เริ่มต้นอย่าง VI : GETTING STARTED IN VALUE INVESTING

เริ่มต้นอย่าง VI : GETTING STARTED IN VALUE INVESTING

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786169162810
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 268.00 บาท 251.92 บาท
ประหยัด: 16.08 บาท ( 6.00% )

รายละเอียด

หนังสือเล่มนี้เสนอการเริ่มต้นอย่าง VI (Getting Started in Value Investing) ที่มีทุกสิ่งที่คุณควรรู้ในการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า (VI) "Charles S. Mizrahi" ผู้เขียน ได้นำเสนอเริ่มตั้งแต่เปรียบเทียบการลงทุนแบบต่างๆ กับการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ความแตกต่างระหว่างราคาและมูลค่า วิธีเลือกธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน การมองหาคูเมือง (Moat) และชนิดของคูเมือง การอ่านงบการเงินอย่างง่าย การอ่านอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ การเชื่อมโยงของตัวเลขต่างๆ ในงบการเงิน การประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่าย และสุดท้ายการเข้าใจตัวเองในการลงทุน  แม้การเป็นนักลงทุนนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการลงทุนนั้นอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว และนี่คือการเริ่มต้นอย่าง VI เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของในการเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ และประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

256 หน้า

สารบัญ

-บทนำ มูลค่าเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง

-บทที่ 1 ความเข้าใจผิดห้าประการเกี่ยวกับการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า

-บทที่ 2 พื้นฐานการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า : บางสิ่งที่คุณต้องรู้

-บทที่ 3 คำเตือนของตลาด : บทเรียนจากอดีต

-บทที่ 4 บริษัทยอดเยี่ยมจะเป็นการลงทุนที่ดีเยี่ยมหรือไม่ : ยึดมั่นในแชมป์ (ผู้ชนะ)

-บทที่ 5 ใครคือผู้รับผิดชอบ? ผู้บริหาร : ทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้บริหาร

-บทที่ 6 การแข่งขัน : อุปสรรค หรือ โอกาส ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน

-บทที่ 7 ตัวแปรสำคัญในการประเมินมูลค่า : พื้นฐานงบการเงิน

-บทที่ 8 ตัวแปรสำคัญในการดำเนินงาน : ทำให้ตัวเลขมีชีวิตหรือมีความหมาย

-บทที่ 9 เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าของบริษัท

-บทที่ 10 ตัวคุณเองคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด

-บทที่ 11 บทสรุปเกี่ยวกับมูลค่า

-คำศัพท์


รีวิว (1)

