม่สุขของพวกโคบาล ตรงกลางห้องคือเครื่องทำความร้อนระบบแยกส่วน ซึ่งด้านข้างของตัวถังเกือบจะเป็นสีแดงด้วยละไอความร้อนที่เปิดไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสู้กับความหนาวเย็นจากภายนอกที่ลอดเข้ามาในตัวเรือนพัก ที่ตั้งอยู่ติดกับผนังด้านหลังคือเก้าอี้พัง ๆ ตัวหนึ่งที่หักท่อนไม้ใส่ในเตาผิงไปแล้ว บนฝาผนังคือภาพการ์ตูนบ้าง ดาราหนังตะวันตกบ้าง และภาพเปลือยของผู้หญิงซึ่งติดอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ด้วยฝีมือของพวกโคบาลอีกเช่นกัน

“ห้องน้ำอยู่ตรงประตูนั่นแน่ะ” เจสสีชี้ไปทางด้านขวาก่อนที่จะเดินเข้าไป อังมือตรงเครื่องทำความร้อน “เตียงนอนอยู่ตรงนั้น” สาวน้อยผงกศีรษะที่สวมหมวกไปในทิศทางตรงข้าม

“คุณเลือกเตียงว่างอันไหนก็ได้”

ไทยกถุงสัมภาระสูงขึ้นเพื่อเปลี่ยนมือที่ถือไว้ เดินตรงไปยังประตูที่เปิดอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนที่จัดเป็นที่นอนในเรือนพักคนงานแห่งนี้ถูกกั้นด้วยผนังบาง ๆ เป็นห้องเล็ก ๆ ประกอบด้วยเตียงเหล็กธรรมดา ๆ ซึ่งมีถุงนอนที่ใช้เป็นทั้งที่นอนและผ้าห่มของพวกโคบาลเท่านั้น และใกล้กับเครื่องทำความร้อนถูกจับจองหมดแล้ว บางเตียงก็ปูที่นอนไว้และบางเตียงก็มีผ้าคลุมบอกให้รู้ว่ามี

เจ้าของ ไทจึงเดินเข้าไปยังเตียงแรกที่เห็นว่าว่าง โยนถุงสัมภาระกับถุงนอน ลงบนแผงลวดที่เป็นพื้นเตียง มีตะขอสำหรับแขวนเสื้อคลุมกับหมวกตรึงติดอยู่กับฝาผนัง ๒ - ๓ อัน

“ได้ที่นอนแล้วใช่ไหม?” เสียงของเจสสีที่ถามขึ้นทำให้เขาต้องหันไปมอง

“ได้แล้ว” เขาเอี้ยวตัวกลับ ถอดเสื้อแจ็กเกตตัวหนาที่สวมอยู่ออก กางเกง ชั้นในกับเสื้อขนสัตว์ที่สวมอยู่ดูจะเพียงพอสำหรับความอบอุ่นในเรือนพักแห่งนี้

เสียงฝีเท้าของเจสสีเดินมาหยุดอยู่ตรงประตู

“ถ้าคุณยังไม่อยากนอนตอนนี้มีกาแฟอยู่ในกาบนเตาแน่ะ”

“ไม่ล่ะ ขอบใจ” ไทยังคงสวมหมวกอยู่แต่ถอดเสื้อออกแขวนไว้ก่อนจะหันกลับไปจัดการแก้ถุงนอนออกกางบนเตียง

จากปลายหางตาเขามองเห็นสาวน้อยยืนพิงอยู่กับกรอบประตู เสื้อคลุม ของเจสสีมิได้กลัดกระดุมไว้ และผ้าพันคอก็รุ่มร่ามอยู่รอบคอ ไทอยากจะให้แม่สาวน้อยคนนี้เลิกมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะประเมินในคุณค่าเสียที เพราะมันทำให้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาสังเกตเห็นว่าในมือเจ้าหล่อนมีถ้วยกาแฟถือไว้และกำลังยกขึ้นจดปากที่ค่อนข้างกว้าง เป่าให้มันคลายความร้อนลงก่อนที่จะดื่มกาแฟดำขม ๆ แก่ ๆนั้นเข้าไป ท้องของไทยังไม่เคยชินกับกาแฟชนิดนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นกาแฟรสแรงที่ทุกคนในไร่ดื่มกันเป็นประจำ ซึ่งถ้าเขาจะดื่มก็จะต้องเติมนมเสียก่อน

