อัตราการเติบโตของธุรกิจ

อัตราการเติบโตของธุรกิจ

            นักลงทุนทุกท่านต้องเคยศึกษาเรื่องอัตราการเติบโตของแต่ละธุรกิจที่ได้สนใจจะเข้าลงทุนมาก่อนแล้วทั้งสิ้น อัตราการเติบโต ตัวเลขนี้มันคืออะไรกันแน่ และมันบอกอะไรเราได้บ้าง หุ้นโตช้า หุ้นโตเร็ว หุ้นไม่เติบโต มีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกซื้อหุ้นแบบไหน มีตัวแปรต่างๆมากมาย โดยที่อัตราการเติบโตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะก้าวไปสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน เพราะการที่เราซื้อหุ้นที่มีอัตราการเติบโตต่ำแล้วถือไว้เป็นระยะเวลานาน มันหมายถึงราคาหุ้นมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นน้อยมาก ถ้าเราไม่ได้ซื้อมาในราคาถูกจริงๆ แต่หุ้นโตเร็วล่ะ ถ้าเราซื้อแล้วจะได้กำไรชัวร์เลยหรือ? แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นโตเร็ว สามารถดูได้จากการเติบโตของกำไรอย่างเดียวเลยหรือไม่ หรือดูที่ กระแสเงินสด หรือแม้แต่บางธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้น ไม่มีกำไรเลย แต่มีฐานลูกค้าเป็นร้อยล้านคน ภายในระยะเวลาเพียง 3-4 ปีนี่ก็เรียกได้ว่าเติบโตเร็วมาก และมีมูลค่ามหาศาล แม้จะมีกำไรเพียงนิดเดียวหรือแม้แต่ขาดทุนก็ตาม เรื่องการเติบโตนั้นลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก เราจะมาลองดูกันครับ

ก่อนอื่นสิ่งที่ดูได้ง่ายที่สุดคือกำไรของบริษัทย้อนหลังครับ ถ้ามีการเติบโต 10% ติดต่อกัน 5-10 ปี ถือว่าดีครับ ถ้าได้ 20% ทุกปีติดต่อกันเกิน 10 ปีถือว่าเป็น superstock แล้วครับ ปัญหาคือจะโตได้ติดต่อกันทุกปีกี่ปี เรื่องนี้นี่แหละยากที่สุด บางบริษัท โต 15% ทุกปีติดต่อกัน 20 ปีก็สามารถทำให้เจ้าของกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว เรื่องที่ยากที่สุดกลับไม่ใช่อัตราการเติบโตที่สูงมากในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับเป็นอัตราการเติบโตในระดับปานกลาง บวกด้วยระยะเวลาอันยาวนาน คือประมาณ 10-20% ติดต่อกันอย่างน้อย 10 ปี และถ้าได้เกิน 20 ปี นี่จะถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ยอดเยี่ยมมากเลย อย่าลืมว่าเวลานั้นถือเป็นตัวแปรหลักอีกตัวในผลตอบแทนทบต้น แต่นักลงทุนกลับชอบมองข้ามเรื่องเวลาไปอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วแม้จะเป็นนักลงทุนแนวหุ้นคุณค่าที่มีประสบการณ์ แต่คนที่มองยาวจริงๆนั้นมีน้อยมาก แถมบางทีอารมณ์ตลาดหรือคนรอบข้างก็ทำให้เป๋ได้ง่ายๆเหมือนกัน จึงควรต้องเลือกบริษัทที่มองระยะยาวก็จะทำให้มีโอกาสเจอการเติบโตแบบระยะยาวเช่นกันครับ

แล้วถ้าเรามาดูการเติบโตที่ไม่ใช่กำไรบ้าง ทุกคนที่ทำธุรกิจคงรู้ดีว่า ลูกค้าคือพระเจ้า ถ้ามีลูกค้าเยอะ ขายของได้เยอะ ก็จะสามารถทำกำไรได้เยอะ แต่บางธุรกิจนั้น ในระยะสั้นอาจจะแกล้งไม่ทำกำไรก็ได้ครับ แต่เอากำไรที่ได้มานั้นได้เอาไปลงทุนเพื่อให้ได้มาเพื่อลูกค้าจำนวนมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อได้ลูกค้ามามากแล้ว ต่อให้ดูเหมือนไม่มีกำไร แต่จริงๆแล้วจะสร้างกำไรจากลูกค้ากลุ่มที่เรามีอยู่ในมือเมื่อไหร่ก็ได้ครับ ซึ่งนั่นก็เรียกได้ว่าแล้วแต่เจ้าของเลยครับ เหมือนกับมีท่าไม้ตายลับที่จะแสดงออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ตราบเท่าที่ยังมีแหล่งพลังคือฐานลูกค้าอันเหนียวแน่นนั่นเองซึ่งตรงนี้มันจะทำให้หลอกตานักลงทุนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะเราจะดูกันแต่ตัวเลขที่แสดงออกมาในงบกำไรขาดทุนหรือแม้แต่งบกระแสเงินสดที่ใครๆก็กล่าวกันว่าสามารถดูได้ลึกซึ้งยิ่งกว่างบกำไรขาดทุนครับ แต่ยังสู้ฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลที่อยู่นอกงบการเงินไม่ได้เลยครับ ยิ่งเป็นธุรกิจประเภทหลังนี้อาจจะมีอัตราการเติบโตที่น่ากลัวมากๆที่เกิดจากการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนหลายพันล้านคนครับ เท่ากับว่าสามารถโตได้อย่างรวดเร็วมาก อาจจะนับกันเป็นเดือนเลยครับ ไม่ใช่เป็นปี ยิ่งช่วงแรกๆโตเดือนละหลายร้อยเท่าติดๆกันเป็น 10 เดือนก็เป็นไปได้ครับ และการเติบโตแบบนี้แน่นอนว่าไม่แสดงออกในงบการเงินแน่นอน เพราะเรายังไม่พยายามทำเงินจากอัตราการเติบโตของลูกค้าที่ได้มานี้ครับ แต่จะรอให้ถึงจุดหนึ่งก่อนค่อยหาเงินก็ยังไม่สายไปครับ นี่อาจจะเป็นโมเดลที่เราเริ่มเห็นกันบ้านแล้วในบ้านของเราอย่างเช่น OLX แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะติดลมบนได้ถึงระดับไหนนะครับ

การที่เรามองดูแต่สิ่งที่เราเห็นนั้นอาจจะทำให้เราพลาดมองถึงสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือจุดสำคัญที่สุดของทุกธุรกิจที่ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือลูกค้านั่นเอง ถ้าเรามีลูกค้าจำนวนมาก เราก็จะสามารถหาเงินได้เสมอ ขอเพียงอย่าให้การหาเงินนั้นทำให้ต้องเสียลูกค้าดังกล่าวไปก็พอครับ สำหรับธุรกิจที่มองระยะสั้น คิดเพียงแต่จะทำให้รายได้หรือกำไรโตขึ้นโดยไม่หันกลับไปมองลูกค้านั้น ในระยะยาวแล้วอาจจะสูญเสียฐานลูกค้าที่จะสร้างเงินให้ไปได้ และก็เป็นการยากที่จะกลับมาเพราะชื่อเสียงนั้นสร้างยากแต่พอเสียไปแล้วอาจจะทำให้ไม่สามารถหวนกลับมาก็เป็นได้ครับ ไม่นับคู่แข่งที่สามารถบริการได้ดีกว่าเราที่อาจจะโผล่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อครับ


www.batorastore.com © 2024