มัมมี่ (แอนนี่ ไรซ์) (แปล บุญญรัตน์) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 195.00 บาท
ประหยัด: 105.00 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างวาบขึ้นพร้อม ๆ กัน ทำให้ดวงตาพร่าเลือนไปครู่หนึ่ง ถ้าเพียงแต่เขากำจัดช่างภาพพวกนี้ไปเสียได้...

แต่คนพวกนี้ติดตามเขามาเป็นเวลานับเป็นเดือนแล้ว นับตั้งแต่มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุชิ้นแรกในบริเวณเนินเขาอันแห้งแล้งทางตอนใต้ของกรุงไคโรแห่งนี้ มันคล้ายกับทุกคนต่างรู้กันอยู่ว่ามีอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลอว์เรนซ์ สแตรตฟอร์ดค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ช่างภาพเหล่านั้นติดตามเขามาอย่างไม่ยอมลดละ เกะกะขวางทางจนเขาเกือบถูกชนล้มลงขณะเดินไปตามเส้นทางแคบ ๆ ระเกะระกะด้วยก้อนหินน้อยใหญ่สู่ประตูทางเข้าสร้างด้วยหินอ่อนและมีตัวอักษรจำหลักอยู่อย่างเห็นได้ชัด

แสงตะวันยามพลบค่ำดูเหมือนมืดสลัวลงในฉับพลัน เขาพอจะมองเห็นตัวอักษรที่รายเรียงอยู่บนแผ่นหินอ่อนแต่แสงสว่างมีไม่มากพอให้อ่านข้อความได้

“ซาเมียร์” เขาร้องบอก “ขอไฟหน่อยสิ”

“ได้สิ ลอว์เรนซ์” ครั้นแล้วแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้าขึ้นทางด้านหลัง ภายใต้แสงสีเหลือง เขามองเห็นร่องรอยที่ถูกแกะสลักเป็นตัวอักษรได้อย่างชัดเจน มันเป็นจารึกตัวอักษรที่เรียกว่า ‘เฮียโรกลิฟฟิก’ ตัวอักษรภาพสีทองที่มีความคมกริบเด่นชัดและสวยงามยิ่งนัก เขาไม่เคยเห็นอะไรที่สามารถสร้างความติดตาตรึงใจได้เช่นนี้มาก่อน

เขาสัมผัสความอบอุ่นจากฝ่ามือของซาเมียร์ที่เอื้อมมาแตะแขน ขณะเขาอ่านข้อความที่จารึกออกมาดัง ๆ

“เจ้าผู้เป็นโจรปล้นผู้วายชนม์ จงอย่าบังอาจรบกวนผู้เป็นเจ้าของสุสานแห่งนี้ ด้วยความแค้นของข้ายังคงอยู่ ข้าคือรามเสสผู้เป็นอมตะ”

เขาหันมามองหน้าซาเมียร์ราวกับจะถามว่าข้อความนี้หมายถึงอะไร? “แปลต่อไปสิ ลอว์เรนซ์ คุณแปลได้เร็วกว่าผมมาก”

“ข้าคือรามเสสผู้เป็นอมตะ ครั้งหนึ่งข้าคือฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ครอบครองทั้งอียิปต์สูงและอียิปต์ต่ำ เป็นผู้  พิชิตพวกฮิตไตท์มาแล้ว ข้าคือผู้สร้างมหาวิหารทั้งหลาย ข้าคือผู้เป็นที่รักของประชาชนพลเมือง ข้อคือผู้พิทักษ์ฟาโรห์และราชินีทุกพระองค์ผู้ครองนครอียิปต์สืบมา ในปีที่พระนางคลีโอพัตราผู้ยิ่งใหญ่สิ้นพระชนม์ ข้าฝากตัวเองไว้กับความมืดชั่ว      นิรันดร์กาล ผู้ใดที่กระทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังสุสานแห่งนี้..จงระวัง”

“ฟังดูไม่มีเหตุผลเลยนะ” ซาเมียร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอียิปต์ ก่อนหน้าพระนางคลีโอพัตราตั้งพันปีนะ ลอว์เรนซ์”

“ก็จริงอยู่หรอก แต่อักษรทั้งหมดนี่มันเป็นเฮียโรกลิฟฟิกสมัยราชวงศ์ที่สิบเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย” ลอว์เรนซ์กล่าว เขาใช้เล็บขูดตรงแผ่นหินอ่อนระบายอารมณ์ “แล้วดูนั่นสิ ยังมีข้อความเดียวกันนี้เขียนไว้เป็นภาษาลาตินกับกรีกอีกด้วย” เขานิ่งอึ้งไปและอ่านข้อความที่จารึกไว้เป็นภาษาลาตินอย่างรวดเร็ว

“จงระวัง...ข้าขอเตือน...ข้านิทราอยู่ ณ สถานที่แห้งนี้เฉกเช่นพื้นพสุธาที่นิทราอยู่ใต้แผ่นฟ้าแห่งยามราตรีหรือหิมะแห่งฤดูหนาว แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ข้าจะมิใช่ทาสของผู้ใด”

ลอว์เรนซ์ยืนนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ ได้แต่จ้องมองตัวอักษรที่เขากำลังอ่าน ได้ยินเสียงซาเมียร์พูดเบา ๆ อยู่ข้างตัว

“ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย นี่มันเป็นคำสาปแช่งชัด ๆ”

เมื่อลอว์เรนซ์หันหน้ามามอง เขาเห็นสีหน้าที่เคยเปล่งแววแห่งความสงสัยของซาเมียร์ บัดนี้เปี่ยมล้นด้วยความตื่นกลัว

“พระศพของฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโรนะ ลอว์เรนซ์”

“ไม่ใช่หรอก” ลอว์เรนซ์ตอบ เขาสัมผัสความรู้สึกหนาวเย็นที่ค่อยๆ คืบคลานมาตามต้นคอ “ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโรมีพระศพอยู่จริง แต่ไม่ใช่พระศพของรามเสสแน่ ลองดูรอยตราที่ผนึกไว้นี่สิ ในสมัยของพระนางคลีโอพัตรา ไม่มีผู้ใดสามารถเขียนอักษรเฮียโรกลิฟฟิกได้หรอก และนี่เป็นตัวอักษรภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งภาษาลาตินและภาษากรีกนี่ก็สมบูรณ์ด้วยเช่นกัน”

เฮ้อ...ถ้าเพียงจูลี่อยู่ที่นี่ด้วย ลอว์เรนซ์นึกอย่างแสนเสียดาย จูลี่ลูกสาวของเขาไม่เคยหวั่นเกรงต่อภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ เธอย่อมเข้าใจถึงความสำคัญแห่งช่วงเวลานี้ได้ดียิ่งกว่าใคร

ตอนเดินกลับออกมาตามช่องทาง เขาแทบสะดุดล้มลงอีกครั้ง พยายามโบกมือไล่พวกช่างภาพให้ออกไปให้พ้นทางเดิน แต่กระนั้นแสงแฟลชยังวูบวาบอยู่รอบตัว พวกผู้สื่อข่าวชิงกันวิ่งกรูเข้าไปยังประตูหินอ่อนแผ่นนั้น

“สั่งให้พวกคนงานลงมือทำงานต่อได้แล้ว” ลอว์เรนซ์ตะโกนออกคำสั่ง “ผมต้องการให้ทางเดินสะอาดราบเรียบไปจนถึงธรณีประตู ผมจะเข้าไปในสุสานคืนนี้”

“ลอว์เรนซ์ ผมว่าคุณน่าจะคิดทบทวนเสียก่อนนะ” ซาเมียร์เตือนด้วยน้ำเสียงกังวล “ผมว่าที่นี่ยังมีอะไรบางอย่างที่คุณไม่ควรมองข้ามไป”

“ซาเมียร์ คุณกำลังทำให้ผมแปลกใจนะ เป็นเวลาถึงสิบปีแล้วที่เราสำรวจเนินเขาทุกแห่งในบริเวณนี้เพื่อค้นหาหลักฐานสำคัญชิ้นนี้ และเมื่อมาถึงเวลานี้ คุณก็เห็นอยู่แล้วว่าตลอดเวลาสองพันปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครมาแตะต้องประตูนั่นเลย นับแต่วันที่มันถูกปิดตาย”

เขาผลักร่างนักข่าวคนหนึ่งที่พยายามจะเข้ามาสัมภาษณ์ผงะออกห่างด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือเข้าไปรอเวลาเปิดประตูอยู่ในเต็นท์เพียงคนเดียวเงียบ ๆ   เขาต้องการบันทึกความรู้สึกตื่นใจที่กำลังบังเกิดลงไว้ในสมุดบันทึกประจำวัน และเพิ่งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเดี๋ยวนี้เอง

“ขอโทษเถอะครับ ผมขอร้องว่าอย่าเพิ่งถามอะไรคุณลอว์เรนซ์ตอนนี้เลย” ซาร์เมียบอกกับนักข่าวและช่างภาพซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง เขาทำหน้าที่นี้มานานแล้ว คล้ายกับซาเมียร์เป็นกันชนตรงกลางระหว่างลอว์เรนซ์กับโลกอันแท้จริงภายนอก

ลอว์เรนซ์รีบรุดเดินลงไปตามเส้นทางขรุขระ รู้สึกปวดข้อเท้าอยู่บ้างแต่ก็ยังเดินต่อไป ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเมื่อมองเลยคบเพลิงที่ไหวระริกในแรงลมไปยังหมู่เต็นท์ที่ตั้งรวมกันอยู่ภายใต้ความงามของท้องฟ้ายามตะวันรอน

สิ่งเดียวที่สร้างความขุ่นเคืองให้บังเกิดก่อนไปถึงเต็นท์ส่วนตัวคือภาพของเฮนรี่หลานชายของเขาที่กำลังมองมาจากในระยะไกล เฮนรี่เป็นบุคคลเดียวที่ลอว์เรนซ์มีความรู้สึกว่าไม่ควรมาปรากฏตัวในแผ่นดินแห่งนี้ สีหน้าของหลานชายบอกความเบื่อหน่าย แม้จะอยู่ในสูทผ้าลินินสีขาวถือแก้วสก็อตไว้ในมือข้างหนึ่งและคาบบุหรี่เชอรูตไว้ที่ปาก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางระบำหน้าท้องชื่อมาเลนก้าคงติดตามเขามาจากไคโรด้วย ผู้หญิงคนนี้ยินดีทุ่มเงินทั้งหมดที่หล่อนหามาได้มาปรนเปรอชายหนุ่มผู้เป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษของหล่อนอย่างไม่อั้น ลอว์เรนซ์ไม่มีวันลืมสิ่งที่เฮนรี่เคยทำไว้ แต่การที่เห็นหลานชายตามมาถึงที่นี่เป็นสิ่งที่เขาสุดทนรับได้

 ในชีวิตที่มีแต่ความมั่งคั่งสุขสบาย ลอว์เรนซ์มีความคิดว่าเฮนรี่เป็นคนเดียวที่สร้างความผิดหวังให้กับเขาอย่างที่สุด เป็นหลานชายผู้ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของผู้ใดและอะไรทั้งสิ้นนอกจากการพนันกับขวดเหล้า เฮนรี่เป็นทายาทชายเพียงคนเดียวของตระกูลสแตรตฟอร์ดที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ไม่ได้รับความไว้วางใจแม้แต่ให้ถือธนบัตรราคาหนึ่งปอนด์

เขารู้สึกแปลบขึ้นมาในใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงจูลี่ลูกสาวสุดที่รัก เขาหวังเหลือเกินว่าเธอควรมาอยู่กับเขาที่นี่ในเวลานี้ และจูลี่คงมาแน่ ถ้าคู่หมั้นไม่ห้ามปรามและขอร้องให้เธออยู่บ้าน

การที่เฮนรี่เดินทางมาอียิปต์ครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องเงินทอง เขานำเอกสารของบริษัทมาให้ลอว์เรนซ์ลงนามด้วย แรนดอล์ฟ พ่อของเฮนรี่จำเป็นต้องส่งลูกชายมาเพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่งที่เฮนรี่ไปทำหนี้ไว้ เป็นพ่อลูกที่เหมาะสมกันเสียเหลือเกิน ลอว์เรนซ์ครุ่นคิดอย่างเคร่งขรึม แรนดอล์ฟเป็นถึงประธานบริษัทเดินเรือสแตรตฟอร์ดที่เอากำไรทั้งหมดที่อุตส่าห์หามาได้ใส่ลงในกระเป๋าก้นรั่วของลูกชายคนเดียว แต่ถึงอย่างไรลอว์เรนซ์ก็ยังให้อภัยพี่ชายอยู่ดี เพราะเขาไม่เพียงมอบหมายกิจการทั้งหลายแหล่ให้แรนดอล์ฟดูแลเท่านั้น แต่ยังให้พี่ชายแบกภาระความรับผิดชอบทั้งหมดอีกด้วย เพื่อเขาจะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดอุทิศให้กับงานขุดค้นสำรวจหาโบราณวัตถุ อันเป็นงานที่เขารักได้อย่างเต็มที่

ถ้าจะพูดกันอย่างยุติธรรม แรนดอล์ฟบริหารกิจการงานของบริษัทเดินเรือสแตรตฟอร์ดอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด แต่มันก่อนที่ลูกชายจะทำให้เขากลายเป็นคนฉ้อฉลไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ แรนดอล์ฟต้องเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ลอว์เรนซ์ไม่ต้องการพาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานบริษัทอีก เขาไม่ต้องการเดินทางออกจากอียิปต์กลับไปลอนดอน และนั่งอยู่แต่ภายในสำนักงานของสแตรตฟอร์ดชิปปิ้งเท่านั้น แม้แต่จูลี่ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เขาเดินทางกลับบ้านได้

ขณะนี้เฮนรี่มายืนรอเพื่อหาโอกาสเข้าพบเขาแล้ว แต่ลอว์เรนซ์ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต้อนรับหลานชาย เขาเดินตรงเข้าไปในเต็นท์ส่วนตัวแล้วลากเก้าอี้มานั่งหลังโต๊ะทำงาน หยิบสมุดบันทึกปกหุ้มหนังที่อุตส่าห์เก็บงำไว้อย่างดีเพื่อเอาออกมาใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเช่นนี้ เขาเริ่มลงมือบันทึกข้อความที่จารึกหน้าประตูหินอ่อนลงในสมุด ขณะที่มันยังสดใสอยู่ในความทรงจำ

“รามเสสผู้เป็นอมตะ” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองดูชื่อนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสความหวาดกลัวที่บังเกิดกับซาเมียร์ ทั้งหมดนี่หมายความว่ายังไง?

ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน และลอว์เรนซ์กำลังถามตัวเองว่าเขากำลังฝันไปหรือเปล่า ประตูหินอ่อนของสุสานถูกถอดอย่างระมัดระวัง และถูกนำไปวางไว้บนโครงไม้ที่ต่อขึ้นเพื่อรองรับ และขณะนี้ทุกคนพร้อมแล้วที่ย่างเท้าเข้าไปในสุสานอันเป็นจุดหมายที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว

เขาหันมาพยักหน้าให้ซาเมียร์ สัมผัสความตื่นเต้นที่กำลังบังเกิดอยู่กับทุกคน แสงไฟวูบวาบจากกล้องทำให้เขาหน้ามืดตาลาย กล้ามเนื้อในช่องท้องเครียดเขม็ง เขาไม่อยากครุ่นคิดพิจารณาความรู้สึกของตัวเองในยามนี้ เขามีคบเพลิงอยู่ในมือและพร้อมจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่แล้ว แต่กระนั้นซาเมียร์ยังใช้ความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยับยั้งเขา

“ลอว์เรนซ์ บางทีในนั้นมันอาจจะมีกับดัก หรือมันอาจจะมี”

“ออกไปให้พ้น”

ฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่ภายในทำให้เขาทั้งจามทั้งไอจนน้ำตาไหลพราก เขาชูคบเพลิงขึ้นเหนือศีรษะ ผนังทุกด้านถูกจารึกด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิกทั้งสิ้น เป็นลักษณะอักษรภาพสมัยราชวงศ์ที่สิบเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนเหยียบย่างเข้ามาในคูหาหรือสุสานแห่งนี้เป็นครั้งแรก เขาสังเกตพบว่าอากาศภายในค่อนข้างเย็นอย่างประหลาด และอวลอบอยู่ด้วยกลิ่นไอแปลกๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตลอดเวลานับศตวรรษที่ผ่านมากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ค่อนข้างแปลกจะยังคงอยู่ได้

เขารู้สึกหัวใจเต้นระทึก ใบหน้าผ่าวร้อนและจามออกมาอีก พวกนักข่าวที่ตามติดเข้ามานั่นเองทำให้ฝุ่นคลุ้งขึ้นอีก

“ออกไป” เขาตะโกนไล่ด้วยความขุ่นเคือง แสงแฟลชสว่างวูบวาบรอบตัวอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานคูหาด้วยดวงตาพร่าพราย

เมื่อลดสายตาลง เขามองเห็นโต๊ะยาวใหญ่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนอกจากมีหีบและคนโทขนาดใหญ่ทำจากหินอ่อนแล้วยังมีม้วนกระดาษปาปิรัสซ้อนกันอยู่อีกกองใหญ่ พระเจ้า...เพียงแค่ม้วนกระดาษนั่นก็ยืนยันความมหัศจรรย์ของสิ่งที่เขาค้นพบอย่างมากมายมหาศาลแล้ว

“แต่ในนี้เหมือนไม่ใช่สุสาน” เขาพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา นอกเหนือจากโต๊ะตัวดังกล่าวแล้ว ยังมีโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือมีฝุ่นละอองบางๆ จับอยู่เต็มพื้นหน้าอีกตัวหนึ่ง ดูคล้ายกับว่าผู้ทรงภูมิปัญญาคนหนึ่งเพิ่งลุกไปจากโต๊ะเมื่อไม่นานนี้เอง เพราะบนโต๊ะมีกระดาษปาปิรัสถูกคลี่กางไว้ และมีปากกาในแจกันแก้วพร้อมด้วยขวดหมึกและถ้วยแบบมีหูอีกใบหนึ่ง แต่นอกจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นแล้วยังมีรูปสลักครึ่งตัว แกะสลักขึ้นจากหินอ่อน เป็นรูปสลักของหญิงสาว เรือนผมที่หยักศกเป็นลอนระยับยาวสยายจนถึงฐานโลหะ เปลือกตาของรูปสลักหรี่เลือนจนเกือบปิด และเขาก็เห็นชื่อของนางที่ถูกจารึกไว้บนฐาน “คลีโอพัตรา”

“เป็นไปไม่ได้” เขาได้ยินเสียงซาเมียร์พูดเบาๆ อยู่ข้างหู “แต่ดูนั่นสิ ลอว์เรนซ์ นั่นไงโลงใส่มัมมี่”

แต่ลอว์เรนซ์สังเกตเห็นสิ่งนั้นก่อนแล้ว เขายืนนิ่งอึ้งมองดูสิ่งที่ถูกวางไว้กลางคูหาประหลาด คูหาที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นห้องทำงานหรือไม่ก็ห้องสมุดได้อย่างเต็มปาก เนื่องจากมันประกอบด้วยโต๊ะเขียนหนังสือและมีเอกสารวางกองรวมกันอยู่อย่างมากมาย

อีกครั้งหนึ่งที่ซาเมียร์ต้องหันไปสั่งให้พวกช่างภาพถอยห่างออกไป แสงแฟลชสว่างวาบตลอดเวลา ทำให้อารมณ์ของลอว์เรนซ์จวนเจียนจะระเบิดเต็มที

“ออกไป...ออกไปให้หมดทุกคน” ลอว์เรนซ์แผดเสียงคำราม ดูเหมือนทุกคนเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่ง เพราะพร้อมใจกันถอยออกจากคูหาแห่งนั้นแต่โดยดี ปล่อยให้ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันในความเงียบแต่เพียงลำพัง ในที่สุดซาเมียร์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ทุกอย่างในนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องแต่งห้องสมัยโรมันทั้งสิ้น นี่คือรูปสลักของคลีโอพัตราแน่ แล้วลองดูเหรียญกษาปณ์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือนี่สิลอว์เรนซ์ มันยังใหม่อยู่เลย เพียงแค่สองสิ่งนี้ก็ล้ำค่าเสียจน...”

“ผมรู้ แต่ตรงนั้นยังมีร่างของฟาโรห์ที่นอนสงบอยู่ด้วยนะซาเมียร์ รายละเอียดต่าง ๆ บนโลงศพประณีตสวยงามเหมือนโลงศพที่เคยขุดค้นพบในหุบเขาจักรพรรดิไม่มีผิด”

“แต่บนโลงศพไม่มีลวดลายที่มีการประดับประดาด้วยเครื่องทองอย่างที่พวกเขาเคยพบกันมาเลยนะ” ซาเมียร์ตั้งข้อสังเกต “ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

“ที่นี่ไม่ใช่หลุมฝังศพที่ใช้ฝังคนตายนี่นา” ลอว์เรนซ์ตอบ

“แล้วมันยังถูกเลือกเป็นที่เก็บศพของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่อีกอย่างนั้นเหรอ?” ซาเมียร์เดินเข้าไปใกล้โลงใส่มัมมี่ ชูคบเพลิงขึ้นเหนือศีรษะขณะพิจารณาภาพใบหน้าที่ถูกวาดขึ้นไว้อย่างสวยงาม ประกอบด้วยดวงตาและริมฝีปากที่วาดขึ้นด้วยลายเส้นสีดำฝีมือประณีต

“ผมกล้าสาบานได้เลยว่านี่เป็นโลงที่ต่อขึ้นในสมัยโรมัน”

“แต่รูปแบบของมัน”

“ลอว์เรนซ์ รูปที่เขียนไว้บนฝาโลงดูมีชีวิตชีวามากนะ มีแต่ศิลปินชาวโรมันเท่านั้นที่ลอกเลียนแบบลวดลายอันสวยงามในสมัยราชวงศ์ที่สิบเก้าได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้”

“แต่สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เพื่อนรัก?”

“คำสาปแช่ง” ซาเมียร์อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับเขาไม่ได้ยินคำถามของลอว์เรนซ์เลยแม้แต่น้อย เขากำลังเขม้นมองตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิกที่เขียนขึ้นไว้รอบรูปที่วาดขึ้นไว้เป็นร่างคน มีตัวอักษรภาษากรีกกับภาษาลาตินอยู่ใต้ลงมา

“จงอย่าแตะต้องพระวรกายของรามเสสผู้ยิ่งใหญ่อย่างเด็ดขาด” ซาเมียร์อ่านดัง ๆ “มันถูกเขียนขึ้นไว้ทั้งสามภาษาอีกเช่นกัน แต่แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ใครก็ตามที่อยากเปิดโลงใบนี้ต้องหยุดคิดได้แล้ว”

“แต่เห็นจะไม่ใช่ผมหรอก” ลอว์เรนซ์ตอบ “คุณไปสั่งให้พวกคนงานเข้ามาได้แล้ว ผมจะจัดการเปิดฝาโลงเดี๋ยวนี้เลย”

ฝุ่นละอองเริ่มจางลงมากแล้ว แถวคบเพลิงที่ยื่นออกมาจากก้านเหล็กที่รายเรียงติดฝาผนังก่อให้เกิดควันคละคลุ้งขึ้นไปจนถึงเพดาน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับลอว์เรนซ์เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไปนี้คือตัดเชือกที่มัดอยู่รอบห่อผ้าซึ่งเห็นได้ชัดว่าภายในคือร่างมนุษย์ บัดนี้มันถูกยกขึ้นพิงไว้กับผนังด้านหนึ่งของคูหา ฝาโลงที่เป็นไม้แผ่นบางถูกยกขึ้นพิงไว้เคียงข้างกับมัมมี่ด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้เขามองไม่เห็นกลุ่มนักข่าวและช่างภาพชายหญิงที่ถอยไปออกันอยู่หน้าประตูทางเข้า และกำลังจดจ้องมองดูสิ่งที่เขาจะทำต่อไปอย่างเงียบสงบ

ลอว์เรนซ์ยกมีดในมือขึ้นช้า ๆ กรีดลงบนเนื้อผ้าลินินที่ห่อหุ้มมัมมี่ไว้อีกชั้น มันหลุดร่วงลงกับพื้นในทันที เผยให้เห็นร่างที่ถูกห่อไว้ข้างในอย่างชัดเจน

มีเสียงอุทานดังมาจากกลุ่มนักข่าว แสงไฟแฟลชสว่างวาบๆ ติดต่อกันหลายครั้ง แต่กระนั้นลอว์เรนซ์ยังสัมผัสความเงียบงันที่กำลังเกิดขึ้นกับซาเมียร์ได้ ทั้งสองมองพิจารณาใบหน้าแห้งเหี่ยวใต้ผ้าลินินที่พันทบไว้ แขนและมือแห้ง เหี่ยวประสานกันอยู่บนแผ่นอก ดูเหมือนจะมีเสียงช่างภาพคนหนึ่งเอ่ยขออนุญาตเข้าไปดูใกล้ๆ ซาเมียร์หันไปตวาดให้เขาเงียบอย่างขึ้งโกรธ แต่ถึงแม้มีสิ่งขัดจังหวะขึ้นเช่นนี้ ลอว์เรนซ์กลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขามองร่างเหี่ยวแห้งลงด้วยกาลเวลาตรงหน้าด้วยอาการสงบ ผ้าที่ห่อกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนราวกับสีแห่งทะเลทราย คล้ายกับเขาสามารถจับความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าของซากศพนั่นได้ แทบได้ยินวาจาที่คล้ายจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากเหี่ยวแห้ง จนแทบมองไม่เห็นรูปรอยได้ด้วยซ้ำ

มัมมี่ทุกตัวมักจะดูลึกลับทั้งนั้น ถึงแม้ซากแห้งผากเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก แต่มันยังทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันมีชีวิตอยู่ในความตาย เขารู้สึกหนาวเยือกทุกครั้งที่เห็นซากศพของชาวอียิปต์โบราณที่ตายมาเนิ่นนาน แต่มันออกจะน่าแปลกตรงที่ว่า เมื่อเขามองดูมัมมี่ตัวนั้นอย่างพินิจพิจารณา ในใจพลันบังเกิดความอาวรณ์ลึก ๆ มีความลึกลับมากมายที่แฝงอยู่ในซากมัมมี่ของบุรุษผู้เรียกตัวเองว่า...รามเสสผู้เป็นอมตะ และมันคล้ายกับมีความอบอุ่นอย่างเป็นสุขบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาด้วย ลอว์เรนซ์เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ใช้มีดกรีดลงบนผ้าห่อชั้นนอกอีกครั้ง จากด้านหลังเขาได้ยินเสียงซาเมียร์ออกคำสั่งให้ช่างภาพออกไปให้พ้น อย่าเกะกะขวางทางเพราะอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้

ลอว์เรนซ์เอื้อมมือออกไปสัมผัสซากมัมมี่ แต่มันเป็นการสัมผัสที่ทะนุถนอมยิ่งนัก เขาเพียงไล้ปลายนิ้วลงไป แต่แล้วต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าซากมัมมี่ไม่ได้แข็งราวกับแท่งหินเช่นที่คิดไว้ในตอนแรก มันมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสัมผัสของเขาเหมือนผิวหนังยืดหยุ่นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก

แต่มันมีเหตุผลที่สามารถอธิบายในปฏิกิริยานี้ได้ มีทางเป็นไปได้ว่าผ้าที่พันทบกันอยู่อย่างหนาแน่นอาจจะอ่อนตัวลงด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป

เขาพิจารณาใบหน้าซูบตอบแห้งกรังที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าอีกครั้งหนึ่ง มองดูกระบอกตาลึกเป็นเบ้าตากลมและริมฝีปากบางเฉียบราวกับแผ่นหนัง

“จูลี่...” เขาเผลอเรียกชื่อลูกสาว “ลูกรักของพ่อ ถ้าเพียงแต่ลูกได้มาอยู่ที่นี่กับพ่อในเวลานี้ ถ้าเพียงแต่ลูกได้เห็น...”

