เจ้าสาวพร่างฝน (เทียนธีรา)
ประหยัด: 115.15 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑
ละอองฝนริมทาง
หยาดพิรุณเม็ดใสๆ โปรยปรายลงมากระทบหลังคาโรงนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่าย หน้าต่างบานเล็กถูกเปิดทิ้งไว้เพราะคนเปิดเจตนาให้ไอละอองเย็นชุ่มของสายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาข้างใน สาวน้อยรูปร่างบอบบางวัยย่างยี่สิบกำลังยืนกอดอกอยู่ข้างๆ หน้าต่างบานนั้นโดยไม่ได้อนาทรต่อความเปียกชื้นของเสื้อผ้าแต่อย่างใด ริมฝีปากอิ่มเต็มรูปกระจับสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตากลมโตซึ่งประดับด้วยแพขนตางอนยาวเพ่งมองหยดน้ำใสๆ และปล่อยตัวปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับม่านฝนที่พร่างพรมลงมาไม่ขาดสาย
‘ละอองฝน’ ชื่นชอบไอเย็นๆ ของสายฝนมาตั้งแต่เด็กๆ อาจเป็นเพราะเธอเกิดเดือนมิถุนายนในวันที่ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืนกระมัง
และแล้วเวลาอันแสนสุขนั้นก็มีอันต้องจบลง พร้อมๆ กับที่พิรุณเม็ดสุดท้ายหลั่งรินลงมา ท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มอยู่เมื่อครู่ใหญ่ๆ ก่อนหน้านี้เริ่มเปิดโล่งพร้อมกับปรากฏรุ้งกินน้ำทอดตัวโค้งยาวพาดผ่านเหนือทุ่งกว้าง สาวน้อยรู้ตัวว่าได้เวลาที่เธอจะต้องออกจากโรงนาแสนสวยและเงียบสงบหลังนั้นแล้ว
ละอองฝนจึงรีบจูงม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่แอบขโมยออกมาขี่เล่น ซึ่งตอนที่ฝนเริ่มตกเธอผูกมันไว้กับเสาโรงนาไปส่งคืนที่คอกม้า เพื่อจะได้กลับไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ให้ทันก่อนเวลาพลบค่ำ ด้วยรู้ตัวดีว่าหากกลับช้าคงถูกคนที่เป็นผู้ปกครองดุเอาเป็นแน่
หลังจากส่งม้าถึงคอกแล้ว เท้าเล็กๆ ก็ก้าวฉับๆ ในลักษณะเดินแกมวิ่งลัดเลาะผ่านเนินหญ้าเพื่อไปให้ถึงคฤหาสน์โดยเร็วที่สุด แต่พื้นหญ้าที่เปียกชื้นจากการถูกสายฝนพร่างพรมใส่เมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมานั้นก็เป็นอุปสรรคพอสมควร
รองเท้าแตะแบบคีบเปียกชุ่มเพราะถูกน้ำจากยอดหญ้ากระเด็นใส่ ทำให้การเคลื่อนไหวแต่ละย่างก้าวเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม ไม่ต่างอะไรกับการเดินย่ำบนพื้นลื่นๆ และในที่สุดเธอก็ล้มหัวคะมำจนได้ มือเรียวเล็กตะครุบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยโคลนตมเละๆ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนมอมแมม สายรองเท้าก็ขาดร่องแร่งอย่างไม่เหลือสภาพให้สวมใส่ได้อีกต่อไป
“บ้าจริง!”
เจ้าของเสียงหวานใสบ่นพึมพำคนเดียวขณะค่อยๆ ประคองกายให้ลุกขึ้น ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่ามีอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่ข้อเท้า แต่ก็ยังพยายามเดินโขยกเขยกด้วยเท้าเปล่าอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งถึงคฤหาสน์หลังสีขาวสองชั้นที่ตั้งตระหง่านสวยเด่นอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวขจีซึ่งตอนนี้เปิดไฟสว่างไสวเพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายทำให้ความมืดมิดของรัตติกาลสยายตัวเข้าปกคลุมทั่วทั้งอาณาบริเวณเร็วกว่าทุกวัน
ละอองฝนรีบย่ำเท้าขึ้นบันไดเตี้ยๆ ที่หน้าคฤหาสน์ผ่านห้องอาหารซึ่งอยู่ติดกับห้องโถง ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเดินผ่าน แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากมันเป็นทางไปยังห้องนอนของเธอนั่นเอง
สาวน้อยรู้สึกเหมือนตนเองตัวลีบลงกว่าเดิมไปถนัดตา เพราะตอนนี้ที่โต๊ะอาหารมีคนนั่งรายล้อมเพื่อจะรับประทานมื้อเย็นอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว และเมื่อเธอก้าวเข้าไปทุกคนก็มองมาเป็นตาเดียวกันทันที
“ไปไหนมาออม ทำไมถึงได้กลับมาซะมืดค่ำแถมเนื้อตัวยังมอมแมมแบบนั้น...”
‘คุณ’ เป็นคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหินและไว้ตัว แต่ละอองฝนก็ชินชากับน้ำเสียงและท่าทีแบบนั้นของผู้ให้กำเนิดเสียแล้ว
ละอองฝนต้องเรียก ‘แม่’ ว่า ‘คุณ’ ตั้งแต่เด็ก เพราะแพรวดาวแม่ของเธอเคยเป็นนางแบบชื่อดัง มีชีวิตที่หรูหราไฮโซในวงสังคมชั้นสูง แต่เกิดตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจกับนายแบบคนหนึ่งทั้งที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย จึงต้องแอบหลบไปคลอดลูกและปิดข่าวไว้อย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นก็นำลูกน้อยไปให้ผู้เป็นแม่กับน้องสาวเลี้ยงดูส่วนตัวเองกลับเข้าสู่วิถีชีวิตไฮโซหรูหราและแสงสีดังเดิม
เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มเติบโตมาในบ้านเล็กๆ ย่านชุมชนแออัดมีความเป็นอยู่อย่างสมถะกับยายและน้าสาว โดยที่แพรวดาวแวะมาเยี่ยมเยือนบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ก็ไม่ยอมให้บุตรสาวเรียกว่าแม่ เมื่อสามเดือนก่อนคุณได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีวัยห้าสิบชาวสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นละอองฝนเพิ่งจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แต่ก็ถูกบังคับให้ลาออกเพราะคุณต้องการให้เดินทางมาอยู่สหรัฐอเมริกากับคุณในฐานะหลานสาว โดยบอกว่าจะมาหาที่เรียนที่นี่ให้
“ออมไปที่โรงนามาค่ะคุณ พอดีติดฝนก็เลยกลับมาช้า” สาวน้อยตอบคำถามของผู้เป็นแม่เบาๆ
“คุณบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ให้ออมออกไปไหน” เสียงของคุณดุขึ้นกว่าเดิม ดวงตาก็ตวัดมองอย่างตำหนิและเคืองขุ่นที่ละอองฝนฝ่าฝืนคำสั่งของตน
“ไม่เอาน่าที่รัก อย่าดุหนูออมเลย หนูออมคงอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างตามประสาเด็กๆ” ไวแอตแทรกขึ้นก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะดุหลานสาวไปมากกว่า นั้น
“ไวแอตคะ...”แพรวดาวทำท่าจะไม่ยอม เพราะแต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยยอมให้ใครให้ท้ายลูกสาว
ด้านเจ้าของคฤหาสน์จึงรีบหันไปบอกสาวน้อยที่ยืนทำหน้าเจื่อนๆ อยู่ข้างโต๊ะ
“ไปอาบน้ำสิหนูออม แล้วมากินข้าวด้วยกัน”
“เชิญคุณลุงกับทุกคนตามสบายเลยค่ะ ออมทานในครัวเหมือนเดิมจะดีกว่า...”
