แม้นรกมากั้น (โบตั๋น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742984328
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 200.00 บาท 50.00 บาท
ประหยัด: 150.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ผมเกิดมาเป็นลูกคนโตในครอบครัวฐานะค่อนข้างดี พ่อของผมหรือที่ผมเรียกว่าป่าป๊าเป็นเจ้าของร้านประดับยนต์ขนาดกลาง นอกจากขายพวกประดับยนต์แล้วก็ยังรับซ่อมรถ ตั้งถ่วงล้อ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ฯลฯ ร้านของเราไม่ใหญ่โตอะไรนัก เนื้อที่สักประมาณตึกแถวสี่ห้องแต่สองห้องกลางโล่ง เป็นที่คนงานใช้ทำงานยกรถรับรถ ซ่อมเครื่องและอื่น ๆ

ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวของเราพักอยู่ชั้นบนของร้านนั่นแหละ แต่เมื่อแม่ท้องน้องคนถัดไป พ่อคิดว่าบ้านตึกแถวริมถนนในเมืองแบบนี้ไม่เหมาะกับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ๆ เพราะไม่มีที่ทางให้ลูกวิ่งเล่น มีแต่เครื่องรถ ควันเหม็น ๆ น้ำมันเครื่องดำ ๆ สกปรก และคนงานหยาบกร้านเจ็ดแปดคน พ่อจึงซื้อบ้าน

 

 

จัดสรรชั้นดีหลังหนึ่งในซอยถัดไป ห่างจากร้านชั่วขับรถสักสิบห้านาทีเท่านั้น

ตอนนั้นผมอายุห้าขวบกว่า เข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว โรงเรียนอนุบาลอยู่ระหว่างร้านกับปากซอยบ้าน นับว่าสะดวกสบายมาก บางวันแม่อยู่บ้าน บางวันก็ไปช่วยพ่อดูแลร้าน แม่ไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกแต่แม่รู้ราคาของพวกแต่งรถดี ความจำดี และขายของเก่ง รถของบ้านเราเป็นรถชั้นดีราคาแพง มีเครื่องเสียงชนิดเลิศ บ้านกว้างขวางเนื้อที่เกือบสองร้อยตารางวา เพราะพ่อซื้อที่ว่างติดกันอีกแปลงหนึ่งทำเป็นสวนและสนามให้ลูกวิ่งเล่น นอกจากสวนและสนามในบ้านแล้วทางหมู่บ้านยังมีสโมสรสำหรับสมาชิก มีสระว่ายน้ำ สนามเทนนิสพร้อมร้านค้าสะดวกซื้อเล็ก ๆ กับร้านอาหาร ร้านเสริมสวย สนามเด็กเล่นที่ปลอดภัยอีกด้วย

ผมไม่เคยรู้จักคำว่าขาดแคลน สำหรับครอบครัวเชื้อสายจีนแล้วการเป็นลูกชายคนโตเสมือนเป็นรัชทายาทองค์น้อยที่ทุกคนเอาใจ ยิ่งมีเงินทองพอสมควรผมก็ได้รับการบำรุงบำเรอเป็นอย่างดี ถึงจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูแบบคุณหนูในครอบครัวขุนนางข้าราชการ ใช้ชีวิดติดดินพอสมควร แต่ผมก็มีความสุขอย่างน่าอิจฉาทีเดียวละ ยกเว้นเรื่องเดียว

แม่อยากให้ผมเข้าเรียนโรงเรียนฝรั่งดี ๆ ตามความเห็นของแม่ แต่พ่อไม่เห็นด้วย

“ไปทำไม เรียนที่ไหนมันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอก ไม่ได้ให้เข้าโรงเรียนวัดสักหน่อย โรงเรียนเอกชนแถวนี้ก็ไม่ใช่

 

 

ว่าเลว ถึงจะไม่ใช่โรงเรียนฝรั่งก็เถอะ ใกล้บ้านลูกจะได้ไม่เหนื่อย ไม่เสียเวลาเดินทาง จบอนุบาลตรงนี้ก็แค่ข้ามถนนไปเรียนฝั่งตรงข้าม โรงเรียนเขามีชั้นประถมมัธยมเครือเดียวกัน ลูกมันจะได้รู้จักคนหลายระดับ มีตั้งแต่ลูกเจ้าของโรงงานไปจนลูกคนขับรถเมล์”

“คบไปทำไมลูกคนขับรถเมล์ ถ้าไปเรียนโรงเรียนดี ๆ ลูกก็จะได้รู้จักคบหาสมาคมคนดี ๆ ลูกคนมีฐานะ เท่ากับซื้อสังคมให้ลูก” แม่เถียง

“ซื้อทำไมสังคมแบบนั้น เดี๋ยวมันจะตีนไม่ติดดิน ทำงานรับช่วงพ่อแม่ไม่ได้ ไม่รู้โลก คนเรามันต้องรู้จักโลก อีกหน่อยจะได้เป็นที่พึ่งให้น้อง”