งานราตรีสโมสรของสถานทูตที่จัดขึ้นในคืนวันนั้น แขกเหรื่อผู้ได้รับเชิญมาล้วนแต่เป็นหน้าเก่าๆ วงดนตรีออเคส   ตร้าก็วงเก่า แสงไฟสาดสว่างเข้าตาเอลเลียต ซาวาเรลล์ แชมเปญจน์ที่เขาดื่มเข้าไปขมขื่นเต็มที แต่เขาก็ยกมันขึ้นดื่มจนเกลี้ยงและสบตากับบริกรที่ถือถาดเครื่องดื่มเดินผ่านมา แก้วแล้วแก้วเล่าที่เขาดื่มโดยไม่สนใจว่ามันเป็นบรั่นดีหรือวิสกี้

คนพวกนี้ไม่ใช่หรือที่ต้องการให้เขามาที่นี่ในคืนนี้? งานออกจะกร่อยเกินไปใช่ไหมถ้าขาดเอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ด? เขาอดยิ้มหยันกับตัวเองไม่ได้ เมื่อคิดถึงว่ามันคงเหมือนงานที่ขาดดอกไม้ประดับประดาให้สวยงาม ขาดดวงเทียนนับร้อยพันที่ให้แสงสว่าง ความเป็นเอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ดช่างมีความสำคัญเสียเหลือเกิน

นักดนตรีหน้าเก่าพวกนั้นกำลังบรรเลงเพลงไพเราะอ่อนหวาน หนุ่ม ๆ สาว ๆ กำลังเต้นรำกันอย่างมีความสุข

ผู้คนทั้งหลายล้วนยินดีให้การต้อนรับเอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ดกันทั้งนั้น เขาต้องการให้ท่านเอิร์ลผู้มีความสำคัญไปร่วมในพิธีสมรสของลูกสาว ไปร่วมดื่มน้ำชาในยามบ่าย หรือไม่ก็มาร่วมงานราตรีสโมสรเช่นคืนนี้ ไม่มีผู้ใดคิดเดียดฉันท์เลยว่าในระยะหลัง ๆ ทั้งเอลเลียตและอีดิธผู้เป็นภรรยาไม่ได้จัดงานเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อขึ้นที่คฤหาสน์หรือที่บ้านพักในชนบทอีกต่อไป        อีดิธใช้เวลาส่วนใหญ่ไปพักอยู่กับพี่สาวผู้เป็นหม้ายของหล่อนในกรุงปารีส    ดังนั้นเอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ดที่ ๑๗ จึงจำเป็นต้องปรากฏตัวในงานต่างๆ เพียงคนเดียว ศักดิ์แห่งตระกูลที่เป็นมรดกตกทอดกันสืบมานี้ เมื่อนับย้อนหลังกลับไป เขาเป็นถึงพระญาติสนิทของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ เลยเชียวแหละ

เอลเลียตเฝ้าแต่คิดสงสัยตัวเองอยู่เสมอมาว่าทำไมเขาไม่ตัดความสัมพันธ์กับคนพวกนี้เสียให้หมดสิ้น ทั้งที่ควรทำมาตั้งแต่นานแล้ว ทำไมเขาต้องยึดมั่นอยู่กับความสัมพันธ์ของผู้คนที่เขาแทบไม่เคยสนใจเลยด้วย? แต่สิ่งที่กำลังอยู่ในความคิดขณะนี้มันไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรเขายังรักใครบางคนในจำนวนนี้อยู่ ไม่ว่าใจอยากยอมรับหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยเขาก็รักใคร่ชอบพอกับแรนดอล์ฟ สแตรตฟอร์ด เช่นเดียวกับที่ชอบพอในตัวลอว์เรนซ์น้องชายของบุรุษผู้นี้ และแน่นอนเขารักจูลี่ สแตรตฟอร์ดด้วย เขาชอบดูเธอเต้นรำกับลูกชายของเขาเช่นในเวลานี้

การที่เอลเลียตมาปรากฏตัวในงานคืนวันนี้ เพราะเห็นแก่ลูกชายนั่นเอง ถึงแม้รู้ว่าจูลี่ยังไม่ตกลงปลงใจจะแต่งงานกับอเล็กซ์ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็ววัน แต่มันเป็นความหวังที่เห็นได้ชัดเจนว่าอเล็กซ์อาจสามารถหาเงินก้อนใหญ่เพื่อนำมาปรับปรุงที่ดินซึ่งตนจะได้รับเป็นมรดกตกทอด ที่จริงผู้ที่มีศักดิ์ตระกูลขุนนางอย่างเขาน่าจะมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยพร้อมสรรพ แต่ดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วสำหรับเวลานี้

เรื่องเศร้าอยู่ตรงที่ว่าอเล็กซ์เกิดหลงรักจูลี่ขึ้นมาอย่างจับใจ โดยความเป็นจริงแล้ว เงินดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับหนุ่มสาวในยุคนี้ มีแต่คนแก่เฒ่าเท่านั้นที่จัดการวางแผนกันขึ้นและเชื่อมั่นว่าตนจะต้องทำได้สำเร็จ เอลเลียตเอนร่างพิงราวทองเหลือง ทอดสายตามองดูคูหนุ่มสาวที่ลอยล่องไปตามจังหวะเพลงกันอยู่เบื้องล่าง เขาพยายามให้ตัวเองลืมเสียงต่าง ๆ ที่ดังอยู่รอบตัวลงจนหมดสิ้น และรับฟังเพียงแต่ความไพเราะอ่อนหวานของเสียงเพลงเพียงอย่างเดียว แต่แรนดอล์ฟ สแตรตฟอร์ดกำลังพูดขึ้นอีกแล้ว

แรนดอล์ฟกำลังให้คำรับรองกับเอลเลียตว่าผู้หญิงอย่างจูลี่ ถ้าเพียงพยายามเกลี้ยกล่อมอีกสักหน่อย เธอคงยอมแต่งงานด้วยอย่างแน่นอน หรือไม่ถ้าหากลอว์เรนซ์ออกปากเพียงคำเดียว ลูกสาวของเขาต้องยอมอยู่แล้ว

“ผมว่าเราต้องให้เวลากับเฮนรี่สักหน่อย” แรนดอล์ฟพูดในช่วงหนึ่ง “เขาเพิ่งเดินทางไปถึงอียิปต์ได้แค่อาทิตย์เดียว ถ้าลอว์เรนซ์ได้รับการเสนอแนะสักเล็กน้อย”

“ทำไมลอว์เรนซ์จะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ?” เอลเลียตขัด คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบ

เอลเลียตรู้จักลอว์เรนซ์ดีกว่าแรนดอล์ฟหลายเท่า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความจริงในเรื่องนี้ นอกจากเขาทั้งสองเท่านั้น เมื่อครั้งศึกษาอยู่ในออกซ์ฟอร์ด เอลเลียตกับลอว์เรนซ์เคยเป็นคู่ขากันด้วยซ้ำ และหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ทั้งสองเคยอยู่ด้วยกันในเรือนแพทางตอนใต้ของกรุงไคโรตอนช่วงฤดูหนาว

เหตุการณ์ในชีวิตจริงที่ผันแปรทำให้คนทั้งสองต้องแยกทางกันเดิน เอลเลียตไปแต่งงานกับจูดิธ คริสเตียน เศรษฐินีสาวชาวอเมริกัน ส่วนลอว์เรนซ์หันมาจับงานด้านการเดินเรืออันเป็นธุรกิจของครอบครัว และสร้างจนกระทั่งมันยิ่งใหญ่กลายเป็นอาณาจักรขึ้นมา แต่ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของบุคคลทั้งสองไม่เคยเสื่อมสลาย เอลเลียตยังติดตามไปหาลอว์เรนซ์และพักอยู่ในอียิปต์กับเพื่อนในช่วงวันหยุดบ่อยครั้ง แม้ทุกวันนี้ทั้งสองยังคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องสภาพปรักหักพังของโบราณสถาน เรื่องเกี่ยวกับการค้นพบหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ทางด้านโบราณคดีและอีกมากมายหลายร้อยเรื่องได้ทั้งคืน

ดูเหมือนมีเพียงเอลเลียตคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า เพราะเหตุใดลอว์เรนซ์จึงมอบหมายภารกิจให้กับพี่ชายทั้งหมดและเดินทางไปอยู่ในอียิปต์ จนทุกวันนี้เขายังนึกอิจฉาลอว์เรนซ์ และนี่คือความขัดแย้งครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสอง

มีอยู่ตอนหนึ่งที่ลอว์เรนซ์เกิดบันดาลโทสะ ลอว์เรนซ์เรียกเอลเลียตว่าคนขลาดที่ยังใช้ชีวิตอยู่กับความสำราญในลอนดอนอย่างไร้คุณค่า โลกแบบนั้นจะไม่มีวันนำความสุขอันแท้จริงมาให้เขาได้ ขณะเดียวกันเอลเลียตก็วิพากษ์วิจารณ์ ลอว์เรนซ์ว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ซ้ำยังตาบอดอีกต่างหาก ทั้งที่ลอว์เรนซ์มีฐานะร่ำรวยมหาศาลอย่างที่เอลเลียตยังทาบไม่ติด ยิ่งกว่านั้นลอว์เรนซ์ยังมีลูกสาวที่ทั้งสวยทั้งฉลาดพรั่งพร้อมด้วยสติปัญญา ส่วนเอลเลียตมีทั้งภรรยาและลูกชายที่ต้องการตัวเขาและความมีหน้ามีตาในสังคมอยู่ตลอดเวลา ลอว์เรนซ์โชคดีกว่าเอลเลียตตรงที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว

“สิ่งที่ผมพูดอยู่นี้หมายความว่า” แรนดอล์ฟกล่าวต่อ “ถ้าลอว์เรนซ์แสดงความจำนงว่าเขาต้องการให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น”

“และเพื่อให้ได้เงินสองหมื่นปอนด์นั้นมาใช่ไหม?” เอลเลียตสวนไปทันที แม้น้ำเสียงที่ถามจะสุภาพนุ่มนวลแต่ก็เป็นคำถามจี้ใจแรนดอล์ฟ เขากล่าวซ้ำอีก “ภายในหนึ่งอาทิตย์อีดิธจะกลับมาจากฝรั่งเศสแล้ว แน่นอนเธอต้องสังเกตเห็นว่าสร้อยคอเส้นนั้นหายไป คุณก็รู้ว่าเธอเป็นคนละเอียดรอบคอบกับเรื่องแบบนี้เสมอ”

แรนดอล์ฟนิ่งเงียบไปอีก เหมือนกับเขาหาคำตอบให้กับคำถามนั้นไม่ได้จริง ๆ

เอลเลียตหัวเราะเบา ๆ แต่เขาไม่ได้หัวเราะเยาะแรนดอล์ฟหรือตัวเอง และแน่นอนเขาไม่ได้หัวเราะเยาะอีดิธ แม้ว่าขณะนั้นภรรยาของเขาจะเหลือแต่ตัวกับเครื่องเพชร ไม่มีเงินมากมายเท่าลอว์เรนซ์ก็ตาม

บางทีอาจจะเป็นเสียงดนตรีกระมังที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกขบขัน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะภาพของจูลี่ สแตรตฟอร์ดกำลังเต้นรำอยู่กับอเล็กซ์ข้างล่าง สร้างความประทับใจให้บังเกิดกับเขาอย่างมากมาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะในระยะหลัง ๆ นี้เขาหมดความสามารถในการพูดจาแบบทีเล่นทีจริงได้อีกต่อไป การครุ่นคำนึงถึงความสุขเมื่อครั้งยังหนุ่มช่วยให้เขาเกิดความขบขันขึ้นมาได้เช่นกัน

เมื่อล่วงเข้าสู่วัยชรา เอลเลียตเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและไขข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฤดูหนาวมาถึง และเดี๋ยวนี้เขาไม่สามารถเดินเล่นแถวบ้านพักในชนบทได้ไกลเกินครึ่งไมล์ เพราะเกิดความรู้สึกปวดแปลบขึ้นในทรวงอกอย่างรุนแรง ในวัยห้าสิบห้าเช่นวันนี้ เขาไม่รู้สึกอะไรเลยกับการที่เส้นผมบนศีรษะเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะเขามีความเห็นว่าผมสีนั้นเหมาะกับบุคลิกของเขามากกว่าก็ได้ แต่ที่สร้างความเจ็บใจและเสียหน้าให้อย่างมากก็คือไม่ว่าจะไปไหนจำเป็นต้องมีไม้เท้าติดมือไปด้วยทุกครั้ง เขายังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องพบกับอะไรที่แย่กว่านี้

คนเราเมื่อล่วงเข้าสู่วัยชรามีแต่ความอ่อนแอ จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่เสมอ เอลเลียตเฝ้าแต่ภาวนาขอให้ อเล็กซ์ได้มีโอกาสแต่งงานกับหญิงสาวผู้เป็นทายาทเงินล้านเสียเร็ว ๆ และหวังจะเห็นเพียงแค่ความสุขในชีวิตแต่งงานของลูกชาย

ทันใดเขารู้สึกขุ่นใจขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เสียงดนตรีแผ่วเบายังสร้างความหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ปลอบตัวเองว่ายังดีกว่าไม่มีเสียงอะไรเสียเลย

เขาอยากเล่าให้แรนดอล์ฟฟังอย่างเหลือเกินว่า เขา เอลเลียตผู้นี้เคยสร้างความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในชีวิตมาแล้ว โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่เขาอยู่ในอียิปต์ เมื่อเขากับลอว์เรนซ์เดินไปตามถนนมืดครึ้มในกรุงไคโรด้วยกัน หรือไม่ก็ดื่มกันจนเมาหมดสติอยู่ในเรือนแพเหนือลำน้ำไนล์ ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่ลอว์เรนซ์สามารถจัดการกับชีวิตตนเองได้อย่างมีสัดส่วน สามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่คนอื่นล้มเหลว ขณะที่เอลเลียตปล่อยให้ชีวิตเลื่อนลอยไปตามเรื่องราว

ในที่สุดลอว์เรนซ์หนีเขาไปอยู่กลางทะเลทราย ไปซุกตัวอยู่ท่ามกลางวิหารที่มีแต่ความลึกลับและนอนอยู่ภายใต้แสงดาวกระจ่างสุกใสราวกับตาข่ายคลุมฟ้ายามราตรี

พระเจ้า...เขาคิดถึงลอว์เรนซ์เสียเหลือเกิน ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมายไม่กี่ฉบับ แต่ความเข้าใจอันดีระหว่างกันยังคงอยู่อย่างแน่นอน