“เธอไม่ควรกินกาแฟแก่ ๆ อย่างนี้นะ” เขาพูดพลางดึงเชือกที่มัดอยู่รอบถุงนอน คลี่มันออกซึ่งภายในมีทั้งผ้าปูและผ้าคลุมพร้อมด้วยผ้าใบที่รองอยู่ข้างในด้านใต้ “เพราะมันทำให้ตัวเตี้ยแคระรู้ไหม”

“ฉันกินกาแฟอย่างนี้มาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบด้วยซ้ำ” ความขบขันแฝงอยู่ ในน้ำเสียงของสาวน้อย “แล้วก็ไม่อยากคิดด้วยว่าตัวเองจะต้องสูงกว่านี้อีกสักแค่ไหนถ้าไม่กินไอ้กาแฟนี่” เจสสีหยุดเว้นระยะ และแล้วก็พูดต่ออย่างใช้ความคิดแล้ว “แล้วมันก็ไม่ทำให้ฉันผมหยิกหรือมีขนขึ้นตรงหน้าอกด้วย”

หลังจากที่เขาปูที่นอนเสร็จสรรพแล้ว ไทก็ใช้ถุงทะเลซึ่งภายในบรรจุเสื้อผ้ากับเครื่องใช้ในการโกนหนวดต่างหมอน เมื่อเด็กหญิงมิได้แสดงทีท่าว่า จะออกจากห้อง เขาก็ทิ้งร่างลงเตียง เหยียดกายเต็มที่พร้อมกับดึงหมวกลงมาปิดใบหน้าไว้

“ฉันจะพักสักครู่” ไทพูดตรง ๆ เพราะบางทีเจสสีอาจจะไม่เข้าใจใน

 

 

ท่าทีของเขา

“งั้นคืนนี้พบกันนะ” เจสสี นีลส์ตอบ มิได้คิดว่าการแสดงออกของเขา เป็นการหยาบคาบอะไร และแล้วเจ้าหล่อนก็ยืดร่างขึ้นจากกรอบประตู เดินออกไปยังห้องโถงภายนอก

เมื่อเสียงฝีเท้าของเธอจางลง ไทก็ดึงหมวกกลับขึ้นไว้ที่เก่า ยกแขนขึ้นรองรับอยู่ใต้ศีรษะ จับตามองเพดานห้อง แววในดวงตาของเขาเปล่งความเจ็บช้ำอยู่ไม่น้อย ไทไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไม่มีใครเลยที่เขาจะระบายความขุ่นข้องหมองใจให้ฟังได้ และเขาก็โตเกินกว่าที่จะร้องไห้หาแม่แล้วด้วย และเนื่องจากพ่อได้มอบความเชื่อไว้ว่าเขาจะต้องทำในสิ่งนี้ได้ ไทจึงไม่สามารถจะวิ่งไปเล่าปัญหาให้พ่อฟังได้อีกเช่นกัน มันมีอะไรมากมายหลายอย่างที่เขาจะต้องเรียนรู้ต่อไปอีก ทั้ง ๆ ที่คิดว่าพอจะมีความรู้เบื้องต้นในสิ่งหนึ่งแล้ว ก็จะต้องมีอะไรถูกโยนมาให้อีก และมันมักจะเป็นงานหนักที่สร้างแต่ความกังวล ได้รับการแนะนำอย่างผิด ๆ ถูก ๆ จนไทมีความรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางอยู่ ในความมืดเพียงลำพังคนเดียวอยู่ตลอดเวลา

เมื่อกลับมาถึงเดอะ โฮมสเตด อันเป็นชื่อของคฤหาสน์ที่ผนวกเอาที่ทำการของไร่ทริพพึล ซี.เข้าไว้ด้วยโดยใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง เครื่องบินส่วนตัว ๒ เครื่องยนต์ลำเพรียวที่จอดอยู่ในลานบินใกล้ตัวตึกซีกที่เป็นส่วนทำการของไร่ ทำให้เชสรู้ได้ทันทีว่าวุฒิสมาชิกบูลฟาร์ตได้มาถึงแล้ว