แม่เถียงสู้พ่อไม่ไหว ได้แต่งอน ไม่กล้าดื้อ และถึงจะดื้อก็คงไม่สำเร็จ แม่เป็นภรรยาเจ้าของร้านประดับยนต์แต่แม่ขับรถไม่ได้ น่าขันไหม ถ้าผมไปเรียนโรงเรียนที่แม่อยากให้เรียนแม่ก็ต้องไปรับส่งผมเอง แม่ไม่มีเวลาและไม่กล้าขับรถ ที่จะให้คนงานไปรับส่งผมน่ะพ่อไม่ยอมแน่

ผมก็เลยต้องเรียนโรงเรียนใกล้บ้านแห่งนั้นเรื่อยมา จบประถมก็เข้าโรงเรียนมัธยมของรัฐแถวนั้น ผมเรียนหนังสือเก่งพอตัวครับ สอบได้ที่หนึ่งที่สองเสมอ แต่คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยดี ดีพวกภาษา สังคม และวิชาอื่น ๆ ที่ไม่ต้องคิดเลขหรือใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากนัก

ผมมีน้องสองคน คนถัดจากผมไปเป็นชาย อ่อนกว่าผมเกือบหกปี ส่วนน้องสาวคนเล็กอ่อนกว่าผมถึงสิบห้าปี เป็น

 

ลูกหลงพ่อแม่นึกว่าคงจะไม่มีลูกอีกแล้วแต่แกก็หลงมาเกิดจนได้ พี่ ๆเลยเห่อน้องสาวคนเดียวมากแต่พ่อเฉยเมยเป็นที่สุด

พ่ออยากให้ผมรับช่วงดูแลร้านประดับยนต์และอู่ของพ่อ พ่อฝันอยากเห็นอู่ซ่อมรถของพ่อใหญ่ขึ้น ๆ พ่อทำงานหนักมาก วัน ๆไม่พูดไม่จา ส่วนแม่ตั้งแต่มีน้องคนเล็กแล้วก็ออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันไข้ ไม่รู้เป็นอะไร พ่อก็ไม่ค่อยสนใจ กระทั่งลูกสาวคนเล็กแสนน่าเอ็นดูพ่อก็ไม่เหลือบแลมอง

“คนจีนน่ะลูก รักแต่ลูกชาย ไม่ค่อยสนใจเด็กผู้หญิงหรอก” แม่ให้เหตุผลกับผม

แต่พ่อก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรน้องหรอกนะครับ เวลาน้องเข้าไปหา พ่อก็ทักทายแต่ไม่เล่นหัวด้วย ผิดกับผมและน้องชาย กับผมบางทีพ่อก็ชักสีหน้าเพราะผมดื้อ

“ป๊าอยากให้เรียนวิศวะ ก็ต้องเรียนสายวิทย์สิ คิดจะเข้าสายศิลป์ได้ยังไง ไม่งั้นจะดูแลร้านดูแลอู่ของเราได้ยังไง”

“ผมอ่อนวิทย์ ป่าป๊า” ผมสารภาพ

“พยายามหน่อยไม่ได้รึไง มันเกินความสามารถนักรึ”

“ผมพยายามแล้วแต่ก็ยังไม่ไหว”

พ่อจะมองลอดแว่นและบ่นว่า

“สำอางสำออย แกน่ะ” พ่อบ่น “รังเกียจว่างานมันเลอะเทอะสกปรกล่ะซิ เอาแต่แต่งตัว อยากทำงานนั่งโต๊ะ รู้ไหมว่าไอ้งานพรรค์ยังงั้นน่ะถ้าไม่แน่จริงได้เงินเดือนเท่าไร พวกผู้จัดการแบงก์แต่งตัวโก้ ๆ น่ะ รู้ไหมเงินเดือนเท่ากับรายได้ของเราวันเดียวด้วยซ้ำมั้ง ยกเว้นคนที่เก่งจริง ๆ”

“ผมจะเป็นคนที่เก่งจริง ๆ” ผมพึมพำ พ่อหัวเราะเยาะส่ายหน้า

แต่พ่อก็ตามใจผมเพราะหลายคนเตือนพ่อว่าอย่าเข้มงวดกับผมนัก กำลังวัยรุ่น เกิดมันกลุ้มหนีเที่ยวหรือไปคบเพื่อนไม่ดี ชักกันไปติดยาจะยิ่งไปกันใหญ่

ส่วนเจ้าน้องชายที่อ่อนกว่าผมหกปีนั่นเรียนหนังสือไม่ได้เรื่องแต่เก่งเรื่องเครื่องยนต์กลไก ชอบขลุกอยู่กับพวกคนงานเรียนรู้งาน

“พี่พัฒน์ไม่ชอบร้านกับอู่ของเรารึ ไม่ชอบก็ให้วุฒิแล้วกัน พี่ไปทำอะไรอย่างอื่น”

นายธีรวุฒินี่เขางกมาตั้งแต่เด็กละ ขอให้ได้อะไรมากกว่าพี่กว่าน้องสักหน่อยเป็นดีถ้าได้น้อยกว่าเป็นเรื่องทีเดียว ปรกติเด็กทั่วไปจะไม่ชอบรับของใช้แล้วของพี่ นายวุฒินี่ไม่รังเกียจหรอกครับ เขายินดีรับแต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องได้ของใหม่พร้อมกับผม มันเลยกลายเป็นว่าเขามีเสื้อผ้า รองเท้า ข้าวของมากกว่าผมอีก แล้วเวลาแม่ซื้อของให้น้องนันท์เขาก็ต้องได้ ชิ้นหนึ่งเหมือนกัน แล้วเวลาเขาทำงานอะไรได้ในร้านเขาวิ่งไปอวดพ่อว่าเขาทำได้พ่อก็ให้รางวัลเขาอีก