“เฮนรี่ไปครั้งนี้เอาเอกสารติดตัวไปด้วย” เสียงแรนดอล์ฟกล่าว “เป็นแค่หุ้นจำนวนเล็กน้อยของบริษัทเท่านั้นแหละ” สีหน้าของเขาบอกความระมัดระวังในการใช้คำพูด แต่มันทำให้เอลเลียตอยากหัวเราะออกมาอีก

“ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่ผมหวังไว้ ผมยินดีชดใช้ทุกเซ็นต์ที่ผมติดค้างคุณ และการแต่งงานระหว่างลูกชายของคุณกับหลานสาวของผม ควรกำหนดขึ้นได้ในเวลาหกเดือน ผมขอสัญญา”

“แรนดอล์ฟ” เอลเลียตพูดยิ้ม ๆ “การแต่งงานอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ และมันอาจจะแก้หรือไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็ได้ด้วยนะ”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิเพื่อนรัก”

“ผมจำเป็นต้องพูด เพราะจำเป็นต้องได้เงินสองหมื่นปอนด์มาก่อนที่อีดิธกลับมาถึงบ้าน”

“แน่นอน เอลเลียต...แน่นอน”

“แรนดอล์ฟ ผมว่าบางครั้งคุณควรรู้จักปฏิเสธลูกชายเสียบ้างนะ”

แรนดอล์ฟถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ซึ่งเอลเลียตก็ไม่บีบบังคับเขาต่อไปอีก เขารู้เช่นเดียวกับที่ทุกคนในกรุงลอนดอนรู้ว่าความชั่วร้ายของเฮนรี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป คนอย่างเฮนรี่น่าจะกล่าวได้ว่ามีสันดานชั่วร้ายติดตัวมาแต่กำเนิดเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงให้เขากลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ และแรนดอล์ฟรักลูกชายมากเกินไปจนเป็นเรื่องน่าสมเพช เอลเลียตยอมรับว่าเขารู้สึกเวทนาพ่อแบบแรนดอล์ฟมาก

หลังจากนั้นแรนดอล์ฟยังกล่าวย้ำคำมั่นสัญญาซ้ำซากว่าเขาจะต้องได้รับเงินสองหมื่นปอนด์คืนอย่างแน่นอนอยู่นั่นเอง แต่เอลเลียตไม่สนใจฟังอีกต่อไป เขากำลังจับตามองดูหนุ่มสาวที่เต้นรำกันอยู่ข้างล่าง เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างอยู่กับจูลี่สาวน้อยเงินล้าน เพียงแต่เอลเลียตไม่อาจเข้าใจความรู้สึกที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของสาวน้อยได้เท่านั้น

ผู้หญิงบางคนเวลายิ้มจึงจะสวย และบางคนดูสวยยามร้องไห้ แต่สำหรับจูลี่ ความงามของเธอจะฉายออกมาให้เป็นประจักษ์ต่อเมื่อเธอตกอยู่ในภาวะเคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาของเธอเป็นสีน้ำตาลอ่อนหวานเกินไป หรือไม่ก็ริมฝีปากเรียวบางและโหนกแก้มทั้งสองข้างที่ราวกับถูกแกะสลักออกมาจากหินอ่อนที่ไร้ราคีก็เป็นได้ แววแห่งความมาดมั่นและความตั้งใจอันแรงกล้าฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น ในสายตาของจูลี่ อเล็กซ์เป็นเพียงคู่เต้นรำของเธอคนหนึ่ง ยังมีผู้ชายอีกนับพันยืนเข้าแถวรอโอกาสพาเธอลอยล่องไปตามพื้นห้องปูไว้ด้วยหินอ่อนตามท่วงทำนองของดนตรี

เพลงที่เธอกับอเล็กซ์กำลังเต้นรำอยู่ด้วยกันในตอนนี้มีชื่อว่า ‘มอร์นิ่ง เปเปอร์สวอลซ์’ เป็นเพลงที่จูลี่ชอบมาก มันเตือนใจให้รำลึกนึกถึงครั้งหนึ่งที่เธอเคยเต้นรำเพลงนี้กับพ่อ ตอนนั้นเป็นตอนที่พ่อเพิ่งซื้อเครื่องเล่นจานเสียงมาใหม่ สองพ่อลูกเต้นรำกันไปทั่วบ้าน จนเมื่อแสงแรกของยามอรุณฉายจับขอบฟ้า ลอว์เรนซ์จึงบอกกับลูกสาว “พอเถอะลูก พอได้แล้ว”

บัดนี้เสียงเพลงที่กำลังได้ยิน สร้างความรู้สึกสร้อยเศร้าให้บังเกิด อเล็กซ์พยายามพูดอะไรบางอย่างตลอดเวลา พยายามหาทางบอกให้เธอรู้ว่าเขารักเธอเหลือเกิน คำพูดที่เขากล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาสร้างความประหวั่นให้เกิดขึ้นกับจูลี่ไม่น้อย และเธอยังกลัวด้วยว่าวาจาที่กำลังจะกล่าวออกไปอาจห้วนห้าวหรือชาเย็นจนเขาทนฟังไม่ได้

“และถ้าคุณอยากอยู่ในอียิปต์” เสียงอเล็กซ์พร่ำอยู่ข้างหู “อยากไปขุดหามัมมี่กับพ่อของคุณ เราจะเดินทางไปอียิปต์กัน ทันทีที่แต่งงานเสร็จเราจะออกเดินทางตรงดิ่งไปที่นั่นเลย และถ้าคุณอยากเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิอะไรก็ตามผมยินดีเดินร่วมกับคุณด้วย”

“ฉันรู้ค่ะ” จูลี่ตอบ “ฉันรู้ว่าคุณมีความตั้งใจดีกับทุกคำพูดที่กล่าวออกมา แต่อเล็กซ์คะ เวลานี้ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ ฉันยังแต่งงานกับคุณไม่ได้หรอก”

เธอไม่อยากเห็นเขาสร้างความหวังทั้งที่ไม่มีหวัง ไม่อยากเห็นเขาต้องเจ็บช้ำขมขื่น ถ้าเพียงแต่อเล็กซ์เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายหรือฉลาดแกมโกงอย่างผู้ชายคนอื่นๆ เขาเป็นกันแล้วละก็ เธอคงไม่รู้สึกอะไรเลย

แต่อเล็กซ์ในวัยยี่สิบห้า รูปร่างสูงสง่า หน้าตาคมสัน มีเรือนผมสีน้ำตาลและเป็นคนเข้มแข็ง กลับเป็นชายหนุ่มที่ซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจอย่างที่เธอไม่อาจหาชายใดมาเปรียบได้

“คุณจะเอาภรรยาหัวรุนแรงไปทำอะไรล่ะคะ คุณชอบหรือคะที่ฉันจะไปตะโกนเยิ้ว ๆ อยู่กลางถนนแบบนั้น” จูลี่เอ่ยถามขึ้น “หรือแม้แต่จะเป็นภรรยาที่เป็นนักสำรวจก็เถอะ คุณรู้ว่าฉันเป็นนักโบราณคดี รู้ดีว่าฉันเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านการสำรวจ ฉันยอมรับนะคะว่าตอนนี้อยากไปอยู่เคียงข้างคุณพ่อในอียิปต์จังเลย”

“สุดที่รัก ถึงยังไงเราก็ต้องไปที่นั่นแน่ ขอแต่เพียงให้คุณแต่งงานกับผมเสียก่อนเท่านั้น”

เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ทำท่าเหมือนจะจุมพิต จูลี่รีบเบี่ยงตัวออกห่างทันที อาจเป็นเพราะท่วงทำนองเพลงนี้กระมังทำให้จูลี่เผลอไผลไป คิดว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักอย่างแท้จริง

“ผมต้องทำยังไงนะจูลี่ ถึงจะเอาชนะใจคุณได้” เขากระซิบถามข้างหู “จะให้ผมเคลื่อนพีระมิดเข้ามาไว้ในลอนดอนหรือไง?”

“อเล็กซ์คะ ที่จริงคุณชนะใจฉันมาตั้งนานแล้ว” เธอตอบยิ้มๆ แต่ทว่าความรู้สึกยังเตือนตัวเองอยู่ว่าเธอกำลังกล่าวเท็จกับเขา “แต่มีความจริงง่าย ๆ อยู่เพียงประการเดียวเท่านั้นคือฉันยังไม่อยากแต่งงาน และถ้าจะแต่งต้องไม่ใช่ตอนนี้” บางทีเธออาจจะไม่แต่งเลยจนชั่วชีวิต

เขาไม่รู้จะตอบโต้คำพูดของเธออย่างไร เพราะจูลี่พูดออกมาตรงประเด็นอย่างที่เขาไม่อาจโต้แย้งได้ เมื่อเขาก้มลงยิ้มให้ จูลี่รู้ว่าเขาทำไปตามมรรยาทสุภาพบุรุษเท่านั้น ลึกลงไปในใจเธอกำลังสร้างความเจ็บช้ำให้เขาอย่างแสนสาหัส      ความรู้สึกในสีหน้าของอเล็กซ์ยามนี้ทำให้จูลี่เห็นใจเขาไม่น้อยเลย

“อีกไม่กี่เดือนพ่อจะกลับมาแล้วค่ะ อเล็กซ์ เอาไว้ให้พ่อกลับมาเสียก่อนแล้วเราค่อยพูดเรื่องนี้กันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งงาน เรื่องอนาคต เรื่องสิทธิสตรีหรือเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ถึงยังไงนะคะ อเล็กซ์ ฉันมีความรู้สึกว่าคุณควรให้ความสนใจกับผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงมากกว่าฉัน เพราะคนอย่างฉันอาจจะทำให้คุณหัวหงอกตั้งแต่ปีแรกที่เราแต่งงานกันเสียด้วยซ้ำ และอาจจะทำให้คุณต้องวิ่งโร่ไปหาเมียน้อยอย่างที่ผู้ชายสมัยเก่าเขานิยมทำกันก็ได้”

 “คุณนี่พูดจาน่ากลัวจริงๆ” อเล็กซ์ยิ้มอย่างเอ็นดู “แต่ผมชอบเรื่องน่าตกใจอย่างนี้”

“คุณชอบเรื่องตื่นเต้นจริง ๆ หรือคะ อเล็กซ์?”

ทันใดนั้นเขาโน้มใบหน้าลงมาจุมพิตเธอ สองหนุ่มสาวหยุดยืนอยู่กลางวงฟลอร์โดยมีคู่เต้นรำอื่นๆ เต้นล้อมวงอยู่รอบๆ เขาจุมพิตเธออย่างดื่มด่ำ และจูลี่สนองรับด้วยความเต็มใจ เธอเชื่อว่าบางทีการพบกันครึ่งทางคงช่วยให้อเล็กซ์คลายใจลงได้บ้าง

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนอื่นๆ หันมามองเขาและเธอเป็นตาเดียว ไม่แปลกเลยที่มือของเขาสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกภายในอันรุนแรง ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าแม้เธอรักเขาจนหมดหัวใจ มันยังไม่เพียงพอสำหรับความรู้สึกของ อเล็กซ์อยู่นั่นเอง

ขณะนี้อากาศกำลังเย็นสบาย สรรพเสียงต่าง ๆ ดังอยู่ข้างนอก เสียงรถ เสียงร้องของลา และเสียงหัวเราะแหลมเล็กของผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่งผู้อุตส่าห์เดินทางจากไคโรมาถึงที่นี่ในทันทีที่ได้ยินข่าว

ลอว์เรนซ์กับซาเมียร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แผ่นกระดาษปาปิรัสคลี่อยู่ตรงหน้า เขารีบจดบันทึกข้อความที่แปลออกมาจากกระดาษแผ่นนั้นลงในสมุดบันทึกเล่มพิเศษอย่างรวดเร็ว

บ่อยครั้งที่เขาเหลียวไปมองมัมมี่ของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ รามเสสผู้เป็นอมตะ ความคิดดังกล่าวสว่างวาบขึ้นในสมองของลอว์เรนซ์ เขารู้ว่าตัวเองสามารถนั่งอยู่ภายในคูหาประหลาดแห่งนี้ได้จนถึงรุ่งเช้า

“แต่ผมว่านี่มันเป็นเรื่องตลกนะ” ซาเมียร์ยังยืนยันความคิดเดิม “เป็นไปได้ยังไงที่ฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่ พิทักษ์พระราชวงศ์แห่งอียิปต์มาเป็นเวลาถึงหนึ่งพันปีแล้วยังมาเป็นคู่รักของพระนางคลีโอพัตราอีกด้วย”

“อา นั่นล่ะคือเหตุผลอันยอดเยี่ยมที่สุด” ลอว์เรนซ์ตอบ เขาวางปากกาในมือลงครู่หนึ่ง มองดูกระดาษแผ่นใหญ่ที่กางอยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกปวดร้าวกระบอกตาไม่น้อย “ถ้าจะมีผู้หญิงคนไหนสักคนสามารถทำให้ชายผู้อมตะคนนี้สามารถขังตัวเองไว้ในความมืดได้แล้วละก็ คลีโอพัตรานั่นละไม่ผิดหรอก”

เขามองดูรูปสลักหินอ่อนครึ่งตัวที่ตรงหน้าก่อนยกมือขึ้นลูบตรงแก้มอย่างรักใคร่ ใช่...ลอว์เรนซ์ยินดีและเต็มใจเชื่อเรื่องนี้ คลีโอพัตรา...นางผู้เป็นที่รักของจูเลียส ซีซาร์เป็นที่รักยิ่งของมาร์ค แอนโทนี่ในเวลาเดียวกัน นางผู้สามารถยับยั้งการรุกรานของชาวโรมันไว้ได้นานเกินกว่าที่ใครจะนึกฝันถึง ความเป็นไปได้ คลีโอพัตรา...นางผู้เป็นจักรพรรดินีองค์สุดท้ายแห่งโลกในยุคโบราณของอียิปต์ แต่เรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์แต่หนหลังนี้ ลอว์เรนซ์คิดว่าเขาควรตั้งหน้าตั้งตาแปลข้อความต่อไปก่อนดีกว่า

ซาเมียร์ผุดลุกขึ้นยืนบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ ลอว์เรนซ์จับตามองเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปใกล้มัมมี่ และถามตัวเองว่านั่นเขาเข้าไปทำอะไรของเขานะ พิจารณาผืนผ้าที่พันรอบปลายนิ้ว หรือว่าพิจารณาแหวนทองคำที่ยังสุกปลั่งอยู่ในมือขวา นั่นละมหาสมบัติสมัยราชวงศ์ที่สิบเก้า ไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ เขาครุ่นคิดในใจ

