สะใภ้จ้าว (รจนา)

สะใภ้จ้าว (รจนา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742282080
ของหมดถาวร (ต้องการสินค้า)
ราคา: 295.00 บาท 73.75 บาท
ประหยัด: 221.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

สะใภ้จ้าว

 

            “ทำไมนะคะ กะอีแค่จะได่แต่งงานกับหม่อมราชวงศ์แค่นี้ก็ต้อง

วุ่นวาย ถึงกับต้องส่งตัวพี่ศรีเข้าไปรับการอบรมในวังเทียวหรือคะ”

                ผู้กล่าววาจาข้างต้นนี้เป็นสตรีสาว ซึ่งถ้าหากว่าผู้ใดไม่มีความคุ้นเคย

พอที่จะได้รู้อายุอันแท้จริงของหล่อนแล้วก็อาจจะนึกว่าหล่อนเป็นดุรณีที่เพิ่งจะ

ผลิเนื้อสาวขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะผมตัดสั้นหยักยุ่งปัดไป

มาราวกับทรงผมของหนุ่มวัยรุ่นในยุค ‘สี่เต่าทอง’ รวมทั้งเครื่องประกอบบน

ใบหน้าที่เข้าลักษณะปากนิดจมูกหน่อย งอนซ้อยรับกันไปหมดทุกอย่างนั้นก็ได้

จึงทำให้ผู้ที่มิสู้จะมีความคุ้นเคยกับหล่อน หรือผู้ที่เพิ่งจะได้พบเห็นเป็นครั้งแรก

นั้นเดาอายุหล่อนต่ำกว่าที่เป็รจริงไปถึงสามสี่ปี

                ส่วนผู้ที่รับฟัวาจาของหล่อนนั้น ก็ล้วนแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น และมี

จำนวนอยู่ทั้งหมดสามคนด้วยกัน และล้วนแต่ต่างวัย สตรีหนึ่งนั้นยังอยู่ในวัย

สาว ใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายคนพูด แต่ทว่ามีผิวซีดกว่า ใบหน้ายากว่า

เครื่องแต่งหน้าจัดว่าได้ส่วนทุกอย่าง แต่ทวาวางอยู่ในระเบียงจนกระทั่งมอง

ดูเหมือนภาพเขียนมากกว่าจะเป็นสตรีสาวที่ยังอยู่ในวัยอันแจ่มใสรื่นเริงมีชีวิต

ชีวา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มองเห็นเป็นว่า หล่อนเป็นผู้ใหญ่กว่าสตรีคนแรกที่

เป็นคนพูดนั้นมาก หล่อนกำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อย ใช้กระดาษสีเขียวที่ตัด

เป็นริ้ว ๆ พันเส้นลวด ซึ่งปลายข้างหนึ่งมีดอกกุหลายแย้มสีชมพูทำด้วย

กำมะหยี่เสียบติดอยู่

                ส่วนสตรีอีกสองนางนั้น นางหนึ่งอยู่ในวัยกลางคน ผิวขาวและมี

ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายคลึงกับสตรีสาวทั้งสองนางนั้นกำลังก้มหน้าก้มดัดกลีบ

กุหลายซึ่งสตรีวัยสูงอายุผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ใกล้กับนางนั้นบรรจงตัดใส่ลงในกล่อง

กระดาษอยู่

                ทันใดที่สตรีสาวนางแรกกล่าววาจานั้นจบลง ดวงตาอีกสามคู่ก็ละจาก

งานขึ้นมองดูหล่อนพร้อมกัน เจ้าของดวงตาสองคู่แรกนั้นมองเฉย ๆ แล้วก็ก้ม

ลงสนใจกับงานที่ทำอยู่นั้นต่อไป แต่สำครับคู่ที่สาม คือของสตรีวัยสูงอายุนั้น

ก่อนที่จะละไปจากใบหน้าคนพูด ยังได้ทิ้งรอยการค้อนอย่างหมั่นไส้ไว้ให้เสีย

ก่อน พร้อมวาจาอีกประโยคหนึ่งว่า

                “อ๋อ เพื่อจะได้ไม่ให้ญาติพี่น้องนางฝ่ายผัวเขามาด่าได้ยังไงล่ะยะ  ว่า

บ้านนี้เลี้ยงลูกผู้หญิงให้แก่นแก้วเหมือนลูกแม่ค้าขายปลาสด”