ตอบเสร็จละอองฝนก็รีบก้มหน้างุดอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะสบตาใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือของไวแอต ถ้าเขารู้ว่าเธอแอบเอาม้าของเขาออกไปขี่โดยไม่ได้รับอนุญาต เธอคงจะถูกลงโทษหนักเป็นแน่ เขาดุและเด็ดขาดมากแค่ไหนสาวน้อยรู้ดีแก่ใจ ใครๆ ในไร่นี้ต่างก็เกรงกลัวกันหัวหด ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่เธอยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง มิหนำซ้ำยามที่ดวงตาสีอำพันเฉียบคมคู่นั้นตวัดมองมา ละอองฝนรู้สึกเหมือนถูกใบมีดคมๆ กรีดเข้าที่เนื้อบางๆ จนเหวอะหวะไปหมด
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ซะ เนื้อตัวสกปรกมอมแมมเป็นลูกแมวเล่นโคลนแบบนั้นดูได้ที่ไหน” แพรวดาวยังไม่วายดุสำทับอีกหนึ่งคำรบ
“ค่ะ...” ละอองฝนรับคำเบาๆ ก่อนจะรีบเดินไวๆ ผ่านห้องอาหารตรงไปยังห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ด้านหลังของคฤหาสน์
ทันทีที่ประตูปิดลงสาวน้อยก็ระบายลมหายใจออกมายาวๆ ขณะกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง นอกจากในทุ่งกว้างและโรงนาแล้ว สถานที่ที่เธอชอบมากที่สุดก็คือห้องนี้ แม้จะไม่ใช่ห้องที่หรูหราและกว้างขวางที่สุดในคฤหาสน์ แต่ก็จัดว่ากว้างพอควร ภายในห้องตกแต่งแบบยุโรปสมัยเก่า มีกลิ่นอายของอินเดียนแดงผสมผสานเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ กว่าสิบห้องในคฤหาสน์หลังนี้ ตอนแรกไวแอตจะให้เธอพักชั้นบน แต่แพรวดาวกลับแย้งว่าให้พักชั้นล่างก็ได้ ซึ่งละอองฝนรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ต้องไปอยู่ปะปนกับเจ้าของคฤหาสน์ แม้ไวแอตจะเอ็นดูเธอมากแค่ไหน แต่ ‘เมสัน แม็คไบรด์’ ลูกชายของเขากลับไม่ได้แสดงท่าทางเป็นมิตรกับเธอและแม่ของเธอเลยแม้แต่น้อย
สาวน้อยยืนพิงประตูห้องอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเข้าไปอาบน้ำสระผมในห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีโดยมีผ้าเช็ดตัวพันเรือนร่างอยู่เพียงผืนเดียว จากนั้นก็ไปนั่งเช็ดผมที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เนื้อตัวที่มอมแมมเมื่อครู่นี้ถูกชำระล้างออกจนสะอาดสะอ้าน ภาพที่สะท้อนออกมาเป็นหลักฐานได้อย่างดีว่าละอองฝนเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักมากแค่ไหน ดวงหน้ารูปไข่นั้นช่างงดงามเย็นตาประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ รับกับนัยน์ตากลมโตสีนิลมณีที่มีเงานุ่มส่งประกายคล้ายดั่งแก้วเจียระไน ริมฝีปากอิ่มสวยราวกับกลีบกุหลาบเป็นสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งลิปสติกให้ยุ่งยาก ผมดำขลับที่เปียกชื้นอยู่นั้นนุ่มสลวยไม่ต่างจากแพรไหม ตัดกับสีขาวนวลผุดผ่องของผิวกาย ซึ่งเนียนละเอียดไปทั่วร่าง ทั้งหมดนี้ล้วนถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ แต่ทว่าละอองฝนก็ไม่เคยสนใจรูปโฉมโนมพรรณของตัวเองแต่อย่างใด
หลังจากที่เช็ดผมเผ้าจนแห้งหมาดๆ สาวน้อยก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นมาสวมใส่ และรอเวลาจนแน่ใจว่าทุกคนขึ้นไปยังชั้นบนหมดแล้ว จึงออกไปหาอะไรกินในห้องครัว
พออิ่มก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง พร้อมกับจัดการล้างหน้าแปรงฟันใหม่ ก่อนจะคลานขึ้นไปนอนมองนาฬิกาอยู่บนเตียงจนเข็มชี้ว่าเป็นเวลาห้าทุ่มก็ดีดตัวขึ้นปิดไฟและแอบย่องออกจากห้องของตัวเองเงียบๆ ตรงไปยังห้องดูดาวบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องที่เธอแอบขึ้นไปเป็นประจำในยามค่ำคืน เพื่อชื่นชมความงดงามของเหล่าเดือนดารานับหมื่นนับล้านดวงที่มองเห็นได้อย่างแจ่มชัดในเวลานั้น
ในยามดึกอันเงียบสงัด เจ้าของคฤหาสน์วัยกลางคนหลับสนิทอยู่บนเตียงหลังจากกินยาหลังอาหารซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ง่วงงุน อดีตนางแบบสาวไฮโซในวัยเกือบสี่สิบปี จ้องมองสามีแต่ใจกลับประหวัดไปถึงผู้ชายอีกคน...
เมสันบุตรชายคนเดียวของไวแอต ถึงแม้เขาจะมีฐานะเป็นลูกเลี้ยงของเธอ แต่ก็มีอายุน้อยกว่าเธอเพียงแค่หกปี เขาช่างเป็นผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเร่าร้อนและน่าปรารถนาอย่างเหลือร้าย ไม่ต่างอะไรจากเปลวเพลิงกองใหญ่ๆ ที่หลอกล่อเหล่าแมงเม่าทั้งหลายให้กระเสือกกระสนโบยบินเข้าไปหาอย่างเต็มใจ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มปกคลุมด้วยหนวดเครารกครึ้มไม่ได้ทำให้เขาน่ามองน้อยลงเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับทำให้ดูดุดันและน่าค้นหามากกว่าเดิม ดวงตาคู่คมสีอำพันแข็งกระด้างบ่งบอกความทระนงและมั่นใจในตัวเอง เนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงไปทุกสัดส่วนสมกับเป็นคาวบอยที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลของขุนนางเก่าแก่ในอังกฤษ สิ่งที่ชวนให้น่าลุ่มหลงมากที่สุดในตัวบุรุษผู้นั้นก็คือท่าทีซึ่งเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและไม่ยอมใครของเขามันเป็นเสน่ห์และความท้าทายให้อยากมีโอกาสนอนครางกระเส่าอยู่ใต้ร่างกำยำของเขาสักครั้ง
ความรู้สึกนึกคิดนั้นทำให้แพรวดาวค่อยๆ ลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้ากระจก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ รูปร่างในวัยเกือบสี่สิบ ของเธอยังคงสมส่วน เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมอง เพราะเธอดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เธอใคร่รู้เหลือเกินว่ายามที่ร่างกายอันหนั่นแน่นทรงพลังของเมสันเสียดสีถูไถเข้ากับร่างกายของเธอมันจะให้ความรู้สึกที่ซาบซ่านสยิวทรวงมากแค่ไหน...
เมื่อความปรารถนาอันพลุ่งพล่านอยู่เหนือความถูกต้องและเหตุผลทั้งมวล แพรวดาวจึงหยิบเสื้อคลุมมาสวม แล้วเร้นกายออกจากห้องนอนในยามดึกอย่างเงียบเชียบ ตรงไปยังห้องของผู้ชายที่ทำให้เธอหวั่นไหวตั้งแต่สบประสานกับดวงตาสีอำพันครั้งแรกในวันที่เดินทางมาที่นี่ ซึ่งเธอรู้ดีว่าห้องของเขาอยู่ตรงไหนในคฤหาสน์หลังนี้
ครั้นพอไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของเมสันแล้ว แพรวดาวก็ไม่รีรอที่จะยกมือขึ้นเคาะประตู เพียงครู่หนึ่งประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกมาจากข้างใน สาวใหญ่คลี่ยิ้มยั่วยวนทันทีที่เห็นเจ้าของห้องอยู่ในชุดนอนลายทาง เปิดกระดุมเสื้อสองเม็ดบนเผยให้เห็นแผงอกกว้างล่ำสันที่มีขนสีทองขึ้นประดับเป็นแนวยาว ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดขนเหล่านั้นคงจะเรียงตัวลงไปจนถึงหน้าท้องและหายเข้าไปในขอบกางเกงของเขาเป็นแน่
“มีอะไร?” เสียงห้าวดุเอ่ยถามอย่างห้วนจัด
“ฉันมีธุระอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว...”