“ต่อไปร้านนี่ต้องอาศัยนายวุฒิเพราะฉะนั้นก็ใหักำลังใจเขาไว้หน่อย นายพัฒน์มันไม่เอาไหนอยากโก้ทำงานใส่สูทผูกเนคไท รังเกียจงานของครอบครัวทั้งที่งานนี่เลี้ยงมันมาจนตัวเท่ายักษ์นี่แหละ”

พ่อคงน้อยใจ ผมเองก็ไม่สบายใจนัก

 

 

 

“ผมไม่ได้รังเกียจงานของครอบครัวเลยครับ ป่าป๊า แต่หัวสมองผมมันไม่เอาไหนด้านเครื่องยนต์กลไกเอาเสียเลย แต่ผมก็รับรองว่าผมจะไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจ จะเรียนให้สำเร็จแล้วก็ทำงานดี ๆ”

“เออ อย่าให้ดีแต่ปากก็แล้วกัน เรียนจนให้ได้เป็นด็อกเตอร์ล่ะ มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”

ผมไม่เข้าใจนักว่าพ่อหมายความว่าอย่างไร แต่ถึงวันนี้ผมเข้าใจแล้ว

แม่ของผมอายุสั้น แม่เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตั้งแต่น้องนันท์เกิด น้องต้องอยู่กับพี่เลี้ยงและผมเสียเป็นส่วนใหญ่ แม่ชอบพูดจาฝากฝังน้องกับผมเสมอ

“แม่คงไม่ได้อยู่ดูแลนันท์จนเป็นสาวแม่เป็นห่วง พัฒน์ดูแลน้องให้ดี ๆ อย่าทิ้งน้องนะลูกพ่อเขาก็ไม่ใส่ใจลูกสาวอยู่แล้ว ส่วนวุฒิก็ไม่ค่อยจะรักน้องสักเท่าไร อย่าลืมที่แม่ฝากนะ พัฒน์”

ผมไม่นึกอะไรมาก คิดแต่ว่าแม่เป็นห่วงน้อง เพราะตัวเองขี้โรค ผมไม่คิดว่าแม่จะอายุสั้น แม่จากไปเมื่อนันท์อายุเพียงสี่ขวบกว่า  แม่อายุแค่สี่สิบเอง ไม่น่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวไป ทั้งที่อายุนิดเดียวเท่านั้น ผมย่างยี่สิบ เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสามในคณะศิลปศาสตร์ เป็นคณะที่พ่อไม่ชอบใจเอาเลย

“ผู้หญิงเป็นโขยง ทั้งชั้นมีผู้ชายแค่นับนิ้วมือถ้วน อีกหน่อยคงกลายเป็นตุ๊ดหรอก” พ่อเคยบ่น

“ลูกขยันเรียน สอบเก็นฯติดมหา’ลัยของรัฐจะเอายังไงอีกล่ะ หรือจะให้มันเรียนช่างกลแล้วไปตีกับโรงเรียนอื่น

 

ไม่ก็ไปติดยาติดเหล้า ติดเที่ยว” ป้านงพี่สาวของแม่ซึ่งเป็นสาวแก่เถียงแทน แม่น่ะไม่ค่อยมีปากมีเสียงอยู่แล้ว แม่เรียนแค่จบพาณิชย์ แต่งงานเร็ว แต่ป้านงจบมหาวิทยาลัย เป็นครูในโรงเรียนมัธยม ป้านงจบอักษรศาสตร์และคณะของป้านงน่ะมีนักศึกษาชายน้อยจนนับนิ้วมือซ้ำไปซ้ำมายังไม่ครบ

“ฉันไม่เห็นเพื่อนฉันมันเป็นตุ๊ดสักคน คนหนึ่งอยู่ตรวจคนเข้าเมืองเป็นตำรวจ อีกคนเป็นครูทหารตอนนี้เป็นพันเอกแล้ว นายพัฒน์นี่ก็ไม่มีวี่แววสักหน่อย แค่ชอบเรียนภาษา เรียนสังคม เอาตัวเองเป็นเครื่องวัด” ป้านงค่อน “คงชอบให้มันเฮ้ ๆ ไปตีกะเขาเหมือนตัวเองตอนเป็นหนุ่ม”

ผมแอบยิ้ม เพิ่งรู้ว่าพ่อเมื่อหนุ่ม ๆ น่ะร้ายเอาเรื่องอยู่ เคยยกพวกไปตีกะเขาเหมือนกัน

“โดนไล่ออกจนพ่อแม่จะชํ้าใจตาย” ป้านงแฉต่อ “ตอนพ่อแม่ฉันรู้ว่ายายนันท์ตัดสินใจแต่งงานกะเธอน่ะ พ่อแม่ฉันก็เตรียมอกแตกตายเหมือนกัน นึกว่าจะต้องเลี้ยงลูกสาวกะหลานกำพร้า เพราะพ่อมันไปตีรันฟันแทงกะเขาจนตัวตายน่ะ”