                การพูดที่ใช้ถ้อยคำอย่างที่เรียกว่า ‘ไทยแท้’ และเป็นไปในทางประชด

ประชันกลาย ๆ อยู่ด้วยนั้น ยังผลให้สตรีสาวซึ่งนั่งพ้นก้านกุหลายอยู่นั้นมี

ผิวหน้าแดงระเรื่อขึ้น และทำให้สตรีวัยกลางคนเหลือบตาขึ้นมองดูผู้พูดแว่บหนึ่ง

แล้วก็ปลายไปยังผู้ที่ตั้งคำถามขึ้นก่อนนั้น เหมือนจะปราบให้หยุด มิให้พูด

อะไรอีกต่อไป แต่ทว่าเจ้าหล่อนผู้นั้น ซึ่งนอนพังพาบอยู่อย่างสุขารมณ์ มิได้

ช่วยเหลือในงานผลิตดอกกุหลาบด้วยนั้นกลับมิได้แสดงกิริยาอย่างใดที่บอกว่า

หล่อนจะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนต่อคำตอบที่ได้รับ หล่อนกลับกล่าวต่อไปอย่าง

หน้าตาเฉยว่า

                “ทำไมคะ คุณป้า แม่ค้าปลาสดน่ะไม่ดีหรือคะ สาว่าไม่จริงหรอกค่ะ

อย่างแม่นอมที่แกอยู่ข้างบ้านคุณยายไงล่ะคะ แกก็ขายปลา แหม แต่ว่าแก

ดี๊ดีค่ะ ลูกสาวของแกเรียนมหาวิทยาลัยเชียวนะคะ ปีนี้ก็จะสำเร็จออกมา

เป็นอาจารย์แล้ว” เท่านั้นยังไม่พอ หล่อนยังหันไปทางหญิงกลางคน ซึ่ง

ทำหน้าที่ดัดกลีบกุหลาบให้อ่อนช้อย ให้เหมือนกับมันที่เป็นจริงตามธรรมชาติ

อยู่นั้น ถามต่อไปอีกว่า “แม่ก็รู้จักแม่นอมใช่ไหมจ๊ะ แม่ จริงไหมล่ะจ๊ะ แก

ดีออกจะตายไป”

                มารดาของหล่อนมิได้ตอบ หากแต่เหลือบตาขึ้นมองดูหล่อนอย่างตกใจ

นิด ๆ ปราบด้วยสาตาให้หล่อนหยุดพูดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะแปรไปยังสตรี

สูงอายุอย่างเกรง ๆ ก็พอดีได้ยินเสียงกระแทกกระทั้นซึ่งรุนแรงกว่าครั้งแรก

โพล่งออกมาว่า

                “ย่ะ...ย่ะ ถ้ายังงั้นหล่อนก็ควรจะอายที่แม่ค้าปลาสดยังเลี้ยงลูกให้เป็น

ผู้ดีได้มากเสียกว่าหล่อน ซึ่งมีเชื้อสายผู้ดีแท้ ๆ อย่างนี้เสียอีก”

                “โธ่ทั้ง”

                แทนที่หล่อนจะนึกตกใจหรือโกรธเคืองในคำประชดแถมตำหนืที่ค่อนข้าง

จะรุนแรงที่ได้รับนั้น หล่อนกลับหัวเราะคิกอย่างชอบใจ ก้มหน้าผากลงโขกกับ

มือที่ประสารกันวางอยู่บนพื้นกระดานตรงหน้านั้นเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้น

                “คุณป้าอยากจะดุสาว่าแก่นแก้ว ไม่สมเป็นเป็นลูกหญิงเท่านั้นเองแหละ

หรือคะ สาก็ไม่ทราบ”

                มารดาของหล่อนถอดใจใหญ่ เหมือนนึกทอดอาลัยที่หมดหนทางจะ

ห้ามศึกใหญ่มิให้เกิดได้เสียแล้ว ส่วนสตรีสาวอีกนางหนึ่งก็ขยับตัวอย่างไม่

สบายใจ ยิ่งเมื่อหล่อนเห็นสตรีสูงอายุกระแทกกรรไกรที่ใช้ตัดผ้ากำมะหยี่ออก

เป็นกลีบกุหลาบอยู่นั้นลงบนกระดานค่อนข้างแรง หล่อนก็ยิ่งกระสับกระสาย

หนักยิ่งขึ้น

                “ฉันไม่มีหน้าที่อะไรจะไปดุว่าหล่อนหรอกย่ะ หล่อนไม่ได้อยู่ใน

หน้าที่ความรับผิดชอบของฉัย แม่สาลินจะดีจะชั่วก็ตัวหล่อนเอง ฉันไม่

ก้าวก้ายหน้าที่ของใคร”

                สาลินเลิกคิ้วขึ้น เอียงคอมอดู ‘คุณป้า’ ของหล่อนอย่างฉิวแกม

ขบขันและประหลาดใจระคนกัน หล่อนขยับปากจะตอบโต้คารมกับท่านต่อไป

ด้วยนึกสนุก แต่เผอิญเหลือบไปเห็นตาของสตรีสาวอีกนางหนึ่งนั้น กำลัง

จ้องมองดูหล่อนอยู่อย่างขอร้อง สาลินจึงล้มความตั้งใจเสีย หล่อนทำจมูกย่น

เล็กน้อยแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง บอกว่า

                “สาทำให้คุณป้าโกรธสาอีกแล้ว ถ้ายังงั้นสาจะกลับไปห้องละค่ะ เย็น

นี้ก็จะลกบัไปบ้านคุณยายแล้ว สายังไม่ได้เก็บเสื้อผ้าเลย”