อดีตนางแบบสาวไฮโซเน้นคำว่า ‘ส่วนตัว’ พลางชม้ายสายตาขึ้นไปสบประสานกับดวงตาคู่คมอย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีชายใดรอดพ้นบ่วงพิศวาสของเธอได้สักคน
“มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆ”
“ฮื้อ...ใจเย็นๆ สิคะ เราเข้าไปคุยกันข้างในห้องดีกว่านะ”
แพรวดาวไม่พูดเปล่า แต่ยกมือขึ้นลูบไล้แผ่นอกกำยำด้วยลีลาจัดเจน จงใจปลุกเร้าให้อีกฝ่ายลุกโชนเป็นไฟ ตาอันหยาดเยิ้มคล้ายกับดอกกระดังงาลนไฟลดลงมามองริมฝีปากหยักได้รูปที่เป็นเส้นชัดเจนบ่งบอกว่าเป็นคนรักแรงและดุเดือดน่าดู
“เอามือออกไปจากตัวผม!” เมสันพูดเสียงกร้าวดุ แววตากระด้างขึ้นฉับพลัน ไร้อารมณ์ร่วมใดๆ อย่างสิ้นเชิง
“แล้วถ้าอย่างนี้ล่ะ... คุณจะยังไล่ฉันอยู่อีกมั้ย หือ...”
เสื้อคลุมถูกถอดออกจากเรือนกายของสาวใหญ่ก่อนจะทิ้งมันให้ตกลงพื้นด้วยท่วงท่าแบบเชื้อเชิญในเรื่องเพศเต็มที่ อวดรูปร่างสมส่วนละลานตาภายใต้ชุดนอนสายเดี่ยวยาวแค่ครึ่งต้นขา และคนที่อยู่ในฐานะภรรยาใหม่ของพ่อก็คลี่ยิ้มออกมาแบบสมใจ เมื่อมือใหญ่ตะปบเข้าที่ไหล่ของเธอ แพรวดาวมั่นใจว่าอีกไม่ถึงอึดใจเขาจะต้องกระชากเธอเข้าไปจูบ หลังจากนั้นบทรักแสนเร่าร้อนที่เธอเฝ้าถวิลหาก็จะบรรเลงขึ้นจนเตียงของเขาแทบจะลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน และเธอก็พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมที่จะถูกไฟสวาทของเขาพร่าผลาญให้มอดไหม้
แต่แล้วความหวังทั้งหมดทั้งมวลของแพรวดาวมีอันต้องพังครืนลงไม่เป็นท่า เมื่อมือใหญ่ที่กอบกุมอยู่บนต้นแขนของเธอนั้นเริ่มบีบแรงเข้าจนกระดูกแทบจะแตกละเอียด
“โอ๊ย!”
สาวใหญ่ร้องออกมาพลางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ หากก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าเมสันอาจจะเป็นผู้ชายที่ชอบทำอะไรรุนแรงตามบุคลิกของเขา ซึ่งถ้าเป็น เช่นนั้นเธอก็ไม่เกี่ยง ทว่าความหวังของแพรวดาวก็ดับวูบลงราวกับเปลวไฟที่ถูกมวลน้ำซัดสาดเข้าใส่อย่างจังอีกครั้ง เมื่อเสียงห้าวดุทรงพลังตวาดดังลั่นขึ้น!
“ถ้ายังรักจะเป็นเมียพ่อผมและอยากมีที่ซุกหัวนอน ก็อย่าทำตัวร่านกับผมหรือผู้ชายคนไหนอีก ไม่อย่างนั้นผมจะกระชากคุณไปหาพ่อผม และบอกเรื่องที่คุณกำลังทำเดี๋ยวนี้” มือใหญ่ผลักร่างของผู้หญิงตรงหน้าออกไปเต็มแรงอย่างรังเกียจ ทำให้แพรวดาวล้มก้นจ้ำเบ้ากระแทกลงกับพื้นจนเจ็บร้าวไปทั้งตัว แต่นั่นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับดวงตาวาวโรจน์ของเขาที่กำลังสาดปะทุ ขณะมองมาเสมือนเปลวไฟจากโลกันตร์ก็ไม่ปาน
“คุณเมสัน!”แพรวดาวเม้มปากเข้าหากันแน่นจนปรากฏรอยย่นบริเวณ หางตาอย่างพยายามเก็บอาการที่สุด
“อย่าริอ่านมาทำแบบนี้กับผมอีก ต่อให้คุณมาแก้ผ้าต่อหน้าผม ผมก็ไม่คิดจะใช้ผู้หญิงร่วมกับพ่อและไม่เคยคิดอยากจะแตะต้องคนที่ทำตัวไร้ยางอายและน่าสมเพชแบบคุณ” วาจาผรุสวาทของเมสันเต็มไปด้วยความเจ็บแสบ ไม่ไว้หน้า ไม่รักษาน้ำใจ ดูถูกดูแคลนและเย้ยหยันระคนกัน แต่มันก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้หญิงที่ไร้ยางอายเช่นแพรวดาว!
“เมสันคะ...”
“กลับไปซะ! ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะเป็นคนพาคุณไปส่งเอง! หรือจะต้องให้ผมไปเรียกพ่อมาพาคุณกลับไป”
เมสันคำรามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเสมือนเสือที่ถูกกระตุกหนวดจนสามารถตะปบคนให้ตายได้ง่ายๆในชั่วพริบตา
“อย่านะคะ!” แพรวดาวรีบตาลีตาเหลือกร้องห้าม
“ฉันจะกลับไปห้องเดี๋ยวนี้แหละ”
สาวใหญ่รีบลนลานลุกขึ้น แล้วหมุนตัวกลับด้วยความรู้สึกที่เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจและอับอายเป็นที่สุด ความโกรธที่มาพร้อมกับการดูแคลนของเมสันนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“เดี๋ยว!”
เสียงห้วนๆ ของเมสันที่เรียกขึ้นทำให้อดีตนางแบบสาวใจชื้นขึ้นมาทันทีพลางแอบหวังว่าบางทีเขาอาจจะเปลี่ยนใจเรียกเธอเข้าไปในห้องก็เป็นได้
“คะ” เธอหันมาพร้อมทั้งส่งยิ้มหวานหยดปานน้ำผึ้งเดือนห้า
“เอาเสื้อคลุมของคุณกลับไปด้วย”
ประโยคดังกล่าวทำเอาแพรวดาวหน้าเจื่อนลงเป็นครั้งที่สอง รีบก้มลงหยิบเอาเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่ คราวนี้เธอเดินแกมวิ่งกลับห้องของตัวเองอย่างไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลืออีกต่อไป
สาวน้อยที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องดูดาวยืนตัวแข็งเป็นก้อนหินกับเหตุการณ์ตรงหน้า แม้จะไม่ได้ผูกพันกับมารดาสักเท่าไหร่ แต่ก็อดเสียใจและอดสูกับการกระทำอันน่าละอายเช่นนั้นของคนเป็นแม่ไม่ได้ เธอไม่เคยรู้ว่าก่อนที่แพรวดาวจะแต่งงานกับไวแอต แพรวดาวใช้ชีวิตส่วนตัวเช่นไร แต่สิ่งที่แม่ของเธอทำไปเมื่อครู่นี้มันเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและผิดต่อสามีอย่างร้ายแรง
“โธ่...คุณทำไมถึงทำแบบนี้”
เสียงหวานใสเผลอพึมพำออกมาเบาๆ อย่างสะท้อนใจ แต่นั่นก็มากพอที่ทำให้เมสันซึ่งกำลังจะปิดประตูห้องหันขวับมองไปยังต้นเสียงทันที
“นั่นใคร!!??”