ลอว์เรนซ์หลับตายกมือขึ้นบีบคลึงตรงหว่างดวงตาอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นเขามองดูข้อความที่จารึกในแผ่นกระดาษปาปิรัสตรงหน้าอีกครั้ง

“ซาเมียร์ ผมว่าข้อความที่เขียนไว้ในกระดาษนี่ยิ่งทำให้ผมเชื่อมากขึ้นทุกทีนะ การใช้ภาษาในการออกคำสั่งแก่ผู้พบเห็นมันทำให้คนชะงักได้แล้ว และทรรศนคติของเขาดูทันสมัยเหมือนกับความคิดของผมไม่มีผิด” เขาเอื้อมมือไปชี้ข้อความในเอกสารเก่าแก่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาพิจารณามันอยู่นานพอสมควรแล้ว “และยังนี่อีกนะ ซาเมียร์ ผมอยากให้คุณลองพิจารณาดูด้วยอีกคน นี่เหมือนกับจดหมายที่คลีโอพัตราเขียนถึงรามเสสไม่มีผิด”

“โธ่ ลอว์เรนซ์ ผมบอกคุณแล้วไงว่านี่เป็นเรื่องตลก ผมว่ามันอาจจะเป็นเรื่องตลกที่พวกโรมันทำขึ้นก็ได้”

“ไม่ใช่หรอกเพื่อนรัก ผมขอรับรองว่าเรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่คุณพูดหรอก คลีโอพัตราเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้ในโรมตอนที่ซีซาร์ถูกทรยศ และถูกฆ่าตาย นางเขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงรามเสส เพื่อบอกให้รู้ว่านางกำลังจะกลับมาหาเขา...กลับมายังอียิปต์”

เขาวางจดหมายฉบับนั้นหลบไปด้านหนึ่ง เมื่อไหร่ที่ซาเมียร์มีเวลาพอ เขาจะตรวจตราเอกสารทั้งหมดอีกครั้ง และจะได้ประจักษ์ความจริงด้วยตัวเอง ลอว์เรนซ์อยากให้คนทั้งโลกได้รับรู้เรื่องราวนี่ด้วย เขาหันไปทางเอกสารกระดาษ ปาปิรัสแผ่นเดิมอีกครั้ง

“นี่ ฟังตรงนี้นะซาเมียร์ ข้อความต่อไปนี้เป็นสิ่งที่รามเสสครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขากล่าวว่า ‘ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ควรประณามโรมันที่มีชัยชนะเหนืออียิปต์ เพราะในบั้นปลายเราจะต้องต่อสู้เอาชัยชนะคืนมา และนั่นแหละจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ข้าคลายจากความเศร้าโศกลงได้ แต่กระนั้นหัวใจของข้ายังชอกช้ำนัก ทั้งจิตวิญญาณไร้ความสุขเสียเหลือเกิน ความเหี่ยวแห้งโรยราที่เกิดขึ้นในจิตใจของข้ายามนี้ ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนดอกไม้ที่ไร้แสงตะวัน’”

แต่ซาเมียร์ยังหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่เบื้องหน้ามัมมี่ เขามองดูแหวนวงนั้น แล้วหันมาพูดกับลอว์เรนซ์ “ก็อ้างถึงแสงตะวันถึงดวงอาทิตย์อยู่นั่นเอง ผมหวังว่าคุณคงไม่เชื่อ”

“ซาร์เมียร์ ในเมื่อคุณมีความเชื่อเรื่องคำสาปแช่งแล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อในความเป็นอมตะด้วยล่ะ”

“ลอว์เรนซ์ คุณอย่าล้อผมเล่นหน่อยเลยน่า ผมเคยพบเห็นอำนาจของคำสาปแช่งมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะ แต่จะให้ผมเชื่อเรื่องมนุษย์ที่มีความเป็นอมตะได้ยังไงกัน ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันในความเป็นอมตะของเขาได้เลย คุณจะต้องให้ผมเชื่อหรือว่านี่คือมัมมี่ของบุคคลที่สอนให้คลีโอพัตราเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงประวัติศาสตร์ของอียิปต์ บอกตามตรงนะว่าผมยังทำใจให้เชื่อไม่ได้ และผมไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลยด้วย”

“ฟังตรงนี้ต่ออีกหน่อยเถอะซาเมียร์...ความงามของนางจะจารึกอยู่ในหัวใจของข้าชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกับความกล้าหาญ ความเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ และความรักต่อการมีชีวิตอยู่ สิ่งต่าง ๆ นี้ทำให้นางเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือมนุษย์ใดทั้งปวง

ซาเมียร์ไม่โต้ตอบ สายตาของเขาจ้องจับอยู่ที่มัมมี่ราวกับเขาไม่สามารถถอนสายตาจากมันได้ ลอว์เรนซ์ดูเหมือนเข้าใจในความรู้สึกเช่นนั้นของเพื่อนเป็นอย่างดี เพราะเหตุนี้เขาจึงนั่งหันหลังให้มัน และมุ่งความสนใจอยู่กับข้อความในกระดาษปาปิรัสตรงหน้า เพื่อให้งานที่เขาต้องทำสำเร็จเสร็จสิ้นเสียโดยเร็ว

“ลอว์เรนซ์ มัมมี่ตัวนี้มันคือซากร่างของคนตายเหมือนกับทุกตัวที่ผมเคยเห็นที่พิพิธภัณฑ์ในไคโร ผมมีความรู้สึกว่าถ้าร่างนี้เป็นเจ้าของเอกสารทั้งหมดที่คุณกำลังอ่านอยู่จริง เขาคงเป็นนักเล่านิทานตัวฉกาจเชียวละ แต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจ          คือแหวนแต่ละวงที่สวมใส่อยู่ในนิ้วนี่”

“นั่นไงล่ะเพื่อนรัก ก่อนหน้านี้ผมพิจารณามันอย่างละเอียดแล้ว และพบว่ามันเป็นแหวนตราของรามเสสผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาจะเป็นนักเล่านิทานอย่างที่คุณว่า เขาจะต้องเป็นนักสะสมของเก่าอีกด้วย คุณอยากให้ผมเชื่ออย่างนั้นใช่ไหม”

แต่จริงๆ แล้วเขามีความเชื่ออย่างไรล่ะ ลอว์เรนซ์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ้าใบกวาดสายตามองรอบคูหาแปลกประหลาดแห่งนี้ จากนั้นเริ่มลงมือแปลเอกสารตรงหน้าต่อ

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนี้เพียงลำพัง ห้องหนังสือแห่งนี้จะเป็นสุสานของข้า ผู้รับใช้ของข้าจะชโลมร่างข้าด้วยน้ำมันหอมและจะใช้ผ้าลินินเนื้อดีหุ้มห่อร่างข้าไว้ตามประเพณีโบราณที่ถูกลืมเลือนกันไปหมดแล้ว แต่จะไม่มีคมมีดมาแตะต้องร่างข้าได้ ทั้งสมองและหัวใจจะยังคงดำรงอยู่ในร่างของข้าสืบไป ไม่มีการนำออกจากร่างเพื่อไปแช่ไว้ในน้ำยาแต่อย่างใด”

ทันใดลอว์เรนซ์มีความรู้สึกราวกับตนเองกำลังได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังพูดกับเขาอยู่ มันทำให้เขาถึงกับชะงักและถามตัวเองว่าหรือเขากำลังฝันไปงั้นรึ แต่เสียงนั้นคุ้นหูเหลือเกิน และมันเป็นเสียงพูดจริง ๆ ที่ไม่มีทางคิดเป็นอื่นได้            เหมือนกับใครคนนั้นกำลังพูดกับเขาเป็นการส่วนตัว คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสียงของบุรุษผู้มีความเป็นอมตะคนนี้

เอลเลียตกำลังตกอยู่ในสภาพมึนเมา เพียงแต่ไม่มีใครรู้เท่านั้น

เขาเอนร่างพิงราวทองเหลืองด้วยท่าทางสงบเงียบจนไม่มีใครดูออก

อา...โลกนี้...ช่างเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนเสียนี่กระไร ขณะเดียวกันมันก็เป็นโลกที่น่าสยดสยองชิงชังด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาต้องคิดถึงงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้น เขายังต้องพูดถึงมัน เขาต้องช่วยแก้ปัญหาความยุ่งยากให้กับลูกชายให้ได้ ท่าทางของอเล็กซ์ตอนนี้เปี่ยมด้วยความเศร้าหมองขณะมองดูจูลี่เต้นรำกับชายคนอื่น เมื่อไม่มีทางทำอะไรได้เขาก้าวเดินขึ้นมาหาบิดา

“ผมอยากให้คุณวางใจในตัวผมนะครับ” เสียงแรนดอล์ฟพูดอยู่ข้างหู “ผมขอรับประกันว่าจะต้องมีการแต่งงานเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอแต่เพียงว่าเราต้องให้เวลากับมันอีกสักหน่อยเท่านั้น”

“นี่คุณคงไม่คิดว่าผมสนุกกับการที่มาบีบบังคับคุณอยู่อย่างนี้หรอกนะ” เอลเลียตตอบเสียงหนักด้วยอาการมึนเมาที่กำลังเกิดขึ้น “ผมจะบอกอะไรให้คุณรู้ไว้อย่างหนึ่งนะแรนดอล์ฟ ว่าผมชอบการมีความสุขอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาข้องเกี่ยวมากกว่า ผมรู้ว่าการแต่งงานของเด็กสองคนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราทั้งสองคน”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเจรจากับลอว์เรนซ์ด้วยตัวเอง”

เอลเลียตเงยหน้าขึ้นเห็นบุตรชายยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว ท่าทางเหมือนเด็กนักเรียนยืนรอให้ผู้ใหญ่สังเกตเห็นตนเสียก่อนจึงจะกล้าพูดอะไรออกมา

“พ่อครับ ตอนนี้ผมกำลังต้องการคำปลอบใจอย่างมากเลยครับ” อเล็กซ์กล่าว

“อเล็กซ์ สิ่งที่เธอจำเป็นจะต้องสะสมไว้ในตัวให้มากที่สุดคือความกล้า” แรนดอล์ฟเอ่ยขึ้น “และลุงไม่อยากฟังคำปฏิเสธของเธอด้วย”

อเล็กซ์เอื้อมมือหยิบแก้วแชมเปญจน์จากถาดที่คนรับใช้ถือผ่านมา “ผมไม่เข้าใจจรึง ๆ ครับคุณลุง นาทีหนึ่งเธอเหมือนรักผม แต่อีกนาทีต่อมาดูเหมือนเธอไม่รักผมเลยด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มพูดอย่างกลัดกลุ้ม “ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าผมมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเธอไม่ได้ และตอนนี้เธอกำลังทำให้ผมคลั่ง”

“พ่อเข้าใจ” เอลเลียตหัวเราะเบา ๆ “เอ้า ดูนั่นสิ ตอนนี้ไอ้หนุ่มซุ่มซ่ามดันเผลอเหยียบเท้าจูลี่เข้าแล้ว พ่อว่าแกน่าจะเข้าไปช่วยก่อนที่เธอจะล้มนะ”

อเล็กซ์พยักหน้ารับคำทันที   แทบไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าผู้เป็นบิดาดึงแก้วแชมเปญจน์ที่เหลือกว่าครึ่งไปดื่มเองจนหมด เขายืดไหล่ผึ่งอกเดินเข้าไปในฟลอร์เต้นรำด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย

“สิ่งน่าพิศวงอยู่ตรงที่ว่าจูลี่เองก็รักอเล็กซ์อยู่ไม่น้อย ความจริงเด็กคู่นี้รักกันตลอดมา” แรนดอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ใช่ แต่ขณะเดียวกันจูลี่ก็รักพ่อ รักอิสระเสรีภาพด้วย เรื่องนี้ผมไม่ตำหนิเธอหรอก ดูๆ ไปแล้วบางครั้งเธอออกจะเบื่ออเล็กซ์อยู่เหมือนกัน แต่ลูกชายผมทำให้เธอมีความสุขได้ ผมรู้ดี”

“นั่นสิ” แรนดอล์ฟสนองรับ

“และจูลี่จะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้อเล็กซ์มีความสุขอย่างมากด้วย คงไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้อเล็กซ์มีความสุขได้มากเท่านี้อีกแล้ว”

“เหลวไหลน่า” แรนดอล์ฟส่ายหน้า “ผมว่าพวกสาวๆในลอนดอนอีกมากที่อยากเป็นคู่รักของอเล็กซ์ อยากปรนนิบัติให้เขามีความสุข ก็เขาไม่ใช่เอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ดที่ ๑๘ หรอกรึ”

“เรื่องนั้นนะรึที่เป็นความสำคัญ” เอลเลียตย้อนถาม “คุณหมายถึงยศศักดิ์ของวงศ์ตระกูล หมายถึงความมั่งคั่งหรูหราที่น่าเบื่อหน่ายนั่นนะหรือแรนดอล์ฟ” เขากวาดสายตามองไปรอบห้องบอลรูม อาการเมามายที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้ดูอันตรายไม่น้อยเลย โดยเฉพาะเมื่อเป็นช่วงเวลาที่จะต้องเจรจากันด้วยเรื่องสำคัญเช่นนี้ “บางครั้งผมเคยคิดนะว่าผมควรไปอยู่อียิปต์กับลอว์เรนซ์ ผมไม่อยากเห็นอเล็กซ์ได้ความรักจากผู้หญิงเพียงเพราะเขามีศักดิ์เป็นเอิร์ลเท่านั้น”

เขาทันสังเกตเห็นแววประหวั่นในดวงตาของแรนดอล์ฟ พระเจ้า...เพราะอะไรนายวานิชผู้นี้ถึงมีความคิดว่ายศศักดิ์ของคนเราเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเหนืออื่นใด แต่นั่นแหละ ถ้ามีการแต่งงานเกิดขึ้น อเล็กซ์ไม่เพียงได้จูลี่มาเป็นภรรยาเท่านั้น แต่เขายังจะต้องช่วยเธอดูแลทรัพย์สินของตระกูลสแตรตฟอร์ด ที่มีค่ามหาศาลอีกด้วย

สิ่งที่เอลเลียตหวังจะได้เห็นอย่างที่สุดคือหลานตัวน้อย ๆ ทั้งหญิงและชาย ผู้จะได้สืบตระกูลและเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นสมบัติเก่าแก่ของรูตเธอร์ฟอร์ด ในยอร์กเชียร์ ด้วยเหตุนี้เอลเลียตจึงใช้ความพยายามทุกวิถีทางช่วงชิงทรัพย์สมบัติของตระกูลสแตรตฟอร์ดมาก่อนเฮนรี่ สแตรตฟอร์ตจะล้างผลาญจนไม่มีอะไรเหลือ

“เรายังไม่ถึงกับแพ้หรอกน่า เอลเลียต” แรนดอล์ฟกล่าว “คุณจะไปมัวสร้างโลกใหม่ให้มันได้อะไรขึ้นมา?”