เขียนรีวิว

ภาสกร | 1 รีวิว
08/10/2013

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จะรวบรวมแนวคิดพื้นฐานสำหรับการลงทุนแบบ VI หรือ value investment แบบเต็มอิ่มด้วยเนื้อหาที่ลงลึกค่อนข้างมาก และเป็นหนังสือแปลที่แปลได้ดีอีกเล่มนึงเมื่ออ่านแล้วไม่รู้สึกติดขัด และไม่ต้องอ่านซ้ำในประโยคเดิมหลายๆรอบเพื่อตีความ เหมือนหนังสือแปลหลายๆเล่มที่แม้จะเป็นหนังสือที่ดีแต่กลับแปลได้ห่วย โดยเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะนำหลักการสำคัญๆหลายๆหลักการของ เบนเกรแฮม วอเร็นบัฟเฟต ชาร์ลีมังเกอร์และนักลงทุนแนว VI คนสำคัญหลายๆคนมารวบรวมใว้ภายในหนังสือเพียงเล่มเดียว เช่น เรื่อง margin of safety การลงทุนแบบเจาะจง ( concentrated portfolio ) ความอดทนรอในการลงทุนเพื่อให้ราคาหุ้นลงมาในจุดที่เราได้ผลตอบแทนสูง การถือหุ้นให้ยาวจนถึงขนาดถือไปตลอดชีวิตตราบเท่าที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยน นอกจากนี้ยังมีบทที่ผมชอบที่สุดซึ่งเกี่ยวกับการดู "คูเมือง" หรือ "moat" ซึ่งก็คือความแข็งแกร่งของบริษัทที่ช่วยป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด เข้ามาแข่งตัดราคา หรือเข้ามาแย่ง ลูกค้า โดยข้อได้เปรียบเหล่านี้ภายในเล่มจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ข้อใหญ่ๆด้วยกันคือ 1. แบรนด์หรือตราสินค้า ( Brands ) สินค้าอย่างเช่น coca-cola นั้นในช่วยหลายสิบปีที่ผ่านมาได้ทุ่มงบการตลาดไปเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลล่าร์ ซึ่งงบเหล่านี้นั้นไม่ใช่การเอาเงินเททิ้งไปเปล่าๆแต่กลับเป็นการลงทุนที่จะสร้างมูลค่าที่มองไม่เห็นอย่างการสร้างการรับรู้ในตราสินค้า ซึ่งเมื่อคำนวนให้ดีแล้วการลงทุนเหล่านี้ที่ผ่านมาได้สร้างให้สินค้าโคคาโคล่ากลายเป็นตราสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ( 67 หมื่นล้านดอลล่าร์เมื่อปี 2006 ) 2. ต้นทุนลูกค้าในการสับเปลี่ยน ( Switching cost ) สินค้าอย่างเช่นโปรแกรมบัญชีนั้น เมื่อเริ่มมีการนำไปใช้ในบริษัทและพนักงานเริ่มคุ้นเคยแล้ว การจะเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมของบริษัทอื่นนั้นจะยากมากเพราะต้องเสียเวลาและเงินทองมากมายเพื่อปรับให้คนต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ หรือเครื่องมือการแพทย์ที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ก็เช่นกัน เมื่อได้เรียนรู้ไปแล้ว อาจจะไม่สามารถเสียเวลาไปเรียนรู้กับเครื่องมือจากอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งทำให้บริษัทที่ดำเนินการก่อนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งได้เปรียบบริษัทที่เพิ่งจะเข้ามาในตลาดอย่างมาก 3. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ( Cost ) สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าประเภท commodity อย่างเช่น ถ่านหิน ประกันภัย หรือ สินค้าอื่นๆที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างออกจากคู่แข่งได้ การมีต้นทุนบางอย่างต่ำกว่านั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลยทีเดียว อย่างเช่นในตัวอย่างภายในเล่มคือ GEICO บริษัทประกันวินาศภัยที่วอเร็นได้เข้าไปลงทุนนั้น ได้ขายประกันโดยไม่ขายผ่าน broker ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า และยังขายด้วยวิธี telemarketing ทำให้ต้นทุนยิ่งต่ำเข้าไปอีก ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งเป็นอย่างมาก 4. การป้องกัน ( Protection ) ธุรกิจบางประเภทที่มีการป้องกันไม่ให้คู่แข่งสามารถเข้ามาแข่งได้เช่น ธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล เช่นการประกอบธุรกิจโทรทัศน์ ธุรกิจโทรคมนาคมต่างๆ ธุรกิจยาที่ต้องได้รับการอนุมัติซึ่งก็ยากเย็นกว่าจะได้มาแต่จะทำให้ไม่มีคู่แข่งสามารถผลิตยาประเภทเดียวกันเข้ามาแข่งเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ธุรกิจดิวตี้ฟรีที่ได้รับสัมปทานเปิดร้านขายของในสนามบินเพียงเจ้าเดียวเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ธุรกิจเหล่านี้จะทำผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ (เพราะไม่มีคู่แข่งลูกค้าจึงไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะขึ้นราคาเท่าไหร่ก็ยังขายได้) บทที่เกี่ยวกับคู่แข่งน่าสนใจมากเพราะแม้ว่าธุรกิจจะโตแค่ไหน กำไรเยอะแค่ไหน ตลาดใหญ่แค่ไหน ก็จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าธุรกิจไม่สามารถอยู่ได้ไปตลอดรอดฝั่ง เพราะคุณจะทำกำไรได้เพียง 1-3 ปีแรก หลังจากนั้นก็จะมีคู่แข่งเข้ามามะรุมมะตุ้มแย่งเอาลูกค้าไปหมด จนทำให้ไม่เหลือกำไรสำหรับคุณเลย นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้พูดถึงตัวเลขที่สำคัญโดยบางทีสำคัญจนอาจจะสามารถมองข้ามตัวเลขตัวอื่นๆไปได้เลยด้วยซ้ำ (ถ้าจำเป็น) ซึ่งตัวเลขสองตัวที่ผู้เขียนมองว่าสำคัญที่สุดคือ 1. ROE 2. NET PROFIT MARGIN ซึ่งเค้าบอกด้วยซ้ำว่าถ้าดูอะไรไม่ได้เลยให้ดูอันเดียวคือ ROE ซึ่งผมก็เห็นด้วยและโดยปรกติผมก็จะดูอันนี้เป็นหลักมาตลอดเพราะสุดท้ายแล้วการลงทุนคือ การลงทุนให้น้อยที่สุดโดยที่ให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุดซึ่งก็จะตรงกับสูตรคำนวนของ ROE พอดีคือ กำไร หารด้วย เงินลงทุน และก็เป็นไปตามที่คิดคือบริษัทที่มี ROE สูงมาตลอดอย่างต่อเนื่อง (เกิน 15% หรือ 20% ได้ยิ่งยอดเยี่ยม) ติดต่อกันหลายๆปี ก็เป็นสุดยอดบริษัทเช่นเดียวกัน ( เช่น HMPRO CPALL BEC ในบ้านเรา) แต่แค่นั้นยังไม่พอผู้เขียนบอกว่า เราต้องดูว่ามัน "แพง" เกินไปหรือไม่ อย่างเช่นตัวอย่างในตลาดหุ้นอเมริกา ใครๆก็รู้ว่า home depot หรือ wal-mart หรือ microsoft นั้นถือว่าเป็น superstocks แต่ถ้าซื้อบริษัทเหล่านี้ในปี 1999-2000 ที่ระดับ P/E 40-50 หรือแม้แต่เป็นร้อยเท่าสำหรับ microsoft ถือไปห้าปี บริษัทพวกนี้กำไรโตกันเป็นสองสามเท่า หรือปีละ เกิน 20% แต่นักลงทุนกลับต้องขาดทุน เพราะซื้อที่ราคาแพงเกินไป หลักการที่ผมต้องเน้นอีกอย่างคือเรื่องของความอดทนรอในการลงทุนซึ่งทำได้ยากเต็มที เพราะเมื่อเราดูว่าบริษัทไหนดีแข็งแกร่งแล้ว เห็นราคาขึ้นๆลงๆยังไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ (ออกจะแพงด้วยซ้ำ) เราก็ทนถือเงินสดไม่ไหวต้องเข้าไปซื้อ ซึ่งอาจจะทำให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ ถ้าตลาดเริ่มให้ราคาที่ต่ำลงด้วยเหตผลอะไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องฝึกเพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ก็จะเป็นนักเบสบอลที่จะตีเฉพาะลูกที่ตัวเองมั่นใจว่าตีได้เท่านั้น(อ่านได้ในเล่ม) โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้มีเพชรหลายเม็ดซ่อนอยู่ภายในถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ลองซื้อมาอ่านกันดูครับ ถึงแม้จะเคยอ่านแนวนี้มาหลายเล่มแล้วแต่ก็มีบางส่วนที่จะเจาะลึกแบบพิเศษจริงๆครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบตรงพูดถึงคูเมืองป้องกันคู่แข่งครับ เพราะเรื่องนี้แทบจะเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจทุนนิยมที่บริษัทแต่ละแห่งจะต้องแข่งขันกันและผู้ที่อ่อนแอกว่าก็ต้องตายไปครับ โดยเราควรเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดครับ

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024