เสียงเข้มดุที่ดังขึ้นทำให้ละอองฝนได้สติ และรีบยกมือปิดปากตัวเองอย่างตื่นตระหนกใจ โชคดีที่บริเวณซึ่งเธอยืนอยู่นั้นค่อนข้างมืดเขาจึงไม่เห็นเธอ
“ฉันถามว่าใคร...ฮะ!!” เมสันถามในน้ำเสียงโทนเดิมที่ฟังดูเกรี้ยวกราดขึ้น และเมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมา ชายหนุ่มจึงสาวเท้าเข้าไปหาคนที่แฝงกายอยู่บริเวณมุมห้องทันที
ละอองฝนหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเมื่อร่างใหญ่กำยำขยับตัวใกล้เข้ามา อารามตกใจทำให้เท้าเล็กๆ วิ่งหนีกลับไปยังห้องดูดาวโดยไม่คิดชีวิต
เมสันก้าวพรวดพราดตามอย่างรวดเร็ว ถึงแม้สาวน้อยจะซอยเท้าเร็วยิกๆ เพียงใด แต่ก็ยังไม่ไวพอที่จะหนีฝีเท้ายาวๆ ของชายหนุ่มพ้น มือใหญ่หนาดั่งคีมเหล็กเอื้อมไปดึงผมสลวยจนละอองฝนหน้าแหงนหงาย ก่อนที่เอวเล็กกิ่วจะถูกแขนแกร่งตวัดล็อกจากด้านหลัง
สาวน้อยดิ้นรนสุดเรี่ยวแรงอย่างคนที่อยู่ในภาวะหวาดกลัวและตกใจสุดขีด กายบอบบางพยายามบิดหนีเพื่อจะให้หลุดจากพันธนาการอันน่าระทึกนั้นให้ได้ แต่วงแขนของเขาช่างแข็งแกร่งนัก ดิ้นอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้เสียที
มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาตะปบที่หัวไหล่แล้วหมุนร่างเล็กๆ ให้หันมาเผชิญหน้า การต่อสู้กันท่ามกลางความมืดดังขลุกขลักและดูเหมือนว่าคนที่เรี่ยวแรงน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อเขาคว้าถูกบริเวณคอเสื้อของเธอแล้วกระชากทีเดียวสุดแรงจนขาดดังแควก!
“กรี๊ดดด!”
ละอองฝนหวีดร้องเสียงหลงด้วยตระหนักว่าคอเสื้อยืดของตัวเองนั้นขาดวิ่นจากการถูกกระชาก สาวน้อยได้จังหวะสะบัดตัวอีกครั้ง แต่เท้ากระจิ๋วของเธอก็ลื่นพื้นปาร์เกต์ที่ถูกขัดถูอยู่เป็นประจำ ทำให้เสียหลักล้มหงายหลังลงไปกองแหมะกับพื้น ทั้งจุกทั้งเจ็บหากก็ยังไม่มากเท่าความตื่นกลัวซึ่งเกิดจากการเผชิญหน้ากับผู้ชายที่น่าสะพรึงอย่างเมสันในตอนนี้
ชายหนุ่มไม่ละโอกาสนั้น ร่างสูงใหญ่ตามทาบทับลงไปในลักษณะกางขาคร่อมร่างของเธออย่างว่องไว สองแขนเรียวรีบยกขึ้นมาปิดบังทรวงอกอิ่มที่ซ่อนรูปให้พ้นจากสายตาคู่คมแม้จะอยู่ในความมืดก็ตาม แต่มืออันแข็งแรงก็ตรงเข้ารวบข้อมือเล็กแล้วตรึงไว้กับพื้นเหนือศีรษะได้รูปอย่างง่ายดาย
ความร้อนผ่าวจากร่างหนาบึกบึนนาบลงมาไสเสียดเข้ากับทรวงอกอวบอิ่มเกือบเปลือยเปล่านั้น ละอองฝนยังพยายามดีดดิ้นสุดกำลังเพื่อให้ร่างน้อยซึ่งถูกจองจำอยู่ใต้เรือนกายแกร่งของเขาเป็นอิสระ ทว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งเหมือนแอ่นหยัดให้ความนุ่มหยุ่นของเต้าทรวงสล้างถูไถกับความกำยำของอกกว้างซึ่งอัดแน่นไปด้วยลอนมัดกล้ามมากยิ่งขึ้น และแม้การบดเบียดในระยะประชิดนั้นจะเป็นไปเพราะการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่ปลายถันอันแสนอ่อนไหวกลับชูชันยอดขึ้นเป็นเม็ดกลมเสมือนดอกไม้เบ่งบานรับหยาดพิรุณอย่างน่าตกใจ
“หยุดดิ้นและหยุดร้อง ไม่อย่างนั้นฉันจะบีบคอเธอให้ตายเดี๋ยวนี้!”
คำขู่ของเขาทำให้ละอองฝนรีบหุบปากเงียบสนิทพร้อมทั้งหยุดดิ้นลงโดยพลันดุจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกถอดปลั๊ก แม้ในห้องนั้นจะมืดมิดแต่เธอก็รู้สึกถึงใบหน้าแข็งกร้าวราวกับโจรสลัดของผู้ที่พันธนาการตนอยู่ สาวน้อยพยายามสะกดอาการสั่นสะท้านของตัวเองและเอ่ยปากขอร้องเขา
“อย่าทำอะไรดิฉันเลยนะคะคุณเมสัน!”
“เธอนั่นเอง...”
ละอองฝนไม่มีเวลาสงสัยว่าทำไมเขาถึงจำเสียงของเธอได้ ทั้งๆ ที่เคยคุยกันแทบจะนับคำ เพราะตอนนี้สิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุดก็คือหลุดพ้นจากพันธนาการดิบเถื่อนนั้นเสียก่อน
“ปล่อยดิฉันเถอะนะคะ...คุณเมสัน” สาวน้อยเอ่ยปากอ้อนวอน
“เธอขึ้นมาบนนี้ทำไม คิดจะมาขโมยอะไร ฮึ!” เสียงห้าวดุดันถามอย่าง คุกคามและเอาเรื่องเต็มที่
คำพูดนั้นทำให้เจ้าของร่างบางตัวสั่นระริกคล้ายดั่งลูกกวางน้อยที่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพญาราชสีห์แสนดุร้าย เธอรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราดที่แสดงออกอยู่บนสีหน้าและแววตาของเขา จึงคิดว่าควรจะอธิบายให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ
“ดิฉันเปล่านะคะ ดิฉันแค่ขึ้นมาดูดาวเท่านั้น ไม่ได้จะมาทำอะไรอย่างที่คุณพูดเลยสักนิด”
“ผู้ร้ายปากแข็ง!” เมสันตะคอกเสียงดัง ขณะหรี่ตาลงแคบๆ อย่างไม่คิดจะเชื่อคำพูดของคนใต้ร่างเลยแม้แต่น้อย มือแกร่งข้างหนึ่งละมาบีบคางมนของเธอเต็มแรงอย่างไร้ความปรานีจนสาวน้อยต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บร้าว
“บอกความจริงมา... ไม่อย่างนั้นเธอจะเจ็บหนักยิ่งกว่านี้!”
“ดิฉันเปล่าจริงๆ นะคะจะให้ดิฉันสาบานก็ได้”เสียงหวานรีบยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเองทันที
“แล้วใครอนุญาตให้เธอขึ้นมายุ่มย่ามบนนี้” เขาถามเสียงกร้าวกระด้างพลางโน้มหน้าลงมาใกล้ๆ จนเธอสัมผัสถึงลมหายใจร้อนๆ ที่ผสมมากับความ พิโรธของเขา
“ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้คิดจะขึ้นมายุ่มย่ามบนนี้จริงๆ”
ในสถานการณ์น่าตื่นกลัวเช่นนั้นสาวน้อยคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากพร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษเพียงอย่างเดียว
“ถ้าอย่างนั้นเธอขึ้นมาทำไม หรือคิดจะมาเสนอตัวให้ฉันเหมือนอย่างที่ป้าของเธอทำเมื่อกี้นี้...ห๊า!”