ป่าป๊าเถียงไม่ทันป้านงเลยเงียบ ป่าป๊าบงการลูกเมียกะลูกน้องจนชิน แต่ไม่ต้องพูดมากเพราะทุกคนยอมพ่ออยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อเคยร้ายขนาดยกพวกตีกับนักเรียนโรงเรียนอื่นแล้ว กลับตัวกลับใจทำงานเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้มีความสุขขนาดนี้ก็นับว่ายอด

พ่อไม่เจ้าชู้ พูดน้อย ทำแต่งาน ตื่นเช้าขึ้นมาก็มาอยู่ร้านจนค่ำมืด ไม่เคยเที่ยว ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงอื่นให้แม่ชํ้าใจ ลูก

 

เมียอยากได้อะไรพ่อก็จะหามาให้หรือให้เงินไปซื้อนอกเสียจากว่ามันเกินกำลังจริง ๆ อย่างเรื่องซื้อบ้าน ทีแรกพ่อซื้อแค่บ้านกับที่ดินแปลงเดียว แม่อยากได้ที่เปล่าติดกันอีกแปลงทำสวน ทำสนาม พ่อก็ซื้อให้ ขอให้มีเหตุผลสมควรเท่านั้น แต่เรื่องโรงเรียนฝรั่งที่แม่อยากให้ลูก ๆ ได้เข้าเรียนพ่อไม่ตามใจ ใกล้ ๆ บ้านมีโรงเรียนสอนศิลปะสอนคอมพิวเตอร์กับสอนดนตรี แม่อยากให้เรียนพ่อก็ไม่ว่าจะฝึกกีฬาหรือว่ายน้ำพ่อก็พยักหน้าเสมอ ถือว่ารู้มากไว้ไม่เสียหลาย

เมื่อแม่จากไปพ่อไม่เคยมองผู้หญิงอื่นอีกเลย ที่พูดน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก

พ่อรักแม่มาก ความสูญเสียครั้งนี้มันมากจนพ่อแทบทำใจไม่ได้จึงต้องทำงานหนักให้ลืม ๆ เสียหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องงาน

แต่ธีรนันท์ยังเล็กนัก น้องขาดแม่แล้วยังเหมือนขาดพ่อซํ้าเข้าไปอีก เพราะพ่อไม่พูดไม่จากับเธอไม่ค่อยจะมองหน้าด้วยซํ้า ป้านงเองก็บ้างาน อยากเป็นอาจารย์สาม มุ่งมั่นทำแต่งานเสนอขอเลื่อนขั้น พอไม่ได้ก็เหมือนจะคลั่งอาละวาด ป้าไม่คิดจะช่วยดูแลน้องหรือเป็นเสมือนแม่ทดแทนให้น้อง ผมเลยต้องดูแลนันท์เองเพราะผมสามารถลงทะเบียนเรียนเลือกเวลาให้พอจะดูแลแกได้

ธีรนันท์เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่ไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนใกล้บ้านแห่งนั้นเพราะผมพาแกไปสอบเข้าโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ และผมต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้ธีรนันท์แทนพ่อแม่มาโดยตลอดจนถูก

 

 

เพื่อนล้อว่า พ่อลูกอ่อน

ผมยึดรถของครอบครัวคันเก่าไปใช้ พ่อไม่ว่าอะไร เมื่อผมเรียกร้องต้องการรถคันนั้นเพราะต้องขับรถส่งน้องไปโรงเรียน เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ผมไปโดยรถเมล์ ไม่กล้าขอรถบ้านไปใช้ เจียมตัวเจียมใจว่าเลือกเรียนคณะที่พ่อไม่ชอบ พ่อยอมจ่ายค่าหน่วยกิตและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้ผมก็นับว่าบุญแล้ว

แต่เมื่อแม่เสียชีวิต น้องนันท์จบชั้นอนุบาลผมพาน้องไปสอบเข้าโรงเรียนสาธิต ทีแรกพ่อก็ค้านว่าโรงเรียนอยู่ไกล ผมมีเหตุผลพอจะชี้แจงกับพ่อ

“ผมจะรับส่งน้องเองครับ ผมจัดเวลาได้ ดีกว่าให้คนใช้ดูแล”

“แน่ใจนะ ไม่ใช่พอมีแฟนหรือเพื่อนแกก็ทิ้งน้องไปมั่วสุม พวกนักศึกษาบางทีก็จับกลุ่มกินเหล้าเที่ยวกลางคืน ทำดีดูแลน้องได้พักเดียวก็ทำไม่ได้”

ผมรับรองแข็งขัน พ่อพยักหน้าและบอกให้ผมทำบัญชี ค่าใช้จ่ายทั้งของตัวเองและของน้องให้พ่อดูทุกเดือน พ่อก็จ่ายให้ตามความจำเป็น

ผมไม่รู้ว่าธีรนันท์สอบเข้าได้เพราะความสามารถของแกเองหรือเพราะอาจารย์ผู้สัมภาษณ์สงสารแกกับผมกันแน่ อาจารย์ท่านหนึ่งส่ายหน้าและพูดลอย ๆ ว่า

“อายุยี่สิบ ต้องกลายเป็นพ่อลูกอ่อนซะแล้ว แม่ก็ไม่มี มีแต่พี่ชาย พ่อทำงานหนัก ทั้งบ้านมีแต่ผู้ชาย ที่ทำงานพ่อก็เป็นอู่รถกับร้านประดับยนต์ แล้วแม่สาวน้อยนี่จะโตขึ้นมาแบบ