เขาจอดรถปิกอัพลงตรงหน้าตัวตึกสองชั้น เดินขึ้นบันไดระเบียงที่ทอดตัวไปตามความยาวหน้าบ้าน เดินตรงไปยังประตูไม้บานคู่ บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นเวลานานนับสิบปีมาแล้ว ด้วยช่างฝีมือและการระวังรักษาของผู้ที่อาศัย ซึ่งทำให้มันทรงความสง่างามมาตลอด แม้อีก ๒๐๐ ปีข้างหน้ามันก็จะยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นนี้ และถ้าเชสทำได้สำเร็จจะมีแต่บุคคลในตระกูลคอลเดอร์เท่านั้นที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องโถงกว้าง เชสก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากห้อง ทำงานที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ดั๊ก ทรัมโบ้ โคบาลคนหนึ่งของไร่กำลังหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดที่ทอดเชื่อมจากห้องนั่งเล่นขึ้นสู่ชั้นบนของตัวบ้าน ซึ่งจัดเป็นห้องรับรองสำหรับแขกที่มาพัก

เชสจึงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนั้น ซึ่งรู้ว่าแขกของเขาทุกคนจะรวมกันอยู่

 

ก่อนที่จะก้าวเข้าไปภายใน เขาก็กวาดสายตามองหาแม็กกี้ก่อน เธอกำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้หน้าต่าง เรือนผมสีดำขลับต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย แขนข้างหน้าทาบทับอยู่บนหน้าท้อง การที่ได้เห็นเธอเร้าความรู้สึกหวงแหนในตัวเขาได้ทุกครั้ง และเป็นสำนึกที่บอกถึงความอ่อนโยนในจิตใจอย่างยิ่ง

แม็กกี้ส่งยิ้มมาให้เป็นการทักทาย ขณะที่เชสเดินเข้าไปหาเธอตรงเก้าอี้ ดึงถุงมือออกพลางและใส่มันลงไปกระเป๋าเสื้อคลุม แม้ความสนใจของเขาจะ ถูกแบ่งไปยังแขกที่รวมตัวกันอยู่ในห้อง แต่เขาก็ยังเอื้อมไปเกาะกุมมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ในอุ้งมือใหญ่ของเขา

“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่อยู่เสียตอนที่พวกคุณมาถึง” เชสกล่าวคำขออภัยแก่อาคันตุกะทั้ง ๔ วุฒิสมาชิกผู้มีใบหน้าแดงก่ำอยู่เสมอกับผู้ช่วยที่ชื่อ เวส โกเวิร์นนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดีอยู่แล้ว

“ไม่มีปัญหาหรอก เพราะเรามาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ต้องเรียกว่าลมมันดี” วุฒิสมาชิกผู้ออกจะเป็นคนพูดเร็วเอ่ยขึ้น วัยที่ล่วงไปเริ่มประทับริ้วรอยขึ้นบนสองข้างแก้มที่อ้วนฉุ ดวงตาจมลึกลงไปในเบ้า “เราเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง เวสยังไม่ทันจะรินเหล้าแจกได้ทั่วด้วยซ้ำ” และแล้วเขาก็หันไปทางบุรุษผู้เอ่ยถึงซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขา “เชสเขาเอาวิสกี้นะ เวส”

“ผมจำได้ครับ” เวสพยักหน้ารับ หยิบแก้วอีกใบหนึ่งใส่ลงในถาดเครื่องดื่ม

“กิจการเป็นไงบ้างล่ะ?...ก็คงจะดีสินะ ผมว่า” วุฒิสมาชิกเอ่ยขึ้นอีก และโดยไม่เปิดโอกาสให้เชสทันตอบที่เขากล่าวต่อว่า “เห็นจะไม่ต้องช่วยเรื่องการซื้อที่ดินอีกแล้วไม่ใช่หรือ?” เขาหลิ่วตาให้เชสเหมือนเคยคบคิดกระทำความผิดมาด้วยกัน