                หล่อนเดินเข่าไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกประตูไป ผู้ที่หล่อน

เรียกว่า ‘คุณป้า’ มองตามไปด้วยสายตาที่บอกถึงความหมั่นไส้อย่างเต็มที่

ท่านกระเสียงกล่าวว่า

                “นี่ละ สักแต่ว่าเลี้ยงกันให้โตขึ้นมา แต่ไม่รู้จักให้การอบรมละก็ มัน

ก็เป็นอย่างนี้แหละ”

                สตรีอีกสองนางนั้นเงียบกริบ มิได้กล่าวโต้แย้งแต่ประการใด เพียงใด

ก้มหน้าลงแล้วก็ถอนใจเบา ๆ ราวกับนัดกันไว้

                สาลินกลับมายังห้องที่หล่อนนอนรวมกันกับพี่สาวทุกครั้งในเวลาที่หล่อน

มาค้างเพื่อเยี่ยมเยียนมารดากับพี่สาวที่บ้านนี้นั้น และทำตามที่ได้บอกไว้ คือ

ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมาจากใต้เตียง แล้วก็เก็บเสื้อผ้าที่หล่อนนำ

ออกมาใช้ในระหว่างที่อยู่ที่นี่มาพับบรรจุกันลงในกระเป๋า หล่อนทำงานนี้ด้วย

ความสบายใจ สาลินยังเก็บของไม่เสร็จ พี่สาวของหล่อนก็เปิดประตูเข้ามา

ในห้อง

                “สาละก็ พูดอะไรกับคุณป้าน่ะ ไม่เคยระวังตัวมั่งเลย”

                พี่สาวของหล่อนต่อว่าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามา สาลินหันไปมองดู เลิกคิ้ว

อย่างสงสัย

                “ระวังอะไรกันล่ะ พี่ศรี ก็สาไม่ได้พูดอะไรนี่” หล่อนว่า ”อย่างที่

คุณป้าบอกว่าแม่ค้าขายปลาเลี้ยงไม่ดี สาเห็นว่าไม่จริง สาก็พูดออกไป

ตามความจริงที่สารู้เห็นมาน่ะซี

                “ฮื้อ” ศรีจิตราพี่สาวของหล่อนถอนใจ ทรุดกายลงนั่งบนเตียงข้าง

กระเป๋าเสื้อผ้าของน้องสาว “ถึงยังงั้นก็ไม่ควรพูด”

                “ทำไมถึงไม่ควรพูดล่ะ” น้องสาวเอียงคอมองลงอย่างไม่เข้าใจ และถาม

อย่างเอาจริงเอาจังว่า “คุณป้าไม่ชอบให้เราพูดความจริงอย่างนั้นหรือ พี่ศรี”

                พี่สาวอึกอัก จนปัญญา ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรจึงจะทำให้น้องสาว

เข้าใจได้ หล่อนจึงบอกปัดเสียดื้อ ๆ ว่า

                “ไม่รู้ละ แต่อย่าพูดก็แล้วกัน คุณป้าไม่ชอบให้ใครคัดค้านอะไรท่าน”

                “ฮือ” สาลินคราง “ถึงถูกก็ค้านไม่ได้ยังงั้นหรือ”

                ศรีจิตราพยักหยักหน้า สาลินทำหน้าย่น ปิดกระเป๋าดังปังจนพี่สาวสะดุ้ง

                “แย่จริง” สาลินร้อง “แล้วพี่ศรีทนอยู่ได้ยังไงละ เคราะห์ดีเหลือเกิน

ที่สาอยู่คุณยาย ไม่ยังงั้นน่ากลัวสาคงจะถูกคุณป้าหยิกขาเขียววันละหลาย

สิบหนแน่ ๆ ดูแต่นาน ๆ ถึงจะมาค้างสักทียังงี้ก็ยังถูกท่านค้อนเอาวันละ

ห้าร้อยหนแล้ว”

                “ก็สาอย่าไปเถียงอะไรท่านซี” พี่สาวของหล่อนบอก “เวลาจะลุกจะนั่ง

ต้องระมัดระวังหน่อย อย่าให้ไปเตะไปปัดอะไรโครมครามเข้า”