“เปล่านะคะ”ใบหน้าจิ้มลิ้มส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “ดิฉันไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น”
“ป้ากับหลานก็คงไม่ต่างอะไรกันหรอก เชื้อคงไม่ทิ้งแถว ร่าน! แพศยา! ใจง่าย!” น้ำเสียงของเมสันเต็มไปด้วยการดูแคลนและเย้ยหยัน
ละอองฝนรู้สึกได้ว่าตอนนี้สายตาที่เย็นชาปานน้ำแข็งอยู่เป็นนิจวาวโรจน์ขึ้น เนื้อตัวของเขาก็ร้อนรุ่มเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน บ่งบอกถึงโทสะที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกขณะ ทำให้เรือนกายของเธอไม่ต่างอะไรกับกำลังจะถูกเผาไหม้
“ได้โปรด...ปล่อยดิฉันเถอะนะคะ...คุณเมสัน”
เธอไม่มีถ้อยคำใดๆ จะแก้ต่างให้ตัวเองและผู้เป็นแม่ นอกจากคำพูดอ้อนวอนเพื่อให้พ้นจากการถูกคุมขังใต้ร่างใหญ่ของเขา
“กลับลงไปซะ...ละอองฝน แล้วอย่าให้ฉันเห็นว่าเธอขึ้นมาบนนี้ หรือคิดจะทำอะไรเหมือนอย่างที่ป้าของเธอทำอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเฆี่ยนให้หลังลาย” เมสันคาดโทษและบีบข้อมือเล็กๆ เข้าเต็มแรงจนสาวน้อยหยีตาด้วยความเจ็บปวดสุดแสน ราวกับกระดูกกำลังจะถูกบดให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ได้ค่ะ ดะ...ดะ...ดิฉันสัญญาว่าจะไม่ขึ้นมาที่นี่อีก” ละอองฝนตัวสั่นงันงก รีบรับปากอย่างไม่ลังเล เธอเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้เสียเวลาว่าคนโหดร้ายเช่นเขากล้าทำแบบนั้นแน่นอน
เมสันคลายมือออกและลุกขึ้นจากร่างเล็ก สาวน้อยรีบรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด วิ่งกระเซอะกระเซิงกลับลงไปยังชั้นล่าง เปิดประตูห้องมือไม้สั่นระริก ก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียงด้วยอาการที่หัวใจยังเต้นแรงโครมครามไม่หาย ร่างกายของเธอก็อ่อนเปลี้ยราวถูกสูบพลังจากแม่เหล็กแรงสูง การเผชิญหน้ากับเมสันเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่าที่จินตนาการเอาไว้หลายร้อยเท่านัก เขาเป็นผู้ชายที่แข็งแรงและโหดร้ายป่าเถื่อน ไม่ผิดไปจากหน้าตาของเขาเลยสักนิด
ละอองฝนตื่นขึ้นมาในยามอรุณรุ่งของเช้าวันใหม่ที่เคล้าคลอไปด้วยเสียงนกร้องจิ๊บๆ และเพียงแค่ร่างเล็กขยับเบาๆ ก็ต้องรีบสูดปากออกมาด้วยความเจ็บร้าวไปทั้งกาย โดยเฉพาะบริเวณข้อมือและปลายคางที่ถูกมือแข็งแรงบีบจนแทบจะแตกหักเมื่อคืนนี้ เธอถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะลุกไปเปิดไฟแล้วก็ต้องนิ่วหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าข้อมือเล็กๆ ของตัวเองมีรอยเขียวจ้ำๆ ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเมื่อคืนนี้เธอเจอการคุกคามมาจริงๆ แต่สาวน้อยก็ไม่มีเวลาจะมาอนาทรต่อความเจ็บของตัวเองมากนัก ด้วยหน้าที่ในครัวยังรออยู่
ร่างบอบบางลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปช่วยงานในครัวอย่างที่ทำเป็นปกติทุกวันหลังจากเสร็จเธอก็ต้องไปช่วยเสิร์ฟอาหารและคอยอำนวยความสะดวกที่โต๊ะ ก่อนจะกลับเข้ามานั่งกินในครัวคนเดียว เจ้าของบ้านไม่ได้บอกให้เธอทำงานนี้ แต่คนที่ออกคำสั่งก็คือ ‘คุณ’ โดยให้เหตุผลว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ซึ่งละอองฝนก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด สาวน้อยกลับรู้สึกโล่งใจเสียอีกที่ไม่ต้องนั่งร่วมโต๊ะอาหารเพราะเธอคงจะกลืนข้าวไม่ลงถ้าถูกสายตาดุๆ ของเมสันจ้องมองเหมือนคาดโทษอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตอนอยู่ที่ประเทศไทยเธอก็ตื่นมาช่วยยายกับน้าทำอาหารเพื่อไปขายที่ตลาดเป็นประจำอยู่แล้ว
เมื่อได้เวลาละอองฝนก็ช่วยแม่บ้านและสาวใช้ลำเลียงอาหารออกมาตั้งโต๊ะ พอเจ้านายทั้งสามนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันครบ สาวใช้ก็ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร ส่วนละอองฝนทำหน้าที่รินน้ำให้ทุกคน
“นั่นข้อมือไปโดนอะไรมาน่ะออม ทำไมมันถึงได้เขียวคล้ำแบบนั้น”
แพรวดาวถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าข้อมือเล็กๆ ของลูกสาวมีร่องรอยฟกช้ำตอนที่เธอยื่นมือมารินน้ำ
“เอ่อ...คือ...เมื่อคืนออมนอนละเมอตกเตียงค่ะ แขนก็เลยฟาดกับขอบเตียง” สาวน้อยจำต้องพูดปดกับผู้เป็นมารดา และอดที่จะปรายหางตาชำเลืองมองไปทางต้นเหตุไม่ได้ เห็นเขาทำหน้านิ่งขรึมเงียบเฉยเหมือนกับหุ่นยนต์ก็ยิ่ง ใจไม่ดี
“แน่ใจเหรอ?” แพรวดาวหรี่ตาลงแคบๆ ด้วยความสงสัยมากขึ้นเมื่อเห็นละอองฝนมองไปทางเมสัน“แต่คุณว่าร่องรอยมันเหมือนกับถูกกระชากนะ”
“จริงๆ ค่ะคุณ” ละอองฝนพยายามทำเสียงหนักแน่น แล้วก็ถอยห่างออกไปยืนข้างๆ โต๊ะอาหารเพราะไม่อยากโดนซักไซ้ไปมากกว่านั้น ด้วยกลัวว่าจะแสดงพิรุธออกมาให้แพรวดาวได้เห็น เนื่องจากปกติเธอเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย
“ก็แล้วไป แต่อย่าให้คุณรู้นะว่าแอบไปทำอะไรโดยที่ไม่บอกคุณ”
คนเป็นแม่สำทับเสียงเข้ม ทั้งขู่ลูกสาวและเหมือนตั้งใจจะให้กระทบไปถึงคนที่นั่งทำหน้าตายอยู่ตรงข้ามกลายๆ
“ละอองฝนก็คงจะชอบ ‘แอบ’ ทำอะไรเหมือนอย่างที่คุณชอบนั่นแหละ”
เมสันที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นด้วยเสียงห้าวดุดัน ริมฝีปากหยักเหยียดได้รูปคล้ายจะเยาะ
“คุณเมสัน!”