“ไม่มีแล้วครับ” แววในดวงตาของเชสไร้ความรู้สึกเมื่อมีการเอ่ยถึงที่ดินจำนวนหมื่นไร่ที่เขาขอซื้อจากทางรัฐบาลโดยให้วุฒิสมาชิกช่วยเป็นคนจัดการให้เมื่อไม่กี่ปีก่อน มันเป็นที่ดินจำนวนสุดท้ายที่ตกอยู่ในครอบครองของตระกูลคอลเดอร์และบัดนี้เขาคือเจ้าของที่ดินทั้งหมดซึ่งเป็นอาณาเขตของไร่ ทริพพึล ซี.แห่งนี้

“เชส ฉันอยากแนะนำให้ได้รู้จักกับ เอ็ดดี้ โจ ไดสันหน่อยนะ” บุรุษผู้เป็นนักการเมืองยกแขนขึ้นโอบไหล่ผู้ที่เขาเอ่ยชื่อขึ้น ซึ่งกิริยาที่สำแดงให้ปรากฏด้วยภาษาทางร่างกายเหมือนจะบอกให้เชสรู้ถึงความใกล้ชิดสนิทสนม

 

 

 

ที่มีต่อกันอยู่ “ฉันน่ะอยากจะให้คุณทั้งสองคนได้รู้จักกันมานานแล้ว อี.เจ. รู้จัก เชส คอลเดอร์เสียสิ”

เชสก้าวออกจากข้างตัวแม็กกี้เพื่อสัมผัสมือกับบุรุษผู้สูงวัยกว่า ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าราคาแพง เป็นสูทสีน้ำเงินเข้มลายทางแบบตะวันตกมีสายโยงกางเกงด้านหน้า เชสเดาเอาว่าคนที่เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักนี้น่าจะอยู่ในวัย ๔o เศษ ฝ่ามือนุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิง ผิวพรรณก็มิได้เป็นสีคล้ำด้วยแดดลม แบบเจ้าของไร่ปศุสัตว์ มีแต่เพียงหมวกปีกกว้างสีขาวเท่านั้นที่สวมอยู่บนศีรษะ

“ขอต้อนรับสู่ไร่ทริพพึล ซี.ครับคุณไดสัน” การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบตะวันตกเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น แต่เชสมิได้คิดเลยไกลไปถึงสายตา ที่มองตอบเหมือนจะพิจารณาอยู่เงียบ ๆ ถ้าจะมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้น เขาก็กำหนดไว้ในใจเพียงว่ามันคือความฉลาดแหลมคมของคนคนนี้นั่นเอง

“ด้วยความยินดีครับ” ไดสันตอบมา “และพวกเพื่อน ๆ ก็ชอบจะเรียกผมว่า อี.เจ.มากกว่า ผมจะยินดีมากถ้าคุณกับภรรยาจะเรียกเช่นนั้นด้วย” และแล้วไดสันก็เบือนหน้าไปทางผู้ชายอีกคนหนึ่ง “นี่เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจของผม ชื่อยอร์จ สตริกลิน”

ผู้ชายคนที่สองนี้อยู่ในวัยอ่อนกว่าประมาณ ๑๐ ปี ร่างสูง ผมเป็นสีเหลือง สวมแว่นตากรอบทองซึ่งเขาถอดออกและหย่อนลงในกระเป๋าตรงอกเสื้อนอก นอกจากเรือนร่างที่เหมือนนักกรีฬาแล้ว สตริกลินมีท่าทางเป็นผู้ทรงความรู้ และค่อนข้างเงียบ นิ้วมือเรียวยาวสมส่วน เขามิได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่ผงกศีรษะให้เมื่อจับมือกับเชส

เสียงไดสันเอ่ยขึ้นอีก คราวนี้เขาหันไปทางแม็กกี้ ผงกศีรษะเบา ๆ อย่างสุภาพ

“ผมต้องยอมรับนะครับว่าเคยคิดว่าผู้หญิงเท็กซัสของเรานี้อยู่ห่างไกลจากคำว่าสวยมาก แต่แล้วก็จำต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อมาพบภรรยาแสนสวยของคุณเข้า”