                “อพิโธ่เอ๊ย” สาลินยกมือทั้งสองขึ้นสูง แล้วก็ทิ้งลงข้างกายแรง ๆ ร้อง

เสียงดัง “สาก็...เพิ่งจะทำถ้วยแก้วแตกเมื่อวานนี้ใบเดียวแท้ ๆ ก็มีอย่างหรือ

คุณป้าเองแหละที่เอามาวางไว้ข้างสา สามีตาหลังเมื่อไหร่จะได้มองเห็น พอ

ลุกขึ้นสาก็หมุนตัวไปเตะเอามันเข้าน่ะซี มันเป็นความผิดของสาเมื่อไหร่”

                ศรีจิตราถอนใจอีก ไม่มีทางใดที่จะทำให้ความคิดความเข้าใจ

น้องสาวกับของคุณป้าเดินไปในทางเดียวกันได้ ทุกครั้งที่สาลินมาค้างเพื่อ

เยี่ยมเยียนมารดาและหล่อนนั้น ศรีจิตราต้องมีอาการ ‘หายใจไม่ทั่วท้อง’

อยู่ตลอดเวลาจนกว่าสาลินจะกลับไป เพราะสาลินมักจะทำอะไร ๆ ที่ชวนให้

ใจหายใจคว่ำอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ยังพอใจที่จะให้สาลินมา ทั้งนี้

ก็เพราะว่าสาลินมักจะนำเอาความรู้แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาถ่ายทอดให้หล่อนได้

รับรู้แทบทุกครั้งไป อย่างน้อย บางครั้งหล่อนก็ยังได้สาลินเป็นเพื่อนออกไป

จับจ่ายข้าวของบ้าง ซึ่งให้ความเพลิดเพลินแก่ศรีจิตรามากกว่าจะไปกับ

คุณป้าหรือมารดา

                คุณป้าที่ศรีจิตราอยู่ด้วยนี้ เป็นพี่สาวของที่สองของบิดาของหล่อนและ

ยังเป็นโสดอยู่ บ้านหลังนี่อยู่นี้ก็เป็น ‘ของกลาง’ คือเป็นสมบัติที่คุณปู่ของ

หล่อนและสาลินทิ้งไว้ให้บุตรทั้งสาม คือคุณป้าคนใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพระ

สหายและคุณแม่บ้านให้แก่เสด็จพระองค์หญิงองค์หนึ่ง ซึ่งศรีจิตรากำลังจะ

ต้องถูกส่งตัวไปรับการอมรมเพื่อเตรียมเข้าสู่พิธีมงคลสมรสกับหม่อมราชวงศ์

ผู้หนึ่ง คุณป้าทั้งสองนั้นเติบโตขึ้นมาในวัง เพราะถูกคุณย่าซึ่งมีศักดิ์เป็น

หม่อมราชวงศ์เช่นกัน ส่งตัวเข้าไปไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ คุณป้าใหญ่นั้นเตรียมตัวจะ

เข้าสู่พิธีวิวาห์กับพระองค์เจ้าชายซึ่งเป็นเชษฐาของเสด็จพระองค์หญิงองค์นี้

แต่โชคของท่านไม่ดีนัก พระองค์เจ้าชายองค์นั้นประชวรสิ้นชีพตักษัยเสียก่อน

คุณป้าใหญ่ก็เลยอยู่กับขนิษฐาของคู่หมั้น ไม่ยอมกลับออกมาอยู่บ้านอีก ดังนั้น

เมื่อคุณย่าของศรีจิตราและสาลินป่วยกระเสาะกระแสะ คุณป้ากลางจึงต้อง

ทูลลาจากในวังออกมาดูแลบ้านแทบมารดา แต่ก็ยังหมั่นไปเฝ้าเสด็จฯ และ

เยี่ยมเยียนพี่สาวของเธอเสมอ

                ส่วนมารดาของสองสาวนี้มีเชื้อสายเป็นพวกชาวสวน ยายของศรีจิตรา

และสาลินนั้นเป็นลูกครึ่งจีนโดยทางบิดา ส่วนคุณตาของหล่อนนั้นเป็นไทยแท้

ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้มารดาของหล่อนมีผิวขาวผิดกว่าลูกสาวชาสวนส่วนมาก