แพรวดาวที่ทำเสียงเข้มอยู่เมื่อครู่นี้หน้าซีดเผือดลง กลัวเขาจะพูดในสิ่งที่เธอไม่อยากให้พูด ไม่อย่างนั้นเธอกับละอองฝนคงจะได้ระเห็จออกไปจากบ้านหลังนี้เป็นแน่ เพราะคำพูดของลูกชายที่เป็นคนจริงจังอย่างเมสันต้องน่าเชื่อถือมากกว่าภรรยาใหม่อย่างเธออยู่แล้ว
“มีอะไรที่พ่อไม่รู้หรือเปล่า?” ไวแอตหันไปทางเมสันเมื่อรู้สึกว่าหัวข้อสนทนานั้นเริ่มกำกวมและอยู่นอกเหนือจากเรื่องที่เขารู้
“ผมว่าให้ภรรยาของพ่อตอบเองจะดีกว่านะ”
“เอ่อ...คือคุณเมสันคงจะหมายถึงเรื่องที่แพรวแอบถักเสื้อกันหนาวให้คุณน่ะค่ะไวแอต” แพรวดาวรีบหาทางออกให้ตัวเองทันที
“ความจริงแพรวตั้งใจว่าจะเซอร์ไพรส์วันเกิดของคุณ แต่พอดีคุณเมสันไปเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยไม่เซอร์ไพรส์เลย”
คำตอบของผู้เป็นภรรยาทำให้ท่าทีเคลือบแคลงสงสัยของไวแอตเปลี่ยนไปโดยพลัน ใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูเครียดๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที
“อย่างนั้นเองหรอกเหรอที่รัก”
“ค่ะ...แต่สงสัยแพรวต้องหาของขวัญให้คุณใหม่แล้วล่ะค่ะ” แพรวดาวได้ทีรีบทำเสียงและสายตาอ้อนๆ ใส่สามี
“ไม่เป็นไรหรอกที่รัก คุณอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ทั้งที...”
ไวแอตบอกอย่างอ่อนโยนรักใคร่ ในขณะที่คนมีชนักติดหลังแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เป็นเชิงโล่งอกที่เอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
ละอองฝนที่ยืนฟังเงียบๆ รู้สึกสงสารและเห็นใจไวแอตยิ่งนัก แต่จะให้โกรธเกลียดผู้เป็นแม่นั้นเธอก็ทำไม่ได้ สาวน้อยลอบมองไปทางเมสันอีกครั้ง เห็นประกายตาของเขามีร่องรอยการเหยียดหยามเจืออยู่อย่างเปิดเผย ก็ยิ่งสะท้อนใจในการกระทำของมารดาเหลือเกิน
“แล้วนี่แกจะไปรับเทเรซ่ากับธัญญ่าเลยหรือเปล่า” ไวแอตเอ่ยถามลูกชายหลังจากรับประทานอาหารเช้าอิ่มแล้วโดยยกกาแฟขึ้นมาจิบขณะรอคำตอบ
“ผมคงไม่ไปเอง พอดีผู้จัดการฟาร์มโทร.มาบอกว่าเมื่อคืนพรีมโรสตกลูก ตัวนี้เป็นลูกของเจ้าเฮดีส ผมก็เลยว่าจะแวะไปดูสักหน่อย ส่วนเทเรซ่ากับธัญญ่าเดี๋ยวผมจะให้เอเดรียนไปรับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ เห็นม้าสำคัญกว่าคู่หมั้น” ผู้เป็นพ่อนิ่วหน้าเป็นเชิงประชดลูกชายคนเดียวออกมาตรงๆ
“ใครไปรับก็มาถึงเหมือนกันนั่นแหละ ผมขอตัวก่อนนะ”
ว่าแล้วร่างกำยำก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหยิบเอาหมวกปีกใบใหญ่แบบคาวบอยที่แขวนอยู่หน้าประตูทางออก ก้าวดุ่มตรงไปขึ้นรถจี๊ปซึ่งจอดอยู่หน้าคฤหาสน์ ก่อนจะเหยียบคันเร่งและบังคับพาหนะคู่ใจไปยังฟาร์มโดยไม่คิดจะไยดีอะไรอีก
“ที่คุณคุยกับคุณเมสันเมื่อครู่นี้หมายความว่ายังไงเหรอคะไวแอต”
แพรวดาวรีบหันมาถามสามีด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างไม่ชอบใจเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเมสันกำลังจะมาที่นี่
“เทเรซ่ากับธัญญ่าจะมาอยู่กับเราสักระยะ”
“มาอยู่กับเรา!” สาวใหญ่เผลออุทานเสียงสูงแหลมอย่างลืมตัว
“ใช่” ไวแอตพยักหน้าน้อยๆ “มีอะไรหรือเปล่าที่รักทำไมทำเสียงแบบนั้น”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ เพียงแต่แพรวไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น คุณน่าจะบอกก่อนแพรวจะได้ดูแลเรื่องห้องหับไว้ให้” แพรวดาวปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้ร้อนรุ่มดุจไฟผลาญเต็มที เพราะไม่ชอบหน้าสองสาวพี่น้องนั่นเท่าไหร่นัก แม้จะเป็นญาติห่างๆ ของผู้เป็นสามีก็ตาม
“ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย...” คนเป็นสามีบอกอย่างยิ้มแย้ม“...เรื่องนั้นให้แม่บ้านจัดการดีกว่า”
“แล้วสองคนนั่นจะมาอยู่ที่นี่นานมั้ยคะ”
“คงจะอยู่จนกว่าเทเรซ่าจะแต่งงานกับเมสันนั่นแหละ ส่วนธัญญ่าก็จะมาช่วยดูแลผม ผมว่าดีเสียอีกคุณจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”ไวแอตหันมาสบตากับแพรวดาวทำให้เธอต้องจำใจฉีกยิ้มกว้างๆ และแสร้งทำหน้าระรื่น
“ความจริงแพรวก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกนะคะ แต่คิดๆ ไปก็ดีเหมือนกัน เพราะธัญญ่าเป็นพยาบาลน่าจะช่วยแพรวได้เยอะเชียวค่ะ” อดีตนางแบบสาวพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
ละอองฝนยืนฟังเงียบๆ เช่นเดิม เธอไม่ได้สนใจว่าใครจะไปใครจะมา แต่สิ่งที่เธอสนใจก็คือเรื่องที่ม้าในฟาร์มตกลูก และมันเป็นลูกของเจ้าเฮดีสซึ่งเป็นม้าตัวโปรดของเมสัน เธอใคร่อยากเห็นนักว่าม้าตัวน้อยที่เพิ่งจะคลอดออกมาใหม่นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และจะสง่างามเหมือนเจ้าเฮดีสหรือเปล่า
หลังจากเก็บโต๊ะเรียบร้อย สาวน้อยก็จัดการกับอาหารเช้าของตัวเอง จากนั้นก็หยิบเอาหนังสือออกไปนั่งอ่านใต้ต้นแอปเปิลข้างๆ คฤหาสน์ที่กำลังออกลูกแดงสะพรั่งเต็มต้น หนังสือที่ละอองฝนอ่านเป็นวรรณกรรมภาษาอังกฤษซึ่งเป็นหนังสือประเภทที่เธอโปรดปรานมากที่สุดมาตั้งแต่เด็ก ผลจากการอ่านอยู่บ่อยๆ ทำให้เธอเป็นคนที่มีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษดีเยี่ยม ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็เลือกเรียนในสาขาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และก็อดเสียใจไม่ได้ที่ต้องลาออกทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเรียนได้แค่เทอมเดียว สาวน้อยหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งที่นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับผู้เป็นมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น
สายลมเย็นๆ ซึ่งพัดโชยมาท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมด้วยเนินหญ้าและต้นไม้สีเขียวขจีอันแสนสงบทำให้ละอองฝนเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือจนเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการของตนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีรถแล่นเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสน์ ซึ่งคนที่ก้าวลงจากรถเป็นคนแรกก็คือเอเดรียนคนสนิทของเมสัน และอีกสองคนเป็นสองสาวชาวอเมริกัน รูปร่างหน้าตาดีทั้งคู่ซึ่งสาวน้อยคาดว่าคงจะเป็นเทเรซ่ากับธัญญ่าที่ไวแอตกับเมสันพูดถึงเมื่อเช้านี้ เธอไม่เคยเห็นทั้งสองคนมาก่อน แต่คนเป็นแม่น่าจะเคยเห็นเพราะไปงานเลี้ยงข้างนอกกับไวแอตบ่อยๆ คงมีโอกาสเจอกันบ้าง
เอเดรียนมองมายังละอองฝน หลังจากที่เขาหิ้วกระเป๋าเข้าไปส่งเทเรซ่ากับธัญญ่าในคฤหาสน์แล้ว ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดก็เดินตรงมาหาทันที
“พี่เอเดรียน...”