“ผมเชื่อว่าตัวเองก็ลำเอียงไปในเรื่องนี้มาก” เชสพูดเสียงเบา หันไปสบตาคู่สีเขียวเป็นประกายพราวของแม็กกี้ บัดนี้เมื่ออาการแพ้ท้องอาเจียนในตอนเช้าหายไป ใบหน้าของเธอเพิ่มความสดสวยขึ้นอย่างมาก เชสเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าผู้หญิงจะมีความสวยเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ในระยะตั้งครรภ์ แต่เขาก็มิได้เชื่อตามไปด้วย แต่ขณะนี้เขาออกจะเต็มใจเชื่อในคำพูดนั่นเสียแล้ว เพราะ

 

 

 

เป็นการมองด้วยสายตาของคนที่เป็นเจ้าของ และแม็กกี้ไม่เคยสวยเด่นสะดุดตาสำหรับเขาเช่นในเวลานี้เลย

“คุณมาจากเท็กซัสหรือคะ?” แม็กกี้เอ่ยถามขึ้น ชักนำการสนทนาที่เยินยออยู่ให้ห่างจากตัวอย่างชาญฉลาด ถึงแม้เธอจะรู้สึกปิติสักเพียงไร แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ว่าจะต้องหยั่งในความคิดและออกจะกริ่งเกรงภัยแอบแฝงอยู่ในคำชมนั้น

“ครับ” น้ำเสียงที่ลากช้าๆ นั้นนุ่มนวลแฝงเสน่ห์ยิ่งนัก ถ้าจะเปรียบก็ เหมือนกับแผ่นหนังที่อาบน้ำมันไว้ “และเขาคู่ติดอยู่เหนือชั้นเตาผิงนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปถึงบ้านอีกครั้งด้วย” ไดสันตอบ เขาหมายถึงเขาวัวลองฮอร์นที่อยู่บนชั้นเหนือเตาผิงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง

“เขานั้นเป็นเขาวัวจากเท็กซัส ผมคิดว่าคุณอาจจะใช้คำพูดว่าไร่ปศุสัตว์ของเราตั้งขึ้นมาด้วยวัวลองฮอร์นจากเท็กซัสก็ยังได้นะครับ” เชสยอมรับตามความเป็นจริงขณะที่เอื้อมไปรับแก้ววิสกี้น้ำแข็งจากผู้ช่วยของวุฒิสมาชิก

“ผมยังจำได้ว่าพ่อคุณเคยเล่าให้ผมฟังว่าครอบครัวของคุณน่ะโยกย้ายมาจาก ฟอร์ต เวิร์ธ” วุฒิสมาชิกดึงซิการ์มวนโตออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับหันไปมองแม็กกี้ราวจะถามและเธอก็พยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงอนุญาต “นั่นละบ้านของอี.เจ.เขา” เขาคลำหาไลท์เตอร์จากกระเป๋า แด่ผู้ช่วยชิงจุดให้เสียก่อน

ความสัมพันธ์ระหว่างไดสันกับหุ้นส่วนของเขามักจะทำให้วุฒิสมาชิก บูลฟาร์ตมีความรู้สึกว่ามันออกจะผิดปกติเสมอ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับการอธิบายว่าสตริกลินนั้นเปรียบประดุจมันสมองของบริษัท และไดสันคือกระเพาะของมัน ทุกบทบาททุกความเคลื่อนไหวที่เงียบเชียบ ดูเหมือนสตริกลินจะสามารถกะสถานการณ์ได้ล่วงหน้าราวกับสมองเป็นคอมพิวเตอร์ การตัดสินใจของบุคคลผู้นี้กอปรด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ไดสันนั้นทุกการกระทำของเขาเกิดจากสัญชาตญาณแห่งการเป็นนักพนันขันต่อ จึงต้องนับว่าเป็นหุ้นส่วนคู่ที่ออกจะแปลก ต่างฝ่ายต่างถ่วงดุลซึ่งกันและกันไว้ โดยมีไดสันเป็นสมาชิกที่มีอำนาจเหนือกว่า

“ผมมีความสนใจในงานด้านธุรกิจอยู่หลายเรื่อง” ไดสันเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับขณะที่มองมาทางเชสเหมือนจะบอกว่าเขาคือก้าวต่อไปของตน

“ถ้าคุณคิดจะลองเข้ามาเสี่ยงในธุรกิจการทำไร่ปศุสัตว์ละก็ มันหมาย

 