เอลเลียตเพียงแต่ยิ้มรับคำถาม เขากรอกแชมเปญจน์เข้าปากอีกอึกใหญ่ และจะบอกให้แรนดอล์ฟรู้ว่าเขาจะได้อะไรจากโลกที่ตนเองกำลังแสวงหา

“ฉันรักคุณเหลือเกินค่ะ” มาเลนก้าโน้มร่างเข้ามาจุมพิตเขาแรง ๆ และช่วยปลดเนกไทให้ ปลายนิ้วเยียบเย็นที่สัมผัสอยู่ตรงปลายคางทำให้เขาขนลุก บังเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ผู้หญิงทุกคนในโลกนี้ถึงแม้น่ารัก แต่ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน เฮนรี่ สแตรตฟอร์ดคิดในใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีความสุขกับหญิงสาวชาวอียิปต์คนนี้มากกว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต หล่อนเป็นผู้หญิงผิวดำมีอาชีพเป็นนักระบำ มีความงามแสนยั่วยวนใจ และเขาสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนากับร่างกายของหล่อนได้ แม้แต่โสเภณีชาวอังกฤษยังไม่เคยให้ความสุขกับเขาได้ถึงเพียงนี้

เขามองเห็นภาพตัวเองลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศตะวันออกสักวันหนึ่งข้างหน้า ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้หญิงแบบนี้โดยไม่จำเป็นต้องกระทำตนให้เป็นที่ยอมรับนับถือในสังคมของชาวอังกฤษอีกต่อไป แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องประสบโชคอันยิ่งใหญ่บนโต๊ะการพนัน มันเป็นความคิดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจอย่างไม่มีวันถอดถ่ายไปได้ แต่สำหรับตอนนี้ยังมีงานสำคัญต้องทำ ผู้คนที่ชุมนุมกันอยู่หน้าคูหาเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าตอนเย็นหลายเท่า สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือเข้าไปให้ถึงตัวลอว์เรนซ์ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่ของทางบ้านเมืองจะเข้าไปรายล้อมอยู่รอบตัวเขา และในช่วงเวลาที่ลอว์เรนซ์กำลังมุ่งมั่นอยู่กับเรื่องสำคัญแบบนี้ย่อมเป็นการง่ายที่เขาจะให้อาเซ็นชื่อลงในเอกสารที่เตรียมมา

“กลับไปก่อนนะสุดที่รัก” เขาจูบมาเลนก้าแรงๆ มองดูหล่อนตลบผ้าสีดำขึ้นพันกายแล้วรีบรุดไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ เขาอดคิดไม่ได้อีกว่าหญิงสาวชาวอียิปต์คนนี้ดีกว่าเดซี่เมียลับของเขาในลอนดอนหลายเท่า เพราะหล่อนคนนั้น ดีแต่เรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างและเอาแต่ใจตัวเองสารพัด บางทีอาจจะเป็นเพราะหล่อนไม่เคยมีความพอใจในตัวเขาเลยก็เป็นได้

เฮนรี่กรอกเหล้าเข้าปากอึกสุดท้าย ก่อนหันไปคว้ากระเป๋าเอกสารเดินออกจากเต็นท์

คนพวกนั้นน่ารำคาญเป็นบ้า ตั้งแต่หัวค่ำมาแล้วที่เขาต้องทนฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงรถที่วิ่งเข้ามาจอดไม่ขาดสาย และตอนนี้ความร้อนในอากาศก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทรายละเอียดเข้าไปติดอยู่กับส้นเท้าทำให้เดินไม่สะดวก เขาชิงชังสภาพบรรยากาศและความเป็นอยู่ในประเทศอียิปต์ ชิงชังทั้งกลุ่มเต็นท์และกลุ่มชาวอาหรับเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสาบอูฐ รวมทั้งคนรับใช้ชาวอาหรับผู้มีแต่ความเกียจคร้าน เขายอมรับว่าตัวเองกำลังชิงชังโลกของอาเหลือเกิน แล้วยังเจ้าซาเมียร์นั่นอีกคนที่พยายามทำวางก้ามเข้าใส่เขา เพราะถือว่าเป็นผู้ช่วยของอา ซาเมียร์ผู้วางอำนาจกับนักข่าวทุกคน ราวกับว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกับอา เขาสงสัยนักว่าถ้าคูหาแห่งนี้เป็นสุสานของรามเสสที่สอง ลอว์เรนซ์จะยินดีให้สัมภาษณ์หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรมันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องสนใจ เฮนรี่แหวกทางฝ่าผู้คนที่ออกันอยู่ด้านหน้าและยามรักษาการณ์เข้าไปอย่างไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งนั้น

“คุณสแตรดฟอร์ดครับ ได้โปรดเถอะ” ซาเมียร์ร้องห้ามตามหลังมา เมื่อเห็นนักข่าวสาวคนหนึ่งตามหลังเฮนรี่เข้ามาด้วย “ผมว่าตอนนี้อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งกับอาของคุณดีกว่า เขากำลังยุ่งอยู่กับงานและสิ่งที่เขาค้นพบ”

“ทำไมผมจะต้องฟังคำสั่งของคุณด้วย” เฮนรี่ย้อนถามอย่างเดือดดาล เขาถลึงตาใส่ยามรักษาการณ์หน้าประตูทางเข้า เล่นเอายามรีบถอยออกไปทันที ซาเมียร์หันไปต้อนพวกนักข่าวให้กลับออกไปอีกครั้ง ตอนนี้ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าไปในคูหาเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไร

“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเรานะ” เฮนรี่หันไปตวาดใส่นักข่าวสาวที่ตามติดเข้ามาอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง ยามรักษาการณ์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าหล่อนเอาไว้ทันที

ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ลอว์เรนซ์ยุติการเขียนบันทึก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงคิ้วช้าๆ ด้วยท่าทางใช้ความคิด ครั้นแล้วเขาก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ

“เป็นความคิดที่ฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน ที่จะช่วยซ่อนยาอายุวัฒนะไว้ในท่ามกลางบรรดาคนโทบรรจุยาพิษ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วจะเป็นที่ซ่อนยาได้อย่างปลอดภัยเท่ากับในท่ามกลางยาพิษทั้งปวง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ายาพิษเหล่านี้เป็นยาที่พระนางคลีโอพัตราปรุงขึ้น และทดลองใช้ด้วยตนเองก่อนพระนางจะตัดสินใจใช้พิษงูเป็นเครื่องคร่าชีวิตตนเอง”

เขาหยุดเขียนแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากอีก ภายในคูหาช่วงเวลานี้ความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เพียงชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงมันสร้างความเหนื่อยอ่อนให้เกิดขึ้นกับเขาได้อย่างคาดไม่ถึง เหมือนเป็นคำสั่งให้เขาละจากคูหาแห่งนี้เสีย และออกไปพบกับเจ้าหน้าที่จากพิพิธภัณฑ์พวกนั้น แต่พระเจ้ารู้ดีว่าในตอนนี้เขาไม่ต้องการพบใครหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะเมื่อไหร่ที่พบกับเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังรออยู่ คนพวกนั้นจะฉกฉวยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอุตส่าห์เสาะแสวงหาจนพบไปจากมือเขาอย่างไม่มีความละอายใจเลยแม้แต่น้อย

แสงอาทิตย์สาดสว่างเข้ามาทางช่องสี่เหลี่ยมอันเป็นประตูทางเข้า มันสะท้อนจากคนโทสีขาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าจนสายตาพร่าเลือน ขณะเดียวกัน ภายในความเงียบของคูหาคล้ายกับเขากำลังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบา

สัญชาตญาณทำให้เขาหันหลังไปมองมัมมี่ สังเกตเห็นว่าร่างที่ถูกผ้าห่อไว้หลายชั้นของบุรุษผู้อ้างตัวเองเป็นรามเสสผู้ยิ่งใหญ่ ยามนี้ดูช่างสูงสง่าและแข็งแรงขึ้นอย่างประหลาด

รูปพรรณสัณฐานของมัมมี่บอกให้รู้ว่า มันไม่ใช่ร่างของคนชราเช่นที่เขาเคยเห็นในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร แต่นึกขึ้นมาได้ว่ารามเสสผู้นี้ไม่เคยแก่ชรา เขามีความหนุ่มแน่นเป็นอมตะ และเพียงแต่นอนหลับอยู่ภายใต้ผ้าที่ทุ้มห่อร่างไว้เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดทำลายชีวิตของเขาได้แม้แต่ยาพิษที่วางอยู่ในห้องนี้ เมื่อความโศกเศร้าเข้าครอบงำยามที่รู้ว่าคลีโอพัตราสิ้นชีวิต เขาทดลองดื่มกินยาพิษพวกนี้มาแล้ว

และด้วยบัญชาของเขา พวกทาสผู้รับใช้จัดการหุ้มห่อร่างกายไร้สติของเขา เท่ากับเก็บร่างของเขาลงไว้ในโลงซึ่งตระเตรียมไว้ก่อนหน้าทั้งที่เขายังไม่ตาย แล้วคนพวกนั้นช่วยกันปิดคูหาแห่งนี้ เห็นได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามคำบัญชาทุกขั้นตอน ดังที่เขาจารึกไว้ในกระดาษปาปิรัสที่ลอว์เรนซ์กำลังถ่ายทอดเป็นภาษาปัจจุบัน

แต่ตัวยาอันไหนทำให้เขาสิ้นสติไปนั้นเป็นความลึกลับและเป็นเรื่องราวน่าสนใจที่จะต้องติดตามค้นหาข้อมูลต่อไป และถ้า...?

เขาพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองร่างที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าเนื้อดี ซึ่งบัดนี้กลายเป็นสีเหลืองไปแล้วอย่างไม่วางตา เขาเชื่อจริง ๆ หรือว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้ายังมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้หรือว่าร่างนั้นสามารถเคลื่อนไหวและเปล่งเสียงพูดออกมาได้อีก คำถามดังกล่าวทำให้ลอว์เรนซ์ยิ้มออกมา

เขาหันกลับไปหาโถหินขาวอลาบาสเตอร์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า แสงแดดทำให้ภายในคูหาร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ใต้เตาอบ ลอว์เรนซ์หยิบผ้าเช็ดหน้ามา บรรจงเปิดฝาโถหินขาวใบแรกอย่างระมัดระวัง กลิ่นอับของอัลมอนด์กระจายขึ้นมา กลิ่นเหมือนไซยาไนด์ไม่มีผิด และรามเสสผู้เป็นอมตะยังอ้างด้วยว่าเขากลืนกินสิ่งที่อยู่ในโถหินขาวนี้เข้าไปตั้งครึ่งค่อนเพื่อปลิดชีพตัวเอง

ถ้าภายใต้ห่อผ้านั้นยังมีสิ่งที่คงความมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ ล่ะหรือ

มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีก ลอว์เรนซ์ถามตัวเองในใจว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ มันเหมือนกับเสียงถอนหายใจเบาๆที่ดังทำลายความสงัดเงียบ

เขาหันไปมองมัมมี่อีก แสงอาทิตย์สาดส่องเป็นลำยาวเข้ามา เหมือนแสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างโบสถ์ หรือลอดเข้ามาตามกิ่งก้านของต้นโอ๊กเก่าแก่ยืนต้นตระหง่านอยู่ในราวป่า

คล้ายกับเขามองเห็นฝุ่นละอองที่ลอยตัวขึ้นจากร่างนั้นได้ด้วย ละอองนั้นเป็นเหมือนหมอกสีทองจางๆ เคลื่อนไหวช้าๆ...แต่...อาจจะเป็นเพราะความอ่อนเพลียทำให้สายตาเขามองเห็นภาพหลอน

สภาพของมัมมี่ดูเหมือนเปลี่ยนไป มันดูไม่เก่าแก่คร่ำคร่าหรือเหี่ยวแห้งด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปอีกแล้ว มันเป็นเพียงร่างสูงสง่าของผู้ชายคนหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยผ้าหลายชั้นเท่านั้นเอง

“ความจริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่ เพื่อนรัก” ลอว์เรนซ์เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว “ท่านเป็นเพียงร่างของคนเสียสติหรือท่านคือรามเสสผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ”

ความหนาวเย็นแผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กาย เมื่อเขากล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา ลอว์เรนซ์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งเดินเข้าไปหามัมมี่อีก

ยามนี้รังสีแสงแห่งดวงอาทิตย์สว่างพอให้มองเห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจน และมันยังอาบลงบนทุกสิ่งภายในคูหา เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นสันคิ้วใต้ห่อผ้า มันทำให้เขามองเห็นภาพใบหน้าที่สำแดงออกถึงความมั่นคง และแกร่งกร้าวห้าวหาญยิ่งนัก

ลอว์เรนซ์ยิ้มอีก เขาพยายามเลือกสรรประโยคคำพูดของตัวเอง ก่อนกล่าวเป็นภาษาลาติน

“ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านรู้หรือเปล่าว่าตัวเองนอนหลับอยู่ในคูหาแห่งนี้มาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว ท่านนะหรือคือผู้ที่อ้างว่าตัวเองเคยมีชีวิตอยู่เมื่อพันปีมาแล้ว” เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดภาษาโบราณได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า แต่ยังใช้ความพยายามต่อไป “นับแต่วันที่ท่านขังตัวเองอยู่ในคูหาแห่งนี้มาจนกระทั่งถึงวันนี้ เวลาอันยาวนานกว่าพันปีถึงสองเท่าเชียวนะฟาโรห์รามเสส และมันเป็นระยะเวลาเดียวกับที่พระนางคลีโอพัตราปลิดชีพตนเองด้วยพิษงู”

เขายืนมองร่างนั้นเงียบ ๆ อีกครู่ใหญ่ เป็นไปได้หรือที่จะยังมีมัมมี่ของบุคคลผู้ไม่เคยประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตายปรากฏให้เห็นในยุคสมัยนี้ เมื่อคนเราตาย เป็นไปได้ที่วิญญาณของเขาจะล่องลอยวนเวียนอยู่ด้วยความอาวรณ์ต่อร่างกายของตนชั่วระยะเวลาหนึ่ง จิตวิญญาณจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระต่อเมื่อร่างถูกทำลาย

จากนั้นเขากล่าวกับมัมมี่เป็นภาษาอังกฤษอย่างไม่รู้ตัว “ท่านรู้ไหมว่าสิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุดในตอนนี้คือ ประการแรก ผมอยากรู้ว่าท่านคือผู้เป็นอมตะอย่างแท้จริง ถ้าเพียงแต่ผมไม่ต้องรอเวลาเพื่อขออนุญาตเปิดผ้าห่อหุ้มร่างของท่าน ถ้าเพียงแต่ผมได้เห็น...ใบหน้าของท่าน...” ใบหน้านั้น! สายตาสร้างภาพหลอนขึ้นอีกแล้วหรือนี่

ทำไมเขาจึงรู้สึกว่ามีความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับใบหน้านั้นด้วย?