ไหนกันนะ”

ธีรนันท์ไม่มีวี่แววจะเบี่ยงเบนอะไร ตอนเย็นผมรับแกจากโรงเรียนไปอยู่ที่คณะ อยู่กับพี่ ๆ ผู้หญิงแกเป็นหวานใจของทุกคนสนิทกับพี่ ๆ คนสวย ๆ บรรดาสาวนักกิจกรรมของคณะ วันหยุดผมให้แกไปเรียนดนตรี แน่นอนที่ผมเจาะจงขอครูผู้หญิงให้แก ไปเรียนว่ายน้ำก็เหมือนกัน

ผมกลัวน้องจะเบี่ยงเบนเพราะมีแต่พี่ชาย พ่อกับคนงานในอู่ซ่อมรถเหมือนกันแหละ จึงให้แกอยู่กับผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่

สาว ๆ บางคนชอบล้อผมด้วยคำถามว่า

“น้องหรือลูก น่าเอ็นดูจริง จูงเดินกันต้อย ๆ”

คำถามที่จริงจังต่อมาก็คือ

“เธอเรียนจบแล้วจะทำยังไง น้องเพิ่งอยู่ประถมสอง ถ้าได้งานไกลจะรับส่งยังไงล่ะ ภาระนี้หนักหนาอยู่นะ กว่าจะช่วยตัวเองได้อีกหลายปี”

“ถ้าไม่ได้งานแถว ๆ นี้ก็ยังไม่ทำ เรียนต่อโทที่บัณฑิต วิทยาลัยนี่แหละ”

“โอ๊ย อนาคตของเธอนะ พัฒน์ เรียนเก่งขนาดเธอ น่าจะชิงทุนไปนอก เรียนโทในไทยมันจะไปถึงไหนกัน ทำด็อกเตอร์ก็ไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ ถึงเวลาก็รู้เอง ทำงานสักพักค่อยคิด เรียนปริญญาเอกก็ได้ รอน้องให้ช่วยตัวเองได้ก่อน สมัยนี้เรียนโทในประเทศก็พอกัน เขาว่าเรียนยากกว่าซะอีก” ผมเถียง

 

 

ชีวิตของผมเหมือนถูกผูกติดไว้กับน้องสาว เหมือนแกเป็นลูกของผม เพียงแต่มาเกิดในท้องแม่ เป็นน้องสาวคนเดียว อ่อนกว่าผมถึงสิบห้าปี ผมรับปากแม่ไว้แล้วต้องทำตามสัญญา แม่จะได้นอนตาหลับ ผมไม่อยากให้แม่เป็นทุกข์อยู่ในปรโลก เพื่อนผู้ชายถอยห่างจากผมไปทีละคน ๆ เขาคงรำคาญที่ผมมีน้องสาวตัวเล็กตามไปทุกหนทุกแห่ง ผมเลยต้องเข้ากลุ่มพวกสาว ๆ ผมเลือกเรียนวิชาเอกเกี่ยวกับสารนิเทศ ต้อง ใช้เวลาทำงานกับคอมพิวเตอร์พอสมควร คนอ่อนวิทยาศาสตร์อย่างผมเข้าใจเจ้าอุปกรณ์สมัยใหม่นี่ได้ ใช้งานมันได้ไม่แพ้ใคร มันไม่ยากอย่างที่ผมคิดแต่แรก วันเวลาของผมผ่านไปกับการเรียน และรับส่งน้อง ไม่ได้ไปเที่ยวเตร่อย่างชายหนุ่มทั่วไป ไม่มีเวลาจีบสาวที่ไหนอีกด้วย

เมื่อผมจบปริญญาตรี ผมขออนุญาตพ่อเรียนต่อปริญญาโท

“ยังไม่คิดจะทำงานใช่ไหม” พ่อถาม “เรียนโทนี่เขาทำงานไปเรียนไปได้ไม่ใช่รึ”

“ถ้าเรียนภาคกลางวันก็ต้องเรียนเต็มเวลานะครับปีแรก”

“ถึงแกจะไม่เอาไหนเรื่องเครื่องยนต์กลไก แต่แกใช้คอมเป็น มาช่วยดูแลพวกเงิน ๆ ทอง ๆ บัญน้ำบัญชีอะไรบ้าง กว่าวุฒิจะเรียนจบมันยังอีกนาน พ่อคนเดียวจะไม่ไหวแล้ว”

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าพ่อแก่ไปมาก

“ป่าป๊ายังไม่แก่เลยนะครับ” ผมพูดเท็จ ผมไม่อยาก

 

 

 

 

ทำงานที่ร้านเลยจริง ๆ กลัวจะคุมพวกคนงานไม่อยู่ แล้วตัวเลขเงิน ๆทอง ๆ กับผมนี่ถูกกันเสียเมื่อไหร่