ซึ่งนี่เอง เมื่อบิดาของหล่อนทั้งสองไปเที่ยวสวนกับพวกเพื่อน ๆ และได้ไปพบ

เอา ‘ลูกสาวชาวสวนไงเนื้อถึงนวลยั่วตา’ เข้าแล้ว ก็ทำให้เกิดติอกติดใจ

เร่งเร้าให้ท่านบิดาไปสู่ขอ ถึงแม้ว่าพี่สาวทั้งสองจะคัดค้าน เพราะต้องการจะ

ให้น้องชายได้แต่งงานกับสตรีที่มีเชื้อสาย ‘ผู้ดี’ ด้วยก็ตาม บิดาของศรีจิตรา

และสาลินก็หาเชื่อฟังไม่ ซ้ำยังประกาศออกมาเสียอีกด้วยว่าตนจะขอมีเมีย

เป็นลูกสาวชาวสวนซ้ำยังประกาศออกมาเสียอีกด้วยว่าตนจะขอมีเมีย

และสาลินก็หาเชื่อฟังไม่ ซ้ำยังประกาศออกมาเสียอีกด้วยว่าตนจะขอมีเมีย

เป็นลูกสาวชาวสวนซ้ำยังมีเชื้อสายจีนให้ได้ จะโดยมีการแต่งงานหรือไม่ก็ตาม

นั่นแหละ ท่านบิดามารดารวมทั้งพี่สาวทั้งสองจึงได้ยอมจำนน จัดการสู่ขอ

ลูกสาวชาวสวนมาเป็นศรีสะใภ้ ทั้ง ๆ ที่มิได้มีความเต็มใจจนนิดเดียว

                ศรีจิตรานั้นมีอายุมากกว่าสาลินถึงสามปี หล่อนเป็นเด็กออดแอตมา

ตั้งแต่เล็ก ต่อมาเมื่อมารดาของหล่อนท้องจะคลอดสาลินนั้น บิดาของหล่อน

ก็ล้มเจ็บด้วยโรคเหน็บชาลงอีก คุณตาคุณยายของสาลินเห็นว่าบุตรสาวจะต้อง

มีงานหนักนัก ไหนจะต้องคอยประคบประหงมบุตรีคนโตซึ่งขี้โรค ไหนจะต้อง

ปรนนิบัติพยาบาลสามี แล้วไหนยังจะต้องคอยระมัดระวังตัวมิให้เป็นที่เกลียด

ชังหมั่นไส้ของพี่น้อง ‘ผู้ดี’ ของสามีอีกเล่า จึงได้ออกปากขอเอาหลานสาว

คนเล็กไปเลี้ยงเสียเอง ครั้งแรกนั้นคุณป้าทั้งสองจะไม่ยอมให้ เพราะกลัวว่า

สาลินจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับการอบรมให้เป็นผู้ดีเลย แต่หลังจากที่ได้เล็ง

เห็นแล้วว่า ถ้าจะรับเลี้ยงเด็กอ่อนไว้เสียเองก็จะเป็นภาระหนักนัก เพราะเธอ

ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยออกเรือนด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นสาลินก็ได้รับการอนุมัติให้

ไปอยู่กับคุณตาและคุณยายที่บ้านสวนเมืองนนท์ฯ ในที่สุด

                คุณตาและคุณยายเลี้ยงสาลินให้เติบโตขึ้นอย่างมีสิทธิอิสระเสรีโดยแท้

เพราะชีวิตของการอยู่ในสวนนั้น หาได้เหมือนกับชีวิตที่อยู่ในรั้วในวังไม่ คุณตา

และคุณยายสอนให้สาลินรู้จักว่า การที่จะครองตน ครองฐานะ ครองสมบัติ

ให้ยืนยงอยู่ในความสงบมั่นคงได้ทั้งนั้นจะต้องมีทั้งการต่อสู้ การรู้จักผูกมิตรกับ

เพื่อนบ้าน และสร้างความยำเกรงให้กับศัตรูคู่แข่งขัน ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึก

นึกคิดตลอดจนกิริยาท่าทางของศรีจิตราและสาลินจึงแตกต่างกันอย่างหน้ามือ

กับหลังมือ ซึ่งทำให้คุณป้าสามารถจะหาคำเปรียบเปรยขึ้นมาว่าหลานสาว

คนเล็กได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า...

                ‘จะเดินเหินลุกนั่งละยังกะลูกสาวเจ๊ก’

                ‘ดูทำท่าเข้าซี เหมือนเจ๊กตื่นไฟไม่มีผิด’

                หรือไม่ก็

                ‘นี่เดินเบา ๆ ก็ได้ ไม่ต้องกระโดดขึ้นกระไดทีละสามขั้นยังงั้น นี่มัน

บ้านคนไม่ใช่ท้องร่องสวนนะยะ’

                “นี่จะกลับเดี๋ยวนี้เลยหรือ”

                ศรีจิตราถามน้องสาว สาลินลั่นหน้า บอกว่า

                “ยังหรอก จนกว่าคุณยายจะสั่งรถมารับ”