เป็นไปไม่ได้...เป็นเพราะแสงทำให้สายตาของเขาเกิดความผิดปกติ แต่ดูเหมือนใบหน้าของมัมมี่อิ่มเต็มขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นในใจทำให้ลอว์เรนซ์ยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัส แต่แล้วเขาชะงัก มือข้างนั้นยกค้าง และตอนนั้นเองเขากล่าวเป็นภาษาลาตินอีกครั้ง

“นี่มันเป็นปี ๑๙๑๔ แล้วนะท่านฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นพระนามของรามเสสและพระนามแห่งราชินีของท่านยังเป็นที่รู้จักและจดจำกันทั่วโลก”

ทันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง...เป็นเสียงของเฮนรี่

“นี่อากำลังคุยกับรามเสสผู้ยิ่งใหญ่เป็นภาษาลาตินอยู่หรือครับ สงสัยว่าคำสาปแช่งคงเล่นงานอาเข้าแล้วละมัง”

“อ้อ...เขาต้องเข้าใจภาษาลาตินแน่” ลอว์เรนซ์ตอบโดยไม่หันไปมองหลานชาย “ใช่หรือไม่ล่ะ รามเสส ท่านยังเข้าใจภาษากรีกรวมไปถึงภาษาเปอร์เซียนและอีทรัสกันด้วย ใครจะรู้บางทีท่านอาจมีความรู้ไปถึงภาษาของพวกป่าเถื่อนที่ตั้งรกรากอยู่ทางทิศเหนือ ซึ่งต่อมากลายมาเป็นภาษาอังกฤษที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ด้วยก็เป็นได้” อีกครั้งหนึ่งที่เขาเปลี่ยนเป็นพูดภาษาลาติน “แต่นั่นแหละ ท่านฟาโรห์ บัดนี้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในโลกมากมาย มีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากจะให้ท่านได้รับรู้”

“ผมไม่คิดว่ามัมมี่ตัวนั้นได้ยินสิ่งที่อากำลังพูดอยู่หรอกครับ” เฮนรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงชาเย็น มีเสียงแก้วกระทบกัน “และผมหวังว่ามันไม่ควรจะได้ยิน”

ตอนนี้เองลอว์เรนซ์หันไปเผชิญหน้าหลานชาย กระเป๋าเอกสารของเฮนรี่เหน็บอยู่ใต้รักแร้ข้างซ้ายขณะที่มือขวาของเขาเอื้อมไปเปิดฝาโถหินขาวอลาบาสเตอร์ใบหนึ่ง

“อย่าไปแตะมัน” ลอว์เรนซ์รีบปราม “ในนั้นเป็นยาพิษ ในโถหินขาวทุกใบใส่ยาพิษไว้ทั้งนั้น แค่หยดเดียวแกจะตายแบบเดียวกับเขานี่แหละ” เพียงแค่เห็นหน้าหลานชายก็ทำให้โทสะบังเกิดขึ้นได้แล้ว และยังเป็นในช่วงเวลานี้อีก...

ลอว์เรนซ์หันกลับไปมองมัมมี่อีก น่าแปลกที่แม้แต่ท่อนแขนก็ดูมีเนื้อหนังมากขึ้น แหวนที่สวมแทบปริแตกทั้งที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อน...

“ยาพิษจริง ๆ หรือครับ?” เสียงเฮนรี่ถามมาจากข้างหลัง

 “ใช่ ในนี้คงเป็นห้องทดลองและใช้ในการปรุงยาพิษโดยเฉพาะ” ลอว์เรนซ์ตอบ “นี่ละเป็นยาที่คลีโอพัตราเคยทดลองใช้มาแล้วทั้งนั้น ก่อนพระนางจะฆ่าตัวตายต่อหน้าพวกทาส” ลอว์เรนซ์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงต้องมายืนอธิบายให้คนโง่อย่างหลานชายตัวเองฟังด้วย มันเป็นการสูญเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ ๆ

“ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกเหลือเชื่อจริงๆ” เฮนรี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยันและดูแคลน “ก็พระนางอะไรนั่นไม่ได้ตายเพราะงูพิษหรอกหรือครับ?”

 “แกมันปัญญาอ่อนเหลือเกินนะเฮนรี่ ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของแกพอๆ กับพวกอียิปต์ที่รับจ้างขี่อูฐนั่นแหละ พระนางคลีโอพัตราทดลองใช้ยาพิษตั้งหลายขนานก่อนตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการให้งูพิษกัด”

เมื่อหันกลับไปมองหลานชายด้วยสายตาชาเย็น เขาเห็นเฮนรี่กำลังใช้ปลายนิ้วลูบไล้เปลือกตาและจมูกของคลีโอพัตรา

“ยังไงก็ช่างเถอะ ผมคิดว่าอย่างน้อยรูปสลักหินอ่อนนี่คงทำเงินให้กับอาได้ไม่น้อยหรอกนะ แล้วก็ยังมีเงินเหรียญพวกนี้อีก อาคงไม่ยกของทั้งหมดนี่ให้กับบริติซมิวเซี่ยมใช่ไหมครับ?”

ลอว์เรนซ์ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้อีกครั้ง หยิบปากกาขึ้นมาจุ่มหมึกแล้วถามตัวเองว่าเมื่อครู่นี้เขาแปลข้อความในเอกสารค้างอยู่ตรงไหน แต่เมื่อมีหลานชายเข้ามาขัดจังหวะแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีสมาธิในการทำงาน

“แกคิดถึงแต่เรื่องเงินทองอย่างเดียวงั้นรึ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนอย่างแกนอกจากจะเอาเงินไปเล่นการพนันแล้ว ยังเคยเอามันไปใช้ทำประโยชน์อะไรอีกบ้างล่ะ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองหลานชาย ไม่เข้าใจเลยว่าความกระ         ตือรือร้นที่จะสร้างอนาคตอันเป็นธรรมชาติของคนวัยหนุ่ม ทำไมจึงไม่ปรากฏร่องรอยอยู่บนใบหน้าคมสันของเฮนรี่เลย และทำไมสีหน้าของหลานชายจึงกร้าวกระด้างดูแก่เกินวัยไปได้ถึงเพียงนั้น

“ฉันให้เงินแกมากมายแค่ไหน แกก็เอาไปล้างผลาญบนโต๊ะการพนันไม่มีเหลือ ฉันว่าทางที่ดีแกควรกลับไปอยู่ลอนดอนดีกว่า กลับไปอยู่กับนางบำเรอกับคาสิโน อย่ามายุ่งกับฉันดีกว่า...ออกไป” มีเสียงดังสนั่นขึ้นภายนอก เป็นเสียงเร่งเครื่องของรถคันหนึ่ง ขณะขับขึ้นมาตามเส้นทางที่เป็นสันทราย พร้อมกันนั้น คนรับใช้ผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถาดอาหารเช้าโดยมีซาเมียร์เดินตามเข้ามาด้วย

“ผมคงสกัดคนพวกนั้นไว้ได้อีกไม่นานหรอกนะ ลอว์เรนซ์” ซาเมียร์บอก

เขาหันไปชี้ให้คนรับใช้วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ “ตอนนี้เจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษมาถึงแล้ว มีพวกนักข่าวตั้งแต่   อเล็กซานเดรียจนถึงไคโรมาออกันอยู่เต็มไปหมด ข้างนอกกำลังสับสนอลหม่านจนผมแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

ลอว์เรนซ์เหม่อมองภาชนะเงินใส่อาหารเช้าที่วางเคียงข้างถ้วยกาแฟ กระเบื้องเคลือบ ตอนนี้เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากอยู่กับมหาสมบัติที่เพิ่งค้นพบ

“ถึงยังไงคุณก็ต้องพยายามกันคนพวกนั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะซาเมียร์ ขอเวลาให้ผมแปลเอกสารพวกนี้อีกสักสองสามชั่วโมง เรื่องราวทั้งหมดที่เขียนไว้ในนี้เป็นเรื่องที่สร้างความปวดร้าวใจให้กับผมเหลือเกิน”

“ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด ลอว์เรนซ์” ซาเมียร์ตอบ “แต่คุณควรกินอาหารเสียบ้าง ท่าทางคุณเพลียมาก ควรกินอาหารแล้วพักผ่อนเสียหน่อยก็ยังดี”

“ผมจะบอกให้นะซาเมียร์ ว่าผมไม่เคยมีความสุขอย่างวันนี้เลย เอาอย่างนี้นะ คุณช่วยกันคนพวกนั้นไว้จนถึงเที่ยงก็แล้วกัน อ้อ แล้วช่วยลากเฮนรี่ออกไปพร้อมคุณด้วย เอ้า เฮนรี่ ออกไปกับซาเมียร์ได้แล้ว เขาจะได้จัดการหาอาหารให้แกกิน”

“นั่นสิครับ กรุณากลับออกไปกับผมดีกว่า” ซาเมียร์รีบเอ่ยขึ้นทันที

 “แต่ผมมีเรื่องต้องพูดกับอาของผมก่อน และเราต้องพูดกันตามลำพังด้วย” ลอว์เรนซ์หันกลับมามองสมุดบันทึกกับแผ่นเอกสารสมัยโบราณที่กางอยู่ เหนือขึ้นไปเป็นข้อความบรรยายถึงความเศร้าเสียใจ ก่อนรามเสสตัดสินใจขังตัวเองไว้ในคูหาที่เขาใช้เป็นเรือนตายแห่งนี้

“คุณอาครับ” เฮนรี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมยินดีกลับไปลอนดอนทันทีถ้าอายอมเสียเวลาเซ็นเอกสาร”

ลอว์เรนซ์ไม่เงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษปาปิรัส บางทีมันอาจจะมีเงื่อนงำบางประการบ่งชี้ให้เห็นว่า แต่เดิมสุสานโอ่อ่าที่ใช้เก็บพระศพของพระนางคลีโอพัตราอยู่ที่ไหน

“นี่ฉันต้องพูดกับแกอีกสักกี่ครั้งกี่หนนะ ว่าฉันจะไม่เซ็นเอกสารอะไรทั้งนั้น ออกไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว” ลอว์เรนซ์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงความยินดียินร้าย

“อาครับ ตอนนี่ท่านเอิร์ลกำลังรอฟังคำตอบเรื่องแต่งงานระหว่างจูลี่กับอเล็กซ์อยู่นะครับ ผมไม่คิดว่าเขาจะทนรอฟังคำตอบจากอาโดยไม่มีจุดหมายได้นานนักหรอก และทั้งหมดนี่เป็นแค่ใบหุ้นไม่กี่ใบ”

ท่านเอิร์ล...จูลี่กับอเล็กซ์...

“นี่มันอะไรกัน ทำไมแกจะต้องมารบกวนฉันตอนนี้ด้วย?”

“อาครับ โลกไม่ได้หยุดหมุนเพียงเพราะการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของอาหรอกนะ” เฮนรี่โต้ตอบด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “เราต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องหุ้นให้เรียบร้อย”

“ไม่จำเป็น” ลอว์เรนซ์วางปากกาในมือลง สายตาที่มองหน้าหลานชายยามนี้เปี่ยมด้วยความชิงชังรังเกียจอย่างเปิดเผย “สำหรับเรื่องการแต่งงานจะต้องรอได้ ไม่ว่านานแค่ไหน หรือไม่ก็ให้จูลี่ตัดสินด้วยตัวเอง กลับไปบอกเอิร์ลรูตเธอร์ฟอร์ดตามนี้ด้วย และอย่าลืมบอกพ่อของแกด้วยว่า ฉันจะไม่มีวันเซ็นเอกสารใบหุ้นอีกแล้ว เสร็จเรื่องแล้วออกไปจากที่นี่เสียที”

แต่เฮนรี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แววในดวงตากร้าวกระด้างขณะเขม้นมองหน้าของอีกฝ่าย

“นี่อาคงไม่รู้หรอกนะว่า...”

“ต้องให้ฉันบอกแกด้วยใช่ไหมล่ะว่า ฉันรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวแก” ลอว์เรนซ์พูดห้วน ๆ “ฉันรู้ว่าแกเอาเงินไปล้างผลาญในบ่อนการพนันเป็นจำนวนมากมายมหาศาล และพ่อแกต้องตามใช้หนี้ตลอดเวลา อีกอย่างจูลี่จะเอาบรรดาศักดิ์ของเอิร์ลแห่งรูตเธอร์ฟอร์ดมาทำอะไร ฉันรู้ความจริงยิ่งกว่านั้นว่าการที่อเล็กซ์ต้องการแต่งงานกับจูลี่ เป็นเพราะเขาหวังทรัพย์สมบัติของตระกูลสแตรตฟอร์ด คนอย่างอเล็กซ์มีแต่ตัวกับบรรดาศักดิ์นั่นเท่านั้นแหละ มันยากจนเหมือนขอทานเช่นเดียวกับเอลเลียตพ่อของมันนั่นแหละ ที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี่เป็นความจริงทั้งนั้น”

“แต่อาครับ ด้วยบรรดาศักดิ์นั่น อเล็กซ์แต่งงานกับผู้หญิงรวยในลอนดอนคนไหนก็ได้นะครับ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปแต่งเสียล่ะ?”