“แต่ก็ต้องเตรียมการแล้วละ ดูแต่แม่ยังไปไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ถึงพัฒน์จะไม่อยากดูแลงานอู่แต่การค้าพวกประดับยนต์ เครื่องเสียงมันไม่ยากอะไร ดูแลบัญชีซื้อขาย เงินเดือนคนงาน ค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เรื่องงานช่างคนงานเขาพอจะดูแลกันได้สมัยนี้การทำบัญชีมันไม่ยากอะไร ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป พัฒน์ก็เรียนคอมมาน่าจะรู้ว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจเท่านั้นเองโปรแกรมมันช่วยได้”

ผมรับปากว่าจะช่วยแต่ยังไม่ทำเต็มเวลา

“ผมต้องรับส่งยายนันท์อีกหลายปี แล้วผมก็อยาก จบปริญญาโทปริญญาเอก ผมอยากเป็นด็อกเตอร์ครับ ผมไม่เอาไหนเรื่องเครื่องยนต์ ผมอยากจะเรียนสูง ๆให้พ่อเห็นว่าผมก็เอาไหนในบางเรื่องเหมือนกัน”

“แกก็รับส่งน้องได้ตามปรกติ เรียนต่อได้เท่าที่เรียนไหว เรื่องเงินทองมันไม่มีปัญหาอะไรนี่ งานบัญชีทำตอนไหนก็ได้ ว่างเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น มันไม่หนีหายไปไหน”

พ่อดูจะสบายใจขึ้น พ่อมีลูกชายคนโตเรียนระดับปริญญาโทแต่มาช่วยทำบัญชี มีลูกชายคนรองเรียนวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเอกชน แน่นอนที่นายธีรวุฒิสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ต้องเรียนมหาวิทยาลัยของเอกชนแต่เขาชอบงานช่าง และคงจะรับช่วงกิจการของพ่อได้

พ่อเอาใจใส่ธีรนันท์มากกว่าเดิม ผมสังเกตเห็นว่า

 

พ่อพูดกับน้องมากขึ้น ถามไถ่เรื่องการเรียนและถึงกับอาสาพาไปเรียนดนตรีกับว่ายน้ำในวันหยุดแทนผม

“แกจะได้มีเวลาทำบัญชี” พ่อว่า “ไม่ต้องมัวห่วงรับส่งน้อง”

แต่ผมไม่ได้ใช้เวลานั้นทำบัญชีเพราะผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าเป็นหนุ่ม เมื่อประสานสายตากับน้องใหม่ที่คณะคนหนึ่งเข้า เอกอนงค์ สาวน้อยวัยสิบเจ็ด ร่างเพรียว จมูกโด่ง นัยน์ตาโตคมกริบ ริมฝีปากอิ่มเต็ม เธอชอบถักเปียแขกเส้นเดียวไว้ด้านหลัง เปิดหน้าผากที่มีไรผมอย่างที่เรียกกันว่ามีชาร์ม เธอน่ารักเหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเหนื่อยหรืออาย ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนแก้มเป็นสีชมพูเข้มเกือบแดง ผิวบางราวกับผิวเด็กอ่อน

“เขาเรียกว่าแก้มแดงเหมือนลูกท้อ แต่เราไม่เคยเห็นลูกท้อว่ะ ยายคนนี้มันแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศท้อมากกว่า ผิวมันบ๊างบาง” เพื่อนคนหนึ่งว่าเมื่อเห็นผมมองน้องด้วยความสนใจ “เพื่อน ๆ มันตั้งสมญาว่ายายมะเขือเทศแก้มแดง แป้งเปิ้ง ไม่เคยผัด ซนยังกะเด็ก แต่มันเด็กสอบเทียบ อายุอ่อนกว่าพวกเราแยะ แกน่ะคิดหลอกเด็กรึไง”

เอกอนงค์อ่อนกว่าผมตั้งเจ็ดปี ผมพบเธอเมื่อผมเรียน ปริญญาโทปีที่สองแล้ว แต่ยังชอบไปนั่งเล่นในห้องกิจกรรม หรือสโมสรของคณะยามว่างเรียน ผมเข้าข้างตัวเองว่าพระเจ้าคงอยากให้ผมได้พบเธอนั่นเอง ผมผู้ไม่เคยสนใจมองหญิงสาวที่ไหน วัน ๆ เอาแต่เรียนแล้วก็เลี้ยงน้องสาวอายุอ่อนกว่าผมตั้ง

 

 

 

สิบห้าปี ทำหน้าที่ราวกับพ่อลูกอ่อน หัวใจหวั่นไหวเพราะน้องใหม่ใส่ถุงเท้าขาวอายุสิบเจ็ด ซนเลื่องลือ เป็นนักกีฬาของคณะ และของมหาวิทยาลัย เธอเก่งทั้งว่ายน้ำ แบดมินตัน และวิ่ง พบเธอทีไรเห็นเหงื่อท่วมตัว ใบหน้าพราวไปด้วยหยดน้ำและแก้มแดงก่ำ

ผมไม่คิดหลอกเด็ก ผมชอบเธอจริง ๆ ผมไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า มองหน้าเห็นแต่แป้ง ผิวจริงเป็นอย่างไรไม่เคยเห็น วัน ๆ เอาแต่ผัดแป้งแต่งตัว หวีผม จริตจะก้านแพรวพราว ไม่เป็นธรรมชาติ เอกอนงค์ถักเปียบ้าง มัดผมบ้าง วัน ๆ ไม่หวีผมแต่งหน้า ร่าเริงเหมือนเด็ก ๆ เหมือนน้องสาวผม