                ที่บ้านสวนนั้นไม่มีรถยนต์ใช้ประจำ แต่เดี๋ยวนี้หลังจากที่รัฐบาล

รวมทั้งเอกชนได้จัดการตัดถนนสายต่าง ๆ ผ่านเข้าไปมากพอดูแล้ว บ้านสวน

ของคุณยายซึ่งเคยถูกกลางขวัญว่าอยู่ ‘ไกลปืนเที่ยง’ ก็กลับกลายเป็นย่าน

ที่เรียกว่าอยู่ในความเจริญได้แห่งหนึ่ง จนกระทั่งบางครั้งคุณตาและคุณยาย

บ่นว่านอนไม่หลับเพราะหนวกหนูเสียงแตรรถที่แล่นผ่านไปมา นอกจากนั้น

เพื่อนบ้านคนหนึ่งยังได้ตัดถนนหน้าสวนขายให้เขาสร้างเป็นตึกแถวขึ้น ติดกับ

ตึกแถวก็เป็นปั๊มน้ำมันและอู่รถเช่า คุณยายและคุณตารวมทั้งสาลินด้วยจึงได้

ใช้รถจากอู่นี้แหละเป็นประจำในเวลาไปไหนมาไหน และในเวลาที่สาลินจะมา

ค้างกับมารดาและพี่สาว คุณยายก็จะสั่งให้รถเจ้าประทำหน้าที่มาส่งแ และ

มารับหลานสาวแทนตัวท่าน เพราะท่านเองนั้น

                “ขี้เกียจเข้าไปนั่งพับเพียบเท้าแขนเอื้อมเฟืรยมเจ้าค่ะขอรับ เรามันชาวไร่

ชาวสวน ไม่ถนัดเรื่องกิริยามารยาทอย่างผู้ดีเขา อยู่บ้านเราดีกว่า สบายดี”

                “แล้วนี่เมื่อไหร่คุณป้าจะส่งตัวพี่ศรีเข้าวัง” สาลินถาม

                ศรีจิตรานิ่งคิดอยู่เดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็สั่นหน้าบอกว่า “ไม่รู้ ท่านสั่งเมื่อไหร่

ก็เมื่อนั้นแหละ”

                สาลินมองพี่สาวอย่างนึกอัศจรรย์ใจ ดูศรีจิตราไม่รุ้อะไรเกี่ยวกับตัวเอง

สักอย่างเดียว อะไร ๆ ก็แล้วแต่คุณป้าสั่งทั้งนั้น

                “แล้วเมื่อไหร่พี่ศรีจะแต่งงาน” สาลินถามอีก

หล่อนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นหญิงของหล่อนเลย นอกจาก

จะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างหนึ่งของคุณป้าเท่านั้น หล่อนตอบว่า

                “ไม่รู้ซี แล้วคุณป้าก็คงจะบอกเองแหละ”

 

                สาลินพกเอาความอัศจรรย์ใจในตัวพี่สาวกลับไปปรารภให้คุณตา

คุณยายของหล่อนฟัง ซึ่งความจริงมันก็เป็นกิจวัตรที่หล่อนกระทำอยู่เป็นนิจ

ทุกครั้งที่หล่อนไปค้างกับมารดาและพี่สาวที่บ้านของคุณป้า หรือที่ญาติพี่น้อง

ใกล้ชิดเรียกว่า “บ้านราชดำริ” นั้น สาลินมักจะมีเรื่องเกี่ยวกับคุณป้าบ้าง

พี่สาวของหล่อนบ้าง มารดาบ้าง และบางครั้งก็แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียน

คุณป้าบ้าง มาเล่าสู่บุคคลในครอบครัวที่ ‘บ้านสวน’ ของหล่อนเสมอไป วิธี

ที่หล่อนเล่านั้นมักจะเรียกรอยยิ้มอย่างขบขันจากคนฟังได้เสมอ และไม่มีใคร

ที่จะใช้หางตาชำเลืองค้อนหล่อนอย่างหมั่นไส้อีกด้วย

                “แปลกจังเลยค่ะ คุณยายขา พี่ศรีเขาไม่รู้สึกอะไรเลยที่เขามจะแต่งงาน

เขาทำเช้ยเฉยเหมือนอย่างเวลาที่คุณป้าสั่งให้เขาร้อยดอกไม้หรือคว้านเงาะ

อะไรยังงั้นแหละค่ะ”

                สาลินเล่าให้คุณยายของหล่อนฟังด้วยใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วย

ความพิศวงจริง ๆ จัง ๆ จนทำให้คุณยายซึ่งนั่งชันเข่าอยู่ข้างหนึ่งและกำลังก้ม

หน้าก้มตาใช้มีดด้าม ๆ คมกริบของท่านเจียนหมวกอยู่นั้นอดเงียขึ้นมองดู

หลานสาวด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ เสียมิได้ คุณตาถามขึ้นว่า

                “ท่านจะต้องเต้นโครม ๆ ร้องกรี๊ด ๆ ละมั้ง ยายสา ตาว่าแกน่ะ ลอง

ใครมาสั่งให้ร้อยดอกไม้หรือคว้านเงาะนั่นซี แกเห็นจะต้องร้องกรี๊ด ๆ เอะอะ

ยิ่งกว่าที่พี่สาวแกเขาร็ว่าจะแต่งงานเสียอีกล่ะ”