ละอองฝนยิ้มทักทาย ในไร่แห่งนี้เอเดรียนคือคนที่เธอสนิทสนมด้วยมากที่สุด เพราะตอนที่แอบเข้าไปเที่ยวในฟาร์มเขาจะเป็นคนคอยพาเธอดูม้าและยังสอนให้เธอขี่ม้าด้วย
“ทำอะไรอยู่เหรอออม”
“กำลังอ่านหนังสือค่ะ” สาวน้อยคลี่ยิ้มหวาน “พี่เอเดรียนกำลังจะเข้าฟาร์มใช่ไหม เมื่อเช้าออมได้ยินคุณเมสันพูดว่าพรีมโรสตกลูก”
“ใช่...เป็นม้าเพศผู้ด้วยนะออม ลักษณะสง่างามและท่าทางจะพยศแรงเหมือนเจ้าเฮดีสไม่มีผิด พี่อยากให้ออมเห็น ออมคงชอบมัน”
คำบอกเล่าของเอเดรียนทำให้ดวงตาคู่สวยไหวระริกด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที แต่ก็ต้องควบคุมความรู้สึกนั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ ด้วยเพราะรู้ว่าเจ้าของฟาร์มไม่ชอบให้เธอไปยุ่มย่ามในอาณาจักรและของของเขา
“ออมคงไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะพี่เอเดรียน พี่ก็รู้ว่าเพราะอะไร...”
“ถ้างั้นว่างๆ ออมแวะไปนะ เอาไว้ไปวันที่คุณเมสันไม่อยู่ก็ได้”
“ค่ะ” ละอองฝนพยักน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ “แล้วเจ้าม้าน้อยมีชื่อหรือยังคะพี่เอเดรียน”
“ตอนนี้น่าจะมีแล้ว เมื่อเช้าคุณเมสันเข้าไปดูคงจะจัดการตั้งชื่อให้มันเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“อยากรู้จังนะคะว่ามันจะชื่อว่าอะไร...” เสียงหวานเอ่ยเหมือนกับรำพึง
“ตอนเย็นลองถามคุณเมสันดูสิ”
ถามเมสันอย่างนั้นหรือ! แค่ต้องยืนเผชิญหน้ากับเขาเพียงไม่กี่วินาทีก็ทำเอาเธอหายใจแทบไม่ออกแล้ว นับประสาอะไรกับจะให้ไปละลาบละล้วงถามเขาแบบนั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สาวน้อยบอกตัวเองในใจ ก่อนจะยิ้มละไมให้เอเดรียนเช่นเดิม
“พี่เอเดรียนกลับฟาร์มเถอะค่ะ เดี๋ยวออมก็จะเข้าบ้านแล้ว มีแขกมาเผื่อคุณลุงอยากจะไหว้วานให้ออมทำอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เอาไว้เจอกัน” เอเดรียนยกมือขึ้นเป็นเชิงเอ่ยลา ใจจริงอยากจะยกมือขึ้นขยี้ผมนุ่มสลวยของเธอด้วยความเอ็นดู แต่ก็รู้ว่าสาวน้อยมีฐานะเป็นหลานสาวของภรรยาเจ้านายจึงหักห้ามใจเอาไว้แค่นั้น
คล้อยหลังเอเดรียน ละอองฝนจึงกลับเข้าไปในห้องโถงของคฤหาสน์ก็เห็นว่าไวแอตกับแพรวดาวนั่งอยู่บนโซฟารับแขกกับสาวสวยอีกสองคนที่เพิ่งจะมาถึง
“หนูออมมานี่ก่อนสิ” ไวแอตเรียกเมื่อเห็นสาวน้อยเดินเข้ามา ละอองฝนจึงเข้าไปหาตามคำสั่ง
“คุณลุงมีอะไรจะให้ออมรับใช้คะ”
“เปล่าหรอก ลุงแค่อยากแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา นี่เทเรซ่าคู่หมั้นของเมสัน แล้วก็ธัญญ่าน้องสาวของเทเรซ่าเป็นพยาบาลที่จะมาช่วยดูแลลุง” เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยแนะนำ ในขณะที่แม่ของละอองฝนนั่งหน้าเชิดอย่างวางท่า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ดิฉันชื่อ...ละอองฝนภาษาอังกฤษแปลว่าเรนนี่ค่ะ” สาวน้อยแนะนำตัวเองและยื่นมือไปให้เทเรซ่าจับก่อน
สาวงามผู้เย่อหยิ่งมองละอองฝนอย่างคนไว้ตัว ก่อนจะยื่นมือไปจับตอบเพียงไม่ถึงอึดใจก็ชักมือกลับ ซึ่งสาวน้อยก็ไม่ได้คิดถือสาเพราะตัวเองก็ไม่ได้มีเกียรติอะไรที่จะให้ใครมาเห็นความสำคัญอยู่แล้ว จากนั้นละอองฝนก็หันไปทางธัญญ่าบ้าง ซึ่งธัญญ่ากลับคลี่ยิ้มให้เธออย่างผูกมิตรทำให้ละอองฝนค่อยคลายใจ อย่างน้อยสองพี่น้องก็ไม่ได้ถือตัวเหมือนกันซะทีเดียว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อ...ธัญญ่าเธอมีชื่อเล่นมั้ย”
“คุณธัญญ่าเรียกดิฉันว่าออมก็ได้ค่ะ”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิดเธอคงจะเกิดเดือนมิถุนายนใช่หรือเปล่าถึงได้ชื่อว่าละอองฝน” ธัญญ่าชวนคุยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ใช่ค่ะ ออมเกิดเดือนมิถุนายน เป็นช่วงหน้าฝนของประเทศไทยพอดีชื่อจริงก็เลยชื่อละอองฝนค่ะ” สาวน้อยบอกเสียงหวานใสน่าชวนฟังทำให้ธัญญ่าอดที่จะเพ่งพิศใบหน้าของคนมาใหม่อย่างจริงจังไม่ได้ ละอองฝนเป็นคนที่สวยสะดุดตามาก ใบหน้าหวานเนียนใสสมวัยนั้น ถูกแต่งแต้มด้วยดวงตาคมดำขลับคิ้วโก่งโค้งดั่งคันธนู จมูกเรียวโด่งรั้น รับด้วยริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ เธอเคยได้ยินมาว่าริมฝีปากแบบนี้ล่ะที่ผู้ชายชอบนักหนาเพราะเวลาจูบจะให้อารมณ์อย่างที่สุด
“ชื่อเหมาะกับตัวมาก หน้าตาก็สะสวย รูปร่างก็น่าทะนุถนอม...” คนที่เพิ่งพินิจเสร็จเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากค่ะ คุณธัญญ่าเองก็สวยมากเช่นกัน” ละอองฝนตอบกลับอย่างอดเขินไม่ได้เพราะไม่ค่อยมีคนชมแบบนี้บ่อยนัก นอกจากยายและน้าสาวเท่านั้น
“ขอบใจจ้ะออม แต่ฉันน่ะสวยน้อยกว่าพี่เทเรซ่า” ธัญญ่าพูดพลางหันไปทางพี่สาวอย่างชื่นชม
“มีอะไรก็ไปทำได้แล้วออม” แพรวดาวแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ไม่ชอบใจนักที่บุตรสาวผูกมิตรกับคนที่จะมาแย่งทุกอย่างไปจากตน อดีตนางแบบสาวใหญ่รู้ถึงสถานะของตัวเองดี เพราะถึงแม้ตอนนี้จะได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของไวแอต แต่ไวแอตก็อายุมากแล้วและมีโรคประจำตัว เมื่อเขาเสียชีวิตไปทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักรแห่งนี้ก็ต้องตกเป็นของเมสัน และผู้หญิงที่จะได้เป็นใหญ่ในอาณาจักรแห่งนี้รองจากเมสันก็ต้องเป็นภรรยาของเขา ส่วนเธอเองกับลูกสาวก็จะมีสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับเหลือบไรตัวเล็กๆเท่านั้น