“ผมทราบนะครับอา ว่าถ้าอาเอ่ยปากเพียงคำเดียวจูลี่จะต้องตัดสินใจได้”

“และเอลเลียตก็จะแสดงความขอบใจแกที่จัดการให้เรื่องต่าง ๆ ที่เขาหวังเสร็จเรียบร้อยลงได้อย่างนั้นใช่ไหม ยิ่งเขาได้เห็นเงินของลูกสาวฉันเขาก็จะยิ่งมีน้ำใจกับแกมากขึ้น”

ใบหน้าของเฮนรี่ซีดเผือดด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันขอถามแกหน่อยเถอะว่า ทำไมแกถึงต้องวุ่นวายกับการแต่งงานครั้งนี้นักหนา?” หางเสียงของเขาบอกความเจ็บใจไม่น้อย “การที่แกยอมดูถูกตัวเองก็เพราะเงิน...”

เขาคิดว่าเขาเห็นริมฝีปากของเฮนรี่ขยับราวกับจะพ่นคำผรุสวาทออกมา ลอว์เรนซ์หันกลับไปทางมัมมี่อีก เขาพยายามตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาสำคัญแบบนี้เรื่องราวความยุ่งยากทั้งหลายของชีวิตผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขาในลอนดอนจะติดตามมาถึงที่นี่

แต่...ทำไม...มันถึงดูคล้ายกับว่ามัมมี่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาจึงดูมีชีวิตจิตใจขึ้นมาได้ เนื้อหนังดูเต่งตึงขึ้น เขาเห็นแหวนที่สวมอยู่รัดรึงเนื้อหนังใต้ข้อนิ้วจนแทบปริ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ลอว์เรนซ์ออกจะแน่ใจว่าเขาเห็นความมีเลือด มีเนื้อปรากฏขึ้นด้วย

“สายตากำลังหลอกฉันอยู่นะนี่” เขาพึมพำกับตัวเอง และเสียงนั้น... เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกแล้ว เขาพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ยิ่งตั้งสมาธิมั่นเพียงไร เสียงจากภายนอกก็ยิ่งดังเข้ามากระทบหูมากขึ้นเพียงนั้น เขาก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่ยืนอยู่ในโลงศพ พระเจ้า...เป็นไปได้หรือที่เขาเห็นเส้นผมปรากฏอยู่บนศีรษะที่มีผ้าพันห่อหุ้มไว้

“ฉันรู้สึกเสียใจแทนแกจริงๆ เฮนรี่” เขากล่าวออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ที่คนอย่างแกไม่อาจสัมผัสความรู้สึกตื่นเต้นของการค้นพบอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้ แกไม่สามารถสัมผัสกับกษัตริย์สมัยโบราณพระองค์นี้ ไม่สามารถล่วงรู้ถึงความลึกลับที่ถูกซ่อนเร้นปิดบังมาเป็นเวลานานนับพันปีอย่างฉัน” ก็ใครกันล่ะที่บอกว่าเขาไม่แตะต้องร่างของมัมมี่นี้ได้...ถ้าเขาเพียงแค่ตัดผ้าที่ห่อทุ้มไว้ออกอีกสักนิดจะเป็นไรไป

ลอว์เรนซ์หยิบมีดขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างไม่แน่ใจ เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาอาจจะใช้ใบมีดคมกริบเฉือนลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้อำนาจที่กระตุ้นอยู่ในใจทำให้เขาอยากเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าสีเหลืองตรงหน้าเหลือเกิน

“ถ้าผมเป็นอาผมจะไม่ทำอย่างนั้น” เสียงเฮนรี่ปราม “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ในลอนดอนคงไม่ชอบใจแน่”

“ฉันบอกให้แกออกไป!”

เขาได้ยินเสียงเฮนรี่รินกาแฟลงในถ้วยราวกับไม่รู้สึกรู้สมกับคำสั่งเลยแม้แต่น้อย กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟอบอวลไปทั่วทั้งคูหา

ลอว์เรนซ์เดินกลับมานั่งในเก้าอี้อีก แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อตรงคิ้ว บอกตัวเองว่าเขาตรากตรำกับงานนี้มากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว บางทีเขาควรพักผ่อนเสียหน่อย

“ดื่มกาแฟเสียก่อนเถอะครับ อาลอว์เรนซ์” เฮนรี่บอก “ผมรินไว้ให้แล้ว” เขามองไปทางกาแฟที่เต็มอยู่ในถ้วย “คนพวกนั้นกำลังรออาอยู่ข้างนอกนะครับ และท่าทางอ่อนเพลียมาก”

“แกมันไอ้หน้าโง่” ลอว์เรนซ์พูดอย่างอ่อนใจ “แกควรไปให้พ้นหน้าพ้นตาฉันได้แล้ว”

เฮนรี่วางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าลอว์เรนซ์ติดกับสมุดบันทึก “ระวังหน่อย เอกสารเก่า ๆ หาค่าไม่ได้”

กลิ่นกาแฟในถ้วยเรียกร้องเชิญชวนให้ยกขึ้นดื่ม ถึงแม้เฮนรี่เป็นคนรินให้ก็ตาม ลอว์เรนซ์หยิบถ้วยขึ้นมาดื่มอึกใหญ่พร้อมกับหลับตา

แต่ตอนวางถ้วยเขาเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มัมมี่ในโลงขยับตัวได้จริง ๆ นะหรือ?

เป็นไปไม่ได้...แต่ทันใดอาการลวกร้อนที่เกิดขึ้นในลำคอก็สกัดกั้นความรู้สึกทุกสิ่งจนหมดสิ้น คล้ายกับลำคอของเขาถูกบีบจนติดกันไปหมด ไม่สามารถหายใจหรือเปล่งคำพูดใด ๆ ออกมาได้

เขาพยายามประคองตัวลุกขึ้นยืน ดวงตาถลึงมองเฮนรี่ ทันใดเขาได้กลิ่นอะไรบางอย่างลอยขึ้นมาจากถ้วยกาแฟที่ยังค้างอยู่ในมือสั่นเทา กลิ่นอัลมอนด์  ในกาแฟถ้วยนี้มันมียาพิษ เมื่อถ้วยตกลงกระทบพื้นในท่ามกลางสติที่รางเลือนเขาได้ยินเสียงมันแตกกระจาย

“ไอ้ชาติชั่ว!” ร่างของลอว์เรนซ์โงนเงนก่อนล้มลง มือทั้งสองกางเข้าหาร่างของหลานชายผู้ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเย็นชา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือราวกับอาของตนไม่ได้อยู่ในสภาพใกล้ตาย

ร่างของลอว์เรนซ์บิดเป็นเกลียวบนพื้นคูหา ก่อนใบหน้าจะคว่ำลงกับพื้น เขายังมองเห็นมัมมี่ที่กระจ่างอยู่ในแสงอาทิตย์...

เฮนรี่ สแตรตฟอร์ดยืนตะลึงมองร่างของผู้เป็นอา ไม่อยากเชื่อสายตาตนเองว่ากำลังมองเห็นภาพนั้นอยู่จริง ๆ จะต้องมีใครสักคนที่ทำสิ่งนี้ ใครสักคนใช้อำนาจลึกลับสร้างเหตุการณ์อันน่าสยดสยองนี้ ใครสักคนบังคับให้เขาหยิบช้อนเงินตักยาพิษในโถหินขาวใส่ลงในถ้วยกาแฟของลอว์เรนซ์แน่!

ในท่ามกลางแสงแดดเต็มไปด้วยละอองฝุ่น ทุกสิ่งเงียบสงบปราศจากความเคลื่อนไหว แต่มีเสียงแผ่วเบาดังทำลายความเงียบเป็นระยะๆ เหมือนเสียงสะท้อนของลมหายใจ

มันเป็นเพียงเสียงในจินตนาการ แต่กระนั้นมันก็คล้ายกับมีอำนาจบังคับให้เฮนรี่ต้องเงี่ยหูฟัง มันบังคับให้มือของเขาหยุดสั่น บังคับไม่ให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมาจากปากที่เผยอค้างอยู่ ลึกลงไปในใจเฮนรี่กำลังตะโกนบอกตัวเอง

“ฉันฆ่าเขา...ฉันเป็นคนวางยาพิษ” แต่อีกใจหนึ่งกำลังบอกเขาอย่างกระหยิ่มว่า ในที่สุดอุปสรรคอันยิ่งใหญ่  บุคคลที่ต่อต้านขัดขวางการกระทำของเขาเสียชีวิตลงพร้อมกับนำอุปสรรคนั้นไปด้วย

เฮนรี่ก้มลงแตะชีพจร...ลอว์เรนซ์ตายแล้ว...ตายสนิท เมื่อยืดร่างขึ้นนั้น เฮนรี่พยายามต่อสู้กับความหวาดหวั่นพรั่นพรึงรุนแรงที่บังเกิดขึ้นในใจ เขารีบหยิบเอกสารออกจากกระเป๋าแล้วหยิบปากกาของอาจุ่มหมึกในขวดและเซ็นชื่อลอว์เรนซ์อย่างประณีตและรวดเร็ว เหมือนที่เขาเคยทำมามากมายหลายครั้งในอดีต แม้มือยังสั่นแต่เขากับรู้สึกดีขึ้นมาก แผนการบรรลุเป้าหมายอย่างง่ายดายเกินคาด เขาวางปากกากลับลงไว้ในที่เดิมแล้วยืนหลับตานิ่งอยู่พักใหญ่เพื่อระงับความหวาดหวั่น พยายามบอกตัวเองว่าบัดนี้เรื่องราวทั้งหมดได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว

แต่ยังมีความแปลกใจใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นอยู่ดี เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองทำสิ่งนี้ มันเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน เพียงแค่ชั่ววูบเดียวของอารมณ์เท่านั้น ถ้าเพียงแต่เขาหยุดคิด ลอว์เรนซ์คงจะยังมีชีวิตอยู่ และเหตุการณ์สยองขวัญคงไม่เกิดขึ้น มันน่ากลัวเหลือเกิน ทั้งยาพิษ...กาแฟ...และร่างของลอว์เรนซ์ที่นอนตายอยู่ตรงหน้า

และแล้วความทรงจำถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน...วันที่จูลี่ญาติผู้น้องของเขาลืมตาขึ้นดูโลกผ่านเข้ามาในสมอง เขาจำได้ว่าวันนั้นเขากับลอว์เรนซ์นั่งอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก...อาลอว์เรนซ์ผู้ที่เขารักยิ่งกว่าพ่อของตัวเอง

“ถึงยังไงอาก็อยากให้แกรับรู้ว่า แกยังคงเป็นหลานรักของอาตลอดไปนะเฮนรี่” คำพูดประโยคนั้นดังก้องขึ้นในหู

พระเจ้า...นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือไง? เฮนรี่คิดว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เขากล้าสาบานอย่างเต็มปากว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้กับเขาด้วย แต่มันเป็นใคร?

สิ่งนั้นมันอยู่ในโลงใส่มัมมี่นั่นเอง...อย่า...อย่าหันไปมองมันเป็นอันขาด มันนั่นแหละที่เป็นพยานว่าเขากระทำการฆาตกรรมอาของตัวเองเมื่อครู่นี้ หันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่จะต้องทำต่อไปดีกว่า

บัดนี้เอกสารได้รับการเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว หุ้นทั้งหมดที่อยู่ในมือเขา ขณะนี้สามารถนำออกขายได้อย่างถูกต้อง และเมื่อมาถึงเวลานี้ก็มีเหตุผลที่จูลี่จะตัดสินใจแต่งงานกับอเล็กซ์  ซาวาเรลล์ได้เสียที และยิ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่พ่อของเขาจะเข้าครองอำนาจในบริษัทเดินเรือสแตรตฟอร์ดไว้ได้อย่างเต็มที่เสียที แต่สำหรับตอนนี้เขาจะแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เฮนรี่มองไปทางโต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในที่ทางของมัน รวมทั้งเหรียญทองโบราณของคลีโอพัตรานั่นด้วย เร็วเข้า หยิบมาอันหนึ่งสิ เขาคว้ามันขึ้นมาอันหนึ่งและรีบยัดมันลงกระเป๋ากางเกง ความละอายใจทำให้ ใบหน้าร้อนผ่าว แต่มูลค่ามหาศาลของเหรียญทองอันนี้มีความหมายมากสำหรับเขา ถึงแม้ถูกตราหน้าว่าเป็นขโมย เฮนรี่ก็ยอม

เอาละ เมื่อเรียบร้อยแล้วออกไปจากห้องนี้เสียที ออกไปเดี๋ยวนี้เลย แต่ไม่ได้ เขายังคิดอะไรไม่ออก ยังไม่สามารถระงับอาการเต้นระทึกของหัวใจได้ ตะโกนเรียกซาเมียร์สิ นั่นเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด เขาต้องบอกให้ซาเมียร์รู้ว่าบัดนี้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นกับลอว์เรนซ์ อาจจะเกิดอาการหัวใจวายอย่างกะทันหันขึ้นมาก็ได้นี่นา...ใครจะรู้ล่ะว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะอะไร และในคุกนี่อากาศยังร้อนอบอ้าวเหมือนเตาอบ ถึงอย่างไรเขาก็ควรสั่งให้ซาเมียร์ไปตามหมอมาโดยด่วน

“ซาเมียร์” เฮนรี่ตะโกนโดยแต้มแต่งน้ำเสียงให้ฟังดูเหมือนตกใจสุดขีด สีหน้าท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังจะช็อกตายในวินาทีนั้น

แต่เขาอดหันไปมองมัมมี่ในโลงไม่ได้     คล้ายกับมีพลังอำนาจลึกลับบังคับให้เขามองไปทางนั้น

แต่เป็นไปได้หรือที่มัมมี่ในโลงกำลังจ้องตอบเขา เป็นไปไม่ได้...แต่กระนั้น ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นทำให้เขาหนาวเยือกขนลุกซู่ทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้ ที่สำคัญคือมันสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นกับเขาเป็นที่สุด และความหวาดกลัวนี้ กระมังทำให้เขาเปล่งเสียงตะโกนเรียกชื่อซาเมียร์ออกไปสุดเสียงอีกครั้ง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (76 รายการ)

www.batorastore.com © 2025