                สาลินหัวเราะ คุณตาก็พูดประชดเก่งพอ ๆ กับคุณป้าเหมือนกัน แต่

ทำไมหนอคำพูดของคุณตาจึงได้ไม่น่าทำให้สาลินรู้สึก ‘ฉุนกึก’ เหมือนถูกนัดยา

นัยถุ์อย่างที่คุณป้าเคยทำให้หล่อนเป็นบ่อย ๆ แต่มาในตอนหลังนี้ สาลินชัก

จะชินกับคำประชดของคุณป้าเสียแล้ว หล่อนเลยกลับรู้สึกเป็นเรื่องสนุกที่จะได้

แกล้งพูดอะไรให้ขวางหูคุณป้า แล้วก็คอยฟังว่าท่านจะประชดว่าอย่างไรบ้าง

คุณป้าช่างมีถ้อยคำประชดประชันได้แปลก ๆ น่าขันเสียจริง ๆ

                “คุณตาดูถูกสา” สาลินว่ากับคุณตา ซึ่งคำพูดอย่างนี้หล่อนจะได้เผลอใช้

กับคุณป้าไม่ได้อย่างเด็ดขาด แล้วสาลินก็ไม่ได้อยากจะใช้เสียด้วย เพราะเสียง

อย่างนี้หล่อนเก็บเอาไว้แต่เฉพาะกับบุคคลที่หล่อนรักและมีความสนิทสนมด้วย

อย่างยิ่งเท่านั้น “เดี๋ยวนี้น่ะสาคว้านเงาะคล่องแล้วนะคะ ไม่เชื่อถามคุณยาย

ดูก็ได้”

                “จริงซี แม่คุณ” คุณตาหัวเราะ “วันนั้นได้ยินยามเขาบ่นว่าเงาะห้าสิบ

ใบสั่งให้แม่หลานคว้าน พอคว้านเสร็จแล้วปรากฎว่าเหลือเงาะเพียงสิบกว่าใบ

นอกนั้นไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด”

                สาลินหัวเราะชอบใจ

                “โธ่ ก็เงาะวันนั้นมันลูกโต๊โต แล้วก็หวานกรอบออกจะตายไปนี่คะ”

                คุณยายขัดจังหวะการสัพยอกหยอกล้อของตากับหลานเสียด้วยการ

ถามว่า

                “แม่ศรีเขาจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ”

                “ไม่ทราบค่ะ” สาลินตอบ ทำหน้าเฉยเหมือนตอนที่หล่อนถามพี่สาว

และพี่สาวตอบหล่อนด้วยเสียงและใบหน้าในประโยคเดียวกันนี้

                คุณยายมองหน้าอย่างสงสัย ยังไม่ทันที่ท่านจะพูดอะไร หลานสาวก็

หัวเราะคิกออกมาเสียเอง อธิบายว่า

                “สาเคยถามพี่ศรีเขามาแล้ว แต่เขาตอบยังงี้ แล้วก็ทำหน้าอย่างที่สา

ทำให้คุณยายดูนี่แหละค่ะ”

                “เออแน่ะ” คุณยายเพิ่งเข้าใจ “ร้ายจริง เรานี่ ล้อกระทั่งพี่เชียวเรอะ”

                “โธ่ ก็เขาทำหน้าเสียงอย่างนี้จริง ๆ นี่คะ คุณยาย” สาลินบอก “สา

ถามอะไรเขา เขาก็บอกว่าไม่รู้ แล้วแต่คุณป้า อะไร ๆ ก็แล้วแต่คุณป้า สา

ถึงได้บอกว่า พี่ศรีเขาทำยังกับว่าเรื่องที่เขาจะแต่งงานนี้น่ะ มันก็เหมือน ๆ กับ

ที่คุณป้าสั่งให้เขาร้อยดอกไม้หรือคว้านเงาะยังไงล่ะคะ”

                “นั่นแหละจ้ะ เขาเป็นเด็กดีละ ผู้ใหญ่บอกยังไงเขาก็เชื่อ”

                คุณยายบอกด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ท่านเกือบจะเดาออกว่าหลายสาวจะต้อง

พูดตอบท่านว่าอย่างไร แล้วก็ปรากฎว่าท่านเดาไม่ผิดเสียด้วย

                “โฮย ก็ดีเรื่องอื่นซีคะ แต่เรื่องแต่งงานนี่ไม่ไหว พี่ศรีทำยังกับว่า

ตัวเองเป็นเป็นหุ่น สดแต่ว่าคุณป้าจับไปวางตรงไหนก็ได้ ก็แย่น่ะซีคะ เป็นสาละก็

สาไม่ยอมหรอก”

                “ฟังซี คุณตา ฟังแม่หลานสาวเขาพูดซี” คุณยายหยักหน้ากับคุณตา

ด้วยใบหน้ายิ้มละไมอย่างอารมณ์ดี แล้วก็หันมากล่าวกับหลานสาวว่า “แม่สาเอ๊ย”