“นันท์ว่าพี่เอกน่ารักไหม” ผมเคยถามน้องสาว ธีรนันท์มองหน้าพูดจาแก่แดดเกินวัยเก้าขวบกว่า

“พี่พัฒน์ปิ๊งเขาเหรอ เคยพูดกันหรือเปล่า”

ผมพยักหน้า ผมเคยพูดกับเอกอนงค์สองสามประโยคละมัง ตอนที่ผมคุมห้องคอมพิวเตอร์แทนอาจารย์และเธอเข้ามาใช้เครื่อง

“ป่าป๊าเคยบอกว่าถ้าพี่พัฒน์มีแฟน นันท์ก็ตกกระป๋อง” ธีรนันท์มองค้อน

“มันไม่เหมือนกัน แฟนกับน้องน่ะ น้องน่ะสายเลือดเดียวกัน ไง ๆ ก็เป็นน้อง ลูกแม่เดียวกันออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน แฟนน่ะรึ ตอนรักกันก็จี๋จ๋า พอจากกันก็เป็นคนอื่น”

สีหน้าของธีรนันท์ดีขึ้นนิดหนึ่ง แต่ไม่วายบ่น

 

 

 

“ถ้าพี่พัฒน์มีแฟนก็ไม่มีเวลาให้นันท์หรอก”

มันก็จริงของเธอ แต่เมื่อพ่อเริ่มให้ความสนใจกับลูกสาว พาไปเรียนพิเศษวันหยุดแทนผม หวังให้ผมมีเวลาทำบัญชีให้ ผมกลับเอาเวลานั้นไปนั่งเฝ้าเอกอนงค์เสีย

ก็โอกาสมันอำนวยพอดี สาวน้อยร่าเริงสุด ๆ คนนี้มีปัญหาในการเรียนและเธอไม่ยอมบอกใครแต่ผมบังเอิญรู้เข้า

วันนั้นเธอแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องคอมพิวเตอร์ ไม่ยอมปรับทุกข์กับใคร

“น้อง ร้องไห้ทำไม ใครรังแกเอาหรือว่าไม่สบายครับ” ผมตกใจจริง ๆ เอกอนงค์ไม่ตอบแต่ยื่นใบคะแนนให้ผมดู ใบเกรดของเธอบอกให้ผมรู้ว่าผลการเรียนของเธอมันย่ำแย่เอาจริง ๆ

“เอกติดโปร ถ้าเทอมสองไม่ดีกว่านี้ เอกโดนไทร์แน่เลย แม่บอกแล้วว่าอย่าตามเพื่อน สอบเทียบแล้วเข้ามาเรียน ระวังจะไม่ทันเพราะวิชาไม่แน่นแล้วเอกดื้อ อีกอย่างเอกมัวแต่เล่นกีฬา สนุกมากไปหน่อย ขาดเรียนบ่อยด้วย”

เธอร้องไห้ไม่สวยหรอกครับ ทั้งน้ำมูกน้ำตา ผมส่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อให้เธอเช็ด เธอก็รับไปเช็ดหน้า สั่งน้ำมูกดังพรืดด้วยซ้ำ ไม่เป็นนางเอกเสียเลยแต่ผมก็ว่าเธอน่ารักเป็นธรรมชาติดี

“แล้วมานั่งร้องไห้หลบมุมยังงี้จะได้อะไรขึ้นมา น้องต้องคิดหาทางแก้ไขซีครับ”

เอกอนงค์กลับร้องไห้มากขึ้นกว่าเดิม

“แทนที่จะปลอบกลับมาดุเอกเสียอีก” เธอบอกผม

 

วันหลัง “ใครมั่งจะไม่น้อยใจ รู้ ๆ อยู่ว่าพี่คนนี้ปิ๊งเรา สายตามันฟ้อง พี่หน่อยก็บอก แต่พอเราร้องไห้กลับดุเอา ๆ”

ทีนี้ผมมันคนรักเรียน มุมานะ และเลี้ยงน้อง สอนน้องจนชิน เอกอนงค์อ่อนกว่าผมตั้งเจ็ดปี ถึงผมจะชอบเธอฉันชายชอบหญิง ผมก็ยังอดเห็นเธอเป็นเด็กและสอนเธอไม่ได้

“น้องต้องหาคนติววิชาที่ตกนี่นะ แล้วเริ่มต้นใหม่ ยังไหวหรอก คะแนนขนาดนี้ ลด ๆ เรื่องกีฬาลงบ้างจะเล่นมั่งก็ได้ แต่ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ซ้อมกีฬา เดินสยาม กินขนม เรียนมั่งไม่เรียนมั่งแบบนี้”

“พี่ว่าเอกเหลวไหลเอาแต่เล่นละซี แล้วใครจะติวให้เอกล่ะ เพื่อน ๆ ในกลุ่มมันตกกันเป็นขบวนเลย”

“พี่ติวให้เอาไหม ติวที่คณะนี่ก็ได้ พี่ต้องมาเรียนทุกวันอยู่แล้ว เอ้อ ไม่ทุกวันหรอก แต่ต้องมาทุกวันเพราะต้องรับส่งน้องที่สาธิต บางวันก็มาช่วยอาจารย์ดูห้องคอมฯนี่แหละ หาเวลามาติวให้ได้นะ รับรองว่าถ้าขยันไม่มีตกหรอก รู้ไหมว่าพี่เรียนได้คะแนนเท่าไหร่ตอนเรียนตรีน่ะ”