เมื่อผู้เป็นมารดาออกคำสั่งเช่นนั้น ละอองฝนจึงต้องหลบเข้าไปในห้องขลุกตัวอยู่แต่ในนั้นกับหนังสือเล่มโปรด รอเวลาจนกระทั่งถึงช่วงเย็นก็ออกไปช่วยงานในครัวซึ่งเป็นงานอย่างเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์อยู่บ้างกับการที่ต้องมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โตหลังนี้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นนี้แตกต่างไปจากทุกวันเนื่องจากมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกสองคน ไวแอตนั่งหัวโต๊ะเช่นเดิม ด้านขวามือเป็นเมสันนั่งคู่กับเทเรซ่า ส่วนด้านซ้ายมือแพรวดาวนั่งคู่กับธัญญ่า
เทเรซ่ามีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสยามอยู่ต่อหน้าเมสันและเอาอกเอาใจชายหนุ่มเป็นอย่างดี ไม่ได้มีท่าทีเย่อหยิ่งไว้ตัวเหมือนอย่างที่แสดงออกกับคนอื่นๆ ทำให้แพรวดาวแอบจิกตาใส่ด้วยความหมั่นไส้อยู่บ่อยครั้ง
“พี่เมสันกลับค่ำแบบนี้ทุกวันเหรอคะ” สาวสวยถามคู่หมั้นของตัวเองที่นั่งตักอาหารใส่ปากด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเฉยตามแบบฉบับของเขา
“อืม...” เมสันตอบสั้นๆ
“ถ้างั้นวันหลัง เทเรซ่าขอเข้าฟาร์มด้วยได้มั้ยคะ อยากลองขี่ม้าบ้างค่ะ”
“เอาสิ แต่ในฟาร์มแดดร้อนมากนะ ไม่กลัวผิวเสียหรือไง” เมสันบอกคู่หมั้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่กลัวค่ะ พี่เมสันคงไม่ปล่อยให้เทเรซ่าตากแดดนานๆ หรอกจริงมั้ยคะ”
แพรวดาวเหมือนจะสุดทนกับการฉอเลาะของเทเรซ่า รวมถึงการที่อีกฝ่ายกำลังวางท่าแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเมสันรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในแม็คไบรด์ทำให้เผลอรวบช้อนเสียงค่อนข้างดังจนคนในโต๊ะต้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“อิ่มแล้วเหรอที่รัก” ไวแอตเป็นคนถามเมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ของภรรยาไม่ค่อยจะดีนัก
“อิ่มแล้วค่ะ พอดีแพรวไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แพรวขอตัวก่อนนะคะ จะขึ้นไปเตรียมยาไว้ให้คุณ” แพรวดาวตอบห้วนๆ ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นไปห้องชั้นบนอย่างกระฟัดกระเฟียดทันที ละอองฝนได้แต่มองตาม รู้ว่าแพรวดาวไม่พอใจเทเรซ่า แต่ก็ไม่อยากให้มารดาแสดงออกเช่นนี้เพราะคนที่หนักใจมากที่สุดก็คือไวแอต ซึ่งตอนนี้สุขภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
รายละเอียด
คำนำนักเขียน
สวัสดีค่ะแฟนๆ ที่น่ารักทุกท่าน
พบกันอีกครั้งกับ ‘เจ้าสาวพร่างฝน’ ซึ่งเป็นนิยายลำดับที่สองในซีรีส์ชุดวิวาห์รัญจวน เป็นนิยายที่เริ่มแต่งในฤดูฝนเหมือนชื่อเรื่องโดยบังเอิญค่ะ ซึ่งโดยส่วนตัวนานาเป็นคนที่ชอบฤดูฝนมากกว่าฤดูไหนๆ เพราะสายฝนให้ความเย็นฉ่ำและก่อให้เกิดอารมณ์โรแมนติกได้เสมอ ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก คืนไหนที่ฝนตกกระทบหลังคาสังกะสี คืนนั้นจะเป็นคืนที่นอนหลับฝันดีที่สุด
หลายๆ ท่านคงแปลกใจว่าทำไมเรื่องนี้นานาถึงได้ใช้ปกเหมือนนิยายแปล มีเหตุผลสองข้อค่ะคือ หนึ่งนานาเคยฝันเอาไว้ว่าอยากให้นิยายตัวเองมีปกแบบนี้สักเรื่องเพราะชอบอ่านนิยายแปลมาตั้งแต่ที่เริ่มอ่านหนังสือนิยายใหม่ๆ และสองมีฉากในเนื้อเรื่องที่พระนางแต่งตัวแบบนี้ค่ะ พระเอกนี่หน้าเป๊ะมาก แต่นางเอกหน้าเอเชียที่ถ่ายคู่กับพระเอกคนนี้หาไม่ได้เลย เอาเป็นว่าให้คนอ่านจิ้นนางเอกเป็นตัวเองก็แล้วกันนะคะ อิอิ
นิยายเรื่องนี้ใช้เวลานานมากกว่าที่คิดไว้ นานารู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากที่หลายๆ ท่านโทร.มาตาม เมลมาตาม และส่งข้อความมาตาม ยังไงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะที่ทำให้รอนานเกินไป นานาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกตัวอักษรคงจะชดเชยการรอคอยที่เนิ่นนานได้ไม่มากก็น้อย... (คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนเนอะ) ขอบคุณทุกท่านที่ทวงถามมาอีกครั้งค่ะ เพราะเป็นแรงผลักดันให้นานาเขียนนิยายเรื่องนี้จนจบ
ตอนที่ลงให้ทดลองอ่านในเว็บวาเลนไทน์กับเว็บห้องสมุดนั้น นานาอดที่จะนั่งยิ้มอยู่คนเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะฉากที่ป๋าแกไล่น้องออมไปอยู่โรงนา สาวๆ ดราม่า ด่าป๋าซะเละเทะ แต่จริงๆ แล้วป๋าเป็นผู้ชายที่น่าซบและน่ากรี๊ดสุดๆ อย่าบอกใครนะ เห็นเข้มๆ อย่างนั้น หื่นใช่เล่น อิอิ ไม่เชื่ออ่านดูในเล่มสิคะ
จบจากเรื่องนี้แล้วนานาขอพักเรื่องที่สามในซีรีส์ แล้วโดดไปเขียนซีรีส์ให้กับสำนักพิมพ์ก่อนนะคะ จบแล้วจะมาต่อแมทธิวกับน้องพริ้มให้อ่านกันค่ะ รับรองว่าคู่ที่สามแซบเวอร์ หวาน หื่น แน่นอน (*_*)
ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับพี่ริน แฟนคลับซึ่งอยู่ที่สหรัฐอเมริกากับการตั้งชื่อพระเอกและตัวละคร รวมถึงเป็นที่ปรึกษาด้านข้อมูลของภูมิประเทศและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มากมาย
สุดท้ายนี้นานากราบขอบพระคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ขอบคุณบรรดาแฟนคลับที่ให้การติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอด ขอบคุณพ่อแม่ น้องสาวน้องเขย หลานๆ และป้ากับลุงของนานาทุกคนที่เป็นกำลังใจอันล้ำค่าของนานามากที่สุด
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
รักค่ะ
เทียนธีรา