ผู้ใหญ่น่ะสายตายาวกว่าเด็กนะลูก เขาต้องคิดแล้วเห็นดีแล้ว เขาถึงได้ทำ

ยังงั้น เด็กก็ควรจะไว้วางใจผู้ใหญ่ โบราณเขายังว่าไว้ว่าเดินตามผู้ใหญ่นะ

หมาไม่กัด ไม่เคยได้ยินมั่งเลยหรือจ๊ะ”

                “เคยค่ะ ”หลานสาวตอบ “แต่คุณยายคะ” พอนึกถึงไอ้คำพูดประโยค

นี่ขึ้นมาทีไร สาเห็นภาพผู้ใหญ่กำลังถูกหมากัดทุกที ก็หมามันไปกัดผู้ใหญ่เสีย

แล้วนี่คะ มันไม่กัดเด็กน่ะซี”

                “ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ” คุณตาหัวเราะลงลูกคอเอิ้ก ๆ อย่างขบขัน ท่านไม่ใส่เสื้อ

จึงเห็นพุงกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงเป็นลูก ๆ ทีเดียว “มันเข้าใจนึกของมันดีจริง

นั่งคนนี้ฮ่า ๆ”

                ตอนนี้คุณยายทำท่าเหมือนจะค้อนสามีของท่าน

                ”แล้วกัน คุณนี่เป็นเสียยังงี้น่ะซี แม่สามันถึงได้ใจ คิดอะไรผาดแผลง

เกินผู้หญิง”

                “แต่ให้เป็นผู้หญิงอย่างแม่หลานสาวคนโตนั่นก็แย่เหมือนกับนายายนา”

คุณตาว่า ละความสนใจจากหนังสือพิมพ์ตรงหน้าเสียแล้วในตอนนั้น “ยาย

คนนั้นน่ะ แกยังกะหุ่นเหมือนอย่างที่ยายสาแกว่าจริง ๆ น่ะแหละ ฉันรู้สึกว่า

ถ้าไม่มีใครออกคำสั่งละก็ แกคงจะทำอะไรไม่ได้แน่ ๆ ”

                “ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณตาคะ” สาลินสั่นหน้า “พี่ศรีน่ะคงจะ

ระวังตัวเฉพาะในเวลาที่อยู่กับคุณป้าเท่านั้น เพราะคุณป้าท่านเจ้าระเบียบ ท่าน

คอยใช้สายตากับปากของท่านเฆี่ยนกำกับอยู่เรื่อยแหละค่ะ ทั้งที่ศรีทั้งแม่ยังงี้

ดูกลัวคุณป้าลานทีเดียว”

“สาลินทำให้คุณตากับคุณยายต้องมองหน้ากัน แล้วก็ถอนใจใหญ่ด้วย

คำพูดประโยคสุดท้ายของหล่อน ใบหน้าของท่านสลดหมดรอยแจ่มใสลงด้วย

กันทั้งคู่ คุณยายหยักหน้าช้า ๆ ท่านบอกว่า

 

                            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เพราะพี่สาวจะต้องแต่งงานตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ 
ซึ่ง เขา เองไม่ได้เต็มใจ แต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธ 
เธอ จึงก้าวเข้ามาในทางเส้นนี้ เพื่อล้มเลิกงงานแต่งงาน 
ความใกล้ชิดของ เธอ และ เขา ผู้จะเป็นพี่เขยในอนาคต 
ได้สานสมพันธ์กลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว 
ในความคิดที่ว่าเขาจะมาเป็นสามี 
พี่สาวจึงมอบหัวใจให้เขาทั้งดวง 
ปัญหากำลังเริ่มลุกลาม หากเขาไม่รีบตัดสินใจ 
ทุกคน ทุกฝ่าย จะต้องเจ็บปวด 
‘สะใภ้จ้าว’ เรื่องราวของหัวใจที่ต้องเลือกระหว่างความรักและเหตุผล
 
คำนำสำนักพิมพ์
 
ความรักเป็นเรื่องของหัวใจที่ไม่มีใครสามารถบังคับ การฝืนใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ หรือตามคำพูดที่ว่า ‘สักวันก็จะรักกันไปเอง’ รังแต่จะนำพาความขื่นขมมาให้แก่กันทั้งสองฝ่าย...หากมิได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน ก็ควรตัดไฟเสียก่อนต้นลม ก่อนที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวด บาดหมาง และลุกลามเกินจะแก้ไข...เรื่องของหัวใจจึงควรดำเนินไปเพราะความรัก ไม่ใช่หน้าที่หรือเหตุผลใดๆ 
     สะใภ้จ้าว เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างความรักและเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง โดยยึดความต้องการของหัวใจเป็นที่ตั้ง ซึ่งสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้อย่างดงาม และนำความสุขมาสู่ทุกคน

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (62 รายการ)

www.batorastore.com © 2024