“รู้ว่าพี่ได้เกียรตินิยม แต่เหรียญทองหรือเปล่าคะ”

“ไม่ถึงกับได้เหรียญทองหรอก แต่ก็เกียรตินิยมละ” ผมโอ่

 “น่าจะเหรียญทองนะคะ ถ้าไม่มัวแต่เป็นพ่อลูกอ่อน” เอกอนงค์เช็ดน้ำตา

“ก็จะให้พี่ทิ้งน้องได้ยังไง เขาไม่มีแม่ แล้วอ่อนกว่าพี่ตั้งสิบห้าปี พี่เป็นคนโต พี่ต้องดูแลเขาแทนพ่อ พ่อพี่งานแยะ

 

ทำงานหนัก พี่ต้องแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ พี่ไม่ใช่เด็กมีความสุขอย่างเอกนี่”

“แล้วพี่จะมีเวลาติวให้เอกแน่หรือ”

ผมยืนยันขันแข็ง แล้วเราก็นัดวันเวลากัน เธอมาติววิชากับผมก็จริงแต่เธอก็ร้ายไม่ย่อยเพราะพาเพื่อนมาติวด้วยอีกเป็นโขยง ผมไม่รู้จะทำอย่างไร สัญญากับเธอแล้วก็ต้องทำตามสัญญา

แต่หนต่อ ๆ มาเพื่อน ๆ ของเธอก็ค่อย ๆ หายไปทีละคน สองคน เหลือเธอกับเด็กหนุ่มหน้าขาวอีกคนเท่านั้น ผมชักท้อ เพราะนึกว่าเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้คงเป็นเพื่อนสนิทหรือเป็นแฟนของเธอ

นี่ผมโดนเด็กหลอกใช้เสียแล้วละกระมัง แต่ผมก็ผิดสังเกตอยู่ว่าเจ้าชายชาญคนนี้มันเรียบร้อยผิดปรกตินัก เป็นคนมีน้ำใจ มาติวทีไรก็จะต้องหอบขนมนมเนยมาฝากผมทุกครั้ง ผมก็เลยใจดำกับเด็กไม่ลง

วันสุดท้ายก่อนสอบเอกอนงค์มาคนเดียว

“ชายชาญแฟนเธอไม่มาด้วยรึ” ผมถาม เอกอนงค์หัวเราะคิก

“ชายชาญมันแฟนเอกที่ไหนกันล่ะ มันเป็นแฟนสาว ที่ไหนได้ พี่ดูไม่ออกรึ”

“ไม่แน่ใจ” ผมเสียงอ่อย

“มันอยากเป็นแฟนพี่มากกว่า มันว่าพี่น่ารัก ยิ่งเห็นตอนดูแลน้องยิ่งน่ารัก”

 

“บ้า” ผมหลุดปากออกมา “ชายชาญเขาเห็นพี่น่ารักเรอะ จะบ้าตาย แล้วเอกล่ะ เอกไม่เห็นพี่น่ารักบ้างรึไง พี่อยากให้เอกเห็นพี่น่ารักมากกว่า”

คราวนี้เลยเข้าตัว เอกอนงค์หน้าแดงกํ่ายิ่งกว่ามะเขือเทศ อายจนพูดไม่ออก

“พี่พูดจริง ๆ นะ เอกไม่เคยให้โอกาสพี่เลย มาติวทีไร พาเพื่อนมาเป็นโขยง พี่ไม่รู้จะพูดตอนไหน”

เอกอนงค์ไม่พูดไม่จา คว้าสมุดและกระเป๋าถือจํ้าอ้าวหนีผมไปเลย ผมจะวิ่งตามเรียกก็ไม่กล้า เดี๋ยวเธอจะยิ่งอายผู้คน ได้แต่นั่งเป็นเบื้ออยู่ในห้องคอมพิวเตอร์นั่น

 

 

 

 

                    

 

 

 

 

 

 

 

 

 ผมไปที่คณะทุกวัน เอกอนงค์หายหน้าไปสองสามวันก็กลับประพฤติตัวเหมือนเดิม เธอคงหายกระดากแล้วแวะเวียนเข้ามาคุยโน่นคุยนี่ตามเคย ผมก็ติววิชาให้เธอเพิ่มเติมก่อนสอบจริงในวันรุ่งขึ้น

“เอกคงผ่านไม่โดนไทร์หรอก” สีหน้าของเธอแจ่มใส

“แล้วจะมีรางวัลให้ติวเตอร์จำเป็นบ้างไหม” ผมทวง

“หว่านพืชหวังผล” เธอค้อน ผมหัวเราะ

“ถ้าไม่หวังผลแล้วจะหว่านทำไมล่ะ เหนื่อยเปล่า ๆ พี่ไม่ใช่พระนี่จะได้ทำแต่บุญกุศล ชาวนาหว่านพืชหวังผล ชาวประมงออกทะเลก็อยากได้ปลาไม่ใช่หรือ มันเป็นความจริงของชีวิต”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (94 รายการ)

www.batorastore.com © 2024