ถึงการที่จะต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาล แล้วก็ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมา ในรูปไหนด้วยนะครับ” เชสเตือนด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง

สายตาของวุฒิสมาชิกกับบุรุษจากเท็กซัสลอบสบกันแวบหนึ่ง

“ผมคิดว่าคุณอาจจะเรียกว่าผมสนใจในสิ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินมากกว่า สิ่งที่อยู่บนดินก็ได้นะครับ เพราะเหตุนี้แหละครับที่ผมถึงได้ขอร้องท่านวุฒิสมาชิกให้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับคุณ ผมกำลังลองเล่นในเรื่องน้ำมันกับแก๊สธรรมชาติอยู่น่ะครับ”

คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่เชสซึมซับคำประโยคนั้นเข้าไปในความคิด และใช้เวลาอยู่กับการวางแก้วในมือลงบนโต๊ะข้างเก้าอี้ตัวที่แม็กกี้นั่ง เสียงเปลวไฟปะทุขึ้นในเตาผิงสอดแทรกอยู่ในความเงียบ

“ผมคิดว่าคุณเลือกสถานที่ในมอนตาน่าผิดไปแล้วล่ะครับ” เชสพูดขึ้นในที่สุด “ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจแบบนั้นน่าจะเลยไปแบดแลนด์หรือไม่ก็ในพาวเดอร์ ริเวอร์ เคาท์ตี้มากกว่า”

“บริษัทขุดเจาะน้ำมันไปทำงานอยู่ในแถบนั้นแล้วล่ะครับ แล้วก็มีอยู่ด้วยกันหลายบริษัทด้วย” อี.เจ.ไม่ยอมคล้อยตาม “เอ้อ...ไม่ใช่ว่าผมจะแสร้งทำตนเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรหรอกนะ แต่ผมก็พยายามจ้างเขาอยู่เหมือนกัน แล้วก็อยากจะเอาเงินลงเสี่ยงในที่ใหม่ ๆ ไม่ใช่ที่เก่าซึ่งจะต้องไปต่อสู้กับพวกบริษัทใหญ่ ๆ นั่น”

“ถ้าจะให้ผมลองเดาดูว่าการที่คุณมาที่นี่ก็เพราะคิดว่ามีน้ำมันอยู่ในที่ดิน ของทริพพึล ซี.อย่างนั้นใช่ไหมครับ?” เชสออกจะงุนงงกับความคิดของ ไดสัน

“ถ้าคุณพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพาวเดอร์ ริเวอร์ กับแบดแลนด์ คุณก็คงจะต้องรู้ว่าเขาได้พบน้ำมันแล้วใกล้ ๆ กับเทือกเขาร็อกกี้ ซึ่งอยู่ใกล้อาณาเขตทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินคุณ” ไดสันพูดด้วยน้ำเสียงสงบอย่างผู้รู้ “ผมควรจะชวนนักธรณีวิทยาที่ทำงานอยู่กับผมมาด้วย ให้เขาอธิบายให้คุณฟังถึงเรื่องชั้นของหินและความเป็นไปได้ในที่ดินของคุณ มันอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับคุณเท่ากับที่มันมีต่อผม และผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่สตริกลินเขาได้ลองกะคำนวณดูโดยรอบแล้ว และก็บอกว่ามันมีโอกาสดีอย่างยิ่งที่จะพบน้ำมัน เพราะฉะนั้นผมถึงได้มาที่นี่เพื่อจะลองปรึกษาดูว่าจะพอพูดเรื่องกรรมสิทธิ์ได้บ้างหรือไม่”

 

 

 

 

ไม่มีอาการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสีหน้าของเชสที่บอกถึงความรู้สึกภายในของเขาในยามนี้ได้เลย เขาเหลือบตามองแม็กกี้และยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ เมื่อเขาเงยขึ้นสบตาไดสันอีกครั้ง แววในดวงตาของเขาเหมือนจะหยั่งลึกลงไปในความคิด

“ครับ เรื่องนี้เราน่าจะปรึกษาหารือกันได้” เขาเอ่ยขึ้น แต่นั่นมิได้หมายถึงว่าเขาจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (78 รายการ)

www.batorastore.